เปิดใจหลักสูตร..การทำงานอย่างมีความสุข

2 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 31 ธันวาคม 2010 เวลา 11:59 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1782

 


 

แนวคิด…….

ปีใหม่นี้จะเริ่มพัฒนาบุคลากรของเทศบาลนครพิษณุโลก ในแนวคิดของตัวเอง เป็นการจุดพลุให้องค์กรหันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้น และเอาจริงเอาจัง

ไม่ใช่ไม่ทำเลยหรือขาดการพัฒนานะครับ เพราะอย่างน้อยก็มีผลงานมากมายก็เป็นที่ยอมรับของวงการ แต่เป็นเรื่องของการทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก ทางเทศบาลทำมานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็มุ่งเน้นด้านวิชาการ หรือการทำงานเป็นทีม มีกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ มีการปฏิบัติธรรม ฯลฯ แต่ก็ได้ผลเป็นบางกลุ่ม ผลสำเร็จและความยั่งยืนก็ขาดการประเมินผลที่ชัดเจน และขาดการติดตามผลระยะยาว หน่วยงานและคนที่รับผิดชอบและสนใจเรื่องนี้โดยตรงก็ยังไม่ชัดเจน

 

คนเราส่วนใหญ่คิดว่าจะทำงานอย่างมีความสุขได้ต้องได้ทำงานแบบที่ตัวเองคาดหวังไว้

จะเรียนอย่างมีความสุขได้ต้องเรียนในแบบที่ตัวเองคาดหวังไว้

จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต้องใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้

แต่ความเป็นจริง เราทุกคนทำงาน เรียนรู้ และใช้ชีวิตอยู่ในสภาพที่เป็นจริง คือเป็นไปอย่างที่มันจะเป็นไปตามธรรมชาติ

แต่คนเราส่วนใหญ่เรียนไม่เป็น ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเรียนรู้อะไร? เรียนรู้อย่างไร? แทนที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เข้าใจการเรียนรู้ การทำงาน การใช้ชีวิต

การพัฒนาตัวเองมีสองด้านคือด้านความรู้ทางวิชาการที่จะไปประกอบอาชีพหรือเรื่องราวทางวิชาการต่างๆ กับด้านจิตวิญญาณหรือปัญญา สังคม องค์กรหรือบุคคลใดมุ่งพัฒนาด้านเดียวก็จะเกิดปัญหากับสังคม องค์กรและตัวบุคคลนั้นๆ

เพราะวันวันนึงก็จะเอาแต่คาดหวังให้คนโน้นเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ คนนี้เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น ซึ่งน่าจะทำไม่ได้

ดังนั้นคงต้องเริ่มที่การยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แทนที่จะเอาหัวชนฝาไปหาทางเปลี่ยนแปลงคนอื่น เปลี่ยนแปลงองค์กร เปลี่ยนแปลงสังคม

……

ลองยกตัวอย่างดู

คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุข มีทุกข์เพราะมัวไปโทษคนอื่น เพราะคนนั้น เพราะคนนี้ เพราะคนนั้นทำอย่างนี้ เพราะคนนี้ทำอย่างนั้น เพราะคนนั้นพูดอย่างนี้ เพราะคนนี้พูดอย่างนั้น

ตัวเราจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่การกระทำของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำหรือคำพูดของใครๆทั้งนั้น

ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือพัฒนาตัวเองด้านจิตใจ คงต้องเปลี่ยนแปลงจากข้างใน ถ้าเข้าใจ ค้นพบเรื่องนี้และเริ่มปฏิบัติก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

ในองค์กรเหมือนกัน วันๆนึงก็เอาแต่ไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่ปรับปรุงพัฒนาตัวเอง หรือมุ่งพัฒนาผิดทางเอาแต่พัฒนาด้านวิชาการอย่างเดียว แก้ปัญหาผิดทาง ยิ่งทำยิ่งยุ่งแล้วยังไม่รู้ตัวเสียอีก

สังคมหรือระดับประเทศก็เช่นเดียวกัน อิอิ

 

พูดน่ะพูดได้ พูดน่ะพูดง่าย แต่ตอนทำน่ะไม่ง่ายหรอกครับ

 

เริ่มตั้งแต่จะเริ่มหลักสูตรนี้ ก็ต้องคุยกันในระดับผู้บริหาร ส่วนมากก็อยากให้อบรมเยอะๆ ทำทั้งองค์กร ก็บอกไปว่าทำไม่เป็น แบบที่ว่าเยอะๆ ดีๆ เร็วๆ ได้ผลยั่งยืน

แต่จะขอทำเป็นกลุ่มเล็กๆที่สนใจจะพัฒนาตัวเอง คงท้าทายดี เพราะน่าจะเป็นที่สนใจของผู้คนในองค์กร

 

หลักสูตรนี้คงรับจำนวนไม่มาก ไม่เกินสิบห้าหรือยี่สิบคน จะทำแบบ On the Job Training ไม่ใช่การอบรมแบบ Intensive จะใช้เวลาสั้นๆระหว่างสัปดาห์ ครั้งละชั่วโมงครึ่งไม่เกินสองชั่วโมง แต่ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของเครือข่ายที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน

เริ่มต้นด้วยการ Roadshow เสนอแนวคิดและแนวทางที่จะทำให้คนที่สนใจเข้ามารับฟังและสอบถาม

หลังจากนั้นก็จะให้สมัคร มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันอีกครั้งว่าเข้าใจแนวทางและสามารถร่วมการอบรมได้ เพราะถ้าเข้ามาแล้วเป็นการปิดโอกาสคนอื่น แล้วตัวเองก็ไม่ร่วมหลักสูตรจนจบ ถ้าคนสนใจมากก็อาจมีบางคนต้องรอรุ่นต่อไปซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมีอีกหรือเปล่า ?

ถ้ามีคนสนใจน้อย มีเพียงคนเดียวก็จะเริ่มโครงการ อิอิ

ตามระบบราชการก็ต้องจัดทำหลักสูตร เสนอโครงการ แต่หลักสูตรก็จะพัฒนาตามความต้องการของกลุ่ม ซึ่งยังไม่เห็นหน้าตา และยังไม่ทราบความต้องการของกลุ่ม แต่ในใจก็มีอะไรๆอยู่บ้างแล้วครับ รอฟังจากกลุ่มเพิ่มเติมอีกก็คงจะปรับกันได้

 

แต่โจทย์ข้อแรกคือ ใน Roadshow จะใช้กิจกรรมหรือพูดอย่างไรให้มีคนเข้าใจและอยากพัฒนาตัวเองด้านจิตใจ หรือจิตวิญญาณ หรือปัญญา

ทำอย่างไรจะทำให้คนสามารถโยงเรื่องนี้ไปกับการเรียนรู้ การทำงานและการใช้ชีวิต ทำให้คนเชื่อว่าถ้าพัฒนาตามหลักสูตรและแนวทางนี้จะทำให้เรียนรู้ ทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

ทำอย่างไรจะทำให้คนเชื่อว่าหลักสูตรนี้ ผู้รับผิดชอบจะสามารถหาวิทยากร และสามารถทำได้ตามที่ตั้งใจ ?

 

เป็นเรื่องของการทำสิ่งเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำตามที่ อ. ดร. นิกร วัฒนพนม ได้สอนไว้

Post to Facebook Facebook


ตะเกียงอาละดิน และ google

2 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 25 ธันวาคม 2010 เวลา 22:40 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1313

เห็นลุงบางทรายเอารูปมาอวด ก็มีลายเซ็น

อ. หลินฮุ่ยที่เคารพรักเอารูปมาอวดก็มีลายเซ็น

อยากมีมั่ง แต่รำคาญที่คอยจะต้องพิมพ์ลงทุกครั้งที่ต้องเซ็นชื่อในรูป

พอดีออนเอ็มคุยกับลูกแมวเหมียวอยู่ ก็เลยถามวิธีทำ แบบที่ครูบาว่าลานปัญญาเหมือนตะเกียงอาละดิน จะมียักษ์ออกจากตะเกียวอาละดินมาช่วย

…….

เวลาอกหักก็มีคนให้ซบ

เวลาเหงาก็มีคนเล่าเรื่องตลกให้ฟัง

เวลาสงสัยอะไรก็ถาม จะมีคนมาช่วยตอบ

……

คราวนี้มีนางยักษ์(จินนี่ก็สวยดีนะ) ออกมาช่วย บอกว่าตัวเองไม่ถนัด เลยให้น้องที่ทำงานด้วยกันช่วยแนะนำ

ได้แนวทางมาก็ต่อด้วยครู google ปล้ำอยู่สักพักนึงก็ทำได้

ใช้ photoshop นะครับ อาจทำได้หลายแบบ เช่น

ออกแบบไว้แล้ว save เป็น .PNG ไว้ แล้วค่อยเอารวมกับภาพที่ต้องการ แบบนี้มีภาพ ตัวหนังสือสีต่างๆได้ครับ แถมเลื่อนตำแหน่งและปรับขนาดได้ด้วย ที่สนุกคือตอนเอา Background ออกให้ใสไปเลย

หรือจะเก็บไว้ใน Brush แล้วนำออกมาปั๊มลงบนภาพเลย สามารถปรับขนาดได้ ปรับสีได้แต่ต้องเป็นสีเดียวกัน

แถมถ้าจะใส่ลายเซ็นทีเดียวหลายๆภาพก็ใช้ Action ได้ครับ อิอิ แต่ศิลปินต้องค่อยๆทำทีละรูปครับ  ไม่ใช่ทำแบบอุตสาหกรรม อิอิ

ภาพในบันทึกนี้ก็เก็บไว้ที่ eSnips ครับ


Post to Facebook Facebook


ทำกลับกัน

2 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 23 ธันวาคม 2010 เวลา 23:31 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1371

ทำกลับกัน


ทีมงานจัดการฝึกอบรม CBM จากสถาบันฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม, สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และเทศบาลนครพิษณุโลก

ในการเรียนรู้ การใช้ชีวิต การทำงาน การพัฒนาตัวเอง ให้มองกว้างมองออกไปข้างนอก มองให้เห็นองค์รวม

เวลาปฏิบัติให้เริ่มจากข้างในคือระดับประเทศ องค์กร หรือตัวเราเอง

แต่พวกเรามักจะทำกลับกัน

เวลามอง มักมองที่ตัวเอง เช่นถ้ามีรัฐบาลมีนโยบายหรือต้องทำภารกิจนี้ เราจะได้อะไร? องค์กรเราจะได้อะไร?

หรือถ้าองค์กรเรามีนโยบายแบบนี้เราจะเป็นอย่างไร? เราจะได้อะไร?

……ไม่ได้มองว่า ส่วนรวมจะได้อะไร? มีประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่?

เวลาปฏิบัติดันไปเริ่มที่คนอื่น หน่วยงานนั้นต้องทำอย่างนั้น หน่วยงานนี้ต้องทำอย่างนี้

หัวหน้าต้องเป็นอย่างนั้น ผู้ร่วมงานต้องเป็นอย่างนี้ ลูกน้องต้องเป็นแบบนี้

ทำแล้วไม่ได้ผลสักที วุ่นวายมากขึ้นอีกทั้งตัวเรา องค์กร สังคม ประเทศชาติ แถมยังไม่เอะใจเสียอีก

เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่มีความสามารถหรือใครก็ได้ที่เอะใจ ที่ต้องช่วยเหลือให้คนในองค์กรได้รู้เรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก

ปกติคนเรามักภูมิใจในความสำเร็จ ความรุ่งโรจน์ในอดีตที่ผ่านมา เกิดความทะนงตนว่าเป็นผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุด ที่ทำอยู่ดีที่สุด นานๆเข้าก็จะหลงตัวเอง หยิ่งยโส ไม่สนใจว่าภายนอกเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว

มีตัวอย่างที่คนในบริษัทไม่สนใจเสียงบ่นของลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าที่ตัวเองผลิต จนยอดขายตกมาก ผู้บริหารต้องไปสอบถามลูกค้าเองและถ่าย VDO ไว้ เอามาให้ทีมงานผลิตดู ให้ได้รับรู้ข้อเท็จจริงรวมทั้งอารมณ์ของลูกค้าที่ผิดหวังในสินค้าที่ทีมงานผลิตขึ้นมา ไม่เป็นที่พอใจของลูกค้าอย่างมากและยังไม่ทราบ ไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น

แต่ต้องระวังคนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ไม่เอาลูกเดียว เพราะมักจะพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ และกลัวการเปลี่ยนแปลง ถ้ารู้สึกว่าถูกคุกคามก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เป็นไปในทิศทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆต่อส่วนรวม แถมเป็นอันตรายด้วยซ้ำไป

ต้องชักชวน นำพาให้สนใจโลกภายนอก แล้วตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงก่อน ถ้าทำตรงนี้ไม่ได้ก็จบ อยู่กันเหมือนเดิม รอหายนะมาเยือน

ถ้าทำจุดนี้สำเร็จ ขั้นต่อไปก็คือทำการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ถูกต้อง ทำไปต้องรู้ว่าใช่ไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จะมีอาการวุ่นวาย เครียด ประชุม ๆ ๆ ๆ ๆ แถมมีกิจกรรมมากมาย แต่ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย เป็นแบบที่เรียกว่าขยันไม่เข้าท่า

ถ้ามาถูกทาง คนในองค์กรจะมีความสุข ทำงานชิวๆ ทำสบายๆ ไม่เครียด ไม่วุ่นวาย ผลงานจะค่อยๆดีขึ้น องค์กรก็จะค่อยๆดีขึ้น

ทำอย่างไรน่ะหรือ ?

ทำตัวให้ชิวๆ สบายๆ ทำงานแบบชิวๆ สบายๆ ก้าวพ้นงานประจำให้ได้ก่อน มองออกไปข้างนอก มององค์รวม แต่เวลาทำ เริ่มจากตัวเราเองก่อน องค์กรของเราเองก่อน

แล้วการทำตัวชิวๆ สบายๆ ทำอย่างไร? ถ้าเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองและองค์กรดีขึ้นก็ศึกษาเอาเอง อิอิอิอิ

Post to Facebook Facebook


ความยั่งยืน

4 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เวลา 22:43 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1482

ความยั่งยืน (Sustainable)


การจะทำสิ่งใดให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่การหาวิธี หากิจกรรมหรือพิธีกรรมที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่จะยอมรับให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่คอยหากิจกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงทีละเรื่องทุกสองสามปี

คนเราถ้าเข้าใจว่า การทำงาน การใช้ชีวิตและการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปตลอดชีวิต และทำงานเป็น ใช้ชีวิตเป็น เรียนรู้เป็นก็จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ดูง่ายๆว่าเรียนรู้เป็นไหม? ทำงานเป็นไหม? ใช้ชีวิตเป็นไหม? ให้สังเกตว่ายังเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมไหม? ก้าวพ้นงานประจำได้ไหม? ก้าวพ้นการใช้ชีวิตประจำวันได้ไหม?

คนที่เรียนรู้เป็นจะสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว ไปจนถึงที่ไกลๆตัว เพราะทุกสิ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหมด ที่เรียกว่าปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก สนใจในวิชาชีพตัวเอง สนใจด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และด้านจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่ามีสุขภาพดีจะรวมทั้งมิติ กาย (จิต)ใจ สังคม และปัญญา

การก้าวข้ามพ้นงานประจำหมายความว่ายังวุ่นวายอยู่กับงานประจำจนโงหัวไม่ขึ้นหรือไม่? เพราะเป็นอาการหนึ่งของขยันไม่เข้าท่า (ขยันโง่ๆ) คือมัววุ่นวายอยู่กับกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อย บางครั้งอาจเป็นกันหมดหรือเกือบหมดองค์กร หรือแม้แต่ประเทศ

พอจะมีการพัฒนาองค์กรหรือบุคคลากร ก็มักจะได้ยินเสียงบ่นว่า งานยุ่ง ไม่มีเวลา เสียเวลาเร่งงานที่ค้างดีกว่า แล้วก็วนเวียนอยู่กับการทำผิดซ้ำซาก มัวแต่ขยันไม่เข้าท่า เล่านิทานคนตัดไม้ให้ฟังก็ไม่เข้าใจ

บางครั้งก็อุตส่าห์กัดฟันพัฒนาบุคลากรและองค์กรแล้ว ก็ยังทำไปผิดทาง ผิดวิธีอีก เลยยิ่งวุ่นวาย ยิ่งเครียด ไม่เกิดความก้าวหน้าขึ้นเลยก็มี แย่ทั้งคนและองค์กรแถมยังไม่เอะใจอีก

การก้าวพ้นงานประจำหมายความว่า สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานประจำ ทำอย่างมีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง มีเวลาว่างพอที่จะพัฒนาบุคคลากรและองค์กรเสมือนหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำ ไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่มารบกวนงานประจำ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำต่างหาก และถ้าทำถูกทางแล้ว บุคลากรก็จะมีความสุขกับการทำงาน มีประสิทธภาพมากขึ้น องค์กรก็มีความเจริญก้าวหน้า

การก้าวพ้นชีวิตประจำวันก็หมายถึงการใช้ชีวิตวันๆหนึ่งอย่างมีความสุขและมีความหมาย และมีเวลาพอที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่แบบมึนๆไปในแต่ละวัน ไม่มีเวลาเหลือที่จะพัฒนาตัวเอง (ไม่ต้องพูดถึงช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคมเลย) วันวันนึงก็เอาแต่วีนแตก นั่งทุกข์

องค์กรก็เหมือนกัน

ถ้าองค์กรก้าวพ้นงานประจำได้ ก็จะทำงานประจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวลาพัฒนาบุคลากร บุคลากรก็จะมีความสุข องค์กรมีความก้าวหน้า

การสังเกตดูองค์กรก็ง่ายๆ

มีแบบเฉื่อยๆ อยู่แบบไม่ค่อยมีการประชุม ไม่ค่อยมีการพัฒนาบุคลากร กลัวการเปลี่ยนแปลง(ลึกๆ) อยู่กับความสำเร็จหรือความรุ่งโรจน์ในอดีต

หรือเป็นแบบคล้ายๆจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ มีการประชุม การอบรมพัฒนาบุคลากรวุ่นวายไปหมด แต่ไม่เห็นดีขึ้นเลย คนในองค์กรก็เครียด องค์กรก็แย่ลงๆ

หรือจะเป็นแบบที่ทำงานประจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเวลาพัฒนาบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ คนในองค์กรมีความสุข องค์กรมีความก้าวหน้า ซึ่งจะต้องทำให้คนในองค์กรเห็นสภาพของโลกแห่งความเป็นจริง ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงระดับโลก ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคม นโยบายระดับประเทศ ฯลฯ ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องภายในองค์กรเท่านั้น

องค์กรที่เรียนรู้เป็น ก็จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว รอจนมีวิกฤตจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หรือรอจนกว่าจะมีหน่วยเหนือหรือรัฐบาลสั่งการให้ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วสักพักหนึ่งก็เลิกทำ

ตัวท่านและองค์กรของท่านเป็นแบบไหน? อิอิอิอิอิ

ของแถม…..

นิทานเรื่องคนตัดไม้…

มีคนสองคนเป็นเพื่อนกัน มีอาชีพตัดไม้ นาบจ้างจ่ายค่าตอบแทนตามผลงานที่ได้ คนที่หนึ่งตัดได้มากได้ค่าตอบแทนมาก คนที่สองตัดไม้ได้น้อยได้ค่าตอบแทนน้อย

คนที่หนึ่งเลยบอกเพื่อนว่า

……แกตัดไม้ได้น้อย เพราะขวานแกไม่คม และวิธีตัดของแกไม่ค่อยถูกต้อง เปลืองแรงและช้า จะสอนให้ เอามั๊ย?

คนที่สองตอบว่า

……อย่าเลย ตัดอยู่วันวันนึงยังตัดได้นิดเดียวเอง ขืนมาฟังแกสอนอีกก็แย่สิ คงตัดไม้ได้น้อยลงอีกแน่ๆเลย ขอบใจๆๆๆ

แป่ววววว…….$!%*!)+!)%)&!))%+_)#^**

Post to Facebook Facebook


ขยันไม่เข้าท่า อิอิ

3 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 21 ธันวาคม 2010 เวลา 0:00 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1805

ปกติจะใช้ชื่อบันทึกว่า ขยันโง่ๆ แต่เดี๋ยวนี้สุภาพขึ้นมากเลยใช้ขยันไม่เข้าท่า

วันนี้มาเป็นวิทยากรเรื่องการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมโดยชุมชน –CBM (Community Based Solid Waste Management) ให้เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนร่วมกับทีมงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

การเดินทางก็แบบเดิมๆเน้นง่ายและประหยัดงบประมาณของแผ่นดิน ไม่มีเครื่องบินจากพิษณุโลกมาเชียงใหม่เลยติดรถตู้ของทีมงานจาก กทม. ที่ต้องขนอุปกรณ์มาด้วย พักเชียงใหม่ 1 คืน บ่ายๆก็บินมาแม่ฮ่องสอน

มีเวลาอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่ค่อนข้างมาก เลยเดินดูหนังสือ ได้หนังสือมาเล่มนึง ชื่อ A Sense of Urgency เขียนโดย John P. Kotter แปลโดย ณัฐยา สินตระการผล

 


 

เริ่มอ่านบนเครื่องบิน อ่านได้บทเดียว เพราะบินขากเชียงใหม่มาแม่ฮ่องสอนแบบว่ากินถั่วที่ให้มายังไม่ทันหมดก็ถึงแล้ว

John P. Kotter เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณในสาขาภาวะผู้นำของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขียนหนังสือ Leading Change, Our Iceberg Is Melting และอีกหลายๆเล่มซึ่งติดอันดับหนังสือขายดีของโลก

บทที่อ่านเป็นบทที่หนึ่ง : ความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลง

ศัพท์ที่แปลมาอาจเข้าใจยากจึงขอเล่าแบบง่ายๆ…….

เดิมการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆในโลกจะเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่รวดเร็วมากนัก องค์กรต่างๆแม้กระทั่งระดับประเทศอยู่กับความสำเร็จที่ผ่านมาด้วยความคุ้นชินก็ไม่ประสบกับปัญหาอะไรมากมายนัก แต่ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงหรือเป็นแบบชี้กำลัง (Exponential) ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการคิด การทำงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ๆ

การสนองตอบจึงเป็นไปได้สามแนวทางคือ

  1. จมอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ ความคุ้นชิน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงช้า
  2. ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สอดคล้องกับความจริง
  3. ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

 

แบบที่ 1.    จมอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ ความคุ้นชิน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงช้า ก็เป็นแบบที่ไม่รู้ตัว จมอยู่กับความรุ่งโรจน์ในอดีต ไม่ยอมปรับปรุงเปลี่ยนแปลง บุคคล องค์กรหรือประเทศนั้นๆก็จะไม่สามารถแข่งขัน ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง

แบบนี้จะมีอาการเฉื่อย ไม่ยอมพัฒนา ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ

 

แบบที่ 2. ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สอดคล้องกับความจริง แบบนี้ก็เป็นแบบตั้งโจทย์ผิด คำตอบก็เลยผิด

เป็นแบบที่ไม่รู้จริง รู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงแต่ทำไม่เป็น อาจจะวิเคราะห์หารากเหง้าของปัญหาผิด อาจมีปัญหาการจัดการระดับใดระดับหนึ่งหรือหลายๆระดับ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการจัดการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกิดขึ้นสูงถึง 70% ขององค์กรที่พยายามจะปรับตัว เปลี่ยนแปลง แบบนี้แหละที่ตั้งชื่อให้เองว่า ขยันไม่เข้าท่า

อาการที่เกิดขึ้นจะมีการประชุมวุ่นวายทั้งวัน มีกิจกรรมที่ต้องทำมากมาย ดูวุ่นวายไปหมด เจ้านายก็เร่งรัด เคี่ยวเข็ญ ลูกน้องก็เครียด บ่น ไม่เต็มใจทำงาน ไม่ค่อยมีผลสำเร็จ กำลังขวัญของคนในองค์กรตกต่ำ

 

แบบที่ 3. 3.    ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง แบบนี้คือแบบที่ต้องการ มีการวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหาได้ถูกต้อง ทำงานแบบมีส่วนร่วม ทั้งทีมมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีการบริหารจัดการที่ดี เลือกทำที่จำเป็นและได้ผลมากๆก่อน องค์กรจึงดูไม่วุ่นวาย ทีมงานมีความสุข ผลงานก็จะดีตามไปด้วย

 

ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่าตัวเรา องค์กรของเรา ประเทศของเราเป็นแบบไหน? ควรแก้ไขอย่างไร? อิอิอิอิอิ


 

Post to Facebook Facebook


นิทรรศการภาพถ่ายในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 20 ธันวาคม 2010 เวลา 11:30 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1653

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูป (สปร.) ได้ร่วมกันจัด นิทรรศการภาพถ่ายประกอบคำบรรยาย เรื่อง “ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทำไมต้องปฏิรูป” ด้วยการชักชวนผู้สนใจนำภาพถ่ายจากผลงานฝีมือของตนเองที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำใน สังคมไทย ประเด็นต่างๆ ได้แก่ การใช้ทรัพยากรที่ดิน น้ำ ที่อยู่อาศัย การทำงาน การกินอยู่ การคมนาคม การสื่อสาร การรักษาพยาบาล การศึกษา ความยุติธรรม การเมือง การจัดการภาครัฐ ฯลฯ เพื่อสื่อสารกับสังคมให้ก่อเกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการในการขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศไทย

นิทรรศการดังกล่าวก็น่าสนใจมาก



คำอธิบายภาพ

ความแตกต่าง

“ปัจจุบันสังคมไทยมีการแบ่งชนชั้น แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้อย่างชัดเจน ทั้งด้านฐานะทางสังคม การศึกษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ข้าพเจ้าจึงอยากจะนำเสนอผลงานภาพถ่ายชิ้นนี้ เพื่อสื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของการดำรงชีวิตในสังคมไทย ที่มีความเหลื่อมล้ำให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อผู้ที่มีส่วนร่วมหรือส่วนเกี่ยวข้องจะได้มองเห็นถึงปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย และช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อที่จะได้ช่วยกันปฏิรูปประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น”

ภาพโดย จามิกร ศรีคำ อุบลราชธานี

คำอธิบายภาพ

Same Rule, Same Right, Same Road

“ความเสมอภาคและความยุติธรรม ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องจากรัฐสภา บนถนนเส้นหนึ่งเราทุกคนสามารถสร้างเรื่องนี้ได้ ถ้าเคารพกฏหมายเดียวกัน ใช้ถนนด้วยความเท่าเทียมกันและเคารพสิทธิที่มีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคน จักรยาน รถเมล์ แท็กซี่หรือแม้แต่ซาเล้ง”

ภาพโดย วงศกร ช่วยไผ่ กระบี่

ได้หนังสือเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปประเทศไทยและ CD –ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน โดยคณะกรรมการปฏิรูปด้วยครับ


อยากฝากพวกเราสนใจการปฏิรูปประเทศไทยด้วยครับ…… อิอิ

Post to Facebook Facebook


คณะหุ่นสายเสมา

1 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 18 ธันวาคม 2010 เวลา 23:08 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1688


ในพิธีเปิดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๓๓ “ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ” ๑๕-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร ใช้การแสดงอันยิ่งใหญ่จากคณะหุ่นสายเสมา


(ภาพจาก http://www.semathai.com )

คณะหุ่นสายเสมาคว้ารางวัล The Best traditional original performance รางวัลสูงสุดจากเทศกาลหุ่นโลก ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเชค

เป็นการแสดงชุด ” String ” กำกับการแสดงโดยอาจารย์นิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธรสาขาศิลปะการแสดง การแสดงชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่อง “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”

เป็นการแสดงหุ่นสายซึ่งเป็นสื่อศิลปะพื้นบ้านอันเป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในภูมิภาคเอเชียอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังเป็นศิลปะแบบดั้งเดิมที่เก่าแก่ของโลก ผสมผสานด้วยสื่อมัลติมีเดีย เพลงประกอบโดย ชัยภัค ภัทรจินดา (ร่วมแต่งดนตรีประกอบหนังเรื่องโหมโรง)

การแสดงเริ่มจากชีวิตในครรภ์มารดา สู่วัยเด็ก จนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตของทุกคนก็ถูกชักใยเหมือนหุ่นที่กำลังแสดงอยู่ ไม่ว่าเสื้อสีไหนก็ล้วนถูกชักใย?? มีตอนหนึ่งที่แสดงถึงการรบของลิงกับยักษ์ ลิงน้อยก็ล้มตายลง ลิงเฒ่าก็ตามมาคร่ำครวญ ทุกครั้งที่มีปัญหา….ที่ล้มตายก็เป็นลิงน้อยๆเหล่านี้

จวบจนแก่เฒ่า และสุดท้ายก็หลุดพ้นจากการถูกชักใย…… จะมีประโยชน์อะไรเล่า? ……กับอิสระภาพที่ปราศจากชีวิต

เมื่อจบการแสดงก็มีการมอบรางวัลให้กับอาจารย์นิมิต พิพิธกุล พิธีกรก็ก็สัมภาษณ์และให้เล่าถึงการแสดงชุดนี้ อาจารย์บอกว่าได้แรงบันดาลใจจากบทความของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่อง “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ในการแสดงที่ต่างประเทศ มีคนถามว่าเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนปัญหาของประเทศไทยใช่หรือไม่? อาจารย์ตอบว่า ไม่ใช่ แต่สะท้อนปัญหาของมนุษยชาติ เพราะพวกเราเจอปัญหาแบบเดียวกัน

เรื่องราวของการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ ก็มีเรื่องราวดีๆมากมาย แต่ก็คงต้องแปะไว้ก่อน แต่ไปอ่านเอาเองที่ http://nha2010.samatcha.org/ จะดีกว่า

เล่าเรื่องที่ดูคล้ายๆไร้สาระก่อนดีกว่าเพราะชอบ ด้วยแถมถนัดอีกด้วย อิอิอิ

Post to Facebook Facebook


นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

3 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 13 ธันวาคม 2010 เวลา 12:09 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1913

วันที่ 10-12 ธันวาคมที่ผ่านมา ท่านคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้นำนักศึกษามาเรียนรู้ที่สวนป่า รายละเอียดครูบาฯ ได้เขียนบันทึก ป่วนยกกำลังสอง นำไว้แล้ว

ครูบาได้แนะนำลานปัญญาให้นักศึกษาอ่านและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แถมให้การบ้านไว้ว่า ให้เขียนเล่าประสบการณ์ ความประทับใจ สิ่งที่ได้เรียนรู้ ส่งผ่านลานปัญญา

เห็นว่าลานปัญญาอาจใช้เวลาสมัครและกว่าจะเขียนบันทึกได้อาจใช้เวลาสักพักหนึ่ง เลยได้ให้ e-mail address ของตัวเองกับนักศึกษา เผื่อมีเวลาน้อยก็เขียนเรื่องราวต่างๆที่อยากเขียน แล้วส่งมา จะได้จัดการนำขึ้นลานปัญญาให้ แถมให้ลานจอมป่วนไว้เป็นประตูสู่ลานปัญญา เลยต้องมาเขียนบันทึกนี้เพื่อเป็นประตูให้นักศึกษาผ่านเข้าสู่ลานปัญญา และเป็นพื้นที่นำเสนอผลงาน(การบ้าน)ของนักศึกษาบางคนด้วย

ปกติมีกลุ่มหรือคณะต่างๆมาเยี่ยมสวนป่ามากมาย ครูบาฯ ก็แนะนำให้อ่านลานปัญญาและชวนเขียนบันทึกเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แต่ละกลุ่มแต่ละคณะก็จะมีคนที่เริ่มอ่าน พยายามเขียนบันทึกในลานปัญญา แต่ก็น้อยและค่อยๆหายไป เป็นปกติ แต่ที่หลงเหลือมาเป็นแฟนประจำก็มีบ้าง

แต่นักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกลุ่มนี้เริ่มทำการบ้านส่ง และมีคนพยายามเขียนบันทึกในลานปัญญามากกว่ากลุ่มอื่นๆ

น้อง azazia ฝ่าด่านเข้ามาแสดงความคิดเห็นในบันทึกป่วนยกกำลังสองของครูบาฯ และเปิดลานปูน้อย พี่ๆ น้าอา ป้าๆลุงๆก็คงรออ่านและให้กำลังใจอยู่

ตามมาด้วย กฤษฎา แสวงหา หรือ แมน เปิดลานกฤษฏา MED-UBU

Lookkaew ก็มาเปิดลานพระจันทร์ไว้

มีคนเปิดบันทึกใหม่ๆอีกหลายบันทึก  แต่ยังไม่ได้เริ่มเขียน  พี่ป้าน้าอารออ่านอยู่นะครับ  อิอิ
ส่วนน้องกนกอร Kanok-orn Apaibunditkul ก็ส่งการบ้านผ่าน mail มาดังนี้

สวัสดีค่ะ ชาวตระกูลเฮทุกท่าน

หนูเป็นนักศึกษาแพทย์ ม.อุบล ปีสามค่ะ ความประทับใจที่ได้จากที่นี่มีมากจริง ๆ ค่ะ คงเขียนได้ไม่หมด แต่ที่หนูประทับใจสุด ๆ ก้อคงจะเป็นการอยู่กับธรรมชาตินี่แหล่ะค่ะ หนูไม่เคยได้มานอนดูดาวแบบนี้เลย แต่โชคดีมากค่ะเห็นดาวตกอยู่หลายดวง แต่เสียดายที่อธิษฐานไม่ทัน

หนูขอขอบคุณทุก ๆ คำสอนและแนวคิดของอาจารย์ทุกท่านนะคะ ที่ทำให้หนูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ที่ทำให้หนูเจริญขึ้นทั้งปัญญาและคุณธรรม ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

ป.ล. ไข่เจียวอร่อยมั้ยคะ อิอิ

ไม่ทราบว่าจะเป็นแบบ ทำให้อยากแล้วจากไปรึเปล่า? ปล่อยให้พี่ป้าน้าอารอเก้อ หรือจะเก่งกว่าพี่ป้าน้าอาที่ไม่ค่อยเขียนบันทึกเสียอีก อิอิอิอิ

Post to Facebook Facebook


เรียนรู้จากเรื่องหลุดๆ – สภากาแฟ

4 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 8 ธันวาคม 2010 เวลา 20:56 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1442

เทศบาลนครพิษณุโลกมีสภากาแฟทุกเช้าวันอังคาร เริ่ม 8.30 น. เลิก 10.00 น. ไม่ใช่การประชุม แต่เป็นการพูดคุยกันที่ไม่มีรูปแบบนัก คุยกันหลายๆเรื่อง จัดมานานแล้ว ริเริ่มโดยท่านนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็เข้าร่วมสภากาแฟ มีเรื่องหลุดๆที่นำมาเล่าสู่กันฟังให้เรียนรู้ร่วมกัน

มีเรื่องหลุดๆที่เกิดขึ้นในงานรับเสด็จ ฯ

มีเรื่องหลุดๆที่เกิดขึ้นจากงานใหญ่ๆที่จัดขึ้น

แต่ก็มีเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง มีหลากหลายอารมณ์มาก สนุกดีครับ

เอาเรื่องดีๆก่อนดีกว่าครับ

พิษณุโลกจัดงานงานมหกรรมสี่แยกอินโดจีน Indo-China Fair 2010 ตั้งแต่วันที่ 4-13 ธันวาคม 2553 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนได้ให้เกียรติ์มาเป็นประธานพิธีเปิดและได้ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ พิษณุโลก ประตูยุทธศาสตร์สู่อินโดไชน่าและอาเซียน Phitsanulok: Strategic Gateway to Indochina and ASEAN

…..ประเด็นที่สำคัญที่ได้เรียนรู้คือประเด็นยุทธศาสตร์ของอาเซียน หรือทิศทางที่จะเกิดขึ้นคือการเกิดประชาคมอาเซียน -ASEAN Community แบบสหภาพยุโรป -Europe Union ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

…..ทำอย่างไรจึงจะรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้

…..ปีหน้ารถบรรทุกจากชาติต่างๆจะวิ่งตามถนนหลักใหญ่ๆได้ ตามมาด้วยรถบัสที่จะนำๆนักท่องเที่ยวมายังภูมิภาคต่างๆได้อย่างสดวก

….จุดขายของประชาคมอาเซียนน่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม อาหาร

…. พิษณุโลก (ประเทศไทย) ต้องเตรียมพร้อมที่จะเป็นครัวของโลก ต้องให้ชาวบ้านเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งทางเทศบาลนครพิษณุโลกก็เตรียมที่จะเปิดศูนย์สอนภาษาอังกฤษให้กับประชาชนอยู่แล้ว ยังคงมีเรื่องราวต้องเตรียมอีกมาก ที่สำคัญคือแนวคิดที่ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร ? เราจะเตรียมคนพิษณุโลกให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์หรือเปล่า ?

ในระดับชาติ เรามีวิธีคิดอย่างไร? เราเตรียมตัวเพื่อการแข่งขันกับนานาชาติอย่างไร ? ที่ผ่านมาทำไมเราเตี้ยงลงๆๆ ? ถ้าเรายังหารากเหง้าของสาเหตุ (Root Cause) ไม่ได้ แล้วเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ?

แหมๆๆๆๆๆ ตั้งใจว่าจะเป็นเรื่องดีๆ ไหงลงเอยแบบนี้ อิอิ

 

ตอนที่ 2 เรื่องหลุดๆ หลายๆงานปนกันนะครับ เอามาถกกันในสภากาแฟ

เช่นการไปจัดนิทรรศการ ตั้งแต่ประสานงานสถานที่ แนวทางการจัด กว่าจะได้คำตอบก็แทบแย่

งานเลี้ยงระดับสำคัญๆ แต่พิธีกรของงานไม่รู้หายไปไหน จำเป็นต้องใช้พิธีกรจำเป็นซึ่งไม่ได้เตรียมตัวมาเลย มันก็วุ่นวายพอสมควรแหละครับ แถมคิวการแสดง ดนตรี ไม่ทราบว่าจัดการอย่างไร ? มันดูวุ่นวายไปหมด

การดูงาน มีหนังสือแจ้งมาขอความอนุเคราะห์ดูงาน รายละเอียดก็ไม่ชัดเจน ประสานกลับไปก็ไม่ได้คำตอบ สุดท้ายบอกว่าคงจะไม่ดูแล้วเพราะเวลาไม่ลงตัว

นั่งฟังการถกกันในสภากาแฟ ก็มีความรู้สึกว่า คนเราทำงานมานานๆน่าจะพัฒนาความเป็นมืออาชีพ ทำมาตั้งนานน่าจะเป็นเซียน รู้เรื่องงานในหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี คนที่มอบหมายงานก็มีความเป็นเซียนพอที่จะมอบหมายงานให้คนที่เหมาะสมเป็นคนจัดการ เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตัวเราอยู่มาจนปูนนี้ ได้แต่อายุที่มากขึ้นเหรอ ? มีประสบการณ์หรือเรียนรู้อะไรมากขึ้นหรือเปล่า?

เป็นเซียนเรื่องอะไรบ้าง ? การเรียนรู้ การใช้ชีวิต การทำงาน

วันนี้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า?

พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ไหม?

อาทิตย์หน้าจะดีขึ้นกว่าอาทิตย์นี้ไหม?

เดือนหน้าจะดีกว่าเดือนนี้ไหม?

ปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ไหม?

 

แล้วทำอย่างไรจึงจะดีขึ้น หรือหายใจทิ้งไปวันๆ อิอิ

*@*%!&^))!_(@^)(&(*!^)+@_)^*T^@%&#@%^#(@)


 

Post to Facebook Facebook



Main: 0.11991810798645 sec
Sidebar: 0.6997709274292 sec