มึนจังตู
ชุมชนท้องถิ่น: ฐานรากการพัฒนาประชาคมเศรษฐกิจอาเชี่ยน เป็นโจทย์การจัดประชุมทางวิชาการ ประจำปี 2555 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 400 ท่าน ส่วนมากจะเป็นการนำเสนอของนักวิจัยจากสำนักต่างๆทั่วปะเทศ นับเป็นการชุมนุมอาจารย์,นักศึกษาที่ต้องการนำเสนอผลงานวิจัยอีกงานหนึ่ง จากที่เคยไปร่วมเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่หาดใหญ่ เมื่อปีที่ผ่านมา และไปร่วมงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดที่เชียงใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว
ก่อนหน้านี้คนไทยจะเจอคำว่า..เศรษฐกิจพอเพียงจนจำเจ
ต่อไปนี้ก็จะเจอคำว่า..ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจนหูอื้อ
และจะเจอคำว่า.>.> การประชุมระดับนานาชาติบ่อยๆ
สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าการโหนกระแสหรือสร้างกระแสก็ไม่ทราบได้
เพราะเท่าที่รับฟังไม่ค่อยมีเนื้อมีแต่น้ำ
เหมาะกับคนรับประทานมังสวิรัติอย่างผม
เมื่อเช้าตื่นสะโหลสะเหล่เพราะนอนดึก ชวนโฉมยงลงมารับประทานอาหารเช้านอกบ้านเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เลิกรับประทานเนื้อ เนื่องจากเป็นอาหารในโรงแรมเราจึงมีอาหารให้เลือกพอสมควร เลือกผักสลัด ชิมน้าสลัด5-6ชนิด เลือกผลไม้ เลือกน้ำขิง แค่นี้ก็อิ่มไปขึ้นเวทีได้
เจ้าหน้าที่มาตามไปห้องรับรอง ฟังคณะผู้ใหญ่คุยกันสนุกสนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นมาในฐานะประธานเปิดงาน รศ.ดร.สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง อดีตรองเลขาธิการอาเซียน และอดีตผู้แทนการค้าไทย เป็นองค์ปาฐก
2 ท่านแรกให้ความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆไว้ดีมาก
ต่อจากนั้นเป็นการอภิปรายคณะของผม
คุณจิตนา ชัยยวรรณการ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
คุณธีรศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่นและรองนายกเทศมนตรี
ในชั้นแรกตกลงกันว่าจะเอาผมไว้คนสุดท้าย แต่พอขึ้นเวทีไหงผู้ดำเนินรายการโยนไมค์มาให้ผมจ้อเป็นคนแรก ให้เหตุผลว่า..หัวข้อเขากำหนดมาว่า..ชุมชนเป็นฐานรากการพัฒนาประชาคมอาเซียน ก็ต้องให้ตัวแทนเป็นพระเอก..
ผมขอเกริ่นว่า..ชุมชนถูกชวนให้ออกมายืนหน้าฉากยังงี้แหละ ในความเป็นจริงก็รู้ๆกันอยู่ว่า ไม่ได้เป็น”พระเอก”หรอก เป็น “เสี่ยวอ้อ” ต่างหาก และเรื่องอาเซียนนี่ ชาวบ้านก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ อยู่ทุกวันนี้ก็แทบเอาตัวไม่รอด ชักหน้าไม่ถึงหลัง จะไปเป็นฐานรากอะไรได้ คงเป็นได้แต่รากเน่าๆผุๆละมั๊ง ใครๆก็รุมกินโต๊ะชุมชน ไปขายข้าวก็ถูกแกล้งหักความชื้น หักสิ่งเจือปน ไปขายยางพาราก็อ้างว่าไม่ได้มาตรฐาน โดนสูบเลือดสูบเนื้อต่อหน้าต่อตา ยังจะมาบอกว่า..ชุมชนเป็นฐานทั้งๆที่เป็นหนูลองยาให้ใครต่อใคร..มานานแสนนาน
การที่จะเอาชุมชนเป็นฐาน
ถามว่ารู้จักชุมชนแค่ไหน
พวกเราๆนี่แหละ..กว่าจะออกไปหาชุมชนได้แต่ละที
ต้องติดกฎเกณฑ์ ระเบียบ วัฒนธรรมขององค์กร
บางแห่ง..จะออกมาหาผม..ฝ่ายบริหารถามว่ามันเกี่ยวกับKPI.รึเปล่า อีโธ่อีถังเอ๋ย ..มันจะทันกินได้อย่างไร สมัยนี้เป็นยุคของโลกการสื่อสารสายฟ้าแลบ ทุกอย่างต้องรวดเร็วฉับพลัน จะมาแต่งตัวเป็นแม่สายบัวไม่ทันกินหรือ ชุมชนบางแห่งเขาไปโลดแล้ว เขาไม่มารอเรือก้นทะลุหรอกนะครับ
· นักวิชาการนักวิจัยควรจะออกไปเรียนรู้ร่วมกับชุมชน
· โจทย์วิจัย/หัวข้อวิทยานิพนธ์จะเอากี่กระบุ้ง
· ผมเดินเตะตรงไหนก็เป็นโจทย์วิจัยทั้งนั้นแหละ
· จะเอาสักกี่1,000 หัวข้อก็ได้
· ถ้าออกไปถามชุมชนว่าเขาติดขัด/หรือต้องการสิ่งยกจะรู้สิ่งใด
· งานวิจัยก็จะลดขั้นตอน ไม่ต้องวิ่งหาคนใช้ประโยชน์จากงานวิจัย
· มาตั้งเองชงเรื่องเองเอาแค่พอจบๆมันก็ไอ่แค่นั่นแหละ
เท่าที่อ่านในเอกสารบทคัดย่องานวิจัยที่ตีพิมพ์ในเอกสารของงานนี้ ต้องขอขอบคุณหลายท่านที่ทำในหัวข้อที่ชุมชนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ด้านหน้าห้องนี้มีแม่ใหญ่หลายคนมานั่งสานกระติบไม้ไผ่ บอกว่าเป็นงานโอท็อป ผมเห็นแล้วชอบใจ จึงซื้อกระติบยักษ์มา1ใบ ราคา600 บาท มีคนบอกว่าอย่างเพิ่งเอาไปได้ไหม ขอเอาไว้โชว์ก่อน อ้าว! ตอนคณะผู้ใหญ่เดินผมก็ได้อวดผลงานไปแล้วนี่ ผมจะกลับแล้ว จึงขออุ้มกลับบ้าน ขอชื่นชมว่าฝีมือดีมาก แต่ก็ยังพัฒนาต่อไปได้อีกถ้านักวิจัยเข้าไปช่วย
ตามโผ ผมต้องพูดในกรอบ..-สถานการณ์และความตื่นตัว หรือเข้าใจต่อการดำเนินการตามข้อตกลงของภาคประชาชน หรือภาคเกษตรกรรมรายย่อยมีมากน้อยเพียงใด และในส่วนที่คิดว่าตื่นตัวแล้ว เข้าใจว่าผลกระทบในเชิงบวกหรือลบ เป็นอย่างไร? และได้เตรียมการอย่างไร?
ถ้าจะพูดตามโผให้มา..ก็ขอบอกว่ามึนพะยะค่ะ ชุมชนไม่ได้รู้เรื่องตามที่โผบอกสักหน่อย เป็นการตั้งข้อสมมุติฐานเอาเอง ทำไมไม่ถามใจกันดูก่อน หรือให้อิสระในการที่จะแสดงความเห็น ผมคิดว่า..ผมพูดได้นะ ไม่งั้นไม่ถ่อทิ้งงานขับรถมาร่วม200 ก.ม. เพื่องานนี้หรอก ผมจึงทิ้งโผนะสิครับ..
ด้านความเข้มแข็ง..ชุมชนแตกซ่าน ไม่มีความรู้ที่จะอยู่ในท้องถิ่น ทิ้งถิ่น
ด้านวิชาความรู้..ความรู้ไม่พอใช้
ด้านจารีตประเพณีและวัฒนาธรรม ..โดนแจจังกึมครอบจนลายพันธุ์ไปแล้ว
ด้านความมั่นคงอาหาร ..แต่อาหารที่คนไทยรับประทานเต็มไปด้วยสารพิษ
ด้านเศรษฐกิจ..จะเป็นครัวโลก ส่งอาหารไปEU. ถูกเขาตีกลับกระเจิง
ด้านความปกติสุข ปลอดภัย ก็กินใจแบ่งกันออกเป็นฝักเป็นฝ่าย
เล่าถึงการสร้างเครือข่ายแบบอิงระบบ
อวดว่ามีเพื่อนอยู่ทั่วโลก
รักใคร่เสมือนญาติสมานไมตรี
ทราบว่าผมปลูกผักก็ส่งเมล็ดพันธุ์ผักมาให้ทั้งในและต่างประเทศ
ผมไม่มีน้ำยาหรอก แต่เพื่อนๆที่ยืนเคียงข้างผมล้วนเป็นจอมยุทธด้านต่างๆ
กำลังสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ผ่านเฟสบุกค์
ประเทศในกลุ่มอาเซียนผมก็ตระเวนมาแล้ว
พอที่จะเห็นเรื่องหยาบๆที่เป็นพื้นฐานของเขา.>.>
คุยเรื่องจะชวนคนกรุงออกป่า เรื่องหมู่บ้านโลกได้นิดหน่อย
กำลังโม้เพลินๆ อ้าว! หมดเวลาแล้ว
ต่อด้วยท่านรองอธิบดีจินตนา และท่านประธานหอการค้าขอนแก่น เนื่องจากท่านทำมากับมือ จึงมีสาระประโยชน์ในการสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับอาเซียนได้ดีมาก จบรอบแรกขึ้นรอบที่2 คราวนี้ท่านรองอธิบดีเปิดฉากก่อน..ต่อด้วยท่านประธานหอฯ ตามที่ตกลงกันรอบนี้น่าจะได้เวลาคนละ 10-12นาที เนื่องจากเวลาบีบเข้ามาบ่ายแล้ว ท่านผู้ดำเนินรายการ ขอลดเหลือ 5-6 นาที
ผมพูดเป็นคนสุดท้าย
ก็ทิ้งทุ่นไว้ว่า..
· การประชุมลักษณะนี้มักจะจัดทำนองเดียวกันทั่วประเทศ
· ไปเวทีไหนก็อย่างนี้แหละ
· จะให้พูดเรื่องอนาคต/การแข่งขัน/เรื่องเป็นเรื่องตายแต่ไม่มีเวลาให้
· ผมก็จนใจ..ดีนะที่ผมเจอบ่อยจึงไม่เตรียมPowerPoint ให้เสียเวลา
เมื่อไหร่เราจะประชุมเพื่อเอาแก่นสารกันจริงๆ ถกกันจริงๆ ให้ได้ความจริงออกมา อย่าไปก็อปรูปแบบการสัมมนาแบบเก่าๆอยู่เลยครับ ยุคของการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลย มันบ่งบอกอะไรหลายอย่างนะครับ
หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปหมู เอ๊ย! รูปหมู่ แจกของที่ระลึก
ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เป็นกลุ่มงานวิจัยที่เหมาะกับนำไปใช้กิจการ SPA
มีกลิ่นดอกโมก-บัวหลวง-พลับพลึง-กุหลาบ-ดอกแก้ว-
คุณภาพดี กลิ่นหอมเยี่ยมเลยละครับ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชวนเข้าห้อง..รับประทานอาหาร มีอาจารย์หลายท่านเข้ามาชวนไปกินข้าวจะได้คุยกันด้วย แต่ผมบ่กินอาหารประเภทที่โรงแรมจัด จึงออกมาหาสุกี้MK. สั่งชุดผักมาเจี๊ยะแก้ขัด เห็นผักของMK.แล้วสงสารท้องตัวเอง เทียบไม่ได้หรอกกับผักเราปลูก ชวนกันกินพอปะทะประทัง กลับมาถึงบ้านจวน6โมงเย็น ไปรดน้ำผัก ปลูกผัก อาบน้ำ นอนรำพึงรำพัน
ลุงเอกโทรมาหา
มองเห็นแต่โรงแรมที่พักใกล้เคียงกัน
ต่างคนต่างยุ่งจึงไม่ได้เจอกัน
นี่แหละสังคมไทยยุคบ้าๆบอๆ
อยู่ใกล้กันแค่ตะโกนได้ยิน..ก็ยังไม่ได้พบหน้า
แล้วคนรักที่อยู่ห่างไกลออกไป.10 ก.ม.100 ก.ม.500 ก.ม.5,000 ก.ม.
จะพบกันได้อย่างไร?
ยังมิรู้เลยยยยยย..
โอ้ย.. มึนจังตู !