คำนิยม

อ่าน: 1569

ผมรู้จักครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ผู้เขียน “โมเดลบุรีรัมย์” เล่มนี้มานานหลายปีแล้ว ผมรู้สึกประทับใจในความละเอียดอ่อนของท่านที่มีต่อสภาพสิ่งแวดล้อม และความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ได้แพร่ขยายในสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครูบาสุทธินันท์ ได้เปิดบ้านให้เป็นโรงเรียนเรียกว่า “มหาชีวาลัยอีสาน” เพื่ออธิบายองค์ความรู้ที่สะสมมาและถอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้อื่น บ้านจึงเป็นเสมือนสถานที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่หาความรู้

“โมเดลบุรีรัมย์”เล่มนี้ เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ส่วนหนึ่งของครูบาสุทธินันท์ในการทำการเกษตร เพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพที่แข็งแรงและพึ่งตนเองได้ โดยให้ความรู้ในเรื่องการประกอบอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ยืนต้นและการเลี้ยงปศุสัตว์ให้มีคุณภาพดี ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้มาจากการปฏิบัติจริง

ผมมีความเห็นว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน ทั้งจากเนื้อหาและวิธีในการเขียนที่ได้อรรถรสชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านควรจะได้หาอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ต่อไป

(ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล)

หมายเหตุ ฝากถึงป้าหวาน งานที่ป้ากรุณาสำเร็จดั่งใจหมาย แล้วละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

คำนิยมหลักจากพระอาจารย์ใหญ่ ดร.สุเมธ ตันนิเวชกุล ได้เมตตามอบมาให้แล้ว ถ้าตีความคำว่า “คำนิยม” ผมก็ไม่ทราบว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เมื่อก่อนจะมีสมุดเยี่ยมให้ท่านที่มาเยือนเขียนเป็นที่ระลึกไว้ แต่ถ้อยคำในสมุดเยี่ยมมันก่อเกิดกำลังใจให้แก่เจ้าสำนักเท่านั้น ไม่สามารถออกไปเปิดเผยภายนอกได้

ผมมองอย่างนี้ครับ>>

การมีส่วนร่วมมือร่วมใจระหว่างชาวเฮนั้น สามารถที่จะออกแบบให้บรรเจิดอย่างไรก็ได้ เพราะคุณสมบัติในตัวตนแต่ละท่านนั้นธรรมดาที่ไหนเล่า ยิ่งกว่าผมมีห่านออกไข่เป็นทองคำเสียอีก ปัญหาอยู่ที่ทำอย่างไรหนอ ห่านถึงจะเบ่งไข่ให้ ผมจะได้ถือตะกร้าเดินไปเก็บทุกๆเช้า

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

หนังสือโมเดลบุรีรัมย์ ที่จริงชื่อนี้ออกจะเฝือไปแล้ว แต่ทำไงได้ ในเมื่อกำหนดลงไปแล้ว
เราทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ผมก็จะเขียนตามควานนึกคิดเท่าที่จะมีน้ำยา
..เหลียวหลังบ้าง มองไปข้างหน้าบ้าง..ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมืองอย่างนี้ มีประเด็นชวนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย จะชนตรงๆก็คงไม่เหมาะ กองขี้หมาเอาเท้าไปเตะก็เหม็นเปล่าๆ เอาแค่เขียนให้มั่นไส้พอหอมปากหอมคอ ซึ่งอาจจะหกคะเมนเค้เก้ได้ เพื่อไม่เป็นการประมาท ผมถึงชวนให้ญาติโกเขียนอะไรมาร่วมขบวนแห่กันหลอนที่ชื่อ “โมเดลอีสาน” ไงละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับิ>>

เท่าที่ตามอ่านเรื่องในลานปัญญา ผมเห็นสไตล์ของแต่ละท่านบรรเจิดนัก ล้วนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดผ่านร้อนผ่านหนาวจนผะผ่าว ลองพิจารณาเส้นอักษรของแต่ละท่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเสียดาย ทำยังไงความพิเศษเหล่านี้จะกระโดดออกมาจากหน้ากระดาษได้ ผมไม่รู้นะครับ ท่านจะเขียนทิ้งเขียนขว้างไปทำไม ขอให้รู้เถิดว่า ผมอ่านด้วยความชื่นชม เที่ยวเอาไปโม้เป็นบ้าเป็นหลัง ว่าตนเองมีจอมยุทธยืนอยู่รอบข้าง จะรู้จะเรียนอะไรละ ขอร้องได้ ถามได้ อยากจะบอกว่า ..เจ้าเป็นไผ ได้ไปแสดงอภินิหารอยู่ในที่ต่างๆทั่วประเทศ บางท่านอ่านแล้วเอาไปขยายผลกับนักศึกษา บางท่านเอาไปอ้างอิง

บางท่านเจอหน้าบอกว่า

ผมอ่านแล้ว 3 รอบ

ฮ้า ! ยังงั้นเลยหรือครับ

ด้วยเหตุผลนี้ละครับพี่น้อง >>

โปรดช่วยทำให้คนขี้โม้ได้โม้สะบัดช่อขึ้นไปอีกได้ไหมครับ

ขอสั้นๆ ท่านละ 1 หน้า แล้วท่านจะรู้ว่า

ท่านน่ารักน่ากอดที่สุดในโลก

:: ยกตัวอย่างที่ส่งมาแล้ว

อุ้ย ละเมียดละไมให้ความรู้เรื่องสุขภาพใจควบคู่กับสุขภาพกายได้อย่างเฉิดฉาย

อาว์เปลี่ยน กะเทาะวิถีชีวิตในลาวมาให้เราออนซอนหลาย

บางทราย ผมขออนุญาตคัดเอาตอน : ที่ว่างของชาวบ้าน

มุมคลิกของผู้ที่คร่ำหวอดงานติดดินเท่านั้นที่จะกระแซะแก่นออกมาได้

เบิร์ด เขียนเรื่องทิ้งหมัดเข้ามุม สะเด็ดสะเด่าเหลือกำลัง

เป็นไปได้ไง..ผู้หญิงตัวเล็กๆหวานๆจะทิ้งน้ำหนักอักษรแบบโป้งเดียวจอดเยี่ยงนี้

คิดเรื่องนี้แล้วสนุกครับ

ถ้ามีท่านอุปการข้อเขียนกันมามากๆ

ผมจะขยายเป็นโมเด็ลเล่มที่ 2

อาจจะใช้ชื่ออื่นที่ไม่โหลแบบเล่มแรก

ไม่ได้คิดเอาสนุกนะครับ

คิดเบาๆ แต่เอาจริงนะเธอ

ได้ขอคำนิยมท่านอาจารย์ เกษม วัฒนชัย ไว้แล้ว


เข้าขบวนแห่น้ำท่วม

อ่าน: 1652

(ทำเลที่ตั้งนิทรรศการวิสัยทัศน์ควายแห่งชาติ)

เรื่องนี้ตรงกับคำที่ว่า

ถ้าเธอไม่จัดการความรู้ ความไม่รู้ก็จะจัดการเธอนะสิ

คนไทยไม่ใช่ไม่มีความรู้นะครับ แต่ไม่ใส่ใจที่จะใช้ความรู้อย่างเป็นแบบแผน องค์ความรู้ในนักวิชาการ ในหน่วยงานที่ดูแลด้านต่างๆ ชุดวิชาที่สอนกันอยู่ในสถาบัน รวมทั้งความรู้ดั่งเดิมที่แฝงอยู่ในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมมีเป็นกะตั๊ก แต่ถ้าประมวลดูที่ไปที่มาทั้งหมดก็จะเห็นว่า ประเทศนี้จะทำจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง ไม่ได้มีการศึกษาใคร่ครวญถึงความพอเหมาะพอควรอย่างแท้จริง เอาความสะดวก ความมักง่ายเป็นตัวตั้ง ลองมองย้อนไปในอดีตสิคริบ น้ำเหนือหลากมาแต่ละทีนั้นเป็นคุณมากกว่าจะเป็นโทษ กองทัพพม่ายกโยธามารุกรานกรุงศรีอยุธยา ทุกครั้งต้องเร่งการยุทธอย่างดุดัน เพื่อให้ได้ชัยชนะท่วงทันก่อนที่น้ำเหนือจะลากท่วมทุ่งมหาราช น้ำที่ว่านี้ก็จะสร้างความยากลำบากในการทำศึก เพราะไม่อาจที่จะลอยคอไปต่อกรกับคนที่ตั้งรับในค่ายคูพระนครได้

น้ำหลากจึงเป็นยุทธปัจจัยในการสู้รบที่กำหนดการแพ้ชนะที่แน่นอนที่สุด

ถ้าดูตามสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ในการที่จะวางโครงสร้างผังเมือง หรือการวางแผนกิจการพัฒนาใดๆ จุดแรกเลยจะไม่มาดูพื้นฐานที่เป็นปัจจัยหลักของประเทศเลยหรือครับ ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ นี่ใช่เลย ใครจะศึกษาอะไรมาอย่างไรอั๊วะไม่เกี่ยว อั๊วมีเงิน อั๊วมีอิทธิพล ทุกคนจะต้องตามใจอั๊วะ ติดขัดตรงไหนไปแก้มาให้ตรงกับใจอั๊วะ เซ่อแบบนี้ละครับมันถึงฉิบหายกันทั้งประเทศ

ถอยหลังไปก่อนหน้าที่อุตสาหกรรมจะทะลักเข้ามายึดครองแผ่นดินสยาม วิถีชีวิตไทยปกติสุขเป็นบรรทัดฐานจนยกขึ้นเป็นจารีตประเพณีของแต่ละพื้นถิ่น ซึ่งแต่ละแห่งมีความรู้สำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะถิ่นของเขาเอง การสัญจรทางน้ำ สร้างบ้านเรือนไทยใต้ถุนโล่ง ทำมาหากินโดยอิงศักยภาพของพื้นถิ่น ที่ลุ่มก็ปลูกข้าวลอย ที่ดอนก็ปลูกข้าวไวแสง สามารถทอดระยะการเก็บเกี่ยวได้ด้วยสายพันธุ์ข้าวที่สุกไม่พร้อมกัน มีพันธุ์เกี่ยวช้า เกี่ยวระยะกลาง และเกี่ยวระยะสุดท้าย ขึ้นอยู่กับแรงงานและอุปกรณ์ในการทำนา ซึ่งแตกต่างจากยุคใช้เครื่องจักรเครื่องกล ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดหหรอก ถ้าคนใช้เครื่องจักรกลมีมันสมองจัดการวางแผนการผลิตให้สอดรับกับสภาพธรรมชาติ

เครื่องจักรมันไม่สามารถดำน้ำเกี่ยวข้าวได้

ถ้าจะบ้าใช้เครื่องจักรล้วนๆมันควรจะออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ นะเบิ๊อก !

เมื่อก่อนเราเคยเห็นคนภาคกลางเดือดร้อนยามน้ำหลากรุนแรงอย่างนี้ไหมครับ จากการที่คิดใคร่ครวญที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในที่ลุ่ม ชาวบ้านเอกซเรย์จนเห็นจุดดีจุดด้อยทะลุปรุโปร่ง ศึกษาจนรู้ว่าธรรมชาติในพื้นถิ่นของตนเองอยู่อาศัยมีสภาพในแต่ละช่วงฤดูอย่างไรได้ใช้สติปัญญาหาทางป้องกันล่วงหน้าไว้ทั้งระบบ น้ำท่วมมาพากันหาปูหาปลามาไว้เป็นเสบียง ผักผิวน้ำ ผักยืนต้น ผักที่เกิดในน้ำ สารพัดที่จะนำมาเข้ากับการดำรงชีพได้อย่างกลมกลืน  นอกจากสะดวกสบายแล้วยังสนุกเฮฮาจากการร้องเพลง หนุ่มสาวลงเรือไปเก็บดอกบัวมาถวายพระ บางคู่ก็ถือโอกาสเอาพระประธานเป็นพะยานหัวใจ ว่างๆก็ชวนกันร้องเพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ เพลงเต้นรำกำเคียว จัดงานประเพณีที่วัดในเทศกาลต่างๆ เคยฟังกองยาวโห่แห่ไหมละเธอ

ม๊องเท่งม๊องม๊ง..เท่งม๊งๆๆ  โห้ยยยย ฮิ โฮฮฮฮฮ ฮิ้ววววววว..

ใ ค ร มี ม ะ ก รู ด ม า แ ล ก ม ะ น า ว   ใ ค ร มี ลู ก ส า ว ม า แ ล ก ลู ก เ ข ย

อยู่กันอย่างเอื้ออาทร อยู่กันอย่างแบ่งปัน

ทั้งๆที่เขาไม่ได้พูดกันสักคำ..การมีส่วนร่วม การบูรณาการ จิตสาธารณะ

ไทยในอดีตลงมือกระทำ ไม่ได้เอาแต่พูด เอาแต่อบรม แล้วไม่ทำอะไร

การที่ไม่มองหน้าแลหลัง ทำให้การพัฒนาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ไล่มาจากแม่ฮ่องสอนถึงอ่าวไทย อาการลำบากยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำเสียอีก พอสะสมปัญหาเข้ามากๆ เกิดวิกฤติถึงจะทะลึ่งตึงตังขึ้นมาแก้ไข  เห็นความเป็นไปคงมนุษย์ที่ไม่จัดการความรู้อย่างเป็นระบบไหมครับ

มันจะแก้ยังไงละเมื่อผูกชะเนาะจนตึงเปรี๊ยะออกอย่างนั้น ถามว่าจะแก้ยังไง ผมคิดว่าในบ้านเมืองเรามีผู้รู้จริงอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสที่จะขยายความคิดให้นำไปสู่การวางรากฐานของนโยบายระดับชาติได้ ปัญหาของประเทศอยู่ที่ยากจะฝ่าด่านเจ้าพวกคุณพ่อรู้ดีที่ก๋าๆเกลื่อนกราดเต็มประเทศได้ ทำได้ก็ด้วยการบันทึกลงในนิตยสารต่างๆ ซึ่งผมต้องขอบคุณหลายท่านที่ได้กรุณาเผื่อแผ่ความรู้ให้สาธารณะชน  ขออนุญาตยกตัวอย่างมาสักหนึ่งท่านนะครับ

บทสัมภาษณ์ คุณกฤตภาส วงศ์กรวุฒิ

หาอ่านฉบับเต็มได้ในหนังสือ ฅ คน ฉบับเดือนกันยายน 2554


” บางทีตลอดแนวชายฝั่งด้านในสุดของอ่าวไทย ที่สัณฐานเหมือนพยัญชนะตัวแรกของอักษรไทย ทอดยาวร้อยกิโลเมตรที่เคยเรืองสว่างด้วยมีปากน้ำ5สาย พาดินตะกอนธาตุอาหารมาให้นั้นค่อยๆกำลังทำให้ถูกดับลงเหมือนตะเกียงลาเชื้อ ที่ละดวง  ที่ละดวง เขาบอกว่า ไม่ใช่แม่น้ำและความอุดมสมบูรณ์หรอกที่เรากำลังสูญสิ้นไป หากแต่เป็นความองอาจอันอิสระของผู้คน ผู้ได้สั่งสม และใช้ความรู้ต่างหาก”

มีการอภิปรายกันตอนประชุมร่วมรัฐสภา มันไปเขียนอำพรางว่าจะทำเขื่อนและเกาะ เพื่อป้องกันทะเลหนุนสูง ทีแรกก็บอกว่าจะสร้างเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทีนี้พูดออกมาแล้วเรียกแขกได้เยอะ เครือข่ายอ่าว ก.ไก่ อะไรต่อมิอะไรก็ออกมาด่ากันขรม มันเลยเปลี่ยนใหม่..น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯต้นทุนมาจากน้ำหลาก80% น้ำทะเลหนุนมันแค่ 20% ทีนี้มีคำถามว่า เมืองที่น้ำขึ้นสูงที่สุดคือเมืองแม่กลอง แล้วเหตุไฉนน้ำมันถึงไม่ท่วมละ ทีนี้พอพอจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำก็ต้องบินไปถามบิดาคุณที่เนเธอแลนด์โน่นว่าทำยังไง แต่โคตรเหง้าคุณเองเขาทำดีอยู่แล้ว กลับไม่รู้จัก มันเป็นเสียอย่างนี้ ก็เลยเสียเงินเสียทอง บ้า ๆ บอ ๆ แบบโครงการแหลมผักเบี้ยนะเห็นไหม ใช้ไป 300 กว่าล้าน ทิ้งน้ำไปเลย เฮ้อ

มันบอกว่าจะถมกึ่งกลางอ่าว ก. ไก่ กว้าง 10 กม. ยาว 10 กม. ห่างฝั่ง 10 กม. อ่าว ก.ไก่ ก็ 100 กม.แต่ละด้านใช่ไหม นี่มันจะสร้างระหว่างปากแม่น้ำท่าจีนกับปากแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างเป็นเกาะ นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า จะสร้างอะไรลงไปในทะเล ไปสร้างยานอวกาศง่ายกว่า เพราะทะเลมันแต่งตัวทุกวินาที แล้วเรามีบทเรียนเยอะ  เรามีปัญหากัดเซาะแบบวิกฤติอยู่6-7 ร้อย กม. จากชายฝั่งทั้งหมด 2,600 กม. ทีนี้เขาคงคิดว่าทะเลบ้านเราเหมือนกับเดอะปาล์มดูไบละมั๊ง ขืนสร้างอย่างนี้ปุ๊บ การกัดเซาะมันจะเปลี่ยนทันที ไปดูหากแสงจันทร์ วินาศสันตะโรหมดเลย เพราะการใช้โครงสร้างแข็งจะไปเพิ่มความรุนแรงของการกัดเซาะนั่นเอง

เคยเห็นไหมที่ปากน้ำตะกอนฟุ้ง นี่คือการฟุ้งการกระจายตัวของแพลงก์ตอน เพราะอะไร นี่แม่น้ำ5สาย บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง  แล้วก๋แม่น้ำเพชรฯไม่มีหาดทรายเลย มีแต่หากเลนทั้งนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะแม่น้ำพ่นตะกอนออกมา ก็คือแร่ธาตุสารอาหารทั้งหมด เมื่อสารอาหารมาปะทะน้ำทะเลเกิดการตกตะกอน ห่วงโซ่อาหารก็เริ่มตรงนี้เลย ก็คือแลงก์ตอน แล้วปลาเล็กปลาน้อยเป็นห่วงโซ่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มันถึงได้เขียวไปหมด พูดง่ายๆเลยว่า หลังน้ำหลาก อ่าว ก.ไก่ ก็คือทุ่งหญ้าระบัดสำหรับสัตว์น้ำ เหมือนทุ่งหญ้าสำหรับวัวกระทิงอย่างนั้น

..เราอยู่ในเขตมรสุม เราต้องอยู่กับน้ำท่วมให้ได้

เราจะไปเป็นโรคกลัวน้ำได้อย่างไร?

อ่าว ก.ไก่ นี่คืออ่าวสุดยอด 1 ใน 17 อ่าวอุดมสมบูรณ์ที่สุดของโลก

ถ้าไม่ทำเกษตรเคมี ไม่มีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม น้ำจะเป็นสารอาหารใช่สารพิษ

คนบางกอกจะปลูกบ้านที ไปขนดินราชบุรี นครปฐม มาถมพร้อมกับขนรังปลวกมา

ปลูกเสร็จปลวกขึ้นบ้าน ต้องไปจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาอัดน้ำยาลงดิน

มันต้องโง่ 3 ครั้งนะ จะปลูกบ้านแต่ละที

ถ้าน้ำไม่ท่วมดินจะดีได้อย่างไร?

คนแม่กลองเขาจะปลูกบ้านใต้ถุนสูง ทำการเกษตรแบบครึ่งดินครึ่งน้ำ ทุกสวนเขาจะจัดขนานยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บ้านจะปลูกอยู่ตรงชายคลอง สองข้างบ้านมีลำปะโดงร้อยขึ้นไปเป็นฉาก พอน้ำขึ้นจากทะเลหนุนเข้าแม่น้ำเข้าคลองก็เข้าลำปะโดงรอบสวน น้ำเข้ามาเต็มร่องนี้มาพร้อมกับสารอาหารด้วย ขาลงน้ำแห้งขอดทิ้งตะกอนไว้ในนี้ ปุ๋ยไม่ต้องใส่ น้ำหมุนเวียนเข้าออกดีเสียอีกน้ำจะไม่เน่าเสีย

น้ำท่วมกรุงเทพฯเพราะอะไร จริงๆแล้วมันมีปัจจัยประกอบกัน เหนืออ่าว ก.ไก่ ขึ้นมา ถ้าเราเอาโครงข่ายคมนาคมซ้อนเข้าไป ก็จะเห็นถนนเป็นตาข่ายยิ่งกว่าคลองอีก ที่เป็นคลองพี่แกถมหมด ถมแล้วไปใส่ท่อกลม 60ซม. ลำประโดงเลวๆทรามๆปากมันกว้าง2-3เมตร  แม่กล่องวันนี้เป็นอย่างไร กรุงเทพเมื่อก่อนก็เป็นแบบเดียวกันแหละ คนมาเที่ยวอัมพวาบ่อยๆ โอ้โฮ เมืองนี้มันโรแมนติกโว้ย ก็เริ่มมากวาดซื้อที่ ซื้อแล้วก็ทำโง่ๆๆๆ

คนกรุงเทพซื้อปุ๊บถมที่เลย

ถมปุ๊บป่าชายน้ำก็ตายหมด

พอตายหมดทำไง สร้างเขื่อนแข็ง คลื่นก็ซัดโครมๆ

ที่นี้ขโมยก็เข้ามาทุกทิศเลย

ก็ไปหาหมาฝรั่งหน้าโง่มาเลี้ยงแข่งกับเจ้าของ  เอ๋ง เอ๋ง เฮ้อ..

ถามว่า  สู้น้ำท่วมอย่างที่ทำๆอยู่นี้ชนะไหม?

สภาวะแบบนี้จริงๆแล้วเป็นภาวะชั่วคราว

เราอยู่ในประเทศมรสุม พอถึงเดือนอย่างนี้มันก็ต้องเจออย่างนี้ใช่ไหม

แต่ว่าเมื่อก่อน มัน เ ป็ น น้ำ ท่ ว ม ผ่ า น ไม่ ใช่ น้ำ ท่วม ขัง

บ้าๆแท้ๆเลย.. ไ ม่ ช อ บ น้ำ ท่ ว  ม แ ต่ พ า กั น ทำ แ ต่ วิ ธี ขั ง น้ำ

มีสตางค์มันไม่ได้บอกว่า ฉลาด หรอกนะ

ทะลึ่งแห่ไปตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในที่ลุ่มอยุธยานับพันโรง

ท่วมให้เจ๊งบ้างก็สมควรแล้ว

พระสยามเทวาธิราชต้องการให้ที่ลุ่มภาคกลางเป็นแหล่งผลิตอาหาร

ยังทะลึ่งไม่พอนะ นี่จะไปสร้างบ่อนที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีก

มันคิดแต่เรื่องห่วยแตกทั้งนั้น

พวกสมองหมาปัญญากระบือ อิ อิ


ดินหล่ม

อ่าน: 1932

ดินหล่ม

ไม่ทราบว่าจะเป็นศัพท์ใหม่ขึ้นมาสมทบกับกรณีน้ำหลากกับเขาหรือเปล่านะครับ ฝนที่สวนป่ามันตกแบบตั้งหน้าตั้งตาตกมา3เดือนแล้วละครับ บางวันที่อื่นไม่ตก ฝนก็ยังมาเทลงที่นี่ ไม่มากก็น้อย ดินอุ้มน้ำอิ่มน้ำเต็มที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่ม เป็นปีที่ต้นไม้เจริญพรวดพราด บางต้นติดดอกออกผล บางต้นก็แตกกิ่งแผ่สาขา ดูแล้วก็เจริญหูเจริญตาว่างั้นเถอะ ตอนสายวันนี้ นั่งอยู่ดีๆก็มีเสียง โคร้ม! อย่างแรงมากจากรอบบ้าน ผมก็นึกไม่ออกว่าน่าจะเป็นอะไร

ใครวะ บังอาจมาล้วงคองูเขียว

เผ่นออกไปดู

ต้นกระสังหน้าบ้านโค่นเอนมาทับชายคา

โอ้ยโย้ !  ฝนก็ไม่ได้ตก

ทำไมต้นไม้ถึงลงมานอนลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ถ้าล้มลงตอนลมฝนก็ไปอีกอย่าง เดินๆไป..

อ้าว มะละกอต้นใหญ่ข้างครัวล้มพับลงกับดินลูกกระจายเกลื่อน

มันบ้าอะไรนะนี่

จู่ๆต้นไม้มันก็นัดกันง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาดื้อๆ

ที่อื่นๆมันจะเป็นจะไดพ้อง เดินฉับๆไปดูหน้าบ้าน กระสัง3ต้น นัดกันเอน50 องศา พิจารณาดูแล้วต้นมันสูง กิ่งเยอะ ออกลูกเต็มต้น น้ำหนักคงจะมาก ยืนมานานแล้ว หาเรื่องนอนเล่นเสียบ้าง เดินไปสวนมะละกอ เจ้าประคุณเอ่ย มะละกอ 20 ต้น หักพับแบกะดิน ลูกกระจายเต็มพื้น ให้คนงานเอารถไสไปเก็บมาทั้งลุูกอ่อนลูกแก่ได้ 2 คันรถ จะเอามาทำยังไงละนี่ จะตำส้มตำรึ ได้สัก 2,000 ครกละมัง เอาไปสับเลี้ยงวัวก็แล้วกัน เลือกลูกห่ามๆไว้กินสุก ต่อไปนี้หน้าคงเป็นมะละกอ จะเอาไปแกงส้มก็..แปลกนะคนเรา อะไรที่มีมากๆมันรู้สึกเฉยๆเสียยังงั้นแหละ

เสียดายไม่ได้อยู่ภาคกลาง ไม่งั้นจะขนมะละกอไปฝากพี่น้องน้ำท่วม

ใครอย่าหลงมาเยี่ยมในช่วงนี้ก็แล้วกัน

มีหวังเจอเมนูมะละกอจนคอย่น..

การที่ดินอุ้มน้ำมากๆ

ทำให้ต้นไม้โตเร็วแบกน้ำหนักเยอะ

ถ้าระบบรากไม่ดีก็จะโค่นลงง่ายๆ

ไม้ใหญ่ไม่ควรปลูกข้างบ้าน

ถึงไม่โค่นระบบรากก็จะมาไชฐานรากบ้านได้

ตอนปลูกต้นเล็กๆเรามักจะกะไม่ถูก

แต่พอต้นโตๆๆๆบางต้นต้องการพื้นที่ถึง100ตารางเมตร

ไม้แต่ละชนิดระบบรากไม่เหมือนกัน

ไม้บางชนิดกิ่งเปราะเจอลมหน่อยหักผั๊วะผะเอาง่ายๆ

ไม้ยางพารากิ่งเรือนยอดไปกระจุกแบกน้ำหนักอยู่ข้างบน

ถ้าฝนดีลมดี..ต้นยางพาราพากันนอนง่ายเหมือนกัน

แต่ยังไงๆก็เชียร์ให้ปลูกต้นไม้  โดยเฉพาะฝนดีอย่างปีนี้ด้วยแล้ว ใครปลูกต้นไม้จะเห็นผลทันใจ ฝนเทมาเท่าไหร่ต้นไม้ก็จะอุ้มน้ำไว้ แถมยังช่วยชะลอไม่ให้น้ำไหลผ่านไปเร็ว ที่น้ำท่วมทั่วประเทศพรวดพราดเพราะไม่มีป่าไม้ช่วยชะลอน้ำ ไม่มีต้นไม้ซับน้ำไว้ เทมาเท่าไหร่ก็ไหลลงที่ราบหมด ยังไม่ถึงเดือนยี่น้ำก็รี่ไหลหลง แม่คิ้วโก่งคงลอยกระทงสบาย บางหมู่บ้านน้ำไม่ท่วมรึไง เห็นแข่งเรือยาวกันเป็นบ้าเป็นหลัง

ถ้าใครมีเวลาบ้างก็ช่วยๆกันปลูกต้นไม้นะครับ

บางคนอาจจะไม่รู้จะทำยังไง

ขอเสนอว่าให้มาปลูกที่สวนป่า

จะเตรียมต้นไม้ไว้ให้

แม่คิ้วโก่งถาม..จะให้ปลูกต้นอะไรคะ

ก็ปลูกต้นรักสิเธอ

ทำไมต้องปลูกต้นนี้ละค่ะ

อ้าว..ค น น่ า รั ก ก็ ต้ อ ง ป ลู ก ต้ น รั ก น ะ สิ

แคว๊กๆๆ


ปลาหมอ ปากหวาน

อ่าน: 1582

ผมแอบชื่นชมการบริหารงานของบริษัททัวร์นครชัยแอร์มานานแล้วละครับ ที่สามารถยกระดับการบริการขนส่งมวลชนได้อย่างมีมาตรฐาน ไม่เอาเปรียบ ไม่หาเศษหาเลยกับผู้ที่มาใช้บริการ ได้รับความไว้วางใจจากชาวต่างจังหวัดมากขึ้นจนกระทั้งบริษัทหงำเหงือกแทบเจ๊งไปตามๆกัน ค่าโดยสารก็สมเหตุสมผลนะครับ จากบางกอก-บุรีรัมย์ราคา 340/เที่ยว เลือกที่นั่งได้ จองที่นั่งผ่านร้านเซเว่นได้ แถมยังจ่ายข้าวกล่องไม่ต้องแวะพักที่ไหน ใช้พนักงานขับรถ2คน มีพนักงานสาวคอยดูแลลูกค้า จำนวนที่นั่ง21และ32/คัน เบาะนั่งยังมีปุ่มนวดปุ่มฟังเพลง  อากาศเย็นก็ขอผ้าห่มได้ มีใบกำกับกระเป๋ากันการสับสน ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางยังแจกนมถั่วเหลืองกับผ้าเย็น ช่วงหัวค่ำเปิดทีวี-เปิดเพลง-เปิดซีดีตลกให้กลั้นยิ้มแทบแย่

ก่อนล้อเคลื่อนออกจากสถานีต้นทาง

โชเฟอร์จะประกาศบอกชื่อและ..

ผ ม ข อ สั ญ ญ า ว่ า ..จะนำท่านเดินทางโดยปลอดภัย

อ่านต่อ »


ผักส่วนตัวสวนครัวรอบบ้าน

อ่าน: 4424

บทที่ 3 สวนผักส่วนตัว

เมื่อวานนี้ได้ต้อนรับอาคันตุกะที่ตรงกับหัวข้อนี้ เธอไปทำงานในยุโรปหลายสิบปี กลับมาเมืองไทยรับหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ของสายการบินหนึ่ง ขยันขันแข็งทำงาน เป็นหนูถีบจักรที่รับผิดชอบจนเป็นที่ชื่นชมของบริษัท ทำงานดีรายได้ก็ย่อมงอกเงยดี แต่พอพิจารณาถึงคุณภาพชีวิตและสังคม พบว่าเพื่อนรักคนที่รู้จักล้มหายตายจากไปที่ละคนสองคน ผักที่ซื้อรับประทานทุกวันก็พบว่าปนเปื้อนสารพิษสารเคมี เกิดฉุกคิดว่า..เราจะบริหารชีวิตให้สมดุลและปกติสุขได้อย่างไร เงินทองก็ไม่เดือดร้อนแล้ว ยังจะมาบ้าจำเจง๊อกๆอยู่กับที่อย่างนี้ไปอีกทำไม

ว่าแล้วก็ลาออกจากงาน

กลับไปอยู่บ้านหลังใหญ่อายุ100ปี ที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

ตั้งใจว่าจะอยู่อย่างสงบสบาย

อยากจะปลูกผัก ทำกับข้าว ติดโชคอัพให้ชีวิต

อยู่กับสายลม-แสงแดด-น้ำหมอกน้ำค้างบ้าง

แ ต่ ไ ม่ รู้ ว่ า จ ะ เ ริ่ ม ต้ น อ ย่ า ง ไ ร

นี่ คื อ โจทย์ที่คุณอาของเธอพามาที่นี่

(แบ่งปันพันธุ์ผักไปปลูกที่หางดง )

อาจารย์ศุภชัย พงศ์ภคเธียร คุณอาของเธอสอนมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นแกนสำคัญในการตั้ง โ ร ง เ รี ย น สั ต ย า ไ ส จังหวัดลพบุรี เป็นกรรมการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา แถมยังเป็นนักศึกษาโค่ง สสสส.1 ร่วมกันอีกต่างหาก อาจารย์ติดต่อไว้หลายครั้งแต่วืดทุกที ช่วงที่ชาวสสสส.1 มาบุกสวนป่า อาจารย์ก็แห้วเพราะมีงานโป๊ะเช๊ะ คราวนี้หลานสาวสนใจจะปลูกผักเพื่อบริการกระเพาะตัวเอง จึงชวนกันดั้นด้นมาสนทนาพาที ทั้งคู่เป็นชาวมังสะวิรัติ มื้อเย็นจึงชวนรับประทานผักเป็นพื้น โฉมยงต้มเห็ด ผัดสารพัดผักให้ชิม หลังจากคุยกัน ทราบว่าคุณหลานมีพื้นที่จะทำการปลูกผักอยู่ที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ มีความพร้อมที่จะปลูกได้อย่างสะดวกโยธิน เพียงแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

ทั้งคู่ตื่นแต่เช้ามาเดินฟังเสียงนกเขาป่าขันคู ผมตื่นแล้วติดตามมาชวนชี้ชมให้ดูแปลงเกษตรแปลงผักแบบมั่วๆของที่นี่ บังเอิญช่วงฝนอย่างนี้มีผักพื้นถิ่นผักยืนต้นพื้นบ้านแตกช่อออกดอกออกเถาว์พันกันยั้วเยี้ย เดินไปตรงไหนก็เจอแต่ผักๆๆ ส่วนมากคนกรุงไม่รู้จัก ถึงเราจะบอกว่า..ไอ่นั่นก็กินได้ไอ่นี่ก็อร่อย ..ผมบอกว่าที่นี่ไม่มีแปลงผักสวยๆงามๆเรียบร้อยเหมือนที่อื่น ที่ดูรกเรื้อนี่แหละคืออาหารปลอดสารพิษทั้งนั้น

ปัญหาอยู่ที่..

ทำอย่างไรจะรู้จัก รู้รส รู้วิธีรับประทาน

ทำอย่างไรจะรู้นิสัยของผักแต่ละชนิด

ทำอย่างไรจะรู้วิธีปลูก วิธีบำรุง วิธีดูแล

ปัญหาเบื้องต้นอย่างนี้แก้ง่าย สงสัยประเด็นได้ก็ต้องลงมือทำ จึงชวนคุยเรื่อง “ความสุขที่ชิมได้” การออกแบบแปลงปลูกผักในที่จำกัดแตกต่างกับการปลูกผักในพื้นที่กว้างๆ ถามว่าเธอชอบรับประทานผักชนิดไหนมากที่สุด ก็เหมือนคนเมืองทั่วไปนี่นแหละ ผักสลัด-บล๊อกเคอรี่-ผักกาด-ผักคะน้า-ผักบุ้ง-ถั่วฝักยาว-มะเขือ-แตงกวา-มะเขือเทศ เธอพยายามมองหา.. ไม่เห็นมีสักกะอย่าง จะเห็นอย่างไรละครับในเมื่อเราไม่ได้ปลูก ผักตามฤดูกาลพวกนั้นเราจะปลูกบ้างในช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ช่วงฝนชุกอย่างนี้สวนป่ามีผักพื้นถิ่นเหลือเฟือ เจี๊ยะหน่อไม้ หัวปลี ผักเม็ก ผักตำลึง ตะลิงปิง มะเขือเปรอะ มะเขือพวง บวบ พริก ขมิ้นขาว เห็ดละโงก ยอดโสม ยอดอ่อมแซบ ยอดผักโขมจีน ยอดและดอกมะรุม ยอดเพกา ยอดมะตูม ยอดมะกอก ยอดเสาวรส ยอดขี้เหล็ก ยอดสะเดา ยอดชะอม ยอดมะยม ยอดมะระขี้นก ถั่วงู ถั่วพู น้ำเต้า ฯลฯ

(รอกอดส์แนะให้ปลูกเผือกปลูกมัน กอสูงใหญ่กว่าของเมืองจีนเสียอีก)

ที่นี่มีปุ๋ยมูลโคมากมายไปใส่ไปปลูกผัก

ผักที่นี่จึงงอกงาม ต้นเผือกสูงใบใหญ่ที่สุดในโลก

ผักเหล่านี้เลี้ยงทั้งคน ทั้งแพะ และโค

โฉมยงจัดเมนูทุกมื้อเธอได้ชิมผักพื้นถิ่น

ได้คุยถึงผักพื้นบ้าน

เธอสนใจมะสัง เผือก จึงแบ่งพันธุ์ไปให้ปลูก

(แม่แพะท้องใหญ่คลอดลูก 3 สาว ตายไป1เหลือ2สาวน้อยแข็งแรงดี)

เรื่องอย่างนี้มันต้องสะสมไปเรื่อยๆ ถ้าเราตั้งใจตั้งเข็มทิศให้ถูก อีกหน่อยผักสารพัดชนิดก็จะเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งใจ ปลูกผักเป็นกิจกรรมที่คนเมืองควรจะได้มีโอกาสปลูกกันบ้าง จะได้ตระหนักว่าอาหารที่เรารับประทานแต่ละมื้อนั้น ถ้าจะให้แน่ใจก็ต้องเป็นผักที่เราลงมือปลูกเอง เธอถามถึงเรื่องโรคแมลง การป้องกัน วิธีดูแลผัก ผมบอกว่าที่นี่ไม่มีแมลงตัวไหนดื้อดึงมารุกรานผักของเรา เห็นไหม เดินๆๆดูมาตั้งนานมีแมลงตัวไหนมากินผักพื้นบ้าน ถ้าเราเข้าใจเพื่อนร่วมโลก อยู่ด้วยกันแบ่งปันได้ ผักที่แมลงรบกวนนิดหน่อย ถือว่าเป็นการวิเคราะห์ความปลอดภัยให้เราได้เป็นอย่างดี ผักสวยๆในตลาด ไม่ต่างอะไรก็อาหารอาบสารพิษ

(ตอตาลเอามาทำเป็นกระถางปลูกผักนานาชนิดเก๋ไก๋ไม่เบา)

หลังเธอกลับไป 1วัน รุ่งขึ้นผมออกแบบปลูกผักรอบบ้านแบบใหม่ จะได้อธิบายให้คนเมืองเข้าใจง่ายๆ  บอกให้คนงานเอาตอตาลที่ตัดทิ้งไว้ปีที่แล้ว ปล่อยให้ปลวกและด้วงช่วยกันเจาะใส้ในให้กลวง ถ้าเราจะเจาะเนื้อตาลตอนสดๆทำยากมาก แต่ยืมพลังแมลงจัดการอย่างนี้สบายแฮ โพรงตอตาลท่อนไหนที่เล็กๆเบาๆเราก็เอาไปทำกล่องเลี้ยงผึ้ง พวกใหญ่บึกบึนก็เอามาเรียงเป็นแถว เอาดินผสมปุ๋ยใส่ให้เต็มเนื้อที่ข้างใน หลังจากนั้นก็เอาผักสารพัดชนิดมาปลูก มีทั้งหมดร้อยกว่าท่อน คงครบเครื่องครบครันผักให้เดินเด็ดชิมสบายๆ กลางหนาวที่นี้ผักที่ว่าก็จะแตกกอออกดอกออกผลแล้วละครับ

ตอนนี้อยากจะชิมผักชนิดไหนบอกได้

พรุ่งนี้ก็จะทยอยปลูกแล้วนะจ๊ะ

อ่านหนังสือเมื่อคืนนี้ ผู้สันทัดกรณีบอกว่า ถ้าเครียด ถ้าโกรธ ถ้าเหงาเศร้า จะส่งผลกระทบต่อกลไกภายในร่างกาย ที่ไม่เจ็บป่วยก็อาจจะปั่นป่วน ที่ป่วยร่อแร่ก็มีแต่จะทำให้อาการทรุดหนักได้ ดูพฤติกรรมในลานปัญญาก็เห็นว่าพวกเรามีทางออกแตกต่างกันไป บางคนก็โอดครวญเป็นวรรคเป็นเวร บางคนก็มีเรื่องกระดี๊กระด๊าทำทั้งปี บางคนก็ยุ่งกับภาระกิจหน้าที่ งานนอกงานใน โดยภาพรวมแล้วก็เห็นว่าน่าจะพอไปวัดไปวา ยังไม่อิดหนาระอาใจกับสภาพการเมืองตอหลดตอแหลจนกินไม่ได้ถ่ายไม่ออก

ความปกติสุขในบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ

ท่ามกลางการแข่งกันแหกค่ายมฤตยูของวิกฤติเศรษฐกิจและสังคมโลก

บ้านอื่นเมืองอื่นเขาร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง

แต่บ้านเรายังสาละวนสาละวันเตี้ยลง

เวียดนามแซงหน้าไทยไปแล้ว ลาวกำลังตามมาติดๆ

ไทยนั่งเกาหิด สะเก็ดกระจายว่อน


“ในสังคมที่เป็นอยู่นี้ ไม่อาจหวังว่าจะทำการใด ให้กระแสตัณหาเหือดหายไปได้ หรือจะให้วิถีของฉันทะขยายขึ้นมาเป็นใหญ่ สิ่งที่พึงทำคือเพียงดุลไว้ไม่ปล่อยให้กระแสตัณหาท่วมท้นไหลพาไปลงเหว และคอยส่งเสริมวิถีแห่งการสนองฉันทะให้ดำเนินไปได้ ..สิ่งที่ต้องทำตลอดเวลาคือ ความไม่ประมาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ก้าวหน้าไปในการพัฒนาความสุข”

พรพรหมคุณาภรณ์

ติดตามข่าวนกเตนเอาฝนมาทิ้งบ้านเรา

ทราบว่าทางภาคเหนือตกน้ำป๋อมแป๋ม

แต่ทางอีสานใต้ท้องฟ้ามืดครึมเฉยๆ

ฝนตกแต่ละทีชำระฝุ่นสกปรกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้า

ทำให้อากาศสะอาด ชุ่มชื่นร่มเย็น

แ ต่ ฝุ่ น ผ ง ที่ ป ก ค ลุ ม สั ง ค ม บ้ า น เ มื อ ง เ ร า ม า เ ป็ น เ ว ล า น า น

มิ รู้ ที่ จ ะ เ อ า น้ำ ย า อ ะ ไ ร ไ ป ชำ ร ะ ล้ า ง ใ ห้ ส ด ใ ส แ ว ว ว า ว

สงสัยต้องขดคู้อยู่แบบตัวอ่อนด้วงเสียกระมัง

key word : ยามหนุ่มแน่นชวนแฟนปลูกต้นไม้

แก่เฒ่าไปจะได้เห็นผลต้นไม้โตร่มรื่น

: ยามวันชรา ชวนคุณป้าปลูกผักล้มลุก

จะได้สนุกกับการเก็บผักมาชื่นชิม



Main: 1.2968029975891 sec
Sidebar: 0.070771932601929 sec