มึนจังตู

อ่าน: 1259

ชุมชนท้องถิ่น: ฐานรากการพัฒนาประชาคมเศรษฐกิจอาเชี่ยน เป็นโจทย์การจัดประชุมทางวิชาการ ประจำปี 2555 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 400 ท่าน ส่วนมากจะเป็นการนำเสนอของนักวิจัยจากสำนักต่างๆทั่วปะเทศ นับเป็นการชุมนุมอาจารย์,นักศึกษาที่ต้องการนำเสนอผลงานวิจัยอีกงานหนึ่ง จากที่เคยไปร่วมเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่หาดใหญ่ เมื่อปีที่ผ่านมา และไปร่วมงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดที่เชียงใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว

ก่อนหน้านี้คนไทยจะเจอคำว่า..เศรษฐกิจพอเพียงจนจำเจ

ต่อไปนี้ก็จะเจอคำว่า..ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจนหูอื้อ

และจะเจอคำว่า.>.> การประชุมระดับนานาชาติบ่อยๆ

สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าการโหนกระแสหรือสร้างกระแสก็ไม่ทราบได้

เพราะเท่าที่รับฟังไม่ค่อยมีเนื้อมีแต่น้ำ

เหมาะกับคนรับประทานมังสวิรัติอย่างผม

เมื่อเช้าตื่นสะโหลสะเหล่เพราะนอนดึก ชวนโฉมยงลงมารับประทานอาหารเช้านอกบ้านเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เลิกรับประทานเนื้อ เนื่องจากเป็นอาหารในโรงแรมเราจึงมีอาหารให้เลือกพอสมควร เลือกผักสลัด ชิมน้าสลัด5-6ชนิด เลือกผลไม้ เลือกน้ำขิง แค่นี้ก็อิ่มไปขึ้นเวทีได้

เจ้าหน้าที่มาตามไปห้องรับรอง ฟังคณะผู้ใหญ่คุยกันสนุกสนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นมาในฐานะประธานเปิดงาน รศ.ดร.สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง อดีตรองเลขาธิการอาเซียน และอดีตผู้แทนการค้าไทย เป็นองค์ปาฐก

2 ท่านแรกให้ความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆไว้ดีมาก

ต่อจากนั้นเป็นการอภิปรายคณะของผม

คุณจิตนา ชัยยวรรณการ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

คุณธีรศักดิ์ ฑีฆายุพันธ์ ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่นและรองนายกเทศมนตรี

ในชั้นแรกตกลงกันว่าจะเอาผมไว้คนสุดท้าย แต่พอขึ้นเวทีไหงผู้ดำเนินรายการโยนไมค์มาให้ผมจ้อเป็นคนแรก ให้เหตุผลว่า..หัวข้อเขากำหนดมาว่า..ชุมชนเป็นฐานรากการพัฒนาประชาคมอาเซียน ก็ต้องให้ตัวแทนเป็นพระเอก..

ผมขอเกริ่นว่า..ชุมชนถูกชวนให้ออกมายืนหน้าฉากยังงี้แหละ ในความเป็นจริงก็รู้ๆกันอยู่ว่า ไม่ได้เป็น”พระเอก”หรอก เป็น “เสี่ยวอ้อ” ต่างหาก และเรื่องอาเซียนนี่ ชาวบ้านก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ อยู่ทุกวันนี้ก็แทบเอาตัวไม่รอด ชักหน้าไม่ถึงหลัง จะไปเป็นฐานรากอะไรได้ คงเป็นได้แต่รากเน่าๆผุๆละมั๊ง ใครๆก็รุมกินโต๊ะชุมชน ไปขายข้าวก็ถูกแกล้งหักความชื้น หักสิ่งเจือปน ไปขายยางพาราก็อ้างว่าไม่ได้มาตรฐาน โดนสูบเลือดสูบเนื้อต่อหน้าต่อตา ยังจะมาบอกว่า..ชุมชนเป็นฐานทั้งๆที่เป็นหนูลองยาให้ใครต่อใคร..มานานแสนนาน

การที่จะเอาชุมชนเป็นฐาน

ถามว่ารู้จักชุมชนแค่ไหน

พวกเราๆนี่แหละ..กว่าจะออกไปหาชุมชนได้แต่ละที

ต้องติดกฎเกณฑ์ ระเบียบ วัฒนธรรมขององค์กร

บางแห่ง..จะออกมาหาผม..ฝ่ายบริหารถามว่ามันเกี่ยวกับKPI.รึเปล่า อีโธ่อีถังเอ๋ย ..มันจะทันกินได้อย่างไร สมัยนี้เป็นยุคของโลกการสื่อสารสายฟ้าแลบ ทุกอย่างต้องรวดเร็วฉับพลัน จะมาแต่งตัวเป็นแม่สายบัวไม่ทันกินหรือ ชุมชนบางแห่งเขาไปโลดแล้ว เขาไม่มารอเรือก้นทะลุหรอกนะครับ

· นักวิชาการนักวิจัยควรจะออกไปเรียนรู้ร่วมกับชุมชน

· โจทย์วิจัย/หัวข้อวิทยานิพนธ์จะเอากี่กระบุ้ง

· ผมเดินเตะตรงไหนก็เป็นโจทย์วิจัยทั้งนั้นแหละ

· จะเอาสักกี่1,000 หัวข้อก็ได้

· ถ้าออกไปถามชุมชนว่าเขาติดขัด/หรือต้องการสิ่งยกจะรู้สิ่งใด

· งานวิจัยก็จะลดขั้นตอน ไม่ต้องวิ่งหาคนใช้ประโยชน์จากงานวิจัย

· มาตั้งเองชงเรื่องเองเอาแค่พอจบๆมันก็ไอ่แค่นั่นแหละ

เท่าที่อ่านในเอกสารบทคัดย่องานวิจัยที่ตีพิมพ์ในเอกสารของงานนี้ ต้องขอขอบคุณหลายท่านที่ทำในหัวข้อที่ชุมชนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ด้านหน้าห้องนี้มีแม่ใหญ่หลายคนมานั่งสานกระติบไม้ไผ่ บอกว่าเป็นงานโอท็อป ผมเห็นแล้วชอบใจ จึงซื้อกระติบยักษ์มา1ใบ ราคา600 บาท มีคนบอกว่าอย่างเพิ่งเอาไปได้ไหม ขอเอาไว้โชว์ก่อน อ้าว! ตอนคณะผู้ใหญ่เดินผมก็ได้อวดผลงานไปแล้วนี่ ผมจะกลับแล้ว จึงขออุ้มกลับบ้าน ขอชื่นชมว่าฝีมือดีมาก แต่ก็ยังพัฒนาต่อไปได้อีกถ้านักวิจัยเข้าไปช่วย

ตามโผ ผมต้องพูดในกรอบ..-สถานการณ์และความตื่นตัว หรือเข้าใจต่อการดำเนินการตามข้อตกลงของภาคประชาชน หรือภาคเกษตรกรรมรายย่อยมีมากน้อยเพียงใด และในส่วนที่คิดว่าตื่นตัวแล้ว เข้าใจว่าผลกระทบในเชิงบวกหรือลบ เป็นอย่างไร? และได้เตรียมการอย่างไร?

ถ้าจะพูดตามโผให้มา..ก็ขอบอกว่ามึนพะยะค่ะ ชุมชนไม่ได้รู้เรื่องตามที่โผบอกสักหน่อย เป็นการตั้งข้อสมมุติฐานเอาเอง ทำไมไม่ถามใจกันดูก่อน หรือให้อิสระในการที่จะแสดงความเห็น ผมคิดว่า..ผมพูดได้นะ ไม่งั้นไม่ถ่อทิ้งงานขับรถมาร่วม200 .. เพื่องานนี้หรอก ผมจึงทิ้งโผนะสิครับ..

ด้านความเข้มแข็ง..ชุมชนแตกซ่าน ไม่มีความรู้ที่จะอยู่ในท้องถิ่น ทิ้งถิ่น

ด้านวิชาความรู้..ความรู้ไม่พอใช้

ด้านจารีตประเพณีและวัฒนาธรรม ..โดนแจจังกึมครอบจนลายพันธุ์ไปแล้ว

ด้านความมั่นคงอาหาร ..แต่อาหารที่คนไทยรับประทานเต็มไปด้วยสารพิษ

ด้านเศรษฐกิจ..จะเป็นครัวโลก ส่งอาหารไปEU. ถูกเขาตีกลับกระเจิง

ด้านความปกติสุข ปลอดภัย ก็กินใจแบ่งกันออกเป็นฝักเป็นฝ่าย

เล่าถึงการสร้างเครือข่ายแบบอิงระบบ

อวดว่ามีเพื่อนอยู่ทั่วโลก

รักใคร่เสมือนญาติสมานไมตรี

ทราบว่าผมปลูกผักก็ส่งเมล็ดพันธุ์ผักมาให้ทั้งในและต่างประเทศ

ผมไม่มีน้ำยาหรอก แต่เพื่อนๆที่ยืนเคียงข้างผมล้วนเป็นจอมยุทธด้านต่างๆ

กำลังสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ผ่านเฟสบุกค์

ประเทศในกลุ่มอาเซียนผมก็ตระเวนมาแล้ว

พอที่จะเห็นเรื่องหยาบๆที่เป็นพื้นฐานของเขา.>.>

คุยเรื่องจะชวนคนกรุงออกป่า เรื่องหมู่บ้านโลกได้นิดหน่อย

กำลังโม้เพลินๆ อ้าว! หมดเวลาแล้ว

ต่อด้วยท่านรองอธิบดีจินตนา และท่านประธานหอการค้าขอนแก่น เนื่องจากท่านทำมากับมือ จึงมีสาระประโยชน์ในการสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับอาเซียนได้ดีมาก จบรอบแรกขึ้นรอบที่2 คราวนี้ท่านรองอธิบดีเปิดฉากก่อน..ต่อด้วยท่านประธานหอฯ ตามที่ตกลงกันรอบนี้น่าจะได้เวลาคนละ 10-12นาที เนื่องจากเวลาบีบเข้ามาบ่ายแล้ว ท่านผู้ดำเนินรายการ ขอลดเหลือ 5-6 นาที

ผมพูดเป็นคนสุดท้าย

ก็ทิ้งทุ่นไว้ว่า..

· การประชุมลักษณะนี้มักจะจัดทำนองเดียวกันทั่วประเทศ

· ไปเวทีไหนก็อย่างนี้แหละ

· จะให้พูดเรื่องอนาคต/การแข่งขัน/เรื่องเป็นเรื่องตายแต่ไม่มีเวลาให้

· ผมก็จนใจ..ดีนะที่ผมเจอบ่อยจึงไม่เตรียมPowerPoint ให้เสียเวลา

เมื่อไหร่เราจะประชุมเพื่อเอาแก่นสารกันจริงๆ ถกกันจริงๆ ให้ได้ความจริงออกมา อย่าไปก็อปรูปแบบการสัมมนาแบบเก่าๆอยู่เลยครับ ยุคของการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลย มันบ่งบอกอะไรหลายอย่างนะครับ

หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปหมู เอ๊ย! รูปหมู่ แจกของที่ระลึก

ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

เป็นกลุ่มงานวิจัยที่เหมาะกับนำไปใช้กิจการ SPA

มีกลิ่นดอกโมก-บัวหลวง-พลับพลึง-กุหลาบ-ดอกแก้ว-

คุณภาพดี กลิ่นหอมเยี่ยมเลยละครับ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชวนเข้าห้อง..รับประทานอาหาร มีอาจารย์หลายท่านเข้ามาชวนไปกินข้าวจะได้คุยกันด้วย แต่ผมบ่กินอาหารประเภทที่โรงแรมจัด จึงออกมาหาสุกี้MK. สั่งชุดผักมาเจี๊ยะแก้ขัด เห็นผักของMK.แล้วสงสารท้องตัวเอง เทียบไม่ได้หรอกกับผักเราปลูก ชวนกันกินพอปะทะประทัง กลับมาถึงบ้านจวน6โมงเย็น ไปรดน้ำผัก ปลูกผัก อาบน้ำ นอนรำพึงรำพัน

ลุงเอกโทรมาหา

มองเห็นแต่โรงแรมที่พักใกล้เคียงกัน

ต่างคนต่างยุ่งจึงไม่ได้เจอกัน

นี่แหละสังคมไทยยุคบ้าๆบอๆ

อยู่ใกล้กันแค่ตะโกนได้ยิน..ก็ยังไม่ได้พบหน้า

แล้วคนรักที่อยู่ห่างไกลออกไป.10 ..100 ..500..5,000..

จะพบกันได้อย่างไร?

ยังมิรู้เลยยยยยย..

โอ้ย.. มึนจังตู !


รายงานผลปฏิบัติการผ่าแตงโม ยกที่ 1

อ่าน: 1797


ช่วงผ่านมาไปหลงสาวๆFB.จนเกือบหลงทางกลับบ้าน วันนี้ได้วับไปดูลานซักล้าง ก็เลยย้อนมากวาดบ้านทำความสะอาดบ้าง โห.ขยะตรึมเลยละครับ แต่ก็มีเรื่องเล่าเคล้าความบรรเจิดมาฝาก เรื่องแรกได้แก่การเข้าคร๊อสธรรมชาติบำบัด ปฏิบัติการมาได้ประมาณ 1 เดือนแล้วละครับ

มื้อเช้ารับประทานผักสดล้วนๆ

มื้อกลางวัน อาหารสุก เช่น ผักลวก ผัดผัก แกงเลียง กินข้าวประมาณเท่าไข่ห่าน

มื้อบ่าย-เย็น รับประทาน มะพร้าวอ่อน1ผล และผลไม้

ทำการฝึกกายบริหาร เน้นการลมหายใจ อาบแดด-เช้าเย็น

เช้าเดินจงกลม ไปเก็บผักสดที่ปลูกไว้ข้างบ้าน เด็ดยอดกวงตุ้ง ถั่วพู ถั่วฟักยาว คะน้า ผักกาดจ้อน ผักสลัด ดอกชมจันทร์ มะขือเทศ ยอดมะยม ยอดนางดำ และยอดอ่อนดอกไม้ที่จำชื่อไม่ได้ เด็ดสะระเหน่ วอเตอเกรส ผักกาดขาว ยอดหญ้าปักกิ่ง ยอดคาวตอง ใบชะพลู ได้ครบแล้วก็มาล้างน้ำในตะกร้า โฉมยงเอาชามไม้มาให้ ชอบอะไรก็เด็ดๆใส่ชาม โรยงาคั่ว ราดน้ำสลัดทำเอง : น้ำมะขาม/น้ำมะสัง/น้ำผึ้ง

หลังจากคลุกๆแล้วก็ตักเข้าปาก

แต่ละคำจะไม่ซ้ำรสเดิม

แล้วแต่เราจะจิ้มผักอะไรมารวมกับชนิดใด

เคียวช้าๆให้ละเอียดแล้วค่อยกลืน

ในระหว่างกลืนก็คุยกันกับโฉมยงเรื่อยเปื่อย

เล่นFB.ไปด้วย

ใช้เวลาช่วงนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง

มื้อเที่ยง บางครั้งก็กินผักลวกกับน้ำพริก บางที่ก็ทำแกงแบบง่ายๆ ใช้หม้อหุงข้าวขนาดเล็กใส่น้ำสูงประมาณ 1 นิ้ว ใส่น้ำพริกลาภเมืองเหนือ กะปิหน่อย ใส่ปลาป่น เติมเกลือ ซ๊อสซีอิ้วขาว เติมเกลือนิดหน่อย เอาผักที่เหลือมื้อเช้ามาหั่นๆ หั่นเสร็จน้ำเดือดพอดี ทอดเวลาประมาณ 4 นาที ก่อนจะยกลงใส่ยอดแมงลักขยุ้มหนึ่ง ครั้งแรกๆรับประทานกับข้าวกล้องประมาณเท่าไข่ห่าน อาจจะมีไข่ไก่ต้มแถมอีก 1 ฟอง มาระยะหลังงดข้าว ล่อผักอย่างเดียว ส่วนแกงก็พลิกแพลงทำไปเรื่อยๆ เนื่องจากผักสดจึงออกรสหวานกลมกล่อม

มื้อบ่ายรับประทานน้ำมะพร้าว 1 ผล บางทีก็รับประทานผลไม้ กล้วย ฝรั่ง ส้ม แอปเปิล พักหลังผลไม้รับประทานบ้างงดบ้างตามความขี้เกียจ ตลอดวันรับประทานเพียงเท่าที่ รู้สึกเบากายเบาใจ ปลายเท้าที่เย็นก็มีอุณหภูมิปรกติ คิดเอาเองว่าเลือดลมคงจะเดินตลอดปลอดโปร่ง ท้องไส้เบาสบาย จากที่เคยท้องผูก2วัน/ครั้ง ก็ขับถ่ายสบาย3เวลาหลังอาหาร

กากอาหารมีน้อยมาก

การขับถ่ายกลับมาดีกว่าปกติ

กลิ่นตัวไม่มี

นอนใกล้ใครเขาก็ไม่เขยิบหนี

ที่แปลกๆมากๆคือไม่มีอาการหิวใดๆ ต่างจากสมัยที่บริโภคเนื้อ ทั้งๆที่รับประทานมามาย บางครั้งก็ยังรู้สึกโหยหิว สังเกตตัวเองมาถึงวันนี้ ถ้าจะตัดมื้อเที่ยงออก เหลือเฉพาะมะพร้าวอ่อนตอนบ่ายๆ ก็อยู่ได้สบายมาก จึงหายแปลกใจที่พระฉันวันละ1มื้ออยู่ได้สบาย..มันเป็นเช่นนี้เอง

ช่วงบ่ายจะล้างจมูก คอ ตา ด้วยน้ำมะพร้าว+เกลือ+น้ำมะนาวนิดหน่อย

จมูกโล่ง หายใจสะดวกขึ้น แต่ยังเหลืออาการภูมิแพ้อยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นมาก

ตามที่หมอกำหนดยังทำไม่ครบทุกอย่าง เช่นการนอนน้ำแช่สันหลัง การแช่ก้นในน้ำ การเอาดินจอมปลวกมานาบท้อง 3 อย่างนี้ยังไม่ได้ปฏิบัติ เพราะการขับถ่ายเป็นแกติแล้ว หลังก็ไม่ได้ปวดตึงแต่อย่างใด ส่วนการเอาดินจอมปลวกมานาบท้องหมอบอกว่าจะช่วยให้แตงโมลดลงเร็วขึ้น เท่าที่เป็นอยู่ก็คิดว่าระบบในร่างกายดีวันดีคืน จึงแหกกฎหมอ ไม่ทำตามเสียทั้งหมด

วัดความดันปกติ

น้ำหนักเคยขึ้นสูงสุด 65 ..

ตอนเริ่มรักษาตัวน้ำหนักตัวอยู่ที่ 60 ..

ขึ้นตาช่างวันนี้ น้ำหนักลดลงเหลือ 58 ..

แค่นี้ก็ดีใจจะแย่แล้ว

กะว่าจะลดลง55 ..น่าจะพอดี

และคิดว่าคงจะทำได้สบายๆในอีกเดือนข้างหน้า

ข้อห้ามของการบำบัดตามแนวธรรมชาติ ต้องงดเนื้อทุกชนิด งดชา กาแฟ ขนมต่างๆ อนุญาตให้ดื่มน้ำผลไม้แทน ก็ดื่มบ้างไม่ดื่มบ้างตามความสะดวกของโฉมยงจัดให้ รูปแบบของการรับประทานอย่างนี้ นอกจากไม่หิวเบาตัวแล้ว ทำให้ชีวิตประจำวันเรียบง่าย ไม่ต้องเสียเวลาปรุงอาหารและเก็บจานชามไปล้างเป็นโขยง โฉมยงถาม พ่อจะเอาอะไรไหมจะไปตลาด ยังงงตัวเอง ไม่รู้จะซื้ออะไร กาแฟ ขนม ที่เหลือก็ทิ้งค้างเติ่ง เก็บเอาไว้เลี้ยงแขก

ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปในทางที่สะดวกสบาย

มีความสุขกับการปลูกผัก

เห็นผักงามสะพรั่ง

ก็สนุกกับการทดลองเมนูใหม่ๆ

สงสารแต่เตาดาโกต้า คงทำหน้าที่อบไก่ ปลา หมูแดง เฉพาะเวลาที่มีแขกมาเยี่ยมยาม ตัวเองหมดสิทธิ์รับประทาน แต่ก็ยินดี..ไม่ขายสิทธิ์นี้แน่นอน เอาเวลามาเตรียมจัดสถานที่งานเฮปลายเดือนมีนา-ต้นเมษา คณาญาติมาเจอตัวเป็นๆ อาจจะจำไม่ได้ว่านี่ ณเดช หรือครูบา

· จึงมารายตัวประมาณนี้

· ถ้าอยากจะทดลองเมนูนี้ก็มาชิมล่วงหน้าได้นะครับ

· อีกงานหนึ่งที่จะต้องเตรียมการเดินหน้าสร้างหมู่บ้านโลก

· ตามที่คอนฯเกริ่นให้ทราบบ้างแล้ว

· คาดว่างานเฮเที่ยวนี้

· คงต้อนรับพี่ป้าน้าอาในความพร้อมมากว่าที่ผ่านมา


ศูนย์พิงพักใจ

อ่าน: 1595

เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว หมอบางกอกมากระซิบบอกว่า “หมดหวังแล้ว” ลองปรึกษาพี่ๆน้องๆดูว่าจะตัดสินใจยังไง จะให้แม่ปลดปล่อยลมหายใจที่ห้องไอซียู หรือว่าจะเอาแม่กลับไปหมดลมที่บ้าน คำตอบสุดท้าย น่า จ ะ เ อ า แ ม่ ก ลั บ บ้ า น เ ร า  ผมมีบ้านสร้างไว้ในตัวอำเภออยู่ว่างๆ ถ้าเอาแม่มาพักญาติพี่น้องจะมาเยี่ยมยามสะดวก แต่มาคิดสาระตะแล้วสู้เอาแม่กลับบ้านสวนดีกว่า ผมเตรียมสร้างบ้านไว้รองรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ท่านไปสวนป่าจะเห็นบ้านหลังเล็กๆที่มีบันไดลาดเรียบเหมือนของโรงพยาบาล คนแก่คนป่วยไม่ต้องเดินขึ้นขั้นบันได

แม่มีอาการขั้นโคม่า

หน้าตาบวมนัยน์ตาเป็นวุ้นน้ำข้าวหายใจแผ่วเบา

หมอไม่ได้ให้ยาหรือแนะนำการรักษาใดๆ

เพราะบอกแล้วว่าให้มาปลดปลงที่บ้าน

ผมเห็นแม่นอนไม่ไหวติงไม่ได้กินอะไร ก็นึกเอาเองว่าแม่คงจะหิว..แต่ไม่รู้จะทำประการใด ยอมรับว่าจนแต้มจริงๆ แค่คำที่หมอแจ้งอาการมาก็หมดสิ้นกำลังใจที่จะทำอะไรแล้ว แต่จะให้นั่งรอดูแม่จากเราไปเฉยๆอย่างนั้นรึ ผมให้คนงานไปหารังผึ้งมิ้มมา2รัง เอาช้อนกดไปที่ลูกผึ้ง ได้น้ำขาวๆเหมือนน้ำนมสัก4-5ช้อน เอาน้ำผึ้งผสมลงไป แต่ก็ยังข้นมากไม่เหมาะที่จะป้อนคนป่วยหนัก ผมจึงเอายอดตำลึงมาต้มเอาน้ำผสมลงไปให้หายเหนียว พยุงแม่นั่งเอนแล้วเปิดปากค่อยๆหยอดน้ำลูกผึ้งลงไปทีละช้อนชา อาหารค่อยซึมลงไปช้ามาก แต่ก็อดทนป้อนต่อไป วันแรกได้3ช้อน มื้อหลังๆก็ป้อนเพิ่มได้ 3-4-5-6 ช้อน

ทำไปอย่างนั้นเอง

ไม่ได้หวังว่าแม่จะหายหรือจะฟื้นอะไร

เพียงแต่ห่วงว่าแม่จะหิวก็เท่านั้นนน

ปาฎิหารย์มีจริง หลังจากนั้นแม่ค่อยๆฟื้นตัวทีละนิด หน้าตามีเลือดฝาด อาการบวมลดลง การขับถ่ายกลับคืนมา ผมบอกให้คนงานไปมองหารังมิ้มเอาไว้ มิ้มจะแก่อ่อนไม่พร้อมกัน รังเล็กๆจะค่อยๆโตขึ้นพร้อมกับอายุของลูกผึ้งที่พอเหมาะทำอาหารพิเศษ บังเอิญปีนั้นมิ้มมาทำรังตามต้นไม้รอบบ้านสวนจำนวนมาก จึงไม่ขาดแคลนลูกผึ้งแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อแม่รับประทานของเหลวได้มากขึ้น เราก็ใช้น้ำข้าวใหม่ข้าวหอมมะลิและน้ำผักเป็นหลัก แม่รักษาตัวแบบตามมีตามเกิด 6 เดือน ก็ลุกขึ้นมาหัดเดิน ฝึกเดินฝึกออกกำลังกายอีก 6 เดือน

แม่ก็แข็งแรงพอที่จะพากลับไปหาคุณหมอที่บางกอก

หมอทำหน้าอย่างกับเห็นผีหลอก

ต๊กกะใจ..ไม่เชื่อว่าคนไข้ที่บอกว่าให้กลับไปบ้านเพราะหมดวิธีรักษาแล้วนั้น

จะมายืนทนโท่ และอยู่ต่อมาได้อีก 7-8 ปี

หมอจะชวนแม่ไปอวดเพื่อนแพทย์ที่อเมริกา

แม่สั่นหน้าบอกว่าไม่ไป

ทำไมรึ

แม่บอกว่า..ก ลั ว ไ ม่ ไ ด้ กิ น ห ม า ก  อิ  อิ

หลังจากพ่อแม่กลับบ้านเก่าไปแล้ว ผมก็ไม่เหลือญาติผู้ใหญ่ที่ไหนอีกแล้ว อ้อ ยังมีแม่ยายอยู่อีกคน ช่วงก่อนหน้านี้เราก็พูดเรื่องหมู่บ้านเฮ ผมไม่รีรออะไร พยายามทำเรื่องที่น่าจะเป็นการเตรียมตัวไว้ในอนาคต ปลูกต้นไม้ ปลูกผักยืนต้น ปลูกผลไม้ ปลูกสมุนไพร ปลูกพืชพวกหัว พวกดอก พวกใบ ปีนี้ค้นพบการปลูกพืชที่สะดวกและจบในครั้งเดียว “เอาสว่านยนต์มาเจาะ แล้วใส่ขี้วัวลงไปที่ก้นหลุม” ปลูกกล้วย ปลูกผักต่างๆ ส่วนต้นที่โตแล้วเราก็เจาะใส่ปุ๋ยด้วยวิธีนี้ คาดว่าฝนหน้าพืชผักพืชผลเพื่ออนาคตคงจะเติบโตงามดี

ถึงตอนนี้ก็เถอะ กล้วย มะละกอ เสาวรส ผักยืนต้นพื้นเมือง ยอดมะรุม ยอดมะกล่ำ

มีให้เก็บอย่างเพียงพอทุกมื้อ

มะละกอ กล้วยมีมากหน่อยเจี๊ยะไม่ทัน

ต้องมานั่งคิดเมนูถนอมอาหารทุกวัน

น้ำฝนเก็บไว้เต็มทุกแท็งค์

:; ช่วงนี้อาการกำลังย่างเข้าสู่หน้าหนาวเย็นสบายๆ

ไม่ต้องเปิดแอร์ก็สบาย

7วันอาบน้ำหนเดียวยังได้เลย

สงบ อบอุ่น ด้วยแดดอ่อนยามเช้า

ด้ ว ย ค ว า ม พ ร้ อ ม ป ร ะ ม า ณ นี้

อ ย า ก จ ะ ช ว น ท่ า น ร อ ก อ ด ว่ า อ พ ย พ ม า พั ก ผ่ อ น ที่ นี่ ไ ห ม

ที่ พำ นั ก ที่ พั ก ผ่ อ น ป รั บ นิ ด ห น่ อ ย ก็ ส ะ ด ว ก พ อ ค ว ร

เราจะได้ทดลองมาสอบซ้อมด้วยกัน

ก่อนที่วิกฤติใหญ่จะมาให้ทำข้อสอบจริง

เ รื่ อ ง นี้ แ ห้ ว ยื น ยั น ไ ด้

สวดมนต์ทุกวันให้โรงเรียนประกาศปิดนานๆ

จะได้ลดหุ่นให้เช็งวับ

เรียนทำอาหารที่อร่อยๆ

สนุกกับการไปซื้อเสื้อโหลตัวละ5บาทมาใส่โชว์แพะ

กิจกรรมของผู้อพยพรุ่นแรก

โทรประสานงาน คุยกับใครต่อใครเป็นระวิงทั้งวัน

ถ้าไม่มา ป่านนี้แห้วกลายเป็นมนุษย์ครึ่งบกครึ่งน้ำเน่าไปแล้ว

บอกให้เขียนอะไรๆลงบล็อกบ้าง

แห้ว บอกว่าไม่อ๊าววว

เสียเวลาเจี๊ยะ เอาก็แห้วสิ

ยังมีคิวแกงสับนก หุงข้าวหม้อดิน  ทำอาหารและขนมแปลกๆ

พรุ่งนี้จะไล่ไปเอาตาข่ายล้อมแปลงหญ้าเลี้ยงแพะทำงานแลกข้าว..

จะได้รู้ว่าชีวิตเกษตรกรนั้น..เป็นฉันใด

จ๋อม จ๋อม จ๋อม


เปาฮือลาว

อ่าน: 3816

ช่วงที่น้ำหลาก ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานปรับตัวไปตามสถานการณ์  โดยเฉพาะอาหารการกิน คนอีสานกินง่าย กินทุกอย่างที่วิ่งตัดหน้า มีคนเอาไปพูดว่า..อะไรวิ่งตัดหน้าคนอีสานเอามาทำกับแกล้มได้หมด แสดงว่าวิชาเปิบพิศดารคงจะมาจากฝีมือพ่อครัวชาวอีสานนี่เอง ผมได้เฝ้าสังเกตุเรื่องนี้จากห่อข้าวของคนงาน ช่วงกลางวันเขาจะตั้งวงกินข้าวปลากัน ใครมีอะไรก็เอามาแบ่งปัน คนที่อยู่ในที่ลุ่มก็เอากุ้ง หอย ปูปลา มาทำอาหารเลี้ยงกัน กระทั้งวันไหนที่ไม่ได้ห่ออะไรมา ก็จะไปสับเอาหน่อไม้มาต้มจิ้มน้ำพริก เอามะละกอมาทำส้มตำ อร่อยซู๊ดซาดผ่านไปมื้อหนึ่ง

(จุดรีๆสีขาวคือตาที่ต้องผ่าออก หอยบางตัวจะมีไข่สีแดงส้มๆ)

เมื่อวานนี้แห้วเดินไปดูคนงานล้อมวงอาหารกลางวัน

สังเกตุเมนู มีปลาตัวเล็กๆปิ้ง ส้มตำ และหอยโข่งต้มจิ้มแจ่ว

เจ้าหอยโข่งนี่ละครับที่แห้วซักไซ้ไล่เลียงว่ามันเป็นยังไงกันแน่

คนงานบอกว่า..ต้องแกะเอาตามันออกก่อน

ไม่งั้นกินไป..จะทำให้ปากเบี้ยวได้ !!

เอ๊ะ ปากเบี้ยวเพราะอะไร แห้วหันมาถาม

ผมก็จนด้วยเกล้า..ไม่แน่ใจว่าปากเบี้ยวเพราะสาเหตุอะไร

บอกคนงาน..พรุ่งนี้ขอหอยโข่งสัก 1 ตะกร้า

(น้ำจิ้มซีฟูดฝีมือแห้ว)

วันนี้ลุงอาน คนเลี้ยงวัว เอาหอยโข่งมาฝากหนึ่งถังตัวโตๆทั้งนั้น มีจำนวนปรระมาณ 40-50 ตัวได้ จึงชวนแห้วศึกษาอาหารอีสาน เผื่อจะได้เป็นต้นทุนในยามวิกฤติภายหน้า ไม่แน่นะครับ ..คนเราถ้ามีความรู้ปรับตัวได้เก่งๆ..ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เอาไปวางไว้ตรงไหนก็เอาตัวรอดได้ ผมจึงชวนแห้วเอาหอยมาปรุงอาหาร อันดับแรกเอาหอยไปต้มก่อน แต่ของเราพิเศษหน่อย ในหม้อต้มเอาใบมะกรูด-ใบมะขาม-ผ่าผลเสาวรสใส่ลงไป2ลูก เอาเกลือใส่ลงไปประมาณหางช้อน เคล็บลับสำคัญในการลวกหอยคือ

ต้องใส่หัวน้ำส้มลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ

จะทำให้เนื้อหอยกรอบ ถ้าเป็นหอยแครงเปลือกจะอ้าจิ้มเนื้อง่าย

หลังจากผ่านกระบวนการต้มนานจนปากหอยหลุดแล้ว  เราจะเอาหอยไปแช่น้ำเย็นทันที จะเห็นว่าเมือกต่างๆจะหลุดล่อนไป เอาซ่อมจิ้มเนื้ออกมา ผ่าตรงกลางหัวหอย จะเห็นถุงกระเปาะกลมๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า”ตา” เท่าที่ผ่าดูผมคิดว่าน่าจะเป็นกระเพาะอาหารของหอยมากกว่า ลักษณะเป็นเหมือนเศษหญ้าหรือใบไม้ป่นที่หอยกินเข้าไป พวกไส้เครื่องในต่างๆเอาทิ้งหมด ล้างให้ดีแล้วเอาเกลือเคล้าอีกรอบ ล้างออกอีกที เอาใส่ถ้วยนำไปเว็ปประมาณ 3 นาที

แห้วเป็นสาวลูกน้ำเค็มเมืองสุราษฎร์

บอกว่าวันนี้หนูจะแสดงฝีมือตำน้ำจิ้มซีฟู๊ด

ที่บ้านเคยมีเรือประมง

จึงมีทักษะทางด้านทำอาหาร

วันนี้โชว์น้ำจิ้มหอยรสเข้มถึงใจ

(หอยที่ต้มสุก-ล้าง-พร้อมนำไปปรุงอาหาร)

คนใต้กินเผ็ดแต่ก็กลมกล่อม น้ำจิ้มเหมาะกับอาหารประเภทนี้ หลังจากชิมกันคนละหมุบละหมับ แห้วให้ความเห็นว่าถ้าเอาเนื้อหอยผัดเผ็ดน่าจะเด็ดสาระตี่ ที่จริงหอยพวหนี้เอาไปแกงเผ็ด เอาไปทำลาบ หรือเอาไปยำก็อร่อยทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เราต้องต้มให้สุกและทำตามกรรมวิธีข้างต้น ก็จะได้วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติกรุ๊บกรอบไม่แพ้หอยเปาฮือหรือหอยประเภทใดในโลก หลังจากเจี๊ยะกันลงพุงแล้ว เราก็มาคุยกันถึงหอยที่ชาวบ้านเก็บเอาในท้องนา ไม่ต้องซื้อหาใดๆ นอกจากในน้ำมีปลา ในนามีน้ำแล้ว ยังมีหอยตัวโตๆให้เก็บมาทำอาหารอีกด้วย

(มื้อกลางวันมีต้มซุปข้อขาไก่กับหอยจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ด)

หอยที่ว่านี้มี 2 ชนิด

ชนิดที่หนึ่งคือหอยโข่งพื้นถิ่นบ้านเรา

หอยชนิดนี้ไม่ต้องแกะเอาตาออก

ชนิดที่สองคือหอยเชอรี่

เข้าใจว่าน่าจะเป็นหอยสายพันธุ์จากต่างประเทศ

เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา หอยเชอรี่เข้ามาทางไหนยังไม่มีเวลาค้นประวัติ ก่อนหน้านี้มีหอยก้นแหลมขยายพันธุ์ไปทั่ว เป็นหอยที่อาศัยอยู่ในที่มีความชื้นบนบก ไต่กินใบไม้ใบหญ้า ขยายพันธุ์ได้ดีแต่ชาวบ้านไม่นิยมรับประทาน ทราบว่ามีผู้เก็บไปต้มแคะเอาเนื้อส่งจำหน่ายต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีหอยเชอรี่แพร่พันธุ์ง่ายระบาดรวดเร็ว ภายในไม่กี่ปีก็มีหอยทั่วทุกหนทุกแห่งในท้องนาและที่ลุ่มบ้านเรา หอยเชอรี่จะกัดกินต้นข้าวที่ปักดำใหม่ๆ บางแห่งข้าวเสียหายอย่างมาก หอยเชือรี่มีไข่สีชมพูเกาะอยู่เหนือน้ำสวยแปลกตา ชาวนาจะเก็บหอยออกไปทำปุ๋ยทำอาหารเลี้ยงเป็ด เอาเปลือกไปเผาแล้วบดผสมหัวอาหารเลี้ยงหมู แต่ก็มีชาวบ้านบางกลุ่มเอาหอยมาประกอบอาหาร เพราะลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับหอยโข่งพื้นบ้านเราทุกอย่าง เพียงแต่ต้องแคะเอาตาออกเสียก่อนดังกล่าวข้างต้น

แสดงว่าชาวบ้านคงสังเกตุเห็นจุดพิเศษดังกล่าวนี้

ไม่ได้หลับหูหลับตาสวาปามใดๆ

คงจะมีคนปากเบี้ยวเพราะหอยประเภทนี้จนผิดสังเกตุ

เรื่องนี้เราจะได้แง่คิดในการใช้ชีวิตเชิงประยุกต์

คนอีสานยังรักษาอัตลักษณ์เรื่องเปิบพิศดารเอาไว้อย่างแน่นเหนียว

เรื่องนี้..สนับสนุนวิธีใช้ชีวิตระหว่างน้ำท่วม

อย่างน้อยคนที่ตกน้ำป๋อมแป๋มเจอหอยตัวกลมๆ..

ช่วยกันเก็บมาทำกับแกล้มได้อร่อยเหอะ

ตอนเย็นเดินผ่าน..

ลุงอาน แกยังร้องบอกว่า..เอาอีกไหมหอย

โธ่ๆๆใจคอจะไม่ให้กินอย่างอื่นเลยรึลุง

จ๋อม จ๋อม จ๋อม..


โอ้พระเจ้า

อ่าน: 1680

อพยพไปแล้วน้ำไล่ตามมาอีก

ย้ายไปอีก  น้ำก็มาอีก

จะให้คนนับแสนไปอยู่ที่ไหน

ย้ายไปไหน

เตรียมสถานที่ไหนไว้บ้าง

คนหิวเครียดวิตก

แผนมีไว้อย่างไร?

จะเอาไปไว้อย่างไร

จะกินนอนอย่างไร

มีที่ให้ไปแล้วไหม?

จัดเตรียมสถานที่ตรงไหนไว้บ้าง

ใครจะตอบ

ปล่อยให้คนหัวซุกหัวซุนอย่างกับหนีภัยสงคราม

ไม่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นถูกต้องแล้ว!

ตอนนี้!!! มันเกินภาวะฉุกเฉินไปหลายแสนลี้แล้ว!

ทำอะไรในสิ่งที่ควรทำหมดแล้วใช่ไหม?

ถ้าไม่ตัดสินใจ ก็ตัดใจเถิดนะต๋อยยยยยย

ความทุกขเวทนาของประชาชนนับล้านคนนั้น

มันด้อยค่ากว่านิคมอุตสาหกรรมใช่ไหม?

ลับๆล่อๆ รอจน..น้ำท่วมปากจนได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จ๋อม จ๋อม ..



Main: 1.4061169624329 sec
Sidebar: 0.25328898429871 sec