หัวใจติดเชื้อบวก

โดย sutthinun เมื่อ 6 มกราคม 2011 เวลา 11:22 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2581

น่าอิจฉาเขียดตะปาดที่มีเวลานั่งยุบหนอพองหนอสบายๆ ไม่มีการบ้านที่ต้องไล่ทำไม่เว้นวายเหมือนคนอยู่ป่า ปีนี้เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก ในส่วนของชาวบ้านหรือชุมชนยังมีเรื่องที่ต้องเอ็กซเรย์ กิจกรรมเชิงพัฒนายังไม่รู้ว่าจะเบนเข็มให้เข้าถูกเรื่องถูกราวอย่างไร ทุกภาคส่วนประโคมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ฝึกอบรมกันจนหัวสั่นหัวคลอน สมาชิกกลับมาแล้วก็นั่งมึนงง ไม่รู้จะสะสางปัญหาที่สะสมความเสื่อมโทรมไว้เป็นกะตักได้อย่างไร

ถ้าตั้งต้นจากจุดเล็กๆทำให้กระชับๆจากน้อยไปหามาก ตรงจุดนี้ก็ควรออกแบบให้พอดี ถ้าจะปลูกเพื่อลงหม้อลงกระทะไม่ยากหรอก อย่าไปปลูกมาก เช่น พริก มะเขือ ผักกาด ผักชี ฯลฯ ปลูกเท่าที่เก็บมาเป็นอาหารครัวเรือน ถ้าทำมากก็จะต้องใช้เวลาและปัจจัยการผลิตจำนวนมาก สมมุติว่าทำแบบครึ่งๆกลางๆใช้สูตร “เหลือกินแบ่งขาย” พูดง่ายทำยาก สู้รถพุ่มพวงไม่ได้หรอก “ถ้าเหลือกินแล้วแจก” น่าจะพอไปได้นิดๆหน่อยๆ ยังมีค่าใช้จ่ายประจำครัวเรือนจะไปเอามากจากไหน จะรอเอื้ออาทรทั้งปียังงั้นรึ เรื่องของปากท้องจะมาสมมุติเล่นๆลอยๆไม่ได้ ตัวเลขรายได้ทางเศรษฐกิจอาจจะดูดี แต่ประชาชีระดับล่างกำลังตะแหง่วๆจะทำอย่างไร? โรคทางสังคมร้กษายากมาก ขอบอก..

ปัญหาเรื่องค่าครองชีพรายจ่ายที่ยุบยับ ทำให้ชาวไร่ชาวนามานั่งออกแบบแผนการทำมาหากินของตนเอง กลุ่มที่ทำพืชไร่พืชสวนเชิงเดี่ยวดูจะพอใจ ในเมื่อราคาอ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ผัก ไม้ผล ล้วนราคาดี ทำให้มีกำลังใจที่จะดูแลพืชผลของตนเองอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานของรัฐฯจะแนะนำส่งเสริมอย่างไร มันก็อืดอาดเหมือนเรือเกลือ แต่พอราคาพุ่งกระฉูด! ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอกนะ ชาวไร่ชาวสวนวิ่งหาความรู้ ปรึกษาหารือกัน เกิดเป็นสังคมสร้างสมปัญญากันอย่างน่าชื่นชม ผมแอบเห็นปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแข็งขัน

1. ผักสวนครัวปลูกแต่น้อยแต่มีความหลากหลาย ชอบอะไรมากก็ปลูกอันนั้นใส่ปุ๋ยดูแลให้ดี ให้มีเพียงพอลงหม้อข้าวหม้อแกง จะได้ไม่ต้องไปซื้อที่ตลาดที่ของกระจุกกระจิกแพงมาก ต้นหอม/ผักชี้/1หม้อ อย่างต่ำราคา5บาท/เมนู หรือไม่ก็ต้องพึ่งพารถพุ่มพวง อนึ่ง การปลูกผักสวนครัวได้ออกกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสาย จึงควรทำแต่พอดีอย่าไปปลูกมาก เดี๋ยวจะเหนื่อยและใช้เวลามากเกินไป เว้นแต่จะมีความพร้อมมากก็ไม่ว่ากัน.

2. ที่มาของรายได้ ถ้าจะเอาจากกิจการเศรษฐกิจพอเพียงแบบที่พยายามบอกเล่ากัน ผมคิดว่ายังตีความได้ไม่จะแจ้ง น่าจะเป็นเรื่องหลักการ ส่วนวิธีการนั้นแต่ละครัวเรือนต้องดัดแปลงให้พอเหมาะกับองค์ประกอบของตนเอง กระบวนการพอเพียงเป็นภาพรวมของการคิดการทำ ไม่ใช่การฟันธงว่าจะต้องยังโง้นยังงี้ตายตัว ทุกอย่างควรขยับเขยื้อนไปสู่จุดที่พอเหมาะพอควรแห่งตน

3. เรื่องพืชเชิงเดี่ยว สวนไม้โตเร็วไม้เศรษฐกิจ สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน ไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย ฯลฯ โดนท้วงติงว่าไม่สอดรับกับธรรมชาติ ที่ไปที่มาเกี่ยวกับวิธีการน่าจะมาจากการส่งเสริมและเกิดจากประสบการณ์ตรง คงพิจารณาจากวัตถุประสงค์ซึ่งมองเรื่องรายได้ ส่วนผลกระทบส่วนมากจะมองผ่านไป เพราะยังไม่เห็นความเสียหายซึ่งหน้า แต่ก็เมื่อมีรายได้ดี ผู้ประกอบการก็เริ่มมองถึงผลกระทบบ้างแล้ว และเริ่มมีการมองการลงทุนเพื่อความยั่งยืนบ้างแล้ว

: ในช่วงโอกาสทองเช่นนี้ ถ้าชี้ชวนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เสริมพืชยืนต้นตัวอื่นเข้าไปเพื่อสอดแทรกความหลากหลายน่าจะทำได้ เพียงแต่ต้องมีตัวอย่างให้เห็น เช่น ปลูกยางพารา 4 แถว สลับไม้ผักยืนต้น 1 แถว หรือปลูกไม้ยืนต้น 3-4 แถว รอบนอกในแต่ละล็อก 5-10 ไร่ ได้ลองขายความคิดนี้ไปบ้างแล้ว คาดว่าจะลงมือทำในพื้นที่ปลูกใหม่ของผู้ประกอบการมืออาชีพ ผลเป็นประการใดจะนำมาโม้นะครับ

4. อยากจะบอกเล่าเรื่องนี้ในงานอิ๊กไนน์ครั้งที่3แต่เวลาจำกัด คงพูดถึงเรื่องราวอย่างละเล็กละน้อย เช่น

· ถ้าคนไทยคิดบวก ผลบวกย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าเป็นตัวคูณของสังคมได้ละเยี่ยมเลย

· ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากที่จะทำการเพาะปลูก ถ้าเราปลูกฝังเรื่องนี้ให้ถูกทิศถูกทาง ประเทศเราก็จะอุดมไปด้วยธรรมชาติมากขึ้น

· ถ้าคนไทยรักต้นไม้ปลูกต้นไม้ เราก็จะเป็นพลังบวกทางด้านสิ่งแวดล้อม สร้างกระแสใหม่ “ป ลู ก ต้ น ไ ม้ ไ ม่ ต้ อ ง ไ ป ตั ด ต้ น ม า ข า ย ” ปลูกให้หลากหลาย เลือกเอาเฉพาะใบมาเป็นอาหารสัตว์ ทำปุ๋ย ทำเชื้อเพลิง ใช้เป็นวัตถุดิบด้านการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ กิ่งหมุนเวียนตัดสางออกมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง เป็นพลังงานส่วนขยาย เป็นปุ๋ย หรือเป็นวัตถุดิบเพื่องานประดิษฐ์กรรมต่างๆอาศัยเทคโนโลยีมาช่วย เศษที่เกิดจากการแปรรูปยังนำเข้าไปสู่การผลิตแก๊สและพลังงาน ส่วนลำต้นปล่อยให้เจริญเติบโต ผลิตออกซิเจนมาให้เราได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยวิธีนี้ประเทศเราก็จะมีสภาพแวดล้อมเชิงบวก จากการคิดบวก แบบอิกไนน์ไทยแลนด์

· การลดต้นทุนทั้งระบบ ถ้ามีพลังจากธรรมชาติเป็นหลัก จะช่วยลดภาระที่มนุษย์จะต้องจัดแจงได้อย่างมาก ถ้าคิดเผื่อไปถึงผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนดิน-น้ำ-ลม-ไฟ(พลังงาน)ด้วยแล้ว เราน่าจะใส่ใจเรื่องนี้กันอย่างเป็นรูปธรรม

· จุดร่วมที่ง่ายที่ทำได้อย่างกว้างขวาง น่าจะมีหลากหลายกิจกรรม ในระดับทั่วๆไป ถ้าช่วยกันปลูกต้นไม้ทั้งแผ่นดินให้เป็นกระแสเป็นพลังร่วมสมัยของมนุษย์ยุคนี้ประเทศเราจะปกติสุขทั่วหน้า

· เราสามารถเลือกปลูกต้นไม้ได้ตามชอบ รักอย่างไหนก็ปลูกอย่างนั้น งานนี้อนุญาตให้เป็นคนหลายใจ เราเลือกปลูกต้นไม้ได้หลายประเภท เช่น ไม้ติดแผ่นดิน ไม้ใช้สอย ไม้เศรษฐกิจ ไม้เพื่อพลังงานทดแทน ไม้ผักยืนต้น ไม้ล้อม ไม้ประดับ ไม้เพื่อการวิจัย ฯลฯ

· ปลูกต้นไม้ไม่ต้องไปตัดต้น เอาเฉพาะกิ่งใบหมุนเวียนมาใช้ประโยชน์ เช่นเอาใบมาเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ สมัยนี้ปลูกหญ้ามีปัญหาจากความแห้งแล้ง ถ้าใช้ใบไม้ทดแทนจะเป็นทางเลือกใหม่ ส่วนกิ่งก้านเอามาทำฟืนทำถ่าน ทำปุ๋ย เป็นการใช้ธรรมชาติที่สมดุล และพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง

· ผักที่เราบริโภค ส่วนมากเราจะคุ้นเคยกับผักล้มลุก เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก คะน้า ฯลฯ แต่เรารู้จักผักพื้นบ้านยืนต้นน้อยมาก เช่น สะเดา มะกอก ยอ เพกา มะรุม มะตูม มะยม มะกล่ำ ฯลฯ นั่นหมายถึงการปลูกต้นไม้จำพวกผักยืนต้น จะเป็นทางเลือกใหม่ แถมยังประหยัดอร่อยปลอดภัยอีกต่างหาก

· ต้นไม้ต้นเดียว เป็นป่าไม่ได้ ต้นไม้ชนิดเดียว ก็เป็นป่าไม่ได้ จะเป็นป่าไม้ได้ จิตใจของคนในชาติต้องมีสีเขียวเสียก่อน

· มนุษย์เราจะมองเห็นมูลค่าตอนที่ต้นไม้โค่นล้มลง (เบิร์ดบอก)

มากกว่าจะเห็นคุณค่าตอนที่ต้นไม้ยังยืนต้นแตกกิ่งสาขา

ต้นไม้ทำความผิดมาตราไหน ทำไมจึงโดนโทษประหาร

ต้นไม้ไม่รับรู้หรอกว่าเกิดขึ้นอยู่บนที่ดินโฉนดของใคร

· ต้นไม้เป็นอะไรมากกว่าที่คิดและมองเห็น

ต้นไม้ซื่อสัตย์ซื่อตรง ไม่มีใครปลูกเสาวรสแล้ว

ออกลูกเป็นมาม่า หรอกนะครับ

· หัวหลักหัวตอเจริญงอกงามไม่ได้

แต่หัวคนคิดและทำอะไรได้มหาศาล

. ถ้าเธอทิ้งสังคม สังคมก็จะทิ้งเธอ

ถ้าเธอทิ้งชนบท ชนบทก็จะทิ้งเธอ

ถ้าเธอทิ้งป่า ป่าก็จะทิ้งเธอ

ถ้าเธอชอบทิ้งๆขว้างๆ เธอจะโดนขว้างทิ้งเข้าสักวัน !

ทุกคนมีพลังบวกในตัว

ถ้าบวกพลังจิตพลังใจเพื่อสิ่งที่รักของเรา

บ้านเมืองก็จะมีพลังประชาคมทำอะไรได้อีกมากมาย

จุดเริ่มอยู่ที่การคิดบวกคิดดีคิดได้

ตั้งต้นจุดประกายความดีความจริงของทั้งแผ่นดินกันเถิด

ถ้าว่างๆติดตามไป อิ.อิ.ได้ ที่โรงภาพยนตร์สกาลา

ช่วงเย็นๆวันที่ 13 มกราคม 2554

ครับผ๊ม!

« « Prev : เดินดูอุดร

Next : ชีวิตมีลุ้น » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 มกราคม 2011 เวลา 11:50

    การี๊ดดด ไหงมี(เบิร์ดบอก) ใส่ไปด้วยล่ะคะพ่อ พ่อลุยบอกเองได้เลย 55555 ไม่มีลิขสิทธิ์อะไรทั้งนั้นแหละค่ะเม้นต์แล้วเม้นต์เลย แต่แหมอยากฟังตัวเป็นๆจัง งานนี้จะมีชาวเฮไปยกป้ายเชียร์พ่อมั้ยคะเนี่ย ^ ^

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 มกราคม 2011 เวลา 11:53

    มันเป็นมุมคิดที่โดนใจนะเบริ์ด บางทีเรื่องง่ายๆเราก็อธิบายไม่ออก
    จนกว่า ตาบอดจะมีคนจูง..อิอิ

  • #3 comenubb ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 มกราคม 2011 เวลา 23:09

    สังคมเราเป็นสังคมเกษตรกรรมมาแต่ไหนแต่ไร…

    หากเราไม่หวือหวาตามฝรั่งอยากมั่งคั่งทางอุตสาหกรรมเหมือนเขาเกินไปนัก ผมเชื่อว่าเราก็สามารถเป็นประเทศเกษตรใบเขียวที่เจริญก้าวหน้าได้ไม่อายใครในโลก, ผมว่าเช่นนั้นนะครับ…

    ขอบพระคุณคุณลุงที่เมตตาเข้าไปทักทายที่บล็อกใหม่หมาดของผมครับ

  • #4 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2011 เวลา 9:36

    มาลงชื่ออ่านค่ะ ขอบพระคุณเรื่องราวดีๆที่พ่อครูถ่ายทอดเสมอๆ ป้าหวานมาอ่านทุกๆบันทึกค่ะ ได้รับความคิด ความรู้ดีๆไปเพิ่มสมองขี้เลื่อยอยู่เป็นประจำ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2011 เวลา 12:00

    สวัสดีปีใหม่ให้ป้าหวาน
    ฟ้าประทานสิ่งดีงามตามวิสัย
    ส่งข่าวมาว่าอ่านความเป็นไป
    เป็นกำลังใจคนแก่แต่ต้นปี อิ อิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.20138812065125 sec
Sidebar: 0.3336980342865 sec