ลานเสวนาประชาธิปไตยสไตล์เฮฮาศาสตร์

โดย sutthinun เมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 10:58 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 4724

(ฟ้าสีทองผ่องอำไพ แต่คนไทยหน้ามืดทั้งแผ่นดิน)

เมื่อวานนี้ นักศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุขรุ่นที่1 ได้รับการบ้าน เรื่องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติในปัจจุบัน สาเหตุมาจากอะไรคนไทยก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ พวกเราได้เฝ้าดูผู้สันทัดกรณีทางการเมือง คอการเมือง ขาใหญ่การเมือง มะรุมมะตุ้มแก้ไขปัญหากันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช งัดกลยุทธ์ใส่กันจนหมดหน้าตัก อ่อนระโหยโรยแรง น้ำลายยืด หน้ามืด โผเผ ประดาบกันมาหลายยก สู้กันมาหลายกระบวน วุ่นวายกับการหาเหตุผลมาหักล้างกัน

พัฒนาไปถึงขั้นยึดค่ายคูประตูหอรบของอีกฝ่าย ปักป้ายเขตของข้าใครอย่าเตะ โดนจับ โดนกล่าวโทษ โดนมาตรการต่างๆ ยังยืนหยัดชุมนุนขึ้นเวทีร้องเพลง ปราศรัย ทำนา ส่งส่วยข้าวปลาอาหาร ชวนบริวารมานั่งตีมือกันทุกค่ำคืน กระตุ้นเตือนกันทั้งวันทั้งคืน..พี่น้องครับ สู้ไม่สู้ ..อยู่ยั้งยืนยงมาจวบจนเท่าทุกวันนี้ วันไหนแรงดีก็ออกไปยั่วแก๊สน้ำตา เจอเข้าไปหลายนัด ตาลายหน้ามืด บาดเจ็บไปหลายร้อย ถึงขั้นสูญเสียชีวิตสังเวยอย่างสุดโศกสลด ..ใช้อาหลั่ยประชาธิปไตยสิ้นเปลืองเหลือเกินเสียแล้วพี่น้อง

อีกฝ่ายก็เปิดเปิงกระเจิงกระจาย กว่าจะคัดเลือกรัฐมนตรีได้ กว่าก๊วนจะยอมสมานไมตรีมีรัฐบาลได้ กว่าจะแถลงนโยบายได้ ทุลักทุเลเต็มที ต้องปีนรั้วไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พรรคพวกที่ตกค้างในสภาฯตับหดตดหายไปตามๆกัน กว่าจะหาทางหนีทีไล่ออกมา ท่านสส.ผู้ทรงเกียรติเหงื่อตก ตอนนี้ถอยไปปักหลักที่ดอนเมือง เปิดตำราแก้สถานการณ์หน้าดำคร่ำเครียด พักถอนหายใจหายเหนื่อย ก็ไปรวมพหลพลยุทธเสนา โผล่มาในชุดเสื้อแดง ประกาศเจตนารมณ์จะปกป้องรัฐธรรมนูณสุดใจขาดดิ้น กำลังหาทางออกด้วยการมี สสร.3

วันนี้บ้านเมืองเราเดินทางถึงทาง2แพร่ง

เกิดความลังเลใจไม่รู้จะไปทางไหน

ทั้ง2ฝ่ายที่ว่าแน่ๆก็หมดแรงข้าวต้มแล้ว

จะพลิกแพลงลีลาอีท่าไหนอย่างไรก็ไม่เป็นผล

กลยุทธ กลย่อง เสื่อมพลัง หนังหน้าไฟเหี่ยวย่นเหยาะแหยะ

น้ำลายไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ฉันใด

กำปั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองได้ฉันนั้น

จากที่เคยเป็นสยามเมืองยิ้มก็แยกเขี้ยวใส่กัน

พุทธบริษัท พระสงฆ์สวดอธิฐานกันไปหลายหมื่นจบ

ความเมตตากรุณากระพร่องกระแพร่ง

สมาคม องค์กร สถาบัน เป็นเหมือนตะเกียงขาดน้ำมัน

นักวิชาการ นักวิจัย ใช้ความรู้จนหมดหน้าตักแล้ว

ทหาร ตำรวจ ไม่รู้ที่จะตัดสินใจทำอะไรได้

เล่นบทช้าๆได้พร้าเล่มงาม รอดูสถานการณ์ ยืนอยู่ตรงกลาง

โดนด่าบ้าง ชมบ้าง เหน็บแนมบ้าง ก็ต้องทน และอดทน

.ทหารอดทน ท.ทหารอดทน ท.ทหารอดทน

แนะให้ลาออก ที่รักก็ยังตัดใยสวาทอำนาจวาสนาไม่ได้

ต่อรอง..ขอแถมอีกสักป้ายสองป้ายคงไม่ว่ากันนะคุณทหาร

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เขารู้กันตั้งนานแล้วละลุง

ถึงจะยังงั้นก็เถอะนะ คนไทยชอบฟอร์ม

ก็ต้องว่ากันตามฟอร์มนิดหน่อย

คนไทยอีก60ล้านคนที่ยังไม่ขยับเขยื้อนอะไร

นั่งทอดหุ่ย บ่นเป็นหมีกินผึ้ง พึมพำไปวันๆ

ไม่รู้ว่าฉันจะทำอะไร ตรงไหน อย่างไร กับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้

หน้าที่ของพลเมืองไทยจะช่วยชาติตรงไหน

ช่วยแบบไม่เข้าใครออกใคร

ช่วยแบบไม่ด่าว่าใคร

ช่วยแบบมีเหตุมีผล มีความเป็นไปได้

ช่วยแบบเกิดผล เกิดพลัง นำไปสู่ความปกติสุขของคนในชาติ

ช่วยหาทางเข้า และเปิดทางออก

ช่วยอะไร ช่วยอย่างไร ช่วยเพื่อวัตถุประสงค์ใด? เสนอ เสนอ..

ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปหรอกนะครับ

คำตอบที่เคยมีมาทั้ง2ฝ่ายงัดเอาไปใช้ และก็หมดน้ำยาไปแล้ว

เมื่อวานผมได้รับการบ้านดังนี้

1. เราจะมีบทบาทอย่างไรในส่วนของการดำเนินงานและกิจกรรมของ เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ต่อจากนี้ไป

2. เราจะมีวิธีการที่จะทำบทบาทดังกล่าวอย่างไร?

3. เราจะทำงานด้วยกันในประเด็นใดบ้าง เพื่อให้เกิดพลังทางสังคม ในการยุติความรุนแรง และเกิดสันติด้วยการเสวนา

4. เราจะจัดเวทีหรือเปิดพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจต่อสังคมไทยโดยรวมอย่างไร?

เอาอย่างนี้ดีไหมพี่น้องแซ่เฮทั้งหลาย

พวกเราก็ธรรมดาที่ไหนละ

อาเหลียงไฟแรงจนมีรถดับเพลิงหน้าบ้าน ช่วยทำมาหากินเรื่องนี้หน่อย

คอนดรั๊กเตอร์ คงมีเวลาช่วยเต็มที่ ในการชี้มุมให้เรา

หมอชอบวิ่งทีมนักการ นักการเมืองทั้งตัวหัวใจ ซึมเข้าไปถึงกระดูก

หมอเบิร์ดนี่ลูกหลานการเมืองมาแต่อ้อนแต่ออก

ท่านบางทราย ปาลียอน โก๋แก่การเมืองรุ่นลายคราม

.Handy ขยันคิดเขียน สะท้อนมากขึ้นละแจ่มเลย

อัยการชาวเกาะ เกาะแกะสถานการณ์จัดจ้านยิ่งนัก

สิงห์ป่าสัก ทีมกล้วยไข่กำแพงเพชร เด็ดสะระตี่อยู่แล้ว

.หลินฮุย อ.อุ้ยจันดา ภาษานักเลงการเมืองเรียกเจ๊

.แป๋ว ป้าแดง เหมาะให้ยืนตรงกลางยกธงเขียว ธงแดง

หนูตาหวาน หนูแป๊ด ครูสุ คุณน้าแห่งชาติ เหมาะที่จะเป็นกองเลขา

ป้าแห่งชาติ โห นี่ธรรมดาที่ไหนละ ถ้าไม่ดึงไว้ลุยเละไปแล้ว

พวกหนุ่มหล่อ ดร.ขจิต สายลม ออต แผ่นดิน หนุ้ย ช่วยยั่วยุความคิด

กลุ่มหน้าตาดี มีอะไรใส่ความเห็นได้เลย

ครูแอน มีหลายแอนหลือเกิน เหมารวมทุกแอนนั่นแหละ เทความคิดมา

ครูปู ครูอ้อย ตะหลิวทองคำ ทีมสุพรรณ รู้แล้วทำการบ้านด้วย

ยังมีอีกพะเรอ อย่าน้อยใจนะ จะเจ๊าะแจะไปถึงทุกท่านอยู่แล้ว

วงศาคณาญาติท่านอื่นได้ข่าวแล้วช่วยกันทำมาหากินด้วย

เรามาสร้างจินตนาการร่วมกัน

ต้นทุนเรื่องใจก็มีแล้ว สมองก็มีแล้ว ปัญญาก็ใช่ว่าจะด้อยที่ไหน

เครื่องมือก็มีแล้ว ในบล็อกของแต่ละคน

เพื่อเป็นเอกภาพเราน่าจะเปิดบล็อกกลางดีไหม

ให้พวกเรามาลงขันความคิด

ท่านใดมีข้อเสนอแนะในการออกแบบกระบวนการ ช่วยหน่อย!

เราจะเริ่มสร้างฝัน..จากโจทย์จะร่วมกันสร้างสังคมสันติสุขได้อย่างไร

เราอยากเห็นอะไร เรามีข้อเสนอแนะอะไร เราทดลองทำอย่างไร

ฝันให้เป็นตัวหนังสือกระโดดโลดเต้นลงมาในหน้าจอแห่งนี้

ฝันให้เต็มที่ใช้จินตนาการบรรเจิดได้ไม่มีที่สิ้นสุด

วันนี้เอาแค่นี้ก่อน

บ้านนี้ยินดีต้อนรับทุกความคิดเห็น

ถ้าใครคิดได้คิดดีมีรางวัล..

จะขอกอดของลุงเอกไปแจก อิ อิ ..

« « Prev : ตอน: จีบสาวลาว

Next : ความรู้มนุษย์นี่หนอ.. » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

31 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 11:33

    โห..เปิดลานเสวนาบนบล็อกนี่เท่มากเลยค่ะพ่อ เพราะทุกสื่อมีบทบาทสำคัญมากในการเปิดพื้นที่ให้กับความคิดและกลุ่มอื่นๆให้มากกว่า 5 ฝ่ายในขณะนี้ เพราะถ้ายิงถี่ยิบแต่ความเห็นของพธม. นปช. รบ. ฝ่ายค้าน ทหาร ก็จะวนกันอยู่แค่นั้น และผลก็เป็นแบบที่เห็น ( อึดอัดอีกต่างหาก )

    แต่ถ้าเปิดพื้นที่ให้กับแนวคิด และการลงมือทำในแนวปฏิบัติอื่นๆ ให้ได้นำเสนอหรือคุยกันดีๆจะน่าสนใจมากค่ะ  เพราะมีหลายกลุ่มที่พยายามประคองสังคม ประคองใจกันและกันอยู่เช่นการแจกเสื้อสติของ อ.มหิดล หรือความพยายามที่จะให้มีตัวแทนของแต่ละฝ่ายมาคุยกันโดยไม่ต้องชี้หน้าว่ากัน แต่คุยกันดีๆถึงแนวทางที่จะทำด้วยกันได้ แบบนี้แหละซู้ดยอด อิอิอิ

    มีความเห็นว่าเราควรมีทีมเลขาฯค่ะ ในการสนทนาไม่เน้นการผรุสวาท หรือการสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์ แต่จะรวบรวมแนวทางต่างๆออกเป็นหมวดหมู่ตามที่มีผู้เสนอมา โดยใช้การสนทนาแบบสุนทรียะที่ไม่ใช่การจ๊ะจ๋ากันอย่างเดียวแบบที่หลายๆคนตีความพลาดอย่างแรง ( อิอิอิ ไม่บอกว่าใคร ก๊ากๆๆๆ ) แต่เป็นการพูดและฟังกันอย่างมีสติ มีความรัก มีความเข้าใจ และเคารพในกันและกัน ขอตั้งหลักก่อนนะคะ แล้วจะมาช่วยบรรเลง จองที่ไว้ก่อนค่ะ อิอิอิ

    ลงท้ายด้วยคำว่า ” พร้อมต้อนรับทุกคนเสมอค่ะ “

  • #2 rani ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 12:02

    สวัสดีค่ะพ่อครู

    สังคมในปัจจุบันมันยุ่งเหยิง มั่วไปหมด จนเดี๋ยวนี้คนกลายเป็นแบ่งพวก แบ่งก๊ก แบ่งเหล่า ลามไปถึงเทือกเขาเหล่ากอหมด กลายพันธ์กันไปหมด


    ประเด็นแต่ละฝ่ายก็ยืนยันว่าของตนถูกต้อง ใช้หลักกูบ้าง หลักกฎหมายบ้าง ซิกแซกบ้าง ตรงไป อีกฝ่ายก็ไม่ออก ดึงดันกันไป อีกฝ่ายก็ไม่จบไม่สิ้น  จนเกิดความไม่พอดี แต่ละคนทำได้แต่ปาก อ้างหลักการของแต่ละฝ่าย ยืนหยัดจะสู้ไม่ถอย อย่างนี้ก็พังซิค่ะพี่น้อง (ประเทศชาตินะคะที่จะพัง)…. แต่ละคนแต่ละฝ่ายก็หลังชนฝากันทั้งนั้น จนประเทศจะตกขอบเวทีโลกแล้ว คิดกันบ้างไหมว่าจะมีความเสียหายตามมาอีกเท่าไร

    ……….


    คำว่า
    สามัคคี  มันเริ่มเลือนหายไป ไม่รู้จักความยืดหยุ่น ไม่รู้จักที่จะยิ้มเข้าหากัน แต่ละคน ก็ถือมีดไว้ข้างหลัง คอยแต่จะแทงกัน หรือกระทืบ ให้อีกฝ่ายพังกันไป โดยลืมนึกถึงคนในชาติ มองแต่กลุ่ม แต่พวกของตนเป็นหลัก


    อย่างนี้ใคร จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลานได้ อนาคตของชาติจะไปอยู่ที่ไหน ต่อไปเราจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง  ฝากช่วยกันคิดด้วยนะคะ


    อิอิ.เดี๋ยวมาใหม่ค่ะ

     

     

  • #3 Iem ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 12:16

    ·       ทำการบ้านค่ะ

    ·       ไตเติ้ล : ก่อนที่จะเกิดภาวะวิกฤติ มักจะมีลางสังหรณ์ หรือมีการส่งสัญญาณบางอย่างออกมาก่อน เราละเลยสัญญาณหรือลางสังหรณ์นั้นใช่ไหม… ถึงเกิดภาวะวิกฤติ….หรือเราไม่มีแรงพอที่จะต้านทานบางสิ่งบางอย่าง….จนทำให้เกิดภาวะวิกฤติ…

    ·       เมื่อเกิดภาวะวิกฤติแล้ว…. นั่นหมายความว่าเราต้องเข้าไป…แก้ไข…บรรเทา….ความรุนแรงของมัน….

    • ·       ในมุมมองของนักการอิ่ม : ความขัดแย้ง นับวันยิ่งบานปลาย….วันนี้ ลองขยับตัวออกจากคำว่า เราเป็นส่วนหนึ่ง …มาเป็นการมองดู….ทำให้ไม่รู้สึกว่า…เราเป็นพวกใคร.. นึกถึงคำว่า กินทีละคำ…และ… ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ทั้งหมดในครั้งเดียว.. แล้วจะกินคำไหนก่อนดีล่ะ….อืมม…คิด คิด คิด….

      เด๋วมาต่อค่ะ

  • #4 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 12:18

    มันเหมือนทางสองแพร่ง ( Bifurcation ) ของทฤษฎีไร้ระเบียบ ( Chaos Theory ) เลย

    จองที่ไว้  ไปกินข้าวก่อน  แล้วจะมาคุยต่อเหมือนคนข้างบน  อิอิ

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 13:01

    ตบขาตัวเองดังป๊าบหนึ่งทีแล้วรำเพยว่า   เดินหน้าเกียร์ห้าเลยท่านครูบา เพื่อนพ้องน้องพี่

    อิอิ  แค่มาส่งเสียงไว้ก่อนเหมือนจอมป่วนแหละ  ทำมาหากินด้านหลักก่อน อิอิ
    แล้วจะมาทำมาหากินรำไพ่พิเศษ อิอิ…

    แต่ท่านที่ 3 ทำไมมืดจัง ดำดินมาเลย  ห้าห้า..

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 13:03

    ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น มาจากความยึดมั่น ถือมั่น ว่าตนเท่านั้นที่ถูกต้อง และอีกฝ่ายหนึ่งผิดเสมอ –(1)– ในเมื่อตนเท่านั้นที่ถูกต้อง คำว่าคนกลาง จึงไม่กลาง ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า คนอยู่ทางขวา ก็ว่าคนกลางอยู่ทางซ้าย ส่วนคนที่อยู่ทางซ้าย ก็ว่าคนกลางอยู่ทางขวา

    ประชาธิปไตย มาจากคำว่า ประชา สนธิกับ อธิปไตย คืออำนาจของประชาชน; คำนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา หากคิดเพียงว่าประชาชนเลือกตัวแทนเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ เพื่อปกครอง เพื่อจัดการ ฯลฯ

    อธิปเตยฺย พจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถานแปลว่า ความเป็นใหญ่ยิ่ง ซึ่งไม่ได้หมายถึงอำนาจเท่านั้น แต่ยังมีนัยรวมถึงหน้าที่ที่มีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด –(2)– คือประชาชน

    สิ่งที่ผู้ที่แสดงอำนาจไม่เข้าใจ คืออำนาจนั้น ยิ่งแสดงก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่มี ยิ่งแสดงก็ยิ่งเสื่อม (แต่พวกตอแหล สามารถหลอกตัวเองได้ว่าชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว ซึ่งกลับไปสู่ประเด็นแรก) — อำนาจมาจากบารมี บารมีมาจากความยอมรับ หากมีบารมี ก็ไม่ควรจะใช้อำนาจในเวลาที่ไม่ควรใช้ แต่ใช้เพื่อประโยชน์ของสังคมที่เลือกตนมาเป็นตัวแทน ซึ่งในการเลือกมานั้น เป็นฉันทามติที่ให้มากระทำการแทนกลุ่มคน เพื่อประโยชน์ของกลุ่มคน ไม่ใช่มอบหมายมาให้กระทำการอะไรก็ได้เพื่อตนเอง (อีกครั้งหนึ่งกับพระราชดำรัส เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕) –(3)–

    สังคมไทยแม้โครงสร้างทางวัฒนธรรมจะแสดงถึงการรวมกลุ่ม มีความเป็นญาติ มีครอบครัวใหญ่ ฯลฯ แต่เรากลับใช้โครงสร้างที่ขยายความแตกแยก แบ่งขั้ว และไม่ไว้ใจกัน เช่นระบบราชการ –(4)– ซึ่งไม่เอื้ออำนวยให้คนทำงานได้ทำงาน ขยับตัวไม่ได้เลยเดี๋ยวโดนสอบ ทำงานเหมือนถูกขังอยู่ในสุ่มไก่แห่ง “ขอบเขต” อำนาจองค์กร — ผมเข้าใจผิดไปเอง นึกว่าองค์กรราชการทำเพื่อประชาชน ไม่นึกว่าคิดถึงตัวเองก่อน!

    ผู้นำไม่เคยนำ ไม่คิดในสิ่งที่ต้องคิด ไม่ทำในสิ่งที่ต้องทำ แถมไม่รับผิดชอบเสียอีก แต่ดันไปให้นำหนักกับเหลี่ยมเชิง สำนวนโวหาร หรือเรื่องบ้าบออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน เช่นสายสัมพันธ์ –(5)– ผู้นำเพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็เป็นคำที่ผิดอีกนั่นแหละครับ ที่จริงแล้วการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้เป็นการแก้ไขอะไรเลย เพราะว่ามันเป็นเพียงการบรรเทาเพื่อเลื่อนปัญหาไปในอนาคตเท่านั้น เลื่อนไปเลื่อนมา ก็หมักหมมกันขึ้นเรื่อยๆ รอเวลาพังทลาย –(6)–

    เปิดไว้ 6 ประเด็นก่อนนะครับ

    1. 1. ความยึดมั่น ถือมั่นในตัวตน
    2. 2. การไม่เข้าใจในหน้าที่ ความรับผิดชอบ
    3. 3. การใช้อำนาจเพื่อตัวตน (และพวกพ้องที่สนับสนุนตนและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มซึ่งตนมีเอี่ยวด้วย)
    4. 4. ความไม่ไว้ใจกัน ระบบจับผิด
    5. 5. การไร้ภาวะผู้นำ
    6. 6. การไม่แก้ไขปัญหาที่สาเหตุ

    หกประเด็นนี้ไม่แก้ ก็ยากจะคลายเกลียวครับ

    • ปัญญาเกิดจาก ความเข้าใจที่ถูกต้อง+ความคิดที่ถูกต้อง
    • ทางออกนั้นอยู่ที่ ปัญญา+การกระทำที่ถูกต้อง

    ผมขอเสนอว่าเข้าใจปัญหาก่อนหาทางออก และแนะนำลานสันติสุขครับ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 13:50

    จ๊าบจริงๆพี่น้อง
    ขออีก ขอีก หลายๆอีก
    ว่ากันเป็นชุดๆมาเล๊ย!!

  • #8 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 15:26

    สวัสดีครับ  ครูฯ

    ระดับความขัดแย้ง อยู่ในระดับสูงแล้วครับ เกินกว่าที่พวกพวกเราจะสมานกันได้  ทำไมหรือครับ

    คู่ความขัดแย้ง ได้พัฒนาไปแล้ว  ระดับความขัดแย้งเข้าขั้นวิกฤต

    เรามาดูคู่ความขัดแย้งกันดีกว่าครับ  แล้วเราอาจคิดออกว่าควรทำกันอย่างไร

    ย่อๆดังนี้

    ขั้วที่หนึ่ง   พัฒนาการจาก ทุน ทุนนายหน้า ทุนสามานย์

    ขั้วที่สอง  พื้นฐานจาก นายทุนชาติ นายทุนน้อย  และชุมชนบางส่วน

     

    พันธมิตร แนวร่วม …….

     

    ขั้วที่หนึ่ง  นายทุนนายหน้าทั้งปวง  ทุนต่างประเทศ  กลุ่มอิทธิพล  กลุ่มผลประโยชน์ร่วม  หัวคะแนน และ ประชาชนรากหญ้า ที่ผ่านการเชื่อมต่อ(โดยทางหนึ่งทางใดเช่น การซื้อเป็นต้น)  อื่นๆ     

    ขั้วที่สอง  กลุ่มนายทุนชาติ กลุ่มนายทุนน้อย กลุ่มอำมาตย์ กลุ่มชนในเมือง กลุ่มนักวิชาการที่ไม่ได้อิงผลประโยชน์  ประชาชนที่รับรู้ข่าวสารทั่วด้าน  อื่นๆ

     

    เส้นทางพัฒนา และฐานอำนาจ 

     

    ขั้วที่หนึ่ง 

    นโยบาย แผนปฏิบัติการ ที่ได้ดำเนินการมา เป็นเวลา หลายปี  ได้ประกาศนโยบาย และพัฒนาอำนาจ การวางเครือข่ายอย่างจัดตั้งและต่อเนื่อง  หลังจากได้อำนาจรัฐ  ได้ระดมทุน และใช้นโยบายทุน

    เบื้องล่าง   สร้างฐานอำนาจโดยใช้ระบอบทุน    เช่น   กองทุนหมู่บ้าน  OTOP SME SML แปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน สร้างโปรเจคมหีมา  สลากบนดิน     วัฒนธรรมใหม่  (เช่นกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น)  เป็นต้น  

    เบื้องบน  ได้ใช้อำนาจการโยกย้ายขุมตำแหน่ง สร้างฐานความแข็งแกร่งโดยเฉพาะ ตำรวจ และทหาร  รวบรวมกลุ่มการเมือง เข้าเป็นปึกแผ่น ด้วยทุน

     

    ขั้วที่สอง

    ก่อกำเนิดด้วยกลุ่มทุนชาติ ที่มีผลกระทบโดยตรงจากระบอบทุนสามานย์  การแปลง ทุนเข้าสู่การรวมศูนย์   เข้าข่าย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  ไม่เปิดโอกาสนายทุนชาติได้เติบโต    กลุ่มทฤษฏีพอเพียง  กลุ่ม องค์กรชุมชน กลุ่มนายทุนน้อย ทีประสบปัญหาการค้าผูกขาด  กลุ่มอำมาตย์ และกลุ่มประชาชนที่มีผลกระทบโดยตรง กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม 

    ได้ก่อกำเนิดอย่างหลวมๆแล้วค่อยๆเจริญเติบโตภายใต้ตัวแทนการนำโดยใช้ชื่อ กลุ่ม พันธมิตรฯ   การเคลื่อนไหวตลอดมา  โจมตีอำนาจรัฐ  ชูสถาบัน ฯ 

    ฐานล่าง ผ่านการเคลื่อนไหว ชุมชนเข้มแข็ง  ทฤษฎีพอเพียง  องค์กรศาสนาที่ไม่คั่วกลุ่มผลประโยชน์  ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนักการเมือง (ข้าราชการที่ทำตามหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์)

    การเคลื่อนไหวสองขั้ว ล้วนเป็นความขัดแย้ง ทางการเมือง สังคม การศึกษาและเศรษฐกิจ วัฒนธรรม  โดยที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ด้วยเหตุผล   

    ทางการเมืองที่ไม่สามารถร่วมมือกันได้อย่างเด็ดขาด

     ทางเศรษฐกิจ สองเส้นทางอำนาจล้วนเป็นเส้นทางที่เป็นการสวนทางอย่างเด็ดขาด  (พัฒนาโดยทุน กับ ทฤษฎีพอเพียง)

    ทางสังคม  โดยวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ค่อยๆถูกทำลาย ถูกแปลงให้เป็นระบอบทุน การ ระดมเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมได้ถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง

    ทางการศึกษา  ระบอบทุนได้ค่อยๆเข้าครอบงำการศึกษา จากดูแลโดยรัฐฯมาเป็นการครอบครองโดยเอกชน  ซึ่งกำลังจะนำเข้าสู่กระดานตลาดหุ้น  (โดยองค์กรเอกชน และรัฐฯหลายๆส่วนถูกทำลายไปแล้ว) 

    เงื่อนไขความขัดแย้งต่างๆ ล้วนเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งที่ไม่สามารถปรองดองกันได้  ส่วนหนึ่ง เป็นแนวทางการพัฒนาของระบอบทุน กับ กระแสทฤษฎีพอเพียง เดินสวนทางกัน  หลายคนที่ออกรายการอย่างเปิดเผยของการระดมทุน ทฤษฎีเพิ่มเงินเดือน สร้างอำนาจการซื้อ การจ่าย ใช้ตัวเลข GDP  การกระตุ้นเศรษฐกิจกระทำอย่างครอบคลุม    และการกระจายความรู้ทฤษฎีพอเพียงโดยกลุ่มที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  จากหลายๆภาคส่วน ยังคอยเป็นก้างขวางคอของระบอบทุน

    ยังไม่ได้พูดถึงหลายๆด้านของความขัดแย้ง  เช่น การศึกษา การรับรู้ การสื่อสาร

    แต่จะพูดถึง ความขัดแย้งไม่มีทางแก้ไขด้วยสันติวิธี  มันมาไกลเกินจะเยียวยา

    ภาพที่เห็นๆ   ทำไมเหตุการณ์ตรึงเครียดระดับนี้ ไม่มีใครสามารถมารับผิดชอบได้   เกมส์กำลังถูกลากไปเรื่อยๆ  ลากไปจนถึงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหมดแรงก่อน

    ไม่มีใครลงได้เด็ดขาด  ไม่สามารถถอยได้เด็ดขาด  เสียงเตือนจากต่างประเทศดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า   เสียงเตือนจาก(ทำเนียบ)………..ก็ส่งเสียงและหนุนเนื่อง  ฐานใครเท่านั้นที่จะใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น  ระยะยาวใครจะเป็นฝ่ายชนะ  ยังต้อง ดูกัน หรือ ร่วมมือกัน   หรือร่วมกันสู้เท่านั้นครับ จะอยู่ฝ่ายไหนเท่านั้น

    เงื่อนไขความขัดแย้งต่างๆวันๆจะยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งจะขยายตัวไปอีก ขอภาวนาว่าจะไม่มีสงครามการเมือง ที่สยดสยอง

    ขอบคุณมากๆครับครูฯ

     

     

     

  • #9 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 20:36

    มาแว้วววว

    อืม มีหลายท่านได้นำเสนอและทิ้งประเด็นไว้ว่าเราจะ ” เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ คิดทำทีละอย่าง ” และ ” ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบทั้งหมดให้ได้ในครั้งเดียว ” แต่จะเริ่มจากอะไรก่อนดี..อิอิอิ

    และก็มีอีกหลายท่านที่มาชี้ให้เห็นถึงรากของปัญหา ตั้งแต่คน ระบบ ที่มาของความขัดแย้งในปัจจุบัน ผลกระทบ และทางออก

    งั้นเบิร์ดเสริมในเรื่องของพลังเงียบค่ะ..เราอาจจะเห็นว่าเหมือนมีสองฝ่ายเท่านั้น แต่ ” ไม่จริงเลย ” ยังมีคนอีกจำนวนมากที่อาจมากกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดซะอีกที่จับตาดูและกดดันทุกฝ่ายด้วยคำว่า ” ไม่ใช้ความรุนแรง ” ซึ่งเบิร์ดว่าได้ผลแฮะ..เพราะความเข้มข้นเอาจริงของความกดดันอันนี้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ภายหลังเหตุการณ์ ๗ ตค. ที่ว่าได้ผลเพราะมีการขยับจากหลายภาคส่วนที่นอกเหนือจากกลุ่มฝ่ายที่เย้วๆกันอยู่ ตั้งแต่สถาบันพระปกเกล้า สภาพัฒนาการเมือง สมาคมสื่อสารมวลชน องค์กรเอกชน และเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายองค์กรอย่างเด่นชัดและเอาจริงเอาจัง ซึ่งถ้าพลพรรครักเธอทั้งหลายไม่สำเหนียกก็คงมีอะไรดีๆตามมาอีกเยอะ แต่นี่ทุกฝ่ายเริ่มนิ่งและระวังตัวมากขึ้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจนะคะ

    การประสานเสียงที่เริ่มสานเครือข่ายทางสังคมแบบลานเสวนาประชาธิปไตยฯของพ่อ หรือลานเสวนาในที่อื่นๆที่จะเปิดตัวในวันที่ ๒๖ ตค.นี้ เป็นการแสดงให้ทุกกลุ่มฝ่ายรู้อย่างชัดแจ้งว่า ถึงจะยังตกลงกันไม่ได้ แล้วจะประท้วงกดดันกันไปอย่างไรก็ตาม  ก็ห้ามใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดทั้งสิ้น และจะเปิดพื้นที่ในที่ต่างๆทั้งนสพ. โทรทัศน์ วิทยุ เน็ต และเวทีสารพัด เพื่อให้กลุ่มฝ่ายมาพูดคุยกัน  แบ่งปันพื้นที่แบบเสมอภาค และให้เกิดการหาทางออกร่วมกันอย่างแท้จริง..พลังที่สอดประสานนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และเป็นพลังที่ทรงอิทธิพลพอควร เพราะมองที่จุดเดียวกันคือการยุบสภา ลาออก หรือสสร.๓เป็นความคิดที่สั้น ตื้นเกินไป..

    เรามีรัฐธรรมนูญมาสิบกว่าฉบับแต่ไม่ได้ช่วยให้การเมืองดีขึ้นมากนัก รวมทั้งยังมองไม่เห็นว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีความคิดใดที่ ” ตกผลึก ” …เพราะในการร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ สภาร่างฯมีการประชุมเพื่อถก เถียง และหาข้อยุติที่เป็นการตกผลึกทางความคิดร่วมกันก่อนจะร่างแนวทางออกมา แต่นี่ ?!?!

    และการเมืองใหม่ของพธม.ก็เป็นสิ่งที่ควรนำมาคิดเช่นเดียวกันเพื่อดูว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรให้ลงตัว เพราะอย่างที่ทราบกันอยู่ถึงยุบสภาก็มีโอกาสที่จะต้องมาตั้งป้อมไล่กันใหม่ได้เพราะระบบเลือกตั้งของเรามีปัญหา ..แต่การเมืองใหม่แบบที่พธม.เสนอก็ยังมีข้อขัดแย้งและไม่เห็นด้วยในหลายๆส่วนซึ่งถ้าสามารถปรับให้สอดคล้องกันได้ก็น่าสนใจ จะได้มีที่ลงให้กับทุกฝ่ายและเห็นทางร่วมกันได้บ้าง โดยผ่านการกดดันของพลังเงียบที่กล่าวมา

    นิยามการเมืองใหม่ที่น่าจะเป็นคือ การเมืองระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง.. อยากเห็นพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจตามประชาธิปไตย เหมือนรูปแบบของอังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยมีนะคะ เพราะมีคำกล่าวว่า ” กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง “ 

    ฉะนั้น น่าจะมีการปรับปรุงจุดนี้ค่ะ เพราะพระองค์ท่านควรมีพระราชอำนาจหากประเทศอยู่ในภาวะการณ์ที่วิกฤตมากๆ จะได้มีการเว้นวรรคเพื่อให้หยุดฟื้นตัวและยุติเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งได้นายกฯพระราชทาน..อย่างอังกฤษเมื่อประเทศไปไม่รอด ( แบบเราในตอนนี้ ) ก็มีช่วงหนึ่งที่มีนายกฯพระราชทานจากสมเด็จพระราชินีนะคะ เพราะท่านมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ..รวมทั้งประชาธิปไตยไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้งค่ะ..

    อย่าปล่อยให้ความขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญ และรัฐบาล ทำให้เกิดนองเลือดอีกครั้ง อยากจะขอให้ทุกฝ่ายฟังข้อมูลให้ครบถ้วนและตัดสินใจ เพราะวันนี้ต่างฝ่ายต่างฟังข้อมูลของตนเองซึ่งก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด และคิดว่า ควรสนับสนุนให้คนมีส่วนร่วม แสดงความเห็น และตัดสินใจค่ะ เพราะการเปิดพื้นที่จะทำให้ได้ความคิดที่หลากหลาย มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะพาเราออกจากภาวะติดขัดเหล่านี้ได้ 

    ชักง่วง..ขอไปนอนก่อนนะคะ แล้วจะมาติดตามใหม่ค่ะ

  • #10 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 21:40

    ในการร่วมกันหาทางออก ขอเสนอให้คำว่า “ต้อง” เป็นคำหยาบครับ

    คำว่า “ต้อง” คือการยัดเยียดความคิดของเราให้กับผู้อื่น ซึ่งเราก็โกรธหากผู้อื่นไม่รับ

    ทำไมถึงใช้คำว่า “ต้อง” ทำไมผู้อื่นจึงเห็นแตกต่างออกไปไม่ได้

  • #11 somroay ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ตุลาคม 2008 เวลา 22:18

    ชอบครับพ่อครูบาฯ มีการบ้านแบบนี้
    แต่เดี๋ยวมือก่ายหน้าผากสักประเดี๋ยว แล้วจะมาส่งการบ้านครับ

  • #12 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 6:45

    หัวเราะก๊ากกับคำเสนอของคุณรอกอด เห็นด้วยค่ะ เพราะเมื่อกี๊ไล่อ่านความเห็นของตัวเองอีกครั้งก่อนลงมาที่กล่องคอมเม้นต์พบว่ามีคำว่า “ต้อง” ที่ทำให้ขมวดคิ้วอยู่สองคำ..ซึ่งเป็นคำที่จะไม่ใช้ แต่เมื่อไปปรากฎก็ทำให้ความหมายไปไกลกว่าที่คิดจนแม้แต่ตัวเองก็ยังขมวดคิ้ว

    เข้ามาเพิ่มถึงกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร สส.ในพื้นที่ ตามที่สัมผัสมาจะมีการสำรวจฐานเสียงก่อนที่พรรคจะตัดสินใจคัดเลือกคนเป็นตัวแทนพรรคในการลงสมัครค่ะ ซึ่งเป็นการสำรวจโดยโพลที่พรรคเป็นคนทำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบางเขตจะมีคนเสนอเป็นตัวแทนพรรคหลายคน จึงคัดคนที่มีโอกาสมากที่สุด  การกลั่นกรองแบบนี้ทำให้คาดฐานคะแนนเสียงของตนได้ถูกต้องกว่า ๗๐ เปอร์เซนต์ค่ะ

    กลุ่มชนชั้นกลางขึ้นไปมักจะเป็นกลุ่มที่สร้างความพลิกผันให้กับผลการเลือกตั้ง เพราะไม่ขึ้นกับหัวคะแนน เมื่อใดก็ตามที่ไปใช้สิทธิ์ในเปอร์เซนต์สูงเมื่อนั้นโอกาสพลิกความคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ

    บารมีหรืออิทธิพลของผู้สมัครแต่ละคน อยู่ที่พื้นที่และคนในพื้นที่ด้วยค่ะ อย่างเขตทางนอกๆการสร้างงาน การอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ เช่นถนน ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ เรื่อยไปถึงการติดต่อ ค้ำประกัน ร้องทุกข์ เป็นความจำเป็นพื้นฐานที่ได้รับการร้องขออยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการดูแลที่กลืนเข้าไปในวิถีและได้รับความคาดหวังว่านี่คือหน้าที่พื้นฐานของส.ส…รวมทั้งประตูบ้านควรเปิดตลอดเพื่อพร้อมเสมอสำหรับผู้มาเยือนค่ะ 

  • #13 Iem ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 10:06

    ·       มาคุยต่อค่ะ   เพราะอึ๊ยังไม่ออก…

    ·       นึกถึงคำพูดที่ว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันอาจจะไม่เลวร้ายเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจินตนาการ  …น่าจะกล่าวถึง ในประเด็นที่เป็นความคิดเชิงลบ….

    ·       กินทีละคำ… เริ่มกระพือปีก….ให้ปีกน้อยสามารถโบยบิน…

    ·       คำพูดของใครบางคน แว๊บ แว๊บ เข้ามา….

    ·       ถ้าประชาชาชนมีคุณภาพดี ประชาธิปไตยก็คุณภาพดีด้วย

    ถ้าประชาชนมีคุณภาพต่ำ ประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยอย่างต่ำด้วย

    เพราะคุณภาพประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชาชน

    แล้วคุณภาพของประชาชนขึ้นต่ออะไร?  ก็ขึ้นต่อการศึกษา

    ·       แล้ว…การศึกษาที่ดี มีคุณภาพ เป็นแบบไหน…จำเป็นไหม ที่จะต้องเป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด…ไม่รู้สึกบ้างหรือว่า…โลกมันแคบ…

    ·       เปลี่ยนตัวตนข้างในของคน…ได้ไหม…เพื่อให้มีโลกใบใหม่ที่กว้างขึ้น….ฟังดู..น่าจะทำยาก… แต่เชื่อในศรัทธา และความมุ่งมั่นไหม…ความรัก…ความเข้าใจ…มันสามารถเหนี่ยวนำใครบางคน…หันมามองเรา..และฟังเราอย่างตั้งใจ…ได้ไหม…ผีเสื้อกระพือปีก…ว่าแต่ว่า…. เรา เปลี่ยนตัวตนข้างในของเรา …อย่างแท้จริงหรือยัง

    ·       ดูแลคนอื่น ด้วยการดูแลตนเอง

    นักการอิ่ม

    หมายเหตุ  ไม่ได้ดำดินมาแล้วนะคะ พี่บางทราย

  • #14 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 10:17

    #12 ผมเสนอเป็นการทั่วไปเพื่อเป็นข้อบังคับการประชุมครับ อิอิ

    เราใช้คำว่า “ต้อง” ในโครงสร้างของภาษาเพื่อแสดงน้ำหนักของประโยค โดยมักลืมไปว่ามีความหมาย assertive แสดงจุดยืนที่จะไม่ต่อรองด้วยเหมือนกัน

  • #15 มิสเตอร์สะตอฯ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 10:44

    กราบสวัสดีครับท่านครูฯและท่านผู้รู้ทุกท่านครับ

    ผมขอตอบในสิ่งที่ผมคิดส่วนตัวละกันนะครับ

    เมื่อวานผมได้รับการบ้านดังนี้

    1. เราจะมีบทบาทอย่างไรในส่วนของการดำเนินงานและกิจกรรมของ ”เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม” ต่อจากนี้ไป

    *** ผู้สานสันติธรรมควรศึกษาและเข้าใจของคนส่วนใหญ่ก่อน ก่อนที่จะนำไปสู่การพูดคุยแบบถอดหมวกครับ หากเราสร้างพลังขึ้นมาโดยพลังที่สร้างใหม่ยึดตัวตนของเราอัตตาเราเป็นหลัก โดยไม่เห็นใจของสังคม เราก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มอื่นๆที่เราไม่โดนใจครับ แล้วคราวนี้ก็จะเกิดกลุ่มมากมาย ตอนนี้อาจจะมีสามกลุ่มหรือห้ากลุ่ม หรือเอ็นกลุ่มครับ กลุ่มที่เงียบก็มี อยู่ เอ็มกลุ่มเช่นกันครับ เราจะมีบทบาทอย่างไร อันนี้ผมว่าเราควรจะบูรณาการเรากันเองให้ได้กันเสียก่อน แล้วใช้กลยุทธแบบคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง ในการกัดเซาะความเป็นตัวตน และอคติในอีกฝ่ายลด ทำแบบระยะยาว หลักสูตรที่ท่านครูเรียนอยู่ผมว่า ก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน ที่จะทำความเข้าใจ แล้วสานใจบูรณาการใจ ลดช่องว่างให้แคบลงครับ มีปัญหาแต่ไม่ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้
    หากเราสองคนตาบอด เดินมาเจอกัน เราจะสือสารกันอยางไร
    หากเราสองคนหูหนวก เดินมาเจอกัน เราจะสื่อสารกันอย่างไร
    หากเราสองคนใจบอด เดินมาเจอกัน เราจะสื่อสารกันอย่างไร
    หากเราสองคน ตาบอด หูหนวก ใจบอด เดินมาเจอกัน เราจะสื่อสารกันอย่างไร
    หากเราเห็นคนอื่นอยู่ในสภาวะนั้น แล้วเรามีครบสามสิบสองทุกประการ เราจะยื่นมือหรือทำอย่างไรให้เค้าสื่อสารกันได้ ผมว่าสังคมเราขาดการพูดคุยที่จรรโลงสังคม สื่อทำหน้าที่นี้ได้ดีมากหากจะทำ องค์กรการศึกษาทุกๆ องค์กร ทำได้หากจะทำ แต่เราถนัดการแยกแบ่งพวก แล้วหาเหตุผลมาทำคะแนนเพื่อให้ภาพของเราดูดี แล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร พูดคุยกันเพื่อทำใจให้สว่าง ตาจากที่เคยบอดให้เห็นเลือนลาง หูที่เคยหนวกให้ค่อยๆ ได้ยินเสียงดีขึ้น แล้วจะดีขึ้น
    เราไม่ต้องไม่วิ่งหาหรอกนะครับ ว่าใครคือคนๆนั้น คนๆนั้นก็คือทุกคนที่จะทำให้สังคมนี้ดีขึ้นนะครับ กลยุทธจับผิดตัวเอง จับถูกคนอื่น จับความดี ความมีธรรมมาใส่ใจ ใจเขาใจเรา คนที่จะเปลี่ยนบทบาทของสังคมได้ก็คือสมาชิกในสังคมนั้นแหล่ะครับ เพียงแต่ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนในชุมชนนั้น ที่พร้อมจะทำ หรือพร้อมจะเลือกฝ่าย ซ้ายขวา หน้าหลัง บนล่าง หรือนิ่งเฉยๆ อยู่ที่ตัวเราครับ
    ดังนั้นในส่วนนี้ หากจะทำ เริ่มที่ใจครับ บูรณาการใจไม่ได้ ยากที่จะฉุดมากๆ ครับ เพราะภาวะตอนนี้ไปไกลที่เกินจะถอย มีอยู่อีกอย่างที่ทำได้แบบหักมุมคือ สร้างศึกนอกให้รุกไทย แล้วคนไทยจะรักกัน

    2. เราจะมีวิธีการที่จะทำบทบาทดังกล่าวอย่างไร?

    **** คิดไปทำไป คิดเลยทำเลย ททท.ทำทันที เริ่มในกลุ่มเล็กๆ ก่อนครับ วันก่อนคนเล่าให้ฟังว่า มีการปิดถนนในถนนสายหนึ่ง กลุ่มแรกปิดถนนอีกข้างหนึ่ง อีกกลุ่มก็ออกมาปิดถนนอีกซีกหนึ่ง คราวนี้ทำให้เจ้าเมืองลงมาเจรจา จะเจรจาให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยุติและสลายก่อน ฝ่ายที่บอกให้ยุติก่อนก็ไม่ยอม แล้วหากเจรจาให้ยุติพร้อมๆ กันล่ะครับ จะได้ไหม? ตรงนี้ อยู่ที่ว่าถือประโยชน์สุขของใครเป็นสำคัญ บ้านเมืองเราก็เช่นกัน เรากำลังถือประโยชน์สุขของใครเป็นกิจที่หนึ่งกันอยู่ตอนนี้?

    3. เราจะทำงานด้วยกันในประเด็นใดบ้าง เพื่อให้เกิดพลังทางสังคม ในการยุติความรุนแรง และเกิดสันติด้วยการเสวนา

    **** ทำใจให้ผ่าน ทุกๆวัน เราควรหายใจเพื่อทำใจ ปกติเราก็หายใจเพื่อทำใจกันอยู่แล้วครับ หายใจเอาอากาศดีๆ ออกไปเพื่อให้ใจมันดี ทำงานได้ปกติ เรามาหัดตีใจหล่อใจเรากันเพื่อหล่อหลอมใจพลังที่ถูกต้องกันไหมครับ เมื่อวานผมไปเช่าพระหลวงปู่ทวดมา แม้เบ้าหลอมเดียวกัน องค์ท่านก็ยิ้มต่างๆ กัน นี่คือความหลากหลาย แต่ใจเดียวกันทำได้ไหมล่ะครับ หากทำได้ผมว่าระดับราชการ เอกชน ประชาชนรวมตัวกันในการทำสิ่งดีๆ เน้นกำไรทางสังคมเป็นหลัก บ้านเมืองก็จะอยู่ได้ ไม่ต้องรอคอยต่างชาติให้มาลงทุนอย่างที่เป็นอยู่ครับ

    4. เราจะจัดเวทีหรือเปิดพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจต่อสังคมไทยโดยรวมอย่างไร?

    **** เปิดมันทุกที่ที่มีใจที่จะทำ(ใจ) นะครับ ทำได้อยู่ที่เรา วงแคบเล็กก็ทำได้ครับ ผมจะเริ่มอาทิตย์หน้านี้ในวงที่ผมดูแลก่อนครับ พลังและบารมียังมีน้อย ก็ทำเพียงแต่น้อยๆ แต่ก็ถึงกันได้ครับ

    ขอตอบแค่นี้ก่อนนะครับ

    ขอบพระคุณมากครับ

    สังคมใดจะพัฒนาก็อยู่ที่สมาชิกในสังคมนั้นๆ พืช สัตว์ สิ่งแวดล้อม ก็มีส่วนช่วยให้สังคมดีขึ้นได้เท่าๆ กัน ขาดสิ่งใด อาจจะไม่ครบองค์ประกอบ

    เม้งครับ

  • #16 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 13:30

    เมื่อเกิดปัญหา ( เมืองไทยตอนนี้คงมีปัญหาแน่ๆ  อิอิ )  ก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลง ( โดนห้ามใช้คำว่าต้อง  เพราะเป็นคำหยาบ )

    ถ้าคุยกันรู้เรื่อง  ตกลงกันได้  ก็จบ

    ถ้าไม่คุยกัน  หรือคุยแล้วไม่รู้เรื่อง ( เพราะมีต้องอยู่ในหัวใจ )  ก็จบเหมือนกัน  แต่คง ( โดนห้ามใช้คำว่าต้อง ) จะจบแบบมีเจ็บตัวกันบ้าง  แล้วแต่ใครกล้ามใหญ่กว่ากัน

    มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย  ตามดูด้วยใจเป็นกลาง ? ( เอียงนิดๆ )

  • #17 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ตุลาคม 2008 เวลา 23:13

    ซวยเลยเรา

  • #18 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 8:25

    ว่าจะดอดเข้ามาดูและเติมอะไรหน่อย ก็ฮากลิ้งกับมุกของคุณหมอจอมป่วนกับคุณรอกอด ..ลืมเลยว่าจะพูดอะไร ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ตั้งหลักก่อน เดี๋ยวมาใหม่ค่ะ  ก๊ากๆๆๆๆๆ

  • #19 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 11:47

    เราจะ…..สมานสามัคคีกัน
    เราจะ…..ช่วยกันคนละไม้ละมือ
    เราจะ…..ค้นหาสัจจะธรรมแห่งธรรม
    จงเติมคำในช่องว่าง  ห้ามใช้คำหยาบ        อิอิ

  • #20 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 16:01

    ขำก๊ากกับพี่เหลียงอีกรอบ แหม..ล้อซะ :)

    พ่อบอกเสนอให้สุดกู่ไปเลย..เอาก็เอาค่ะ นอกจากการเปิดเวทีให้มีการจับเข่าคุยของผู้นำทุกกลุ่มฝ่ายที่กำลังฮึ่มๆกันอยู่ตอนนี้แล้ว

    มาถึงรัฐธรรมนูญกันบ้าง ที่ฝ่ายหนึ่งจะแก้ อีกฝ่ายไม่ให้แก้ ยันกันอยู่อย่างนี้ เพราะเงื่อนไขว่าต่างฝ่ายต่างก็ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาสวยงามแถมจะหาคนกลางก็ยากเพราะติดรัฐธรรมนูญ จะเอาการเมืองใหม่ก็ยากเพราะติดรัฐธรรมนูญ  งั้นขอตั้งตุ๊กตาตามสิ่งที่ได้คุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่คนข้างนอกมานานแล้ว เพื่อให้พี่ๆน้องๆทุกท่านช่วยกันคิด รื้อ และต่อเติมตามใจค่ะ

    เตรียมพร้อมในการจัดการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ…ฯลฯ (ยังนึกชื่อเต็มๆไม่ออกค่ะ)ทั้งทางกฎหมายและกกต. > ยุบสภา..แล้วให้ประชาชนสรรหาสภาร่างฯ (ที่ยังนึกชื่อเต็มๆไม่ออกอันนี้แหละ) ห้ามนักการเมืองทุกกลุ่มฝ่ายลงสมัครนะคะ ให้เลือกได้จังหวัดละ ๔ คน แบ่งสัดส่วนผู้แทนสภาร่าง ๔  คนในแต่ละจังหวัดเป็นสองส่วน คือ ๑.ส่วนของผู้จบนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ( กลุ่มนี้จะเชี่ยวชาญเรื่องการปกครองและกฎหมาย ) หนึ่งกลุ่ม ซึ่งควรมีการประกอบอาชีพเป็นหลักฐานแน่นอนนะคะ เพราะอยากให้เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพนั้นๆ กลุ่มนี้ประชาชนในจังหวัดสามารถเลือกมาได้ ๒ คน  ๒. ป.ตรีขึ้นไปในสาขาอื่นๆ หรือปราชญ์ชาวบ้าน ..แพทยศาสตร์ก็สมัครได้ค่ะ ก๊ากๆๆๆๆ กลุ่มนี้ก็เช่นกันที่ควรมีการประกอบอาชีพที่แน่นอน ตรวจสอบได้นะคะ เลือกตัวแทนได้อีก ๒ คน

    การเปิดให้กลุ่มอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมมีสิ่งที่ควรทำให้เป็นกติกาชัดเลยว่าบุคคลในกลุ่มอาชีพที่สมัครมาเป็นตัวแทนของสาขานั้นๆได้ประกอบอาชีพนั้นจริง (  ก่อนมาลงสมัคร ) ถ้าเป็นแค่นอมินีของบริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัทข้ามชาติ หรือกลุ่มอำนาจการเมือง ก็หมดสิทธิ์ในการลงสมัคร ซึ่งตรงนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะตรวจสอบอย่างไร เอาแบบสมัครงานดีมั้ย ใช้ ใบรับรองอะไรทำนองเนี้ย..

    หาเสียงได้ กำหนดงบประมาณในการหาเสียงไม่เกินคนละ ๔ ล้านให้เวลาโฆษณาตนเอง ๑ เดือน แล้วเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศ

    สภาที่ได้จะเป็นสภาชั่วคราวมีอายุไม่เกิน ๑ ปี มีหน้าที่ในการ ๑.คัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถกลุ่มหนึ่งจากคนในประเทศมาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองไปก่อนในช่วงหนึ่งปีนี้ ( คัดไม่ดีก็สนุกอิอิ ) รัฐบาลชั่วคราวนี้มีภารกิจคือ ” วางรากฐานของประเทศ และไม่ทำอะไรที่เป็นการผูกพันหรือเป็นภาระแก่รัฐบาลใหม่ ” เพราะตัวมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นนะจ๊ะๆๆๆๆ ๒.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยการถกเถียงหาข้อยุติในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่  หรือจะปรับแก้ไขก็ตามที เพื่อให้ความคิด ” ตกผลึก ” และมีรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพราะประชาชนเลือกเข้ามาเองนี่นา ฝ่ายไหนจะโวยวายว่ามาจากเผด็จการทหาร หรือเผด็จการรัฐสภาก็พูดไม่ออก

    ขอเชิญทุกท่านร่วมกันสร้างฝันต่อค่ะ..

  • #21 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 16:10

    ขออีก คนละหลายๆอีก

  • #22 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 17:12
    • สภาควรออกกฏหมายอย่างเดียว อย่าไปยุ่งกับการบริหารราชการครับ
    • เมื่อรับอาสาประชาชนมาออกกฏหมาย ก็ทำหน้าที่อย่างที่ตนอาสามาทำ แล้วก็กรุณาทำซะด้วย เลิกเอาแต่พูด
    • แค่พิจารณากฏหมายที่มีอยู่แล้ว ก็อาจจะพิจาณายกเลิกได้หนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่ง เพราะมีกฏหมายเยอะมากที่ล้าสมัย ไม่ทันเหตุการณ์ และยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นการให้อำนาจ แต่ไม่ได้กำหนดหน้าที่/เป้าหมาย

    • ควรจำกัดอำนาจรัฐมนตรีไว้แค่เรื่องของนโยบาย ตามที่แถลงไว้กับสภา
    • เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป อาจจะมีบางอย่างที่ไม่ได้แถลงไว้กับสภา ก็แถลงนโยบายเพิ่มเติมอีกก็ได้ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใส สส.ทุกท่านตรวจสอบได้

    • ตั้งคำถาม ตั้งโจทย์ร่วมกัน อย่าคิดแก้ปัญหาโดยไม่รู้ว่าคำถามคืออะไร เป้าหมายคืออะไร จะได้เลิกนิสัยแถไปเรื่อยๆ (สงสารอะ น่าจะเจ็บสีข้าง) [เพิ่มเติม: ราณีเจ๊าะแจ๊ะ]

    • พ่อแม่สั่งสอนลูกเรื่องหิริโอตตัปปะ มารยาท และความละอายกันซะบ้าง

    ป.ล. ไม่มีคำว่า “ต้อง” หึหึ

  • #23 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 19:27

    เห็นด้วยครับท่าน คอนฯ
    สส.ให้จำกัดอำนาจไม่ให้ยุ่งกับฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารก็ให้เลือกตั้งมาอีกส่วนหนึ่ง
    สกัดการแสวงอำนาจโดยให้แยกส่วนโดยเด็ดขาด
    ฝ่ายการศึกษา ให้แยกส่วนให้การบริหารอย่างอิสระ รวมทั้งงบประมาณ
    งบประมาณก็ให้ผ่านการดูแลโดยสภาต่างหาก
    องค์กรตรวจสอบให้สรรหามาอย่างอิสระ เป็นองค์กรที่เข้มงวดในการเลือกสรร

    มีคำว่า”ต้อง”ไหมเนี่ย……….เสียวๆ

  • #24 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 ตุลาคม 2008 เวลา 23:14

    โห มีแต่คนส่งการบ้าน
    อายจัง
    แต่ขออายต่อไป จนกว่าน้าแป๊ดจะมา

  • #25 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ตุลาคม 2008 เวลา 20:27

    วันที่สมหมายชอบที่สุด โดย GPEN 2 ก.ย. 51

     

  • #26 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 ตุลาคม 2008 เวลา 8:49

    เยี่ยมค่ะคุณรอกอด อ่านแล้วสนุกและ”ชัด”  และพี่บางทราบเริ่มตอบโจทย์พ่อ( สนุกค่ะ )  พี่ครูอึ่งก็ตอบด้วย ( พี่อึ่ง พี่แป๊ดจ๋า อิอิอิ )

    ทุกอย่างในโลกไม่ได้ดีไปหมดหรือเลวไปหมดนะคะ เพียงแต่ส่วนไหนที่ไม่เหมาะก็ปรับปรุง ส่วนไหนที่ดีก็สานต่อ ค่อยๆทำ ค่อยๆแก้ โดยมีจุดหมายปลายทางในสิ่งเดียวกัน เชื่อและศรัทธาในความดีงามของคน..ของโลกใบนี้ เพราะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแม้จะไม่ทันใจแบบกดปุ่มแต่ก็เปลี่ยนได้ ถ้าหล่อเลี้ยงเค้าไว้ด้วยความดีงาม

    ความรุนแรง หยาบหยามไม่ก่อให้เกิดสิ่งใดในทางที่ดี เพราะเจตคติที่แสดงออกเป็นด้านลบ ลบจะสร้างบวก ใช้พลังมหาศาลและทำได้ยากมาก แต่บวกทำให้เป็นบวกๆๆๆๆๆๆนั้นง่ายกว่าเยอะ และมีความสุขในการทำด้วย

    การ์ตูนที่คุณรอกอดนำมาฝากทำให้ยืนยันสิ่งที่คิดว่า ถ้ารัฐบาลใดตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คือปัจจัยสี่ แบบที่รัฐบาลท่านทักษิณทำ ท่านก็ได้รับความรัก แม้นจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม..และทุกรบ.ถ้าจะทำเพื่อปชช. ก็กำหนดสิ่งเหล่านี้ให้เป็นสวัสดิการพื้นฐาน เอาไปเป็นรัฐธรรมนูญเลยดีมั้ยคะ  อย่างสามสิบบาทก็เอาไปไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันว่าสิทธิในการรักษาพยาบาลจะคงอยู่ตลอดไป ..ส่วนไหนดี ส่วนไหนเหมาะสมก็ควรทำต่อนะคะถ้าเรายึดคนในประเทศเป็นหลัก

    ในอดีตธรรมเนียมปฏิบัติคือเปลี่ยน รบ. มักจะรื้อสิ่งเดิมทิ้งทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าแม้นจะเปลี่ยน รบ.มาสองครั้งแต่ก็ยังมีหลายๆนโยบายที่ยังคงอยู่ เช่นสามสิบบาทฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราอยากเห็นคือการทำงานร่วมกันและยอมรับในสิ่งดีๆเพื่อสรรค์สร้างปท.นั้นไม่ไกลเกินไปแล้วล่ะค่ะ ( มั้ง?)
     
    สนุกจริงๆ ลานฯนี้ อิอิอิ

  • #27 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 13:35

    ท่านครูบาครับ ผมเอาโจทย์ไปตอบที่นี่ครับ

    1 http://lanpanya.com/bangsai/archives/78
    2 http://lanpanya.com/bangsai/archives/81
    3 http://lanpanya.com/bangsai/archives/87

    ขอบคุณน้องแก้มยุ้ย ช่วยเชื่อมให้

    เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก เป็นกรณีคำถามประวัติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และอีกหลายนักคงศึกษาว่าทางออกคืออะไร มีกี่หนทาง แบบไหน อย่างไร จะลงเอยอย่างไร หรือไม่ลงเอยอย่างไร

    บันทึกใว้เป็นประวัติศาสตร์ครับ
    อย่างไรก็ตามความคิดเห็นเหล่านี้เป็นมุมมองที่มีข้อจำกัดในเรื่องข้อมูลด้วยนะครับ

  • #28 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 19:57

    ไปตอบอยู่ในมุมเล็กๆ อิ อิ

  • #29 ลานเวลา » สันติสุขในโลกใบเล็ก ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 ตุลาคม 2008 เวลา 7:33

    [...] ตามอ่านบันทึกของครูบาฯ เจอปัญหาที่ต้องสะกิดใจให้คิด จึงตามติดไปหาความรู้ต่อกับท่านอัยการฯ ว่าด้วยงานสร้างเสริมสันติ ตามที่มีใครบางคนแนะนำไว้ ทำให้ได้มุมมองเพิ่มขึ้น [...]

  • #30 » สวัสดีปีใหม่ชาวเฮทุกท่าน อย่าลืมบันทึกนี้ครับ ลานเจ๊าะแจ๊ะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 ธันวาคม 2008 เวลา 17:25

    [...] อย่าลืมบันทึกนี้ครับ [...]

  • #31 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 เมษายน 2009 เวลา 6:18

    เพิ่งมาเจอว่าไม่ได้ตอบคำถาม ฮา…


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.20105409622192 sec
Sidebar: 0.057417869567871 sec