วิธีทำงานร่วมกับเทวดา
(ถ้ากองฟางง่าย ๆ มันก็งั้น ๆ แหละ แต่กองแบบนี้ใครเห็นก็โอ้โฮ)
ถ้าทำอะไร 1 อย่างได้ผลตอบแทน 2-3 อย่างจะดีไหมครับ งานอะไรก็ได้ให้มีโบนัสเป็นของแถม เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้สวรรค์บันดาลก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใคร่ครวญพิจารณาให้ดี ที่จริงแล้วก็เกี่ยวข้องกับสติปัญญานั่นแหละ วิธีต่อยอดความคิดไปสู่ยอดอ่อนของปัญญา จะเป็นประกายจุดชนวนในเรื่องเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น ในการปลูกกล้วยที่สวนป่า ถึงจะปลูกไม่มาก แต่ก็หยอดไว้ที่โน่นที่นี่ เพราะคนปลูกเอาสะดวกเข้าว่า เดินไปไหนจึงเจอกลุ่มกล้วย ๆ ที่รกเรื้อ ในช่วงฝนก็พอดูได้ แต่ช่วงแล้งร้อนหฤโหดอย่างนี้ กล้วยก็กล้วยเถอะทนไม่ไหวเหมือนกัน ใบแห้งเหี่ยวยืนต้นโทรม ๆ ร่อแร่
(ปลูกกล้วยแถมฟักทอง-น้ำเต้า)
ต้นกล้วยเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของสภาพแวดล้อมในถิ่นนั้น ๆ ขนาดต้นกล้วยที่อวบน้ำยังแห้งเหี่ยวหัวโต พืชเล็กพืชน้อยจะเหลือเรอะ นี่แหละวิกฤติธรรมชาติของจริงมาเยือน ดูตามสภาพการณ์แล้ว ถ้าไม่มีน้ำไม่มีปุ๋ยปลูกไปก็เหนื่อยเปล่า ปัญหาเรื่องน้ำมาจ่อคอหอย ต่อไปคงถามหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำกันตาเหลือก แผนจัดการเรื่องน้ำทุกอเนกประสงค์อยู่ที่ไหน? สิ่งที่ Logos รำพึงมาถึงเร็วเหลือเกิน..
ในฐานะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์และเผชิญสภาพเหล่านี้ จะนั่งงอมืองอเท้าอย่างไรได้ ผมจึงชวนลูกน้องขุดหลุมปลูกกล้วยกันใหม่ ย้ายกล้วยเข้ามาอยู่ในแปลงขี้โม้ ซึ่งเป็นพื้นที่นิทรรศการสำหรับงานทดลองของสวนป่า หลุมกล้วยดังกล่าวขุดขนาดใหญ่พิเศษ เอาใบไม้และปุ๋ยคอกรองก้นหลุมแล้วไปงัดหน่อกล้วยที่ได้อานิสงค์ตอน 3 สาวซ่าส์มาปลูกไว้ รดน้ำทุกวัน กล้วยในดวงใจกลุ่มนี้ก็เขียวสะบัดใบ สังเกตเห็นใบกล้วยเป็นร่มเงาให้แก่ตัวเองอย่างดี พื้นที่รอบ ๆ หลุมกล้วยก็ยังว่าง ผมจึงเอาเมล็ดฟักทองและน้ำเต้าไปหยอด ผลที่ได้รับสมบูรณ์แบบมากครับ กลายเป็นว่าปลูกกล้วยแต่ได้กินยอดและผลของฟักทองและน้ำเต้าก่อน จากปุ๋ยและน้ำที่ต้องใช้เท่าเดิม แถมยังได้ร่มเงาจากใบกล้วยปกป้องให้ผักที่อ่อนแอกว่า
การจัดการแบบรวบหัวรวบหางอย่างนี้
เราต้องเรียนรู้นิสัยของพืชเช่นกัน
พืชอะไรควรจะจับคู่กับอะไร
เหมือนอย่างในเรื่องตาแก่กับไม้ไผ่ผุ
ถ้าตระหนักในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เราจะเพิ่มคุณค่าได้
เมื่อเกิดกรณีตัวอย่างเชิงประจักษ์
ทำให้เรามองพื้นว่างที่อยู่ถัดไปจากหลุมกล้วย
ไหน ๆ ก็เสียเวลาดูแลและลงทุนรดน้ำแล้ว
เราจะปล่อยให้วัชพืชทั่วไปขึ้นทำไมละ
เปลี่ยนวัชพืชมาเป็นผักล้มลุกพื้นถิ่นที่เราชอบไม่ดีกว่าหรือ
คิดแล้วก็ต้องทำทันที
(ปลูกเล่นๆ เข็นมาเป็นคันรถ)
ที่แปลงผักขี้โม้นี่แหละครับ
ต่อไปจะมีต้นผักโขมจีน อ่อมแซบ ชะพลู มะเขือพวง ขึ้นแซมเต็มพื้นที่
ที่จริงก็เป็นการเลียนแบบธรรมชาตินั่นเอง
เพียงแต่มีการจัดการให้เกิดประโยชน์สำหรับมนุษย์มากขึ้น
แปลงสาธิตขี้โม้ดังกล่าวนี้
จึงเป็นกระดานดำที่มีชุดความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน
อ้าว! คิดใหม่ทุกวันก็ได้สิ่งใหม่ ๆ นะสิ
สิ่งนี้อธิบายเรื่อง “ชีวิตคือการเรียนรู้”
แต่บางคนที่เรียนแล้วยังไม่รู้
เพราะไปวุ่นวายทำสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิตคือการสู่รู้”
ไปเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอย่างน่าเสียดาย
ถ้าคิดมุมบวกแล้วทวีคูณเข้าไป
จะมีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำอย่างเรื่องกล้วย ๆ ยังไงละครับ
ธรรมชาติของบ้านเมืองเรานั้นวิเศษนัก
ถึงจะขี้เกียจสันหลังยาวยังไงก็ไม่อดตาย
ถ้าเพียงแต่ไปแงะต้นไม้มาปลูกไว้
(กล้ามะละกอสายพันธุ์เทวดาประทาน)
เมื่อวานนี้เดินไปเจอต้นมะละกอเล็ก ๆ ขึ้นเป็นกระจุก
คงเกิดจากมะละกอสุกหล่นลงพื้น
หมูหมากาไก่ไม่เห็นไม่กินเมล็ดจึงรวมกันเป็นกระจุก
พอได้น้ำเข้าหน่อยก็งอกพร้อมให้งัดไปปลูก
โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลาเพาะต้นกล้าแต่อย่างใด
ท่านลองคิดดูเถิด..
ถ้าเทวดาเป็นใจอย่างนี้แล้ว
ยังดูดายไม่คิดไม่ทำอะไร
ต่อให้ใช้ทฤษฎีอะไรมาพัฒนาให้ตายมันก็ไม่เกิดประโยชน์
การที่จะอบรมคนไม่เอาไหนให้เอาถ่านนั้นไม่ง่ายนักหรอก
พระเอกขี่ม้าขาวตกม้าตายมานักต่อนักแล้ว
ทางที่ดีก็คือ..อย่าดีแต่พูด
น้ำลายไม่ได้ช่วยให้ต้นมะละกอออกลูกได้หรอก
น้ำพักน้ำแรงเราต่างหากเล่าทำให้มีมะละกอสุกลูกต่อ ๆ ไป
(เทวดาส่งหมอเจ๊มาปลูกมะละกอ อภินิหารมีจริง)
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วผมก็คิดถึงชาวเรา
ในช่วงใกล้ ๆ นี้จะมีใครมาสวนป่าบ้างหนอ
ผมจะเชิญเป็นเกียรติปลูกต้นมะละกอพันธุ์เทวดาประทาน
มองดูคร่าว ๆ น่าจะมีประมาณ 30 ต้น
ถ้ามาคนเดียวปลูก 30 ต้น
ถ้ามาสองคนปลูกคนละ 15 ต้น
ถ้ามาสามคนปลูกคนละ 10 ต้น
ได้ข่าวว่าหมอเจ๊จะมาจึงดีใจล่วงหน้า
ที่เทวดาส่งคนมาช่วยปลูกมะละกอ
สำหรับท่านที่ไม่ได้มา
รอคิวเทวดาส่งมาให้กินก็แล้วกันเน๊อะ
ถ้าคิดดีก็จะมีแต่เรื่องที่น่ายินดีอย่างนี้แหละขอรับ
แคว๊ก ๆ
« « Prev : มหาชีวาลัยจะเปิดคอร์สกระชับพุง?
ความคิดเห็นสำหรับ "วิธีทำงานร่วมกับเทวดา"