ชาวเฮบุกพืชสวนโลกยามราตรีู
ช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ ครูอึ่งกับครูอารามเอารถตู้มารับ บอกว่าจะมาลุย ..เอ้าลุยก็ลุย ในเมื่อวัตถุประสงค์หนึ่งที่มาคือจะมาดูต้นไม้ กล้วยไม้ เผื่อจะเจอพันธุ์ที่โดนใจ จะเล็ง ๆ ไว้เพื่อขนเอากลับไปปลูกอีสาน ตอนที่เอารถบรรทุกมาปลายเดือนหน้า เราได้รับคำแนะนำว่าที่เชียงใหม่มีจอมยุทธด้านสวนปาล์มระดับพระกาฬ มาตั้งหน้าตั้งตาปลูกปาล์มนานาชนิด ปาล์มนั้นเหมาะกับอีสานไม่น้อย เจ้าของสวนแห่งนี้เป็นผู้มีส่วนจัดการช่วยตอนที่สร้างพืชสวนโลกเป็นอย่างมาก ข้อมูลเพียงเท่านี้เราก็ตื่นใจ ตื่นเต้นตุ๊บ ๆ แล้ว ที่สำคัญมีครูอารามไปด้วย ผมนะอยากให้คนที่ชอบปลูกต้นไม้ ไปเห็นความพิเศษแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในพรรณไม้เหล่านั้น ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้มีเพื่อนร่วมอึ้งกิมกี่ อึ้งคนเดียวมันเหี่ยวหัวใจ อิอิ
สวนปาล์มอยู่ที่ไหนก็ไม่จดจำแล้ว เพราะถ้าจะมาก็ต้องให้น้าอึ่งพาไปอยู่ดี นั่งรถไม่ไกลเท่าไหร่ จากบ้านน้าอึ่งไปคงราว ๆ 15-20 นาทีเท่านั้น ไปถึงเจ้าของบ้านไม่อยู่ แต่เรามีมัคคุเทศก์พิเศษที่กรุณาพาเราไปชมสวนกล้วยไม้ไปด้วย ไกด์กิติมศักดิ์ที่ว่านี้สนิทกับอาจารย์เจ้าของสวน และเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว จึงอธิบายให้ข้อมูลได้สบายมาก ลงรถไปก็แทบตะลึง เหมือนเราเข้าไปอยู่ในสวนป่าแหล่งอื่นของโลก ไม้แต่ละต้นหน้าตาแปลก ๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเจอมาก่อน ที่เจอมาบ้างก็ต้นเล็ก ๆ แต่ที่นี่ยืนต้นสูงเป็นแม่ไม้มีลูกหล่นเกลื่อน ส่วนไม้ชั้นรองก็มีตั้งแต่ไม้น้ำ ไล่ระดับขึ้นมาเป็นพวกไม้ชั้นเล็กชั้นกลาง อาจารย์ดร.พิศิษฐ์ อรอุไร จัดภูมิทัศน์ที่บ้านท่านได้เยี่ยม สมกับเป็นปรมาจารย์ด้านปาล์มเมืองไทย
มันมากมายจนเล่าไม่ถูก อาศัยกล้องถ่ายแหลก มาดูภาพในกล้องก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงรูปอะไร เพราะมันมั่ว-สวยสะเด็ดไปเสียทุกจุด อนึ่ง รู้สึกว่าทำไมกล้องเก็บภาพได้น้อยกว่าที่สายตาเราเห็นมากเลยนะ หรือความประทับใจมีอิทธิพลต่อความเห็น!!! ผมเล็ง ๆ ไว้แล้ว จะมาขอซื้อแบ่งปันต้นเล็ก ๆ ไปอย่างละต้นสองต้น เพื่อให้มันไปแพร่ขยายทางอีสานบ้าง แต่ละต้นราคาคงไม่ถูกนัก ก็เอาไปเท่าที่กระเป๋าเราจะอำนวยละครับ แต่ถ้ายกสวนไปได้สักส่วนหนึ่งละเธอเอ๋ย จะเนรมิตโอเอซีสที่สวนป่าได้เลยเชียวแหละ
ชื่นชมสวนปาล์มจนเย็นมากแล้ว
น้าอึ่งบอกว่าเราลองไปพืชสวนโลกต่อกันไหม
ถ้าเขาปิดเราก็กลับ
ปกติเขาจะปิด 6 โมงเย็น
อภินิหารมีจริงๆด้วย โอ้วๆๆๆ
ผมไม่เคยมาเที่ยวสวนโลกสักครั้งเดียว ต้องแต่ตอนที่เขาเปิดงานครั้งแรก คราวนั้นมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชิญให้มาร่วมงาน แต่ผมเห็นข่าวประโคมกันใหญ่โต คิดว่ายังไง ๆ คนก็คงจะมาชมมืดฟ้ามัวดินแน่ จึงได้แต่ติดตามข่าวตามสารคดีต่าง ๆ ด้วยที่ไม่ชอบไปงานแบบเบียดเสียดแย่งกันดู จึงเว้นวรรคงานพืชสวนโลกเรื่อย ๆ มา จนกว่าวาสนาจะมาถึงเหมือนคราวนี้ พูดแล้วจะหาว่าคุย..เราแทบจะปิดพืชสวนโลกชมกันเฉพาะพวกเรานี่แหละ น้าอึ่งเดินเรื่องติดต่อ..
น้าอึ่ง นะเส้นใหญ่ ไปบอกเขาว่าครูบามา
เขาเลยยอมเปิดให้ชมได้ถึง 2 ทุ่ม เอาละสิ ..
พากันเดินไปขึ้นรถพาเที่ยวในบริเวณงานก็เหมือนเหมาจ่าย
ทั้งคันนั่งกัน 4 คนเฉพาะหมู่เฮเฮานี่แหละ
โชเฟอร์ก็พาขับวนไปรอบ ๆ มุมไหนสวย ๆ ก็จะหยุดอธิบายให้ถ่ายรูป
เราชวนกันเดินไปนั่งที่หอคำยามที่ท้องฟ้าหรุบหรู่
ลมโชยมาจากเชิงเขาด้านหลัง
ท้องฟ้าเริ่มมีประกายดาวระยิบบ้างแล้ว
นั่งรอชมดวงจันทร์ดวงโตที่จะโผล่มายังท้องฟ้ากว้างใหญ่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา
แหม..ถ้าจะบอกว่าสวนโลกทั้งใบยกให้พวกนายกลุ่มเดียวก็ใช่เลยแหละ
จะมีสักกี่คนที่ได้มาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวิเศษนี้
เราเก็บความปลื้มใจเข้าพกเข้าห่อกัน
จนกระทั่งพระจันทร์ดวงโตสีหมากสุกโผล่มาให้เชยชมเราก็ได้เวลาพากันกลับ
แวะไปรับคุณหมอเปาหลานสาวครูอึ่งที่โรงพยาบาล เสียดายอุ้ยสร้อยไปเที่ยวยังกลับไม่ถึงเคหา ไม่อย่างนั้นจะชวนไปดวลอาหารเวียดนาม ร้านนี้อยู่ริมปิงจัดบรรยากาศได้ดีมาก อาหารที่นี่ผักเขาสดกรอบไม่ค่อนข้างเหี่ยวเหมือนร้านในกรุงเทพ เราแบ่งกันสั่งคนละอย่าง ผมเห็นเมนูมี แหนมมะยม ก็เลยสั่งมาทดลองดู แต่อย่างอื่นเต็มโต๊ะก็อร่อยทุกจาน วันนี้อร่อยทุกมื้อเกลี้ยงทุกจาน เรื่องอ้วน-ผอม-น้ำหนักจะขึ้นจะลง พักไว้คุยกันทีหลัง เรื่องเฉพาะหน้ายั่วพยาธิต้องจัดการก่อน คุณหมอป่วนสอนไว้ อิ อิ..
เห็นผักอยู่ต่อหน้าก็คุยกันเรื่องผักๆ
ผมเล่าว่า ผักสลัดนี่นะ ถึงจะดูบอบบางแต่หาได้มีแมลงรบกวนไม่ สงสัยว่าจะมีสารพิเศษอะไรบางอย่างอยู่ในผักนี้
หมอเปา (ที่อยากให้เจอหมอป่วนจังเลย) บอกว่า..
ก็เขาชื่อสลัด ..โรคอะไรมาก็สลัดออกสิคะ
หมอเปา นะหมอเปา คิดได้ยังไงนี่
หมอเปาเธอเป็นคนรุ่นใหม่เก่งพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ๆแล้ว
คุยกับเธอจะสนุกเก๊ก ๆ เก๊าะ ๆ แก๊ะ ๆ.. ที่หลุดโลกทุกที
ขอขมวดแค่นี้ก่อนนะขอรับ
วันนี้จะไปลุยที่ดอยอ่างขาง
น้าอึ่งไปเที่ยวหาดใหญ่ - กรุงเทพฯ หลายวัน
วันนี้ต้องกลับไปชำระบาปเสียที
ได้ครูอึ่งกับครูอารามมาแตะมือรับช่วงต่อ
คนแซ่เฮ มันดีอย่างนี้ละครับ
ดังนั้นจงรักกันไว้เถิดจะเกิดผลดีที่ซู๊ด!!!!!!!!!!!!
แคว๊กๆ
« « Prev : คนไม่มีไฟ
Next : อ่างขาง ใครยังไม่เคยไป เอามือลง.. » »
6 ความคิดเห็น
ดร. พิศิษฐ์ วรอุไร ผู้บุกเบิกการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้รองเท้านารี ในประเทศไทย เป็นพระอาจารย์ของผม ตั้งแตสมัยเข้าเรียน มช. เมื่อปี ๒๕๐๗ มีโอกาสพาลูก ๆไปเยี่ยมคารวะท่านที่บ้านสวนเมื่อสมัยเริ่มใหม่ ๆ ช่วงหลังยังไม่มีโอกาสไปครับ
ขอบคุณที่เพิ่มเติมข้อมูลครับ
คิดฮอดนะคะพ่อขา
อ้าว เจ้าลูกหว้าก็โผล่มาตอนนี้ แสดงว่างานการเริ่มเบาบางแล้วใช่ไหม
คึดฮอดก็ติมตามอ่านตอนต่อไปก็แล้วกัน แคว๊กๆ
ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร เป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือมากๆครับ ท่านรับใช้สนองเบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนได้รับพระราชทานเป็นพระยาพานทอง ซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปน้อยคนนักที่จะได้รับส่วนใหญ่ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรี ประธานสภา ต่อมาท่านได้รับใช้สมเด็จพระเทพฯดูแลสวนพฤกษศาสตร์ ท่านมาช่วยโรงเรียนสตรีภูเก็ตเกี่ยวกับสวนพฤกษศาสตร์และท่านมาช่วยนักเรียนให้รู้จักคิด ท่านบอกว่าสรรพสิ่งล้วนพันเกี่ยว ให้นักเรียนคิดอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้นักเรียนตื่นแต่เช้า ดื่มน้ำให้ครบตามปริมาณที่กำหนด ต้องเก็บที่นอนหมอนมุ้งพับผ้าห่มให้เรียบร้อย เป็นการฝึกความรับผิดชอบต่อตนเอง แล้วต่อมาให้หัดกวาดบ้านถูบ้าน เพื่อหัดช่วยเหลือครอบครัว จากนั้นก็ให้คิดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อให้รู้จักช่วยเหลือสังคม เป็นต้น เสียดายที่พ่อครูบาไม่ได้เจอท่าน ไม่งั้นคุยกันยาวววว..
น่าจะเคยเจอในระหว่างการประชุมงานที่ไหนสักแห่ง ไม่แน่ใจ
แต่ได้แอบไปบ้านท่านก็นับเป็นวาสนาแล้วนะครับ
อิอิ