เตรียมทำการบ้านสิจ๊ะถึงได้สะได้สวย

อ่าน: 1842

 

(ทำเป็น กินเป็น ก็คิดเป็นเองแหละ)

ฝนตกช่วงบ่าย เปลี่ยนอากาศอบอ้าว ..เย็นชื่นระรื่นระรวยริน บรรยากาศอย่างนี้น่านอนเสียจริง แล้วจะยึกยืออยู่ทำไมละ ว่าแล้วก็เอนนอนบนเก้าอี้ฮ่องเต้ ฟังเสียงฝนเพลิน แป๊บเดียวก็หลับสบายไปนานพอสมควร ตื่นมาแดดออกรำไร ยังไม่ลุกไปล้างหน้า อาจารย์ภูคา ผู้ที่มีกล้วยไม้อยู่ในหัวใจนั้นแหละ ทรมาชวนให้ไปคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวร ในหัวข้อจิตสาธารณะ วันที่ 27 สิงหาคม ผมนะว่างอยู่แล้ว ประกอบกับมีแรงบวกอยากจะไปเจอตาหวาน หนูนีน่า ท่านจอมป่วน และโรตีเจ้าเก่า ผมก็รีบตกลงนะสิครับ อ้อ ใครจะไปด้วยยกมือขึ้น! อิ อิ..

 

ประกอบกับวันที่11 สิงหาคม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ชวนไปสัมมนาเรื่องสภาวะการศึกษาไทยปี 2551-2552 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลช มีผู้สันทัดกรณีจะมารายงานสภาวะการศึกษาและความเคลื่อนไหวทางการศึกษาไทย ในภาพรวมระดับประเทศ รวมทั้งการวิเคราะห์ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของการพัฒนาการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคนและสังคมของประเทศ ผมจึงรวมเอาเป็นการบ้านเข้าด้วยกันทั้ง 2 งาน

ตกลงใจแล้วก็ถามตัวเองว่าจะเอาอะไรไปพูด ตรงนี้แหละ..ที่ทำเอาแทบหายง่วง คนที่กึ๋นจำกัด มีทางเดียวต้องพึ่งพาครูบาอาจารย์ ท่านส่องสว่างทางเดินไว้ที่ไหนบ้าง ก็จะขออนุญาตไปตามไปเก็บมาปะติดปะต่อไปเล่าให้ลูกหลานฟัง ในประเด็นที่ว่าด้วยการศึกษา ยกตัวอย่างเช่น

 

การศึกษา กับ การสร้างผู้นำรุ่นใหม่

..การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างคนชั้นนำ หรือปัญญาชนชั้นนำ ควรเป็นการศึกษาที่ผลิตคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำได้จริงคือต้องเป็นคนที่รู้จักสังคมไทย เป็นคนที่พูดกับชาวบ้านรู้เรื่อง อยู่กับชาวบ้านได้ เป็นคนที่ชาวบ้านเชื่อถือและนับถือจนนำชาวบ้านได้ ไม่ใช่เป็นการศึกษาที่แยกคนรุ่นใหม่ออกจากสังคมไทย ทำให้คนไทยรู้สึกแปลกหน้ากัน ควรเป็นการศึกษาที่ทำให้คนไทยเข้าใจกัน และรู้ทันคนนอก ไม่ใช่สร้างคนไทยที่ฝากใจไว้กับคนนอก

 

การศึกษา กับ ความสุข

..มนุษย์สามารถหาความสุขที่ประณีตกว่า การบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย มนุษย์มีความสุขได้โดยลำพังตัวเองในใจไม่ต้องขึ้นต่อวัตถุภายนอก ถ้าเรามีความสุขภายในแล้ว ความสุขที่ได้จากข้างนอกก็เป็นความสุขที่เติมเข้ามาเป็นของแถม หรือกำไรพิเศษ ถ้าเราไม่มีความสุขในจิตใจ มีใจเร่าร้อนกระวนกระวาย หรือมีความเบื่อมีความเครียด มีปัญหาอยู่ภายในใจของตนเองแล้ว พอหาวัตถุมาบำเรอ ก็จะต้องมีปัญหาต่อไปอีก

 

ปัญหาพื้นฐานของการศึกษา

..เมื่อพูดถึงปัญหาของการศึกษานั้น จะต้องมองไปที่ปัญหาของสังคมทั้งหมด หรือปัญหาของโลกฉะนั้น จะต้องแยกให้ถูกต้อง เราจะนึกถึงปัญหาการศึกษาวนอยู่ในวงการศึกษาไม่ได้ การที่จะใส่ใจ..เอาใจใส่การศึกษาก็คือ มองเห็นคนเป็นผู้ก่อหวอดของปัญหา การศึกษาจึงมีหน้าที่ที่จะสร้างคนหรือพัฒนาคน ให้ลดการสร้างปัญหา แล้วกลับมาช่วยกันแก้ไขปัญหา

 

สาระสำคัญของการศึกษา

..การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั่นแหละ เป็นเนื้อเป็นตัว เป็นความหมายที่แท้ของการศึกษา

..แม้ว่าตัวการศึกษาที่แท้จะเป็นเรื่องบุคคล แต่สังคมก็ยังสามารถจัดปัจจัยต่างๆ การอำนวยให้การศึกษาเกิดขึ้นแก่บุคคลนี้เอง ที่เรียกว่าการให้การศึกษา

 

ความหมายของการศึกษา

..ที่จริง คำว่า ศึกษา เป็นการปฏิบัติ ไม่ใช่เล่าเรียน

เล่าเรียนเป็นเบื้องต้นของการศึกษาถ้าพูดให้เต็มก็คือ เรียนให้รู้เข้าใจ และทำให้ได้ให้เป็น

หรือเรียนรู้และฝึกทำให้ได้ผล จึงจะเรียกว่าการศึกษา

ไม่ใช่เรียนแต่เนื้อหาวิชาอย่างเดียว

 

มิติการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม

 

ต้นไม้ไม่เคยดูดน้ำและปุ๋ยจากดิน มาเลี้ยงตัวเองอย่างเดียว หากยังคายน้ำและทิ้งกิ่งใบ เป็นปุ๋ยกลับคืนผืนดิน อีกทั้งยังให้อาหาร และให้ที่พักพิงแก่สรรพสิ่งทั้งปวง มนุษย์เราก็เช่นกัน ควรรู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณ และทำตนให้เป็นประโยชน์แก่โลก พินิจดูให้ดี ต้นไม้ยังรู้จักเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนขยะมูลฝอยในดินให้กลายเป็นดอกไม้และผลไม้หอมหวาน

 

จุดมุ่งหมายของการศึกษา

..ถ้ามีใครถามว่าจะศึกษาไปเพื่ออะไร ก็เห็นจะตอบได้ง่าย ๆ ว่า..ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่ชีวิต ชีวิตมีจุดมุ่งหมายอย่างไร การศึกษาก็เพื่อให้ชีวิตถึงจุดหมายอย่างนั้นหมายความว่า..จุดหมายของการศึกษาเป็นสิ่งเดียวกัน กับจุดหมายชีวิต

 

สรุปหน้าที่ของการศึกษา

1) ฝึกฝนพัฒนาคนให้รู้จักปฏิบัติต่อชีวิต

2) ฝึกฝนให้คนรู้จักแก้ปัญหาชีวิต หาทางออกจากความทุกข์

3) พัฒนาคนให้รู้จักแสวงหา และเสพความสุขทางวัตถุอย่างถูกต้องปราศจากพิษภัย

4) พัฒนาคนให้พร้อมและมีความสามารถบางอย่างในการที่จะเอื้ออำนวย

ความสุขแก่คนอื่น และขยายแผ่ขยายความสุขออกไปในสังคม

 

สาระของบัณฑิต

ในการพัฒนาคนไปจนมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญานี้

ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญานั้นก็เป็นผู้สำเร็จการศึกษา เรียกว่าบัณฑิต

บัณฑิตนั้นแปลตามคำศัพท์ว่าเป็นอยู่ด้วยปัญญา

หรือดำเนินชีวิตด้วยปัญญา

 

..ถ้าหากว่าการศึกษาทำให้คนที่มีความรู้มากขึ้น แต่มีความสุขน้อยลง มีความทุกข์มากขึ้น ก็แสดงว่าการศึกษานั้นผิดปกติ

..ถ้าหากว่าการศึกษาทำให้คนมีความรู้มากขึ้น แต่มีความดีงามน้อยลง มีความชั่วมากขึ้น ก็แสดงว่าการศึกษานั้นผิดปกติ

..ถ้าหากว่าคนมีความดีงามโดยไม่มีความรู้ ก็ผิดเหมือนกัน เพราะเป็นความดีงามโดยความหลงงมงาย ไม่ได้เป็นไปด้วยความรู้ ไม่ได้เป็นไปด้วยปัญญา

 

..การค้นพบเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นในใจเราทุกคน

เมื่อเราหัดทำอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ ด้วยตัวเอง

เมื่อผลงานสำเร็จเราจะมีความสุข เป็นความภูมิใจส่วนตัวที่เราเสพได้ แม้จะเป็นงานอดิเรกเล็ก ๆ

..ความสุขแบบง่าย ๆ ไปทำกับข้าวกินที่สวนป่า นั่งมองตากัน ฟังเสียงนกเขาคันคู อยู่กับสายลมแสงแดด คุยกับเพื่อนที่รู้ใจ กินแล้วนอนแผ่บนสนามหญ้า ฟังเสียงนก..หัวเราะ ร้องไห้ ร้องเพลง ก็มีความสุขเท่า ๆ กับการไปกินอาหารที่โรงแรมหรู ๆ บางทีเราเองนั่นแหละที่ทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยาก

 

..ไม่ทราบเลยหรือว่า ความฝันช่วยเป็นตัวกระตุ้นให้การงานไม่น่าเบื่อหน่าย เหมือนบางคนแยกความฝัน ออกไปจากชีวิตประจำวัน การเขี่ยไฟในกองให้กระพือขึ้นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกสะเก็ดอย่างยุคนี้

ฉันฝันว่าจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสสักสามตลบ

กรุณาอย่าหมั่นไส้เลย

ก็มันเป็นความฝัน

การมีความฝัน ทำให้หัวใจมีพลัง

การได้ทำงานหนัก อย่างมุ่งมั่นไปสู่ความฝันนั้น

ไม่ใช่ความเหน็ดเหนื่อย แต่เป็นการเติมชีวิตให้เต็มต่างหาก

อย่างที่เพลงตะกายดาว ร้องว่า..

..แม้จะล้มก็คิดจะคลาน

เหงื่อจะซ่านกระเซ็น ..ก็คิดแล้วคุ้ม

จะขอเป็นไปอย่างหวัง.. จะร้อนหรือหนาวก็พร้อมจะทน….

 

..ไม่มีใครตัดขาดตัดกิเลสได้หรอก

มีแต่รู้ทัน มันก็ดับไปเอง อาหารของความทุกข์ คือความสนใจของเรา เรายิ่งสนใจมันมาก ความทุกข์ก็จะอ้วนมาก มันจะมีอายุยืนยาว และยิ้มแก้มปริ เมื่อเห็นน้ำตาเราร่วง รู้อย่างนี้แล้ว ฉันก็เริ่มงดอาหารมัน มันเศร้ามากที่ฉันไม่สนใจ แล้วมันก็ฝ่อตายไป ความทุกข์จะเก่งกาจขนาดไหน มันก็ตายเป็นเหมือนกัน

หยุดร้องไห้เถิดคนดี

อย่าให้คุณค่าต่อใครมากกว่าตัวเธอเอง

 

..ไม่มีใครรู้ว่าวันตายจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ธรรมดาแล้วมักจะรู้สึกว่ามันจะไม่มาถึง เรายังวางใจว่ามีเวลาอีกนาน เลยยังไม่เลิกทะเลาะกัน บางคู่แก่จวนจะเข้าโลงแล้วก็ยังทะเลาะกันอยู่นั่นแหละ ความชราไม่สอนให้รู้ว่า ควรจะใช้ชีวิตให้มีความสุขหรืออย่างไร

..บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่น

บางคนกลับทิ้งชีวิตลงขวดเหล้าอย่างน่าเสียดาย

ถูกคนด่าว่า เมาเหมือนหมา”

ในความเป็นจริงหมามันไม่เคยเมาหรอก

 

 

บริบทมหาชีวาลัยอีสาน

ถึงฝันดีอย่าตีเป็นเลขหวย

เร่งปลูกกล้วยปลูกป่าภักษาหาร

เลี้ยงหมูไก่ปูปลาอย่าช้านาน

ชวนแม่บ้านจู๋จี๋อยู่ที่นา

 

ลายแทงความรู้

>>เมื่อคิดดี >ก็จะได้คิด

>>เมื่อได้คิด >>ก็จะคิดได้

>>สิ่งที่เรียนได้ >>ก็จะเป็นบทเรียน

>>สิ่งที่เป็นบทเรียน >>ก็จะเป็นชุดที่ได้รู้

>>เมื่อได้รู้สะสมมาก ๆ >>ก็จะเป็นชุดความรู้

>>เมื่อนำชุดความรู้ >>มาจัดการความรู้

>>ความรู้ที่จัดการแล้ว >>จะเป็นความรู้ที่แท้จริง

>>เมื่อรู้แจ้งรู้จริง >>จะไม่สงสัย >>เกิดความมั่นใจ

>>ทำอะไรก็ได้ก็ดีมีผลสำเร็จ

 

ประเทศนี้พัฒนาบริเวณศีรษะมานาน

สมัยเชื่อท่านผู้นำ ก็ยุ่งกับการบังคับให้สวมหมวก

มาสมัยนี้ ก็บังคับให้ใส่หมวกกันน็อค!

แต่เรื่องลึกลงไปถึงในหัวกะโหลกไม่ค่อยจะคิดกัน

ไม่ทราบว่า..

จะป้องกันก้อนสมองโง่ ๆ ไปทำไม?

 

อิ อิ..

« « Prev : ส่งความรักและคิดถึงชุดสุดท้าย

Next : จดหมายรักถึงอาเหลียง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 เวลา 22:36

    สาธุ….

    ครูบาคะ…ถึงบ้านแล้วค่ะ มาถึงก็เปิดอ่านบันทึกของครูบา สุดยอดของการศึกษา ….

    ไปสวนป่าคราวนี้ มีความสุขมากจริงๆ
    จะหาทางไปอีกบ่อยๆ ค่ะ …คราวหน้าจะเอาเทปบันทึกไปด้วย…เพราะมีความฝันที่อยากทำให้เป็นจริงค่ะ…อิอิ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 เวลา 22:46

    กอล์ฟเพิ่งคุยมา  เล่าว่าพวกSCG บันทึกเสียงไป เขาได้ฟังยิ่งคิดถึงสวนป่า
    ดีใจด้วยปลอดภัยปลอดโปร่งทุกอย่าง
    ยังไม่หายเหนื่อยก็จะต้องใส่หน้ากากลุยอีกแล้ว
    คิดถึงทุกคนเน้อ อิอิ

  • #3 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 เวลา 23:12

    มารายงานตัวว่าถึงบ้านแล้วเหมือนกันค่ะ  ตั้งใจว่าจะค่อยมาอ่านบันทึกโดยละเอียดใหม่นะคะ
    กำลัง เมาบก อิอิ

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 เวลา 23:15

    ขาไปคนขับเมา ขากลับคนนั่งเมา เป็นที่รถหรือเปล่าครับ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 เวลา 23:21

    ทัวร์ผมสั้น สบั้นทุกข์ จุกท้องเพราะอิ่มมาก สบายๆๆ กลับไปสู้งานต่ออีกแล้ว
    หัวข้อนี้ยาวมากไปหน่อย ถ้าไม่ว่าง เสียเวลาอ่านตาแฉะ อิอิ

  • #6 chakritt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 สิงหาคม 2009 เวลา 11:17

    อ่านบันทึกพ่อครูมากๆแล้ว อยากไปเที่ยวสวนป่าครับ
    ค่านิยมที่ผิดมาแต่อดีตคงต้องพยายามแก้ไขครับ
    ในอดีต ผู้ใหญ่กล่าวว่า ”
    เรียนสูงๆนะลูกจะได้เป็นเจ้าคนนายคน”
    ทำให้เด็กมีเป้าหมายที่จะเป็นใหญ่เป็นโตด้วยการศึกษา แทนที่จะนำการศึกษามาช่วยพัฒนาตนเองและสังคม
    ในปัจจุบัน แข่งกันกวดวิชาหาความรู้เพื่อการ”
    มากกว่าจะนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร
    ต้องแก้ปรัชญาการศึกษาในทุกระดับกระมังครับ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 สิงหาคม 2009 เวลา 9:07

    พออ่านได้บ่มีปัญหาครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่

*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word




Main: 0.069550037384033 sec
Sidebar: 0.046820878982544 sec