เรื่องบ้านนอก : P1

อ่าน: 2297

~ สืบเนื่องจากอุ้ยชวนให้ไปพบปะนักศึกษาพยาบาล

ถามอุ้ยว่าวัตถุประสงค์ต้องการให้เน้นหัวข้อใด

อุ้ยบอกอยากให้เล่าเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับภูมิปัญญาไทย

เมื่อวานทำ Power Point เสร็จแล้ว

วันนี้เขียนเรื่องเล่าเคล้าความหลังไปให้อ่านล่วงหน้า

ยังไม่จบหรอกนะ

ยังมีอีกหลายสิบตอน

ก็จะต๊อกๆไปเรื่อยๆ

เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น > >

>> ตั้งแต่เมื่อครั้งกระโน้น มนุษย์ทุกผู้ทุกนามที่เกิดมา ต่างดำเนินชีวิตตามสภาพของพื้นถิ่นนั้นๆ ดิ้นรนที่จะหาวิธีมีชีวิตอยู่ให้สุขสบาย โดยมีศาสนาและข่ายจารีตประเพณีเป็นเครื่องกำกับวินัยของสังคม คนแล้วคนเล่าต่างเรียนรู้ฝึกฝนวิทยาการต่างๆ ความรู้ที่เกิดที่มีพยายามที่จะถ่ายทอดและสืบทอด ผู้รู้ทำทุกวิธีทางที่จะจารึกไว้ในลักษณะต่างๆ ทำให้คนรุ่นหลังต้องทำการบ้าน มีการขุดค้น ช่วยกันอ่านศิลาจารึก ใช้วิทยาการใหม่ๆมาช่วยเปิดเผยความลับ ก้าวหน้าจนถึงขั้นตรวจสอบทางDNA ทำให้ตีแตกปริศนาที่ซ่อนเร้นได้บ้าง ถึงกระนั้นก็เถอะ มนุษย์เราสามารถรวบรวม เก็บเกี่ยว ความรู้ไว้ได้น้อยมาก บางเรื่องเป็นผลแห่งวิทยาการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ช่วยให้มนุษยชาติได้อาศัยสติปัญญาของเอกบุรุษ เช่น เอดิสันได้คิดค้นการผลิตหลอดไฟฟ้าให้เราใช้ ผลลัพธ์ความรู้ตะวันตกเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก แต่ก็มีผู้สังเกตว่าที่โลกประสบวิบากกรรมทุกวันนี้ เพราะวิธีคิดวิธีการใช้ความรู้แบบชาวตะวันตกก็น่าพิจารณาอย่างยิ่ง

ตัวอย่างขนาดมหาภาค ก็คือการที่ชาวยุโรป เกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ก็เอาไปเป็นอำนาจไล่ฆ่าฟันแย่งชิงผู้อื่นทุกทวีป ไปสร้างความมั่งคั่งให้ยุโรป สะสมทุนสะสมความรู้ แล้วก็สถาปนระบบทุนนิยมให้เป็นอารยะธรรมของโลก ภายใต้ระบบนี้ทำให้เกิดสงครามน้อยใหญ่ผู้คนตายเหลือคณานับ การมีความรู้แต่โกง นำไปสู่การล่มสลายของระบบการเงินที่ก่อวิกฤติการณ์ไปทั่วโลกในปัจจุบัน

“คนตะวันตกเรียนวิธี สนองกิเลศ คนตะวันออก เรียนวิธีกำกับและความคุมกิเลศ”

2 แนวคิดนี้ อี๋อ๋อกันมาตลอด มีทั้งที่คล้าย ที่เสมือน และสุดโต่ง

วันนี้สงครามความคิดเริ่มให้คำตอบแล้ว ฝ่ายไหนจะเพลี้ยงพล้ำตำน้ำใบบัวบกซด

อาจจะมีการล้างกระดาน แล้วมาลากตะบองออกจากถ้ำ ตั้งต้นหาความรู้กันใหม่”

<คนอื่นเขาปลื้มกับการเรียนสูงๆ แต่ผมจับพลัดจับผลูได้เรียนแค่หางอึ่ง ตอนเด็กๆได้ธรรมชาติเป็นครูสอน เกิดบ้านนอกอยู่บ้านนอกก็สะสมเรื่องนอกและในธรรมชาติไว้โดยไม่รู้ตัว ช่วงวัยเด็กวันวิ่งเล่นได้แข็งขัน เด็กๆก็จะพากันเดินไปสวนป่าที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 9กม. สวนที่ว่านี้เตี่ยแม่ไปหักร้างถางพงเพื่อประกอบสัมมาชีพทางการเกษตร ความเป็นเด็กยังมีความนึกคิดอะไรไม่ได้มาก เห็นลูกยางหมุนติ้วปลิวตามแรงลมลงสู่พื้นล่าง เห็นนกแขกเต้าบินวนเวียนเล่นจับตี่กันบนอากาศก็พลอยสนุกไปด้วย ระหว่างเดินตามทางเกวียนยามบ่าย เสียงนกหัวขวานสับไม้โป๊กๆชวนให้ง่วงนอนเหลือเกิน เคยเอาผ้าขาวม้าปูแอบงีบในกอหญ้าเพ็กที่นุ่มนิ่มใต้ร่มไม้ใหญ่ ตื่นมาเดิมชมดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นระรื่น เดินย่ำดอกกระเจียวที่ขึ้นอยู่ดาษดื่น ไปเจอรังมิ้มก็หักมาชิมน้ำหวาน เดินเพลินไปเรื่อยๆถึงกระต๊อบสวนโดยไม่รู้ตัว >

เด็กสมัยนั้นไม่มีเรื่องรู้ทุกข์ร้อนอะไร ฝนตกมาก็วิ่งเล่นน้ำฝน ช่วยกันรองน้ำฝน ค่ำคืนก็พากันไปส่องจับกบเขียด ได้อึ่งแม่ไข่เต็มท้องมาปิ้งย่างไว้ กินมากๆก็เมาน้ำมันอึ่งได้เหมือนกัน ได้มากก็ย่างทำแห้งไว้ วันหลังเอามาต้มใส่ใบมะขามอ่อน เครื่องปรุงมีข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หัวหอมกระเทียม ถ้าไม่คิดว่าเป็นอาหารมันก็คือสมุนไพรหม้อหนึ่งดีๆนี่เอง คนสมัยก่อนออกกำลัง กินน้ำพริกผักสดผักลวกเป็นหลัก พวกเครื่องปรุงรสแอบแฝงสารพิษไม่มีเหมือนสมัยนี้ เยาะน้ำปลาร้าแทนอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะ ความสดของอาหาร ปรุงร้อนๆกินร้อนๆ ทำงานหนักกินข้าวได้เยอะ โรคเบื่ออาหารเป็นยังไงไม่รู้จัก โรคปวดหัวแทบลืม ไม่ได้นอนก่ายหน้าผากเหมือนคนพ.ศ.นี้ โรคนอนไม่หลับก็ไม่มี เพราะทำงานทั้งวันร่างกายต้องการพักผ่อน หัวถึงหมอนคร๊อกฟี๊ ..กินอิ่ม นอนอุ่น มีงานทำ ความเป็นอยู่ก็พอไหวใช่ไหมละครับ

: ชาติตะวันตกเลี้ยงต้อยเราไว้ให้เป็นอาณานิคมเชื่องๆ เดินตาม คิดตาม ทำตามตารางที่เขาวางไว้ ทิ้งความรู้เนื้อแท้ของเราเอง ไปปลื้มความรู้ของคนชาติอื่น ถ้าถามตัวเองว่าวันนี้เราอยู่กับความรู้อะไรบ้างก็ดีนะ สิ่งที่เรารู้เราเรียนเราไม่ได้คิดได้ค้นคว้าด้วยตัวเราเอง เราจึงอาศัยความรู้ของคนชาติอื่น พึ่งพาทุน พึ่งพาเทคโนโลยี ต้องซื้อความรู้ในรูปลิขสิทธิ์ปีละกี่หมื่นล้านก็ไม่รู้ แต่ก็พากันอือออถูลู่ถูกังมาอย่างนี้ ตราบใดที่เราไม่ตระหนักที่จะสร้างสะพานความรู้ของเราเอง วางคู่ขนานกับของชาติตะวันตก ดูของเราเองบ้างดูของคนอื่นบ้าง แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันข้ามขั้ว ทำได้อย่างนี้เราถึงจะมีศักดิ์ศรีทางด้านวิทยาการ ยังไม่สายหรอกนะ บ้านเมืองเรายังมีผู้ที่สู้หัวชนฝากับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพียงแต่ค่านิยมและกระแสเถื่อนมันแรงเหลือเกิน

วิถีชีวิตของคนอยู่ป่าต้องพึ่งพาตัวเองอย่างมาก เรื่องทำมาหากิน เรื่องสุขภาพ เรื่องโรคคนและโรคแมลง เท่าที่จำได้ ยาสามัญประจำหิ้ง มียาแดง ยาหม่อง ยากฤษณากลั่นแก้ปวดท้อง ยาแก้ไข้เม็ดสีชมพู ยาเหลืองใส่แผล ยาธาตุน้ำขาว นอกนั้นหาเองได้ในป่ารอบบ้าน ผมยังเกิดทันหมอยารากไม้ เคยกินยาฝนขันโต กระเดือกกว่าจะหมดท้องป่อง ชาวป่าส่วนใหญ่จะรู้จักสมุนไพรสารพัดชนิด กินก็ได้ ทาก็ได้ ผมเสียอีกที่รู้งูๆปลา เคยเมาเห็ดอาเจียนจนฟ้าเหลือง ยายไปเอาใบอะไรไม่รู้มาตำๆๆกรอก ค่อยมีแรงฟื้น หายวิโวกวิโหวงเหวงได้เหมือนกัน

:นั่นแสดงว่าเรื่องพอเพียงมันคู่อยู่กับสังคมไทยมานานแล้ว เราได้รับการอบรมสั่งสอนให้เดินสายกลาง อยู่กับความพอดี พอเหมาะ พอควร ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ดูตาม้าตาเรือ รักดีหามจั่ว พูดดีเป็นศรีแก่ปาก เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัดฯลฯ

ปัจจัยการผลิต มีควาย ม้า เกวียน จอบ เสียม หม้อ จาน ชาม กระป๋องกระแป๋งดัดแปลเอาจากปิ๊บน้ำมันก๊าซ กระทะ โอ่งน้ำ สบู่ ยาสีฟัน น้ำมันหมู น้ำปลาแบบไห ไม้ขีด ตะเกียง น้ำมันก๊าด ถ่านไฟฉาย ปืนแก๊ป นอกนั้นเป็นเครื่องนุ่งห่ม เรียกรวมๆว่ามีปัจจัย 4 ที่ประหยัดตามความจำเป็นเบื้องต้น สมัยนั้นยังไม่มีรถราอย่างทุกวันนี้ ใช้ม้าเป็นพาหนะ ที่บ้านและสวนจะมีคอกม้า เลี้ยงม้าให้กินข้าวเปลือกกับหญ้า ผมพลอยมีประสบการจูงม้าไปเลี้ยง และเคยถูกม้าพาวิ่งห้อเป็นบ้าเป็นหลังมาแล้ว ถ้าคนขี่ไม่ดึงเชือกให้ตึง ม้ามันรู้ มันแกล้งวิ่งให้ใจหายใจคว่ำ อย่านึกว่าม้าลองของไม่เป็นนะครับ

: ชาวนาขายควายไปซื้อรถไถเดินตาม เพราะไม่ใคร่คราญให้ดี  การทำนาจึงแปลกเปลี่ยนไปในทางที่ต้องไปพึ่งปัจจัยภายนอกแทบทั้งหมด รถไถ น้ำมัน ปุ๋ย เงินกู้ หนี้นอกระบบ โรงสี ฯลฯ ทำให้ทุนหายกำไรหด สุดท้ายก็อย่างเขาว่า “ทำนาปีมีแต่หนี้กับซัง ทำนาปรังมีแต่ซังกับหนี้” ผลสุดท้ายควายถูกขายเข้าโรงงานลูกชิ้น เจ้าของควายหนี้ท่วมหัว ต้องตามควายมาเข้าโรงงาน ควายเป็นลูกชิ้น เจ้าของควายจะเป็นลูกอะไร

บ่ายๆเด็กคุ้มมูลหาบหญ้าปล้องมาเดินขายในตลาด บ้างก็แวะเวียนไปส่งขาประจำ ถ้าวันไหนม้าอยู่ก็ช่วยซื้อ หญ้าปล้องมัดเป็นกำใหญ่ยาวเรี่ยพื้นดิน ขายมัดละ 25 สตางค์ ถ้าเสียบไม้หาบมาข้างละ 3-4 กำ ขายหมดก็ได้เงิน 1-2 บาท เด็กบางคนขายไอติมหลอด เพื่อนที่สนิทกันเป็นลูกพ่อค้าในตลาด เวลามีหนังขายยา จะขายน้ำแข็งไสกับขนมปลาและท๊อปฟี่บ้าง เด็กบ้านนอกได้กินท๊อฟฟี่นมก็อร่อยเหาะแล้ว หรือได้รับลูกอมไข่ขี้เกี้ยมเป็นของฝากก็ตื่นเต้นตาโต แม่เคยปลูกขิงอ่อน และให้เอากล้วยหอมไปขาย ขายไม่เป็นหรอกนะ ขี้อายเดินถือไปทื่อๆ แต่สุดท้ายก็เทกระจาดหมดจนได้ โตขึ้นนี้ขายเก่งนะ คุยจนลิงหลับ อาจจะเป็นเพราะมีสายเลือดคนจีนบ้างก็ไม่รู้นะ

นานๆจะมีเกวียนคาราวานมาฉายหนังขายยา ต่อมายกระดับเป็นรถจิบกลาง สต๊าส์ด้วยการให้เหล็กหมุนๆจนเครื่องติดฉึ่ง ก่อนฉายหนังวิ่งประกาศว่าจะปักจอที่ไหนเรื่องอะไร เด็กบ้านนอกตื่นเต้นจนกินข้าวเย็นไม่ลง เตรียมหอบเสื่อไปจองที่นั่ง แต่เอาเข้าจริงไม่ได้นั่งหรอกนะ เจอเพื่อนๆก็วิ่งไล่กันฝุ่นตลบ บางคนเหนื่อยม่อยหลับก่อนหนังฉาย มารู้ตัวตอนแม่มาปลุกกลับบ้านทำหน้าเหรอรา มีคราวหนึ่งเด็กวิ่งชนเชือกที่ขึงจอหนังล้มครืน พวกวัยรุ่นไวไฟรับช่วยกันตั้งจอแบบสายฟ้าแลบ ชมหนังคาวบอยได้ไม่ขาดตอน

บริเวณฉายหนังจะมีตะเกียงวับๆแวมๆของแม่ค้าเรียงรายอยู่รอบนอก บ้างก็ขายอ้อยควั่น ถั่วลิสงคั่ว ส้มตำ ไข่ต้ม ไข่ต้มนี่หนุ่มๆเอามาพนันกัน ของใครโดนต๊อกแตกร้าวก็จะต้องยกไข่ให้ฝ่ายชนะ วันไหนได้กินผัดหมี่ กินก้วยเตี๋ยวนับว่าสุดยอดแล้ว ทำไมมันอร่อยอย่างกับอาหารทิพย์ก็ไม่ปาน หนุ่มสาวรุ่นกระเต๊าะไม่ดื้อเหมือนสมัยกิ๊กระบาดนี่หรอกนะ ยังมีความเป็นกุลสตรีอยู่พร้อมมูล เรื่องเด็กเกเรยกพวกตีกันก็ไม่มี สังคมชนบทมีความเป็นพี่น้อง ห่วงใยดูแลลูกหลานของหมู่บ้านได้ถ้วนทั่ว ครูโรงเรียนประชาบาลนอกจากได้รับความนับถือจากชาวบ้านแล้ว เด็กสมัยก่อนไม่มีใครกล้าแหยมกับครูหรอกนะ แค่ครูมองหน้าก็แทบเยี่ยวราดแล้ว กลไถทางสังคมดูผสมผสานอยู่ภายใต้ความเอื้ออาทรให้กันอย่างพอดี

บ้านนอกอยู่กับพลังงานประหยัด ใช้ขี้ไต้จุดไฟวับแวม ฐานะดีหน่อยก็จุดตะเกียงน้ำมันก๊าด ตะเกียงเจ้าพายุ แต่ละบ้านสุมไฟให้ควันไล่แมลงให้คนและสัตว์ที่นอนเคี้ยวเอื้องอยู่ใต้ถุน เรียกว่ามีการจัดการแบบวันสต็อปเหมือนกัน ..เช้าๆยายนั่งสาวไหมอยู่ข้างๆกองไฟ ได้เวลาก็เอาหม้อข้าวดินมาตั้งก้อนเส้า ข้าวเดือดก็รินน้ำข้าวให้หมากิน บางทียายก็แบ่งมาใส่เกลือปะแล่มๆให้หลานชิมบ้าง บางวันเอาไข่หมกขี้เถ้า หลานตื่นมาก็เขี่ยไข่มาปอกหอมๆร้อนๆ เป็นเมนูเรียกความงัวเงีย กองไฟที่ว่านี้จะมีมันเทศเผา ข้าวโพด กล้วย เผาทั้งเปลือก ลูกอ่อนผึ้งปิ้งไว้อ้อนหลานแล้วแต่ฤดูกาลจะมีอะไร ได้เวลาทำอาหารก็เขี่ยถ่านออกมา เอากระทะตั้ง คั่วพริกหัวหอมกระเทียม คั่วมะเขือพวงดูว่าได้การแล้วตำโป๊กๆ ปิ้งปลาทูเค็มบางมื้อ ในยามที่งานชุกไม่มีเวลาต้มแกง ผักป่าสารพัดชนิดหาเก็บมาต้มจิ้มได้ไม่อั้น สมัยนั้นปลากระป๋องก็มีแล้วนะ แต่ทำไมไม่นิยมเท่าปลาทูเค็มก็ไม่รู้นะ

สมัยนั้นดินยังดี ปลูกอะไรก็งาม เพิ่งมานึกว่า เราไม่ได้เอาขี้ม้าไปทำปุ๋ยอะไร รำข้าวในโรงสีกองบูดทิ้ง ให้ใครฟรีก็ไม่มีคนเอา สีถั่วลิสงพ่นเปลือกทิ้งลงแม่น้ำ เปลือกนุ่นที่แกะเอาใยกองเป็นภูเขาเลากา ทับถมนานเข้าๆปลวกแห่กันมาช่วยย่อยสลาย เห็ดโคนก็ตามมาเกิดเป็นแพ แต่ก็รู้สึกเฉยๆเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา

ช่วงที่เล่านี้ยังอยู่ในสภาพพึ่งพาป่าได้พอสมควร บางคืนอาผู้ชายแบกปืนไปยิงไก่ป่า อีเห็น เอามาแกงป่ารสเด็ดซดกันซูดซ๊าด เคยมีงูเหลือมแอบมารัดแม่ไก่ คนงานจับลากออกมาสำเร็จโทษ ตัดเป็นท่อนๆต้มยำรสแซบ สมัยนี้อ่านแล้วอาจจะอืดผะอม แต่การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมถือเป็นการเรียนรู้เบื้องต้นที่สมควรจะรู้ให้ได้ การวางชีวิตไว้ในจุดที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทำให้เกิดความพอเพียงเป็นปกติ ผักป่ามีออกมาให้เก็บทุกฤดูกาล ช่วงฝนก็จะมีเห็ด หน่อไม้ บอน ผักหวาน อึ่งอ่าง กบเขียด ผมยังเคยเดินผ่านดงเห็ดโคนเห็ดเผาะ ที่สมัยนี้ขายกันแสนแพงหน้าตาเฉย เพราะไม่รู้เก็บไปทำไม เก็บเอานิดๆหน่อยๆข้างบ้านก็พอหม้อแกงแล้ว ล้างดีๆ ทุบหอมกระเทียม บิหัวปลาแห้งใส่ โยนใส่น้ำเดือด ก่อนยกลงเอาเอาใบแมงลักขยุ้มหนึ่ง บุบพริกสดใส่กำหนึ่ง เยาะน้ำปลาหน่อย บีบส้มนะนาวอีกนิด กินเหงื่อซึมกันทั้งบ้าน ไม่ได้ฮือฮาว่าเป็นเมนูแพงระยับอย่างทุกวันนี้

นอกจากเลี้ยงม้าไว้ขี่ เลี้ยงควายไว้ไถนาแล้ว เราก็เลี้ยงไก่แจ้ไว้กินไข่และต้มบ้างเป็นครั้งคราว ผมนึกถึงบาปตอนเด็กๆที่ตัวเองกระทำกับไก่มาเท่าทุกวันนี้ มีอยู่วันหนึ่งไปอุ้มแม่ไก่ออกจากจากรัง เอามือกระหวัดกอดไม่ให้ดิ้น แล้วเอามือข้างหนึ่งล้วงตูดไก่ เพราะคิดแบบโง่ๆว่า เราน่าจะได้ไข่ไก่มากว่าให้มันเบ่งออกเอง ผลของวิบากกรรม ตอนที่หมออัดท่อแป้งเข้าก้นเพื่อฉายเอกซเรย์ดูลำไส้ มันแน่นท้องจนแทบระเบิด พอหมออนุญาตให้เข้าห้องน้ำ ปล่อยพรวดออกมาอย่างกับท่อประปาแตก กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง จริงๆนะผมเจอจังๆมาแล้ว..

หมายเหตุ

” สิ่งสำคัญที่สุดของการทำงาน ไม่ใช่ความรู้ ความรู้เป็นเรื่องรอง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำเอาความรู้ไปประยุกต์ได้แค่ไหน

การดูแลผู้ป่วย 1 คน ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือผ่าตัดอย่างเดียว

จิตวิทยาการดูแลแบบองค์รวม

เอาใจใส่ครอบคลุมทั้งกาย จิต สังคมของผู้ป่วยต่างหาก

ที่น่าจะเป็นที่ต้องการของผู้ป่วย”

> หมอม้ง ชาวดอย”

« « Prev : พาแม่ยายขึ้นรถลงเรือ

Next : เรื่องบ้านนอก : P2 » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 เวลา 17:14

    เห็นภาพ ได้กลิ่น ได้รส ได้สติดีทีเดียวครับ ถูกใจหลาย

  • #2 pukaorchid ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 เวลา 18:59

    เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ลูกยาง จนจบลงในห้องน้ำ อิอิอิ  ไม่ว่าจะตะวันออกหรือตะวันตก สุดท้ายก็รับผลจากความโลภ ความหลง ….

  • #3 พี่นิด ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 เวลา 21:48

    อืม… 40 อัฟ รีบมาบอกใช่เลยคะพ่อ ขนมก็อบแก็บ ไม่รู้จัก สิ่งที่ยายหาให้หลานคนนี้  ก็คือ  อ้อย ส้ม กล้วย ไปงานวัด อ้อยควั้น ถั่วลิสง  แม่ค้าใส่กระบุง หาบมาวางขายเป็นจานๆๆ ไม่รู้จักถุงพลาสติกเช่นกัน พูดถึงกินน้ำข้าว ยิ่งได้ข้าวใหม่ หน้าหนาวๆ  ใส่เกลือหน่อย หอมหวานมันๆ ชื่นใจอย่าบอกใครเชียว อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.8432469367981 sec
Sidebar: 0.064249992370605 sec