มาจะกล่าวบทไป ถึงเจ้าเป็นไผ 6
จนค้นพบตนเองอย่างไม่ผิดพลาดแล้วว่า
“เรา เป็นไผ”
เกิดมาทำซากอะไร
ความสงสัยในหลายๆเรื่องก็หมดไป มั่นใจ แน่ใจ ในพระธรรม ล้าน % …
ฟังดูขี้โม้จริงๆ ของแบบนี้ ต้องลองฝึกเอง ไม่ลองไม่รู้ครับ ทำเองเจอเอง
>> เรื่องที่จะโม้ต่อไปนี้ ภูมิใจเสนอมากขอบอก เพราะเป็นการเขียนถึงทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่ธรรมดา ผมไม่รู้จะเริ่มต้นกับความไม่ธรรมดาให้พอเป็นภาษารู้เรื่องได้ยังไง เพราะทุกเรื่องไร้กรอบ เมื่อไร้กรอบมันก็มากยิ่งกว่าจากโค้งฟ้าหนึ่งไปสู่อีกฟากฟ้าหนึ่ง แล้วไถลไปยังห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น จะกี่ล้านปีแสงขี้เกียจนับ ..ผมคิดว่าจินตนาการของนักวิทยาศาตร์ที่เสนองานวิจัยชนะในระดับองค์การนาซ่านั้น มันเหนือความอึ้งกิมกี่มากนัก เอาแค่ได้อ่านที่ท่านอาจารย์ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ เขียนก็เป็นอะไร ๆ ที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในใจเรา ยิ่งมาเจอตัวด้วยแล้วเธอเอ๋ย ..คาดคะเนอะไรไม่ได้เลย พลิกผันพลิกแพลงสุดโต่ง ทุกกระบวนการเยี่ยมยุทธเหนือคำอธิบาย อย่าเพิ่งงงว่ามันเขียนอะไรกันวะ เพราะคนเขียนก็งงตัวเองเมี๊ยนกัน อิอิ..
<< อยู่นาซ่าสนุกครับ ผมทำงานวิจัยออกแบบและทดลอง ทุก 6 เดือนต้องมีผลงานวิจัยออกมา เข้าแล็บใช้หุ่นยนต์เคลือบเซรามิคบนไอพ่น แล้วประกอบลูกไอพ่นติดบนยานอวกาศ เพื่อให้บินขึ้นฟ้า เราก็ใช้คอมพิวเตอร์คำนวณแก้สูตร พวกอเมริกันเก่งเรื่องกระบวนการคิด ทำงานเป็นทีม ทำคนเดียวไม่ได้หรอก จึงยากในการขโมยความคิด
ผมได้เรียนรู้จากนาซ่ามาก เวลาสอนอาจารย์จะโยนหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง อ่านภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่เราอ่านเร็วอยู่แล้ว ที่นั่นใช้วิธีสอนเหมือนไม่สอน ซักถามและวิเคราะห์กันหนัก ๆ อย่างเช่น คุณเห็นใบไม้ที่โคนกิ่งไม้ ลองคำนวณว่ามีแรงกี่ปอนด์
แต่ผมกลับถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปถึงสุดขอบจักรวาล 450 ล้านปีแสง เรากำลังบ้าหรือเปล่า สุดท้ายเราทำอะไร ณ วินาทีนี้ ถ้าเราอยู่ขอบจักรวาล เราจะทำอะไร ผมว่า มันไร้สาระ
>> เจ้ากอล์ฟลูกชายโทน เขาเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิกัน ได้เชื่อมโยงให้เรารู้จักกัน พระอาจารย์ไร้กรอบเคยมาเยี่ยมที่สวนป่า 2-3 ครั้ง เคยให้บรรยายเรื่องโลกร้อนให้ชาวบ้านฟัง ยังติดหูติดตาชาวบ้านถามหาถามถึงเท่าทุกวันนี้ เมื่อทราบว่าผมไปอยู่รังนกกระจอก พระอาจารย์ก็ย่องไปเยี่ยม ผมเคยบุกไปที่พำนักพระอาจารย์ที่อยู่แถวสุขุมวิท พระยาไร้กรอบมีรังอยู่บนคอนโดสูงลิ่ว คงเป็นอาคารชุดเพราะมีหลายห้อง ห้องนั่งเล่นกับห้องทำงานอยู่ด้วยกัน มีหนังสือกองพะเนิน โต๊ะหมู่บูชาอยู่อีกมุมหนึ่ง จากคนที่เคยนับถือศาสนาอื่นแล้วหันมาใส่ใจเรื่องพระพุทธศานาอย่างเข้ม ออกแบบฝึกอบรมลูกศิษย์ให้ไปนอนในป่าช้าเป็นประจำ สไตล์นักวิทยาศาตร์แท้ ๆ ล้วน ๆเชียวแหละ มีตัวอย่างบางตอนดังนี้..
<< ผมค่อนข้างจับฉ่ายแมน ชอบขับรถ เดินป่า ธรรมชาติ และศิลปะ ตอนอยู่นาซ่าผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่า วิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์ เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ พุทธะ ผมก็งง! ตอนนั้นผมยังเป็นคริสเตียน ผมต้องขอบคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเขียนเชื่อมโยงพุทธกับคริสต์ได้ดีมาก สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน แต่วิธีการเข้าหามีหลายวิธี ไม่ต่างจากการขึ้นภูเขา พระพุทธเจ้าพูดอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่งมงาย คนมาปฏิบัติธรรมทางพุทธ ถ้าขี้เกียจจะไม่ค่อยเห็นผล
>>จะว่าถึงลูกถึงคน มันก็เป็นอะไรมากกว่านั้น วีรกรรมที่สร้างกับใครฝังลงไปในกระโหลกของผู้ที่เกี่ยวข้องไปจนวันตาย ยกตัวอย่างสมัยที่ไปสอนนักศึกษาวิศวะกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย >>
..เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง ‘คลื่น‘ ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน ระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้ แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
‘จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย‘
โหย…เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่าย ๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม..
>> อ่านเรื่องนี้แล้ว เราจะเห็นการคิดการเรียนการปฎิบัติอย่างนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ มองอะไร คิดอะไร ทำอะไร ต้องเอ็กซเรย์ทุกเรื่อง ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้โดยบังเอิญ ไม่ได้ฟลุ๊ค ไม่ได้ชิงโชคหรือจับฉลากเป็น >>
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ผู้ชายอารมณ์ดี ปัจจุบันเป็นพ่อของลูกสองคน นักเขียน วิทยากรอิสระที่ปรึกษามืออาชีพให้องค์กรรัฐและเอกชนหลายสิบแห่ง เจ้าของบริษัทพรีม่า แมเนจเม้นท์ จำกัด และนักปฏิบัติธรรม เขาเป็นนักอ่านตัวยง อ่านหนังสือเร็วมาก จนบรรณารักษ์ห้องสมุดสงสัยว่าอ่านจริงหรือเปล่า ขณะที่เด็กคนอื่นๆวิ่งเล่น แต่เขาอ่านหนังสือที่คนอื่นไม่อ่าน ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1 อ่านสารานุกรม (Encyclopedia ) 30 กว่าเล่ม และอ่านแบบเรียนมัธยมปีที่ 5 ของพี่ชาย ทำให้ไม่ค่อยสนใจการเรีย น กระทั่งไปเรียนต่างประเทศจนจบปริญญาเอกวิศวกรรมเครื่องกลและวัสดุศาสตร์ และทำงานองค์การอวกาศนาซ่านาน 7 ปี
>> บุคคลที่เราอยากเจอ อยากจะสนทนาด้วยอย่างมาก
อยากจะไปเยี่ยมไปรับความรู้
ผมคิดว่าชาวเฮคงนึกถึงพระอาจารย์ไร้กรอบ
เราจึงมีรายการที่จะบุกสำนักร่มธรรม
ดังนั้นเนื้อหาที่นำมาเสนอในเจ้าเป็นไผนี้
ก็เพื่อจะยั่วยุให้น้ำลายสอเต็มกระพุ้งแก้ม
ถ้าใจเรียกร้องและโหยหาอยากจะไปสัมผัสจอมยุทธแห่งสำนักร่มธรรม
ก็ขอใบคิวได้ที่คุณน้าแห่งชาติ
แล้วท่านจะได้ร่วมยกโขยงไปบุกรังพญาอินทรีย์ในเฮ 9 อิ อิ ..
« « Prev : มาจะกล่าวบทไป ถึงเจ้าเป็นไผ 5
Next : มาจะกล่าวบทไป ถึงเจ้าเป็นไผ 7 » »
7 ความคิดเห็น
ขอบพระคุณข้อคิดที่ได้จากตรงนี้ค่ะ
อิอิอิ อ.ไร้กรอบท่านเยี่ยมจริงๆค่ะ ทั้งความคิด ความรู้ ปัญญา รูปแบบการเรียน หรือการถ่ายทอด แต่แหม..อยากอ่านชีวิตรัก อ.ไร้กรอบจริงๆนะคะ จะสนุกเท่าป้าจุ๋มมั้ยน้อ (อันนี้ต้องกระซิบอิอิอิ ^ ^)
อ.ไร้กรอบครอบครัวอบอุ่นมาก มีบุตรี 2 คน แม่บ้านเก่งที่ซู๊ด
เห็นชื่อ อ.ไร้กรอบ ครั้งแรกจากร้านหนังสือ
ที่รวมบทความจากโกทูโน มีพ่อครูบาเขียนความรู้สึกด้วย
หยิบขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจว่า ทำไมต้องเป็น คนไร้กรอบด้วยนะ อิอิ
รู้จักชื่ออาจารย์วรภัทรนะรู้จัก แต่อ.ไร้กรอบเป็นใครนั้นไม่รู้
จนกระทั่งได้เจอตัวเป็นๆที่บ้านป้าจุ๋ม……. หึ หึ หึ
คนอะไรไวก็จริง…แต่ก็ไวไม่ทันเด็ก
เป็นมนุษย์ประหลาดที่น่าสน
กับความคิดความอ่านความในใจในการดูแลโลก
ชอบใจที่เมืองไทยมีคนไทยอย่างนี้อยู่ค่ะ
อิอิ นึกคำเดียวกับท่านบางทรายเลยค่ะ มนุษย์ประหลาด อิอิ
แต่น่ารักและมอบบทเรียนได้เนียนที่ซู๊ดเลยค่ะ ดีใจที่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากอาจารย์ด้วยคนนะคะ ^_^