ห้ามสูบอย่างมีศิล์ป
อ่าน: 218549อธิการปาแอ่ว ม.พะเยา
อ่าน: 162049วันที่ 27 ตุลาคม 53 ตั้งแต่เช้า ”อธิการ ปาแอ่ว ม.พะเยา” นะเจ๊า
กำชับไว้ล่วงหน้าเสร็จสับว่า นุ่งกางเกง-ใส่รองเท้าผ้าใบด้วยนะท่าน สว. ทั้งหลาย
บรรยากาศยามเช้ามองจากหน้าห้องพักเรือนเอื้องคำเป็นวิวที่ตรงกับจุดตั้งต้นของทัวร์วันนี้พอดีเลยค่ะ นั่นก็คือ ศาลสมเด็จฯ
แต่จุดรวมพล คือ โถงตึกอธิการบดีค่ะ
ต้องไปกราบสมเด็จฯ กันก่อน เพื่อเป็นสิริมงคล
ไกด์กิตติมศักดิ์…..ท่านรองฯสำราญ นั่นเอง
คณะศิลปศาสตร์กับ Motto สไตล์ทำนุบำรุงศาสนาดีจริงๆ….”ร่วมกันทำบุญด้วยการแต่งกายถูกระเบียบ”
คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศ เก๋ไก๋ สะดุดตาด้วยบอร์ดแบบเรียกร้องความสนใจได้ชะงัดดีนัก
ห้องศาลจำลองของคณะนิติศาสตร์….แขกเข้าชมต่างแย่งกันไปประจำตำแหน่งให้ปากคำของจำเลย : ) : )
ผนังห้องของคณะสถาปัตฯ แบบ ‘ติส แบบ artist แต้ๆ เจ๊าาา
นวัตกรรม เขียงพับได้ ของ ถาปัตฯ พะเยา สงวนสิทธิ์นะ…ห้ามลอกเลียนแบบ
สถานีรถเมล์ม่วงจ่ะ….ขึ้น ล่อง ภายในหุบเขาแห่ง UP เท่านั้น ฟรีตลอดสาย
ศูนย์การแพทย์ของคณะแพทย์ สว. แวะ พักสูดยาดมเท่านั้น….ยังไม่ต้องหาม
UP Dorm ที่เตรียมเนรมิตรเพิ่มอีกหลายหลัง รองรับการตลาดที่พุ่งพรวดๆ ของท่านอธิการ
เห็นคอนโดเรียงกันเป็นตับเนี่ย ยังมีอีกนะ….สำหรับนิสิตเท่านั้น
งามแต้ๆ เจ๊า…อาคารเวียงพะเยา อยู่ตรงข้าม Dorm สำหรับประชุมเชียร์ รับน้อง ไหว้ครู ฯลฯ
นี่แหละภายในของอาคาร “ศูนย์ไต”….ไม่ใช่ห้องผ่าตัดเปลี่ยนไตนะเจ๊า….เขาเตรียมเป็นสถานที่รับปริญญา หรือการประชุมแบบอลังการ เช่น งานเปิดตัว UP วันที่ 17 ธ.ค. ที่จะถึงนี้นะเจ๊าา
ห้องสมุดกลาง โอ่โถง น่านั่งอ่าหนังสือทั้งวัน มีตั้ง 3 ชั้น ให้จุหนังสือ ตำรา ได้อีกเพี๊ยบ
อีกซีกหนึ่งของห้องสมุด สำหรับการศึกษาค้นคว้าในยุคดิจิตอลลล
มองมุมสูงของอาคารเรียนรวมจ่ะ ใหญ่โตดีเน๊อะ
แต่ละอาคารของอาคารเรียนรวม เชื่อมติดกันหมด คงต้องทำป้ายชี้ทางดีๆ กลัวหลงแฮะ
ยังมีที่ประทับของพระเทพฯ ด้วยนะเจ๊า (ยังไม่เรียกว่าพระตำหนัก) ตั้งอยู่บนเขาแวดล้อมด้วยสวนดอกไม้ เวลาท่านเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตร จะได้ทรงพักผ่อนไปในตัว ในภาพเป็นห้องบรรทมเจ๊า
และนี่ก็เป็นโถงที่ประทับที่มีเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้ ดูยังไม่ทั่วเลย หัวหน้าทัวร์ เร่งให้ไปทานข้าวกลางวันกันได้แล้ว…..
ที่จริง….ยังพาเที่ยวไม่ทั่วเลยนะคะ….เพราะเวลามีจำกัด….ช่วงบ่ายยังมีประชุมอีก 3 นัด รัวเป็นชุด บ๊าย บาย
มหาวิทยาลัยพะเยาลงนามถวายพระพรในหลวง
อ่าน: 102210คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ นายกสภามหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบููรณ์แข็งแรง ณ ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2553
UP Motto
อ่าน: 42634สัปดาห์แรกตอนมาอยู่ ม.พะเยา ใหม่ๆ ท่านอธิการให้คำอธิบายของสีประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือสีม่วง - ทอง ว่า สีม่วงคือสีวันประสูติพระเทพฯ ส่วนสีทองคือความรุ่งเรืองของมหาวิทยาลัย ดิฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆ ในใจ เกี่ยวกับ สีม่วงไม่หายว่าทำไมต้องสื่อเช่นนั้น
ต่อมาก็ทราบว่า…..อ๋อ….ก็เพราะกะว่าจะขอพระราชทานนามของท่านมาเป็นนามของมหาวิทยาลัยว่า “มหาวิทยาลัยสิรินธร” นั่นเอง
แต่พอมาสัปดาห์ที่สอง ท่านอธิการเริ่มให้ความสำคัญกับชื่อภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัย โดยท่านบอกว่า จะไม่ใช้ชื่อ Phayao University นะ เราจะใช้ชื่อว่า University of Phayao ซึ่งจะเท่และขลังกว่า เพราะสื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยของจังหวัดพะเยา เหมือนๆ กับ U ชั้นนำของรัฐในประเทศมหาอำนาจอย่างไรเล่า
นี่ก็ทำให้ดิฉันเข้าใจได้ เมื่อท่านอธิการให้ความหมายของสีม่วง สีประจำมหาวิทยาลัยในอีกแบบหนึ่งว่า สีม่วง เป็นสีผสมของสีแดง และสีน้ำเงิน ซึ่งหมายถึง ชาติ และ พระมหากษัตริย์ ส่วนสีทองก็เหมือนเดิมหมายถึงความรุ่งเรืองของมหาวิทยาลัย
หมายความว่า…..คงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับชื่อมหาวิทยาลัยสิรินธร
สัปดาห์ที่สาม ซึ่งก็คือวันนี้ ท่านอธิการก็มีไอเดียเจ๋งๆ มานำเสนออีกแล้ว ท่านบอกว่า Motto หรือคติพจน์ของ ม. พะเยา มีแล้วนะ ช่วยกันจำให้ขึ้นใจหน่อยคือ
” Wisdom for Community Empowerment “
ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
โอ้วววว !!! ดิฉันชอบ
ชอบทั้งการมี Motto
และชอบทั้ง Motto ที่มี
” Wisdom for Community Empowerment “
ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
” Wisdom for Community Empowerment “
ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
” Wisdom for Community Empowerment “
ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
ท่องไว้ ท่องไว้
ความชั่ว…ไม่มีจริง
อ่าน: 33673ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์
“พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?” ศาสตราจารย์ถาม
“จริง” นักศึกษาตอบ
ศาสตราจารย์พูดต่อว่า “ถ้าหากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง”
นักศึกษาพากันเงียบกริบ
ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงม
งายเท่านั้น
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด
“ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?”
“ได้ซิ แน่นอน” ศาสตราจารย์ตอบ
นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น “ศาสตราจารย์ครับ ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?”
“เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?”
นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น
นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ “ความจริงนะครับ ความเย็นไม่มีอยู่จริง ตามกฎทางฟิสิกส์ สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้ และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง
ศูนย์องศาสมบูรณ์ (Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง
ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ–ความเย็นไม่มีอยู่จริง
เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้นครับ”
และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก “ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? ”
ศาสตราจารย์ตอบ “ใช่……มันมีอยู่จริง”
นักศึกษาจึงพูดขึ้น “ท่านตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง
เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย
เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสีได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโลกของความมืดและทำให้มันสว่างไสว
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน?
ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม?
ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสงสว่างนั่นเอง”
นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก “ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?”
คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “แน่นอนตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรามีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่นแหละ”
นักศึกษาตอบอีก “ความชั่วไม่ มีอยู่จริงหรอกครับท่าน หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า
มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ
มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา
ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง เช่นเดียวกับแสงสว่างและความร้อน
ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรักของพระเป็นเจ้าในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ”
ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป
นักศึกษาหนุ่มผู้นั้นมีชื่อว่า - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
Albert Einstein with friends Habicht and Solovine, ca. 1903
บวงสรวงสมเด็จฯ วันที่ 7 …7 โมงเช้า
อ่าน: 14890วันนี้ตื่นแต่เช้า….เพราะมีนัดขึ้นเขาไปร่วมพิธีบวงสรวงสมเด็จฯ ค่ะ
ใกล้หน้าหนาวแล้ว อากาศตอนเช้าที่เรือนเอื้องคำ ใน ม. พะเยา สดชื่น เย็นสบายจริงๆ
ก้าวออกจากประตูห้องพัก ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นสนามหญ้า มองตรงไปข้างหน้า เห็นศาลตั้งเด่นเป็นสง่าบนยอดเขาเล็กๆ ห่างไปไม่ไกลนัก
ดิฉันได้รับทราบมาว่าเป็นศาลสมเด็จพระนเรศวร และอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยด้วย แต่ก็ยังไม่มีโอกาสไปสักการะใกล้ๆ สักที
วันนี้…..ดิฉันได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้บริหารที่ดีจะต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญ ในสิ่งซึ่งเป็นขวัญและกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรบ้าง
ที่ศาลบนเขา ซึ่งอยู่ระหว่างบูรณะ ยังต้องระวังขณะเดินขึ้นบันได เพราะไม่ได้ปูกระเบื้อง แต่ลานกว้างโล่งปูด้วยอิฐตัวหนอนและล้อมรั้วแล้ว ทำให้สามารถยืนชมวิวและมองเห็นอาณาเขตมหาวิทยาลัยได้เกือบหมด ช่วยคลายความงุนงงเกี่ยวกับที่ตั้งของตึก และถนนหนทางต่างๆ ที่เห็นจากแผนที่แก่ดิฉันได้แจ่มกระจ่างขึ้น
เมื่อถึงเวลา 7 นาฬิกาตรง ท่านอธิการบดีเป็นประธานจุดธูปเทียน แล้วพราหมณ์ก็ทำพิธีกล่าวคำบูชา
ช่วงเวลานี้เอง ที่ก่อเกิดบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ปลุกขวัญและกำลังใจ ดิฉันรู้สึกว่าเหมือนพวกเราเหล่าข้าราชบริพาร ได้มาถวายบังคมสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ว่าจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมือง ถวายแด่พระองค์ท่านด้วยความจงรักภักดี จนกว่าชีวิตจะหาไม่
เมื่อปักธูปบนอาหารที่นำมาถวาย และกราบสักการะสมเด็จฯ ด้วยพวงมาลัยกันแล้ว ก็เป็นช่วงของการรำถวาย สาวงามนางรำ 2 คน ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน เป็นนิสิตของ ม.พ. นั่นเอง
เสร็จพิธีที่เรียบง่าย ท่านอธิการยังได้แจก พระพิฆคเณศวร์ องค์เล็กๆ แก่พวกเราทุกคนด้วย
Happy Ending
ทำงานวันแรกที่ UP
อ่าน: 36141ไม่นึกไม่ฝันว่า ชีวิตนี้จะต้องเปลี่ยนงานเป็นครั้งที่ 3
ครั้งแรก ความที่อยากเป็นครูบาอาจารย์เหมือน พ่อ แม่ หลังจากทำงานเป็นนักรังสีเทคนิคที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ได้ 1 ปีเต็ม ก็ขอกราบลาไปเป็นอาจารย์ที่ ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ ม. มหิดล จำได้ว่าตอนนั้นมีเจตนารมณ์แน่วแน่ และโชคดีที่ไม่มีใครแย่งไม่มีใครอยากเป็นอาจารย์กันเลยตอนนั้น
ครั้งที่สอง หลังจากทำงานสอนจริงๆ มานาน 19 ปีเต็ม และเพิ่งขอตำแหน่งรองศาสตราจารย์ได้หมาดๆ ก็จำใจจำจาก ม.มหิดล แดนเกิด มาสมัครเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยอยู่คณะสหเวชศาสตร์ ม.นเรศวร พิษณุโลก ด้วยอารมณ์ที่อยากลอง อยากดวลสักตั้ง ประสาคนกรุงที่ไม่เคยลิ้มลองชีวิต ตจว. เลย ตั้งแต่เกิด
ครั้งที่สาม คือครั้งนี้ หลังจากรับใช้ ม.น. มาครบ 10 ปี พอดิบพอดี ก็เกิดอกหักเพราะรักคุด ผลุนผลันตีจาก ม.น. มาซบอก ม.พะเยา เฉยเลยเรา….ชีวิตมาหวือหวาเอาตอนแก่นี่เอง
ดีที่ ม.พ. หรือ ตัวย่อภาษาอังกฤษคือ UP (มาจาก University of Phayao) มีคณะสหเวชศาสตร์ให้ร่อนลงจอดได้ ดิฉันจึงไม่ต้องแจวไปไหน แถมมีพรรคพวกคอเดียวกันมาอยู่ด้วยกันเป็นตับ
ไม่นับหัวแถวคือท่านอธิการมณฑล (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. มณฑล สงวนเสริมศรี) แล้วละก็ ดิฉันไล่เรียงให้ได้ ดังนี้ ดร.สำราญ ทองแพง / รศ.ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ (รศ.ดร.สุภัค พ่วงบางโพธิ์) / ผศ.ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร / ผศ.สุระพล ภานุไพศาล / ผศ.ชาลี ทองเรือง / รศ.พูนพงษ์ งามเกษม / รศ. ปรียานันท์ แสนโภชน์ / รศ.ดร.นุวัตร วิศวรุ่งโรจน์ และ รศ. ดร. วัฒนพงศ์ รักษ์วิเชียร ……และไม่แน่…. ไม่แน่… อีกต่อๆ ไป
ม.พ. ประกาศเอกราชเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2553
ท่านอธิการ ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2553 (รู้จริงๆ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 53)
สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีม่วง-ทอง สีม่วง สื่อความหมายถึงวันประสูติของพระเทพฯ และสีทองสื่อถึงความรุ่งเรืองของมหาวิทยาลัย
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือฟ้ามุ่ย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vanda coerulea Griff. ex Lindle. อยู่ในวงศ์กล้วยไม้ คือ Orchidaceae เป็นกล้วยไม้ประเภทแวนด้า ออกดอกระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ความงดงามโดดเด่นของฟ้ามุ่ย ทำให้ถูกยกย่องว่าเป็นกล้วยไม้ป่าที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่งของโลก มีผู้รู้บางท่านอธิบายว่า ชื่อฟ้ามุ่ยมีความหมายว่า ฟ้าหม่นหมอง เนื่องจากความงามจากกลีบดอกสีฟ้าของฟ้ามุ่ย ทำให้สีของท้องฟ้าแลดูหม่นหมองไปเลยนั่นเอง
ม.พ. ประเดิมวางตำแหน่งของตนเองอยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัย ค2 คือเป็นสถาบันเฉพาะทางที่เน้นการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี ท่านอธิการย้ำว่าให้เน้น community base ให่ลงพื้นที่ให้มากที่สุด เปิดโอกาสให้นักเรียนในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 7 จังหวัด คือ พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน และแพร่ ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาให้ได้มากที่สุด อยากให้รับเข้าได้ถึงปีละ 5 พันคน (งานคงหนักมากๆ ทีเดียวเจียว)
ในระยะแรก หน้าที่หลักของคณบดี คือให้ดูแลคุณภาพของนิสิต ผู้สอน และหลักสูตร เป็นสำคัญ (ขอบอกไว้ก่อนว่า…ด้วยงบประมาณที่จำกัด) ต้องทำหลักสูตรให้ได้มาตรฐาน TQF ภายใน พ.ย. 54 เพื่อใช้ให้ทัน 55
แต่ที่พนักงานมหาวิทยาลัยของ ม. น่าจะยินดีปรีดา คือเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายของท่านอธิการ คือจะให้ได้เหมือนข้าราชการทุกประการ
สำหรับการ servey คณะสหเวชฯ ม.พ. วันนี้ ทราบว่า มีหลักสูตรอยู่ 2 หลักสูตร คือ เทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัด ซึ่งเปิดรับนิสิตรุ่นแรกตั้งแต่ปีการศึกษา 2550 ดังนั้น ณ ขณะนี้ จะมีนิสิตครบทั้ง 4 ชั้นปี
หลักสูตรสาขาเทคนิคฯ ได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพแล้ว
ส่วนหลักสูตรกายภาพบำบัด กำลังจะรับการตรวจเยี่ยมสถาบันโดยผู้ประเมินจากสภาวิชาชีพ ราวเดือน พ.ย. - ธ.ค. ปีนี้
อาจารย์สาขาเทคนิคการแพทย์ มีอยู่ 18 คน ลาศึกษาต่อ 2 คน เป็น ป.เอก 3 คน สาขาที่ขาดแคลนคือจุลชีวะ
อาจารย์สาขากายภาพบำบัด มี 9 คน เป็น ป. โท ทั้งหมด และยังไม่มีผู้ใดลาศึกษาต่อ เพราะจำนวนอาจารย์ไม่พอสอน
นิสิต MT ปี 4 + 3 + 2 + 1 = 80+155+160+60 = 455 คน
นิสิต PT ปี 4 + 3 + 2 + 1 = 69+127+156+60 = 412 คน
รวม = 867 คน มากกว่าที่ มน.
วันนี้น้องๆ พาเยี่ยมชมอาคารใหม่
โอ….ห้องเยอะแยะเลย รอครุภัณฑ์มาเติมอีกนิ๊ด ก็ perfect
แต่ที่แน่ๆ เพียงปร๊าดเดียวก็สรุปได้ว่า คุณภาพของคณาจารย์รุ่นใหม่ทุกคนที่นี่ ช่าง perfect เสียจริงๆ โล่งอกไปที………
ลูกศิษย์ของฉัน
อ่าน: 11961ถ้านับเป็นปีงบประมาณ ดูจะจำง่ายกว่า ว่า
ภารกิจสำคัญของดิฉันที่ทำอย่างจริงๆ จังๆ ตลอดปีงบประมาณ 53 มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่อง คือ ประเมินอธิการและสอนหนังสือ..
ภารกิจแรก ล้มเหลว ไม่เป็นท่า……
ภารกิจที่สอง ได้ผลเกินความคาดหมายและซึ้งใจสุดจะบรรยาย
โดยเฉพาะก็เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา……
หลังจากที่หลายคนเริ่มรู้ว่า…..ดิฉันขอลาออกจากราชการ (มน.)…..ตั้งแต่ 4 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
ชื่นจิต…..ลูกศิษย์ ที่มีหน้าที่ทวง handout จากอาจารย์เป็นประจำ ส่ง E-mail มาให้ดิฉันดังนี้
————————–
อาจารย์ค่ะ เช้าวันนี้ หนูได้ทราบข่าวที่ทำให้หนูและก็เพื่อน ๆ รู้สึกไม่ดีเลยค่ะ อาจารย์ไม่ไปได้รึเปล่าค่ะ
ครั้งแรกหนูคิดว่าอยากเข้าไปหาอาจารย์มากเลยค่ะ ตั้งแต่ตอนพักห้านาทีแล้ว แต่เห็นอาจารย์กำลังทำงานอยู่ หนูก็เลยไม่เข้าไปรบกวน
หนูก็เลยตัดสินใจส่งอีเมลล์แทนค่ะ ถึงแม้ว่าเทอมนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ แต่หนูและก็เพื่อน ๆ ก็รักและก็ผูกพันธ์กับอาจารย์มากนะค่ะ
ไม่ว่าหนู หรือเพื่อน ๆ มีปัญหาอะไร อาจารย์ก็คอยช่วยเหลือตลอด อย่างบางเรื่องมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของอาจารย์เลย แต่อาจารย์ก็เต็มใจช่วย
ขอบคุณอาจารย์มาก ๆๆๆๆๆ เลยนะค่ะ ตั้งแต่หนูเรียนที่นี้มาสามปี อาจารย์เป็นคนแรกที่หนูผูกพันธ์มากขนาดนี้เลยค่ะ
ถ้าเป็นไปได้ หนูและก็เพื่อน ๆ ก็อยากให้อาจารย์อยู่กับพวกเราไปตลอดนะค่ะ
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามที่อาจารย์ตัดสินใจคร้ังนี้ หนูก็จะยังรักและเคารพอาจารย์นะค่ะ
ชื่นจิต
————————–
วันที่ 1 ต.ค. 53 เป็นอีกวัน ที่สร้างความทรงจำอันสุดประทับใจให้ดิฉัน
นิสิต ปี 4 และ ปี 3 ช่วยกันจัดพิธีแสดงมุทิตาจิตให้ มีอาจารย์ที่เคยเป็นลูกศิษย์มาร่วมด้วย หลายคนกล่าวเพียงไม่กี่ประโยค แต่ทำเอาดิฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ความรักของลูกศิษย์ที่มอบให้อาจารย์ธรรมดาๆ อย่างดิฉัน ทำให้ดิฉันตระหนักในคุณค่าอันมีเกียรติของอาจารย์มากยิ่งขึ้น
กลับมาบ้าน ก็ยังได้รับ E-mail จากลูกศิษย์ อีกคนชวนให้เล่น Face book เขียนมาว่า
มยุรี ดอกคำ รังสีเทคนิค ปี3คร้า
ขอขอบคุณอาจารย์มากๆๆเลยค่ะ หนูรักอาจารย์มากๆเรย
อาจารย์เป็นเหมือนแม่ของหนู แม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่ปรึกษาหนู
อาจารย์ใจดี ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อนิสิตทุกคน
เห็นอาจารย์แล้วมีกำลังใจ อยากเรียนมากๆ
เวลาไปเรียนต่อไปนี้ คงไม่เจออาจารย์แล้ว เศร้าเลยคร้า คิดถึงน่าดู
ขอให้อาจารย์มีความสุขมากๆๆทั้งกาย และใจนะคร้า
อย่าลืมพวกหนูทุกคนนะคร้า พวกหนูไม่มีวันลืมอาจารย์เรย
จะจดจำอาจารย์ตลอดไปค่ะ รักอาจารย์มากที่สุดเรยค่ะ
————————–
แม้แต่ ฐาปนี และ ปรารถนา ลูกศิษย์จอมมาสาย จอมโดดร่ม (แต่เขาก็เป็นเด็กดี) ก็อุตสาห์ตามมาทีหลัง เอาพวงมาลัยมาให้ด้วย
เฮ้อ!! มาสายตลอดกาลนะ ….. แต่มาสายก็ยังดีกว่าไม่มา…. อาจารย์บ่นอีก…. แล้วลูกศิษย์ทั้งสองก็ยิ้มรับกันทั้งคู่
ฐาปนี พูดเสียงอ่อยๆ ว่า…. ”หนูเป็นเด็กดีได้ค่ะอาจารย์ แต่ที่หนูทำไม่ค่อยไหวคือ… ตื่นเช้า….แหะ แหะ”
————————–
ที่สุดของความเป็นครูบาอาจารย์ก็อยู่ตรงนี้แหละ…… ลูกศิษย์ของฉัน
——————————————————————————-
บันทึกเพิ่มเติมวันที่ 30 ตุลาคม 2553
กุ๊กกิ๊ก….หรือ อรพินท์ แสนสมัคร หัวหน้าชั้นปี 3 ส่ง mail ตอบกลับมา หลังจากที่อาจารย์ถัง ส่ง url ลานถังไปให้แอบดู เพราะอาจารย์เล่น face book ไม่เป็น
กุ๊กกิ๊กทำให้อาจารย์ตื้นตัน ด้วยการรวบรวม Face book ของเพื่อนๆ ที่ post ขึ้น web มาให้ดูดังนี้
หนูเข้าไปอ่าน Blog ส่วนตัวของอาจารย์มาแล้ว ในส่วนพาร์ทที่อาจารย์พูดถึงลูกศิษย์
น้ำตาไหลเลย คิดถึงอาจารย์จังค่ะ พวกหนูยังคิดกันอยู่เลยว่า
ว่างๆจะไปเที่ยวพะเยากัน แล้วแวะไปหาอาจารย์ อิอิ
ตอนวันที่ 1 ที่พวกหนูจัดงานมุทิตาจิตให้อาจารย์
กลับจากงาน เพื่อนๆที่เล่นเฟสบุ๊ค เข้าไปโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คตัวเอง
บอกรักอาจารย์ทุกคนเลยค่ะ บางคนก้อบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์ไปเลย
ทุกคนบอกว่า รักอาจารย์เหมือนแม่ตัวเองเรย
แม่คนที่สองของพวกหนู อาจารย์ที่พวกหนูรักที่สุด ^^
แต่ก้อพากัน ใจหายและ sad ไปตามๆกัน จนอาจารย์ฐิติพงษ์ แก้วเหล็ก
อาจารย์ท่านก็เล่นเฟสบุ๊คเหมือนกัน ท่านก็เรยมาปลอบพวกหนูว่า
“มาบอกรักแม่ด้วยคน ^^
ยิ้มไว้คับ แม่จะได้สบายใจว่า เราจะยังดำรงอยู่ได้
แหมแม่ไม่อยู่ เรายังไปหาแม่ คิดถึงแม่ รักแม่ได้เหมือนเดิม
ที่เหลือแม่ไม่ต้องเป้นห่วง พี่ชายคนนี้ กะพี่ชายนัน และพี่สาว ทั้งหลายจะอยู่ดูแลน้องต่อไป
แม่ไม่ต้องห่วง จะดูแลน้องๆต…่อไปคับ ^^ นี้คือโพสต์เมื่อวันที่ 1 ค่ะ ไม่ว่าคืนวันจะผ่านไปนานสักเท่าไร อยากให้เธอรู้ไว้ว่าเธอจะยังคงอยู่ในใจเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ความรัก ความห่วงใย จะยังส่งถึงกันตราบนานเท่านาน รักและเคารพอย่างสูง
คงคิดถึงอาจารย์มากๆเรย ~~กุ๊กกิ๊ก
- หนูเอง ^^
- Orapin Sansamak คิดถึงเนาะ ขนาดอาจารย์งไม่ไปนะเนี๊ยะ งอแงๆ TT TT October 1 at 3:26pm ·
- นี่จิดาเพชรค่ะ Jidapet Praowdang รัก ๆ อาจารย์ตลอดไป October 1 at 3:27pm ·
- นี่ปิยะฉัตร Pangpang Sanovii T______________T October 1 at 3:28pm ·
- Orapin Sansamak ซึมม T T October 1 at 3:35pm ·
- นี่ก้อสุดารัตน์ค่ะ Ae O-Parada มันจะตราตรึงในใจตาบนานเท่านาน
รักอาจารย์นะค่ะ October 1 at 3:42pm · - อาจารย์พี่ฐิ ที่มาปลอบพวกหนู Titipong Kaewlek มาบอกรักแม่ด้วยคน ^^
ยิ้มไว้คับ แม่จะได้สบายใจว่า เราจะยังดำรงอยู่ได้
แหมแม่ไม่อยู่ เรายังไปหาแม่ คิดถึงแม่ รักแม่ได้เหมือนเดิม
ที่เหลือแม่ไม่ต้องเป้นห่วง พี่ชายคนนี้ กะพี่ชายนัน และพี่สาว ทั้งหลายจะอยู่ดูแลน้องต่อไป
แม่ไม่ต้องห่วง จะดูแลน้องๆต…่อไปคับ ^^ October 1 at 5:46pm · · - Ae O-Parada งอแง……….ดูน้องๆต่อไป
อ. กลับมาไม่ทัน นู๋ๆ อ่า ไม่ยอมๆ October 1 at 5:48pm · - พี่รัชฎา ปี 4 ค่ะ Rachada Sukprachapun ซึ้งเรยคะอาจารย์ October 1 at 5:48pm ·
- Ae O-Parada ใช่ๆ ซึ้งจนนู๋นึกภาพบรรยากาศเมื่อเช้าที่ห้องภาครังสี จนน้ำตาไหลเลยเนี่ยยยย
เห้อ …. ดีใจที่ได้เรียนกับ อ.แม่ เป็นรุ่นสุดท้าย
เสียใจที่ไม่ได้เรียนกับ อ.แม่ จนจบสี่ปี และเสียดายแทนน้องๆรักและคิดถึง อ. แม่ตลอดไป October 1 at 5:52pm ·
- นี่กาญจนาค่ะ Maewmeaw Woodky ซึ้งใจมากเลยค่ะอาจารย์ ขอบคุณค่ะ คำว่าพี่ชาย พี่สาว
ฟังแล้วอบอุ่นจังเลย October 1 at 5:53pm · · - Titipong Kaewlek ขอบคุณครับผม ^^ October 1 at 6:01pm ·
- Haii IndiZz รักเสมอ ? October 1 at 6:25pm ·
- ของ ขวัญ อาจารย์สวยมาก ^^ October 1 at 6:26pm ·
- Patsi Aloha มีรูปถ่ายกะอาจารย์ด้วย อิจฉา October 1 at 7:40pm ·
- ของ ขวัญ วันนั้นนึกอะไรไม่รุ้ ก็เลยขอถ่ายกะอาจาร October 1 at 7:49pm ·
- อิอิ คนนี้ฐาปนีค่ะ^^ PLa Za มะ มี คน โทร ตาม ไป เรียน ละ เศร้า T^T จุฟ ๆ จาน ด้วย - - October 1 at 8:17pm ·
- Chelly จ้าวถั่วงอก รัก ค่ะ October 1 at 9:40pm ·
- Chaichana Ladadok รักและเคารพอาจารย
์เสมอ วันนี้เราเป็นนิสิตรังสีเทคนิค วันหน้าเราจะเป็นนักรังสีเทคนิคที่ดีให้สมกับอาจารย์ทุกท่านที่อบรมพวกเรามา ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากเลยครับ October 1 at 10:06pm · - Chaichana Ladadok T=T October 1 at 10:07pm ·
- ฮต๊ ปันทะนันท์ ไม่อยากให้ไปไหนเลย ไม่ชอบการจากลา อยากให้อาจารย์อยู่ที่นี่ คิดถึงอาจารย์ October 2 at 2:38am ·
- Orapin Sansamak ว่างๆ ไปเที่ยวพะเยากัน ไปหาอาจารย์ October 2 at 2:39am ·
- Zri Za so sad October 2 at 2:44am ·
- Orapin Sansamak ไม่ต้องเศร้าๆ อาจารยืไม่อยู่ เราก้อไปหาได้ ^^ October 2 at 2:47am ·
- สุนทรีย์ ไอ่เหม่ง ร๊ากกกก^^ October 2 at 9:19am ·
- Jasmin Najaroon รักอาจารย์ค่ะ นู๋ไม่อยากให้อาจารย์ไปเลย คุณแม่ของนู๋ October 2 at 10:15pm ·
W M
/(,”)\♥(”.)
../♥\. ./█\.
_| |_ _| |_
VVVVVVVVVVVVV
กรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทผู้บริหารควรเป็นผู้มีคุณสมบัติอย่างไร?
อ่าน: 1939กรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทผู้บริหาร ของมหาวิทยาลัยนเรศวรมีทั้งหมด 3 ท่าน มาจาก 3 คณะในแต่ละกลุ่มสาขา คือ
- กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ
- กลุ่มวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และ
- กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา กรรมการจำนวน 2 ใน 3 ท่านหมดวาระลง และอีก 1 ท่านได้ขอลาออกจากตำแหน่งคณบดี ทำให้หมดสภาพเป็นกรรมการสภาฯ ประเภทผู้บริหารไปโดยปริยาย
การเลือกผู้บริหารมหาวิทยาลัยไปเป็นกรรมการสภาฯ แทนทั้ง 3 ท่านดังกล่าว จึงเกิดขึ้น
ดิฉันไม่ทราบเรื่องราวใดใด จนกระทั่ง มีผู้ปรารถนาดีแจ้งว่า ให้ไปดูเรื่องที่ post บน Home Page ของคณะศึกษาศาสตร์
ทำให้วันนี้ดิฉันมีเรื่องเด็ดมาบันทึกประจำวันอีกแล้ว………………
ดิฉันทราบแต่เพียงว่า วันเสาร์ที่ 24 เม.ย. มีการประชุมสภามหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อลงมติในเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ดังนั้นการดำเนินการต่างๆ ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย จึงมีผลโดยตรงกับการลงมติในเรื่องดังกล่าว
ดิฉันจึงได้เรียนรู้มากขึ้นถึงการวางแผนยุทธศาสตร์ของการให้ได้มาซึ่งอำนาจ นี่หากการวางยุทธศาสตร์การบริหารงานเฉียบคม หลักแหลม ดุจเดียวกัน มหาวิทยาลัยคงเจริญรุดหน้าแบบฉุดไม่อยู่แน่ๆ เชียว
ปล. คราวนี้บอกตรงๆ ว่าเขียนอย่างประชดประชัน