อิ่มบุญไปกับคุณครูอนุบาลโรงเรียนเทศบาลหนองแวง

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 10 สิงหาคม 2011 เวลา 3:44 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 2102

 เช้าวันที่  9 สิงหาคม ฝนตกพรำๆมาตั้งแต่ตอนกลางคืน  ตอนเช้าก็ยังตกอย่างต่อเนื่อง    ท้องฟ้าขมุกขมัว ไม่ได้เห็นแสงแดดเลย บรรยากาศน่านอนมากกว่าไปประกอบกิจกรรมใดใด        แต่วันนี้แม่ใหญ่มีนัดเข้าเยี่ยมชมแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลหนองแวง  ดังนั้น ฝนจะตก ฟ้าจะร้องอย่างไร  ก็ต้องไปให้ได้

แม่ใหญ่คุ้นเคยกับครูและผู้อำนวยการโรงเรียนนี้มาก่อน  เพราะเข้าทำกิจกรรมจิตตปัญญาด้วยกันมาหลายครั้ง    ทั้ง ผ.อ. ประยุทธ  รองผ.อ.บุญธรรม   ครูอ้อม สอนภาษาอังกฤษ  และครูตู่ จบการศึกษาพิเศษ  ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกอนุบาล  

ได้เคยล้อมวงสุนทรียสนทนามาด้วยกันแล้วทุกคน    จึงเข้าใจถึงจิตใจและความมุ่งมั่นของครูทั้งสี่ท่านนี้เป็นอย่างมาก  นอกจากนี้ก็เคยได้ยินคุณครูสะท้อนให้ฟังในวงสนทนาว่า เด็กโรงเรียนนี้ ส่วนใหญ่  ช่างขาดแคลนไปเสียเกือบทุกสิ่ง เป็นเด็กชุมชนทางรถไฟ ที่มีพ่อแม่หาเช้ากินค่ำ  เด็กเอง บางคนมีเสื้อผ้าแค่สองชุดเปลี่ยน วันไหนฝนตก  เสื้อผ้าไม่แห้ง ก็มาโรงเรียนไม่ได้    บางคนมาโรงเรียนแต่เช้าไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้กินข้าว  ครูต้องมาช่วยอาบน้ำ สระผม สางเหาให้  และหาข้าวปลาให้ทานพอแก้หิว

จำนวนนักเรียนมีทั้งโรงเรียน 273 คน มีครู 18 คน ที่แผนกอนุบาลมีสามห้องเรียน  มีเด็ก 86 คน  ครู 4 คน   คุณครูได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากทางสำนักการศึกษาเทศบาล ให้ไปดูงานและอบรมแบบเข้มจากหลายสำนักมาสี่ปีแล้ว  ไปมาหมด  ไม่ว่าจะที่สำนักอาจารย์อมราที่อยุธยา สำนัก อาจารย์ วิศิษฐ์  ที่เชียงราย  สำนักอาจารย์ประชา ที่กรุงเทพ  และปรมาจารย์ทั้งหลายท่านก็ยังตามมาทำการอบรมให้ที่ขอนแก่นอีกหลายรอบ  ไปดูงานที่ รร.มอนเตสซอรี่ ที่เชียงราย รร.รุ่งอรุณ  และที่ รร.ลำปลายมาศ  แถม ผ.อ.วิเชียร ไชยบัง   ผู้อำนวยการคนเก่งแห่งลำปลายมาศ ยังตามมาแนะแนวนอกสถานที่ให้ถึงโรงเรียน

ดังนั้นความคาดหวังของแม่ใหญ่ ที่มาดูโรงเรียนนี้ จึงมีมากกว่าที่อื่น  และเมื่อมาดูก็ไม่ผิดไปจากที่คาด  ครูตู่ ครูอี๊ด ครูไข่ และครูกุ้ง มีหน้าตาอิ่มเอิบ  ไม่เครียด  และ นำการเรียนการสอนให้กับเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ   ใช้เสียงเบาๆในการพูด    เด็กมีสมาธิ รู้จักฟัง และกล้าถาม      และร่วมทำกิจกรรมได้อย่างราบรื่น

ในช่วงท้ายของการเยี่ยมเยียน    ที่คณะกรรมการต้นกล้าแห่งปัญญา คุยกับคุณครูผู้สอน เพื่อสะท้อนความคิดเห็น  จึงมีบรรยากาศที่แปลกไป  คือ คณะกรรมการ  ไม่ได้พูดมาก  แต่เป็นคุณครูที่ พูดมากกว่า   คุณครูได้เล่าให้ฟังถึงกระบวนการต่างๆที่ตนเองได้นำมาปฏิบัติแล้ว   เล่าอย่าง ภาคภูมิใจ   ในสิ่งที่เกิดขึ้น   

  • ครูไข่เล่าว่า  เมื่อก่อนเด็กไม่อยากมาโรงเรียนเลย  แต่เมื่อคุณครูได้นำวิธีการต่างๆที่ได้ไปเรียนรู้มาใช้  โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า  “อยากให้เด็กมาโรงเรียน  และเรียนรู้อย่างมีความสุข” คุณครูรู้สึกว่า บัดนี้ครูได้มาถึงเป้าหมายนี้แล้ว     ขนาดฝนตกๆเด็กก็ยังอยากมา  และพ่อแม่ก็เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นด้วย
  • ครูตู่บอกว่า รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ การสอนมันลื่นไหล  รู้สึกสบายๆ ไม่หนักใจ   กับเพื่อนครูด้วยกันก็คุยกันทุกวันพุธ เป็นการประเมินงานกันไปในตัว   ใครมีปัญหาอะไรก็นำมาถกกันได้แบบกัลยาณมิตร
  • ครูอี๊ด  เอกปฐมวัยคนเดียวของที่นี่  แรกๆยังเครียดกับการมาเยี่ยมชมของคณะกรรการ ตอนนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายและยิ้มออก เมือสังเกตเห็นว่าเราไม่ได้มาจับผิด  แต่มาส่งเสริมชื่นชมต่างหาก ครูตู่บอกว่าชอบกิจกรรมช่วงเช้าที่ไปก๊อปปี้มาจาก ลำปลายมาศ คือ กิจกรรม จิตตศึกษา  บอกว่าเด็กนิ่งได้ถึง 40 นาที และไม่ป่วนในห้องขณะที่สอน

คณะกรรมการฯวันนี้มาน้อยคน  คงเพราะติดฝน  ต่างก็สะท้อนความคิดไปในทางเดียวกัน  คือชื่นชมผู้บริหาร ชื่นชม ครู   ที่จัดการเรียนการสอนได้ดี  แม่ใหญ่เติมให้เล็กๆน้อยๆว่า  ครูที่นี่โชคดีกว่าโรงเรียนอื่นๆที่ได้มาสอนเด็กที่มีโอกาสน้อยกว่าคนอื่น     ดังนั้นการสอนของครูจึงเหมือนการได้ทำบุญกับเด็กทุกๆวัน   บัดนี้คุณครูได้เดินทางมาถึงจุดหมายหนึ่งแล้ว    ก็ขอให้ต่อยอดในเรื่องอื่นๆได้อีกมากมาย   อย่าได้หยุดอยู่กับที่   เมื่อ  ได้รับสิ่งที่ดีๆของลำปลายมาศ  จากรุ่งอรุณ จากมอนเตสซอรี่  มาก็เป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว  แต่ ขอให้เป็นตัวของตัวเอง  เลือกสิ่งดีดีนั้นมาปรับใช้ให้เป็นเอกลักษณ์ตามบริบทของหนองแวงด้วย  

คุณครูและคณะกรรมการทานข้าวกลางวันร่วมกัน    และจากกันอย่างมีความสุข  แม่ใหญ่ทานข้าวไม่หมด   คงจะเป็นเพราะอิ่มบุญร่วมกับคุณครู  และคุณสุทธิ  ผู้ริเริ่มโครงการต้นกล้าแห่งปัญญาตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว


ขอบใจลูกที่ให้โอกาส

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 9 สิงหาคม 2011 เวลา 12:04 (เย็น) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1746

ที่นาที่แม่ใหญ่ใช้เป็น  “ศูนย์ทดลองทำนาพัฒนาเด็ก”  นั้น  ลูกชายให้ชื่อว่า “สวนสามศร”  เพราะเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้แก่ลูกและหลาน   นามสกุล “สุวรรณศร” เหมือนกัน สามคน  ตอนนี้เราก็เลยเรียกได้สองอย่าง จะเรียกว่า  “ศูนย์ทดลอง” หรือจะเรียกว่า สวนสามศร  ก็ไม่ผิดกติกาใดใด  และคงจะทำมากกว่า ทำนา  เพราะได้ผสมผสานการปลูกป่า และการปลูกต้นไม้ต่างๆเอาไว้ด้วย

เมื่อจัดรูปที่ดินให้ตรงกับประโยชน์ใช้สอยที่เราต้องการแล้ว  ก้ได้เป็นที่นาสองแปลง  แปลงละ หนึ่งไร่  ทำถนนตัดผ่าเข้าไปตรงกลางถึงสระขนาดใหญ่ เนื้อที่เกือบสองไร่  ที่ลูกชายตั้งใจจะทำเป็นบ่อปลา    ตามขอบบ่อ คันนา และขอบถนน  เราจะใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้ หลากหลายชนิด   รวมถึงพวกผักผลไม้ ต่างๆที่ตอนนี้ แม่ใหญ่ก็ทะยอยขนไปปลูกอยู่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายในสองสามปี  ต้นไม้ที่โตเร็วๆทั้งหลาย คงจะงอกงามเขียวชอุ่มให้เราได้เห็นมากกว่าในปัจจุบัน

ในรูปนี้ตอนเขียนผังเองค่อนข้างผิดส่วน จริงๆแล้ว บ่อน้ำใหญ่เท่าๆกันกับนาสองไร่

   

ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  และลงต้นอะคาเซียรอบที่ดิน

 ต้น อะคาเซีย นี้ เป็นตระกูลผสมระหว่างกระถินณรงค์ กับยูคาลิปตัส ไปได้มาจากศูนย์ทดลองพันธ์ไม้สะแกราช  ก่อนปลูกได้ไปศึกษา ทีศูนย์วิจัยก่อน  เขาพาไปดูต้นที่ปลูกแล้วเห็นว่า  มีลักษณะเป็นต้นสูงตรง  เจ็ดปีสามารถนำมาเลื่อยปลูกบ้านได้เลย และมีเนื้อไม้สวยงามไม่แพ้ไม้สักด้วย ถือเป็นไม้เศรษฐกิจได้  แม่ใหญ่จึงขอกล้าไม้เขามาปลูก   เขาให้มาห้าร้อยต้น   เอามาลงปลูกไว้รอบคันนาและรอบขอบบ่อ  จำนวน สองร้อยกว่าต้น  อีกเจ็ดปี บริเวณรอบๆสวนคงจะร่มครึ้มสวยงามทีเดียว (กล้าที่เหลือยังมีอยู่ ใครต้องการมาแบ่งไปปลูกได้ )

ไปนาบ่อยๆไม่มีที่พัก จึงไปปลูกเถียงนา และพาลูกหลานไปนาในวันหยุดตามที่เขียนไว้ในบล็อคที่แล้ว  และตัวเองก็ซื้อต้นไม้ต่างๆไปลงไว้เรื่อยๆ จะขอเอาพื้นที่ของ  ลานโรงเรียน  บันทึกจำนวนต้นไม้เอาไว้เลย  เมื่อต้นโตแล้วจะได้ถ่ายรูปมาอวดกันอีกครั้ง ขณะนี้ได้ลงต้นไม้ต่างๆไว้แล้วดังนี้

อะคาเซีย 200 ต้น  ไผ่บงหวาน 20 ต้น ต้นแค 2 ต้น ชะอม 2 ต้น ต้นสัก 5 ต้น มะละกอ 2 ต้น มะนาว 2 ต้น มะเฟือง 2 ต้น ฝรั่ง 2 ต้น มะม่วงน้ำดอกไม้ 2 ต้น ขนุน 2 ต้น ชมพู่ 1 ต้น  ประเภทสวยงาม มี ต้นคูณ 1 ต้น ต้นลำโพง 4 ต้น กระดุมทอง 10 ต้น กระเจียว 4 ต้น และมีต้นไม้เดิมติดที่อยู่แล้ว  เป็นต้นจาน  หรือทองกวาวต้นใหญ่ที่แม่ใหญ่ไปอาศัยร่มเงาปลูกเถียงนา   และมีต้นเล็กๆที่ขึ้นอยู่ริมขอบบ่ออีก 4-5 ต้น ทีแม่ใหญ่สั่งห้าม ขุดทิ้งเด็ดขาด  นอกจากนี้เจ้าของที่เดิมได้ปลูกต้นกล้วยไว้หลายกอ  ต้นมะมวงที่โตแล้วสองสามต้น  และมีมะพร้าวอีกสองสามต้น

แม่ใหญ่ยังหาต้น พังเพย มะพลับ ตะโก มะกอก  ตามที่ท่านวอญ่า แนะนำไม่ได้  แต่อีกไม่นานต้องหาจนได้  เพื่อ จะได้ชี้ชวนให้เด็กดูว่า

  นี่ต้นพังเพยนะ  แล้วนั่นก็ต้น ที่มาของคำว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” 

โน่นต้น  “มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก”

นั่นต้น  “มะม่วงหาว มะนาวโห่”

(ที่เด็กๆเคยเรียนในวิชาภาษาไทย แต่ไม่เคยได้เห็นต้นจริงก็จะได้เห็นกันละคราวนี้  )

 ฝนนี้ ตกชุก ต้นไม้ต่างๆที่ปลูกไปแล้ว  คงได้ชุ่มฉ่ำเต็มที่  รวมทั้งข้าวที่พานักเรียนมาโยนไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ก็เติบโตแข็งแรง  ที่จมน้ำเพราะทำเทือกไม่เรียบเสมอ  ก็จะดำซ่อมแซมกันในวันที่ 12 ส.ค.นี้ แม่ใหญ่จะถือเป็นวันร่วมมือร่วมใจลงแขกดำนากัน  วันเดียวคงเสร็จ ได้ป่าวร้องน้องพี่ พนักงาน ครูและเด็กๆทั้งโรงเรียน ที่สมัครใจมาลงแขกกันในวันอม่    คาดว่าจะมากันหลายคนอยู่ เพราะให้สโลแกนในการป่าวร้องไปว่า “ถ้ารักแม่ใหญ่ ต้องไปดำนา” (คราวนี้คงจะรู้ละว่าใครรักเรา อิอิ)

   ปีนี้จะทดลองแบบเดิมๆ ใช้คนไปก่อน  แต่เที่ยวหน้าจะใช้รถดำตามที่ได้ไปเรียนมาจากคุณต้นกล้า ชาวนาวันหยุด เพราะได้ชื่อเครือข่ายรถดำนามาเรียบร้อยแล้ว

แหม   ชีวิตวัยหลังเกษียณนี่มีอะไรมาให้เล่นสนุกจริงๆ  รูปข้างล่างนี้ คือเมื่อได้ไปเรียนรู้เรื่องทำนา  กับการไปเรียนรู้เรื่องปลูกป่า  ก่อนที่จะมาทำในศูนย์ทดลองของโรงเรียนพัฒนาเด็ก…..ก่อนทำอะไรต้องเรียนรู้ของจริงเสียก่อน

 วันเวลาในวัยนี้  ได้เติมเต็มในส่วนที่ไม่เคยได้ทำ   เมื่อครั้งยังมีหน้าที่การงานความรับผิดชอบ เต็มไม้เต็มมือ  เลี้ยงลูกๆทั้งห้าคน ด้วยสองมือแม่  พร้อมกับดำเนินกิจการโรงเรียนไปด้วย 

วันนี้ลูกสองคนเข้ามาช่วยบริหารเต็มตัว ขอเพียงแม่เข้าไปนั่งประชุมด้วยเพื่อให้ความคิดเห็นบ้างตามประสบการณ์ที่มีมานาน   แม่ใหญ่จึงมีเวลามาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่สนใจ 

ขอบใจลูกทั้งสองคนที่ให้แม่มีโอกาสดีดีในวันนี้” 

 


ชักจูงลูกหลานให้หันหาธรรมชาติ

อ่าน: 1557

         เมื่อสมัยแม่ใหญ่ยังเด็ก ที่พอจำความได้แล้ว   แม่เคยพาไปเที่ยวทุ่งนาของยายที่ดงละคร   นครนายก  ได้ไปพักอยู่ในกระต๊อบหลังหนึ่ง   เวลาลมฝนมา  หลังคามุงจากรั่ว และมีบางส่วนปลิวว่อน   เจ้าของบ้านวิ่งหากะละมังมารองน้ำ  แล้วเอาผ้าใบมาคลุมให้เราไปนั่งหลบกันอยู่ที่มุมบ้านซึ่งรั่วน้อยหน่อย    แทนที่จะกลัว   แม่ใหญ่ กลับจำได้ฝังใจว่าสนุกมากๆ  เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน  อาหารที่เขาทำให้ทานที่จำได้ และชอบมาจนบัดนี้คือ ขนมจีนคลุกน้ำปลา ใส่ผักกะเฉดและโหระพา อร่อยจนต้องขอทานเป็นจานที่สอง   วันไหนแดดดีดีก็ไปลงนากับเขา  คลุกโคลน ขี่ควาย   เป็นภาพที่ฝังจิตฝังใจ  ไมเคยลืม

มาวันนี้  ถึงแม้มาอยู่ต่างจังหวัด   แต่ก็อยู่แต่ในตัวเมือง  ไม่ได้ออกไปสัมผัสไร่นาอีกเลย  เมื่อมีเวลาว่างเพราะเกษียณตัวเองจากงานประจำ   จึงอยากไปคลุกคลีกับบรรยากาศ ทุ่งนาอีกสักครั้ง  และก็อยากชักจูงลูกหลานไปสัมผัสชีวิตชนบทด้วย      เมื่อมีคนบอกขายที่นา ราคาไม่แพงนัก เมื่อสองปีที่แล้ว    จึงไปขอแบ่งซื้อมา สี่ไร่  ยกให้เป็นชื่อลูก ชื่อหลาน ทั้งหมด    แล้วก็ชักชวนให้เขาไปเที่ยวไปเล่นในที่นาของเขาเอง    ที่นาซึ่งปลูกข้าวได้  มีสองไร่เศษๆ   อีกสองไร่เป็นบ่อน้ำใหญ่ซึ่งเจ้าของเก่า เขาขุดไว้

ช่วงสองปีที่แล้วต้องบอกว่าเป็นช่วงบ่มเพาะความรู้ต่างๆว่า จะทำอะไรกับที่นาตรงนี้ดี  ยังปล่อยให้เจ้าของเดิมเขาทำนาไปตามที่เขาเคยทำ   แต่ปีนี้ ได้เริ่มทดลองเอาสิ่งที่ศึกษามาปฏิบัติไปบ้างแล้ว   เป็นการลองผิดลองถูก  ไม่ได้นึกถึงผลผลิตเป็นข้าว  หรือเป็นเงินตอบแทนนัก   แต่อยากให้เป็นที่ซึ่งลูกหลานในเมือง  ได้มีโอกาสไปเรียนรู้และใกล้ชิดกับธรรมชาติ  ทั้งลูกหลานของเราเอง และลูกหลานในโรงเรียน ด้วย  ตอนนี้จึงตั้งเป็น  “ศูนย์ทำนาทดลองพัฒนาเด็ก”  เปิดหน้า เวปเพจใหม่ไว้ใน เฟสบุค  แล้วก็รวบรวมความรู้ต่างๆที่ได้ศึกษาจาก you tube และ google  มาไว้ที่หน้านี้   

 ส่วนทางด้านกายภาพ  ก็เริ่มด้วยการทำทางเข้าที่นา  ปลูกเถียงนา  โรงนา   และได้พาเด็กนักเรียนไปโยนข้าว แล้วเมื่อเดือนที่แล้ว  ขณะนี้  ข้าวเริ่มแตกเป็นกอ และแตกใบเป็นสี่ห้าใบแล้ว   ได้ ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  ปลูกต้นอาคาเซีย บนคันนา รอบๆที่นา  หาพืชพันธ์ไม้ต่างๆไปปลูกไว้  ทั้ง ต้นไผ่บงหวาน   ต้นสัก  ต้นมะละกอ   มะกรูด  มะนาว  ขนุน  มะรุม ต้นแค  ชะอม   หวังว่าอีกไม่นานจะได้เห็น ต้นไม้ต่างๆเหล่านี้ เติบโต  ตั้งใจจะเลี้ยงเป็ดสักยี่สิบตัว  เอาไว้กินหอยเชอรี่ในนา  และ เลี้ยงวัวสักสองตัวเพื่อเอาปุ๋ยคอกมาบำรุงดิน

 เดี๋ยวนี้   พอวันเสาร์อาทิตย์ ก็ชวนลูกๆหลาน  ไปเที่ยวเล่นที่เถียงนาใหม่  แทนการไปเดินห้าง    เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์   เอาอาหารไปทำทานกันบ้าง  ชวนไปวิ่งเล่นออกกำลังกัน     แม้ยังไม่ได้ลงมือเป็นเกษตรกรเต็มตัว  เพราะล้วนแต่ยังทำอะไรไม่เป็นกันสักคน  แต่อย่างน้อยก็ได้ไปเห็นลูกชาวนาข้างๆที่นาของเรา    อายุไล่เลี่ยกับหลานๆ  สามารถลงแปลงช่วยพ่อแม่ ถอนกล้า   แล้วมัดเป็นฟ่อน   และยังสามารถหาบเอากล้าไปดำนาช่วยพ่อแม่  ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว 

 ถือว่า   นี่เป็นพียงการเริ่มต้น  ที่จะให้เด็กๆได้เรียนรู้    ให้เขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติ   ได้เห็นชีวิตจริงของชาวนาไทย      แม่ใหญ่ถือว่า การได้จัดประสบการณ์ชีวิตให้เขา   ได้พบ  ได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของเขา  ดีกว่าที่จะให้เขาเติบโตและใช้ชีวิตเป็นเด็กเมือง เพียงอย่างเดียว 

วันศุกรที่ 12 สิงหาคมนี้  เป็นวันหยุด    ต้นกล้าที่หว่านไว้   โตได้ที่พอดี   ก็จะนัดครู  พนักงาน   เด็กนักเรียน  และลูกหลาน  ไปลงแขกดำนา ในส่วนที่เหลืออีกหนึ่งไร่  กันอีกครั้ง   เอาให้ตรงกับที่ป้าจุ๋มเคยบอกไว้ว่า  “ปลูกวันแม่  แล้วเกี่ยววันพ่อ”  นั่นทีเดียว   ขออย่าให้มีพายุเข้าหรืออุปสรรคอื่นใดอีกก็แล้วกัน


เยี่ยมชมโรงเรียนเทศบาลวัดกลาง

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 3:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1920

 วันนี้ถึงคิวไปเยี่ยมชมแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลวัดกลาง   ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญมาก  มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ไปจนถึงมัธยมปีที่หก   ผ.อ. ชูเกียรติ  เหลืองอุบล  บอกว่ามีนักเรียนถึง   2700 กว่าคน   โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ   ว่าด้วยเรื่อง “ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง “ ที่เปิดเป็นห้องเรียนสองห้อง ระดับประถมรวม 1 ห้อง และ มัธยมรวม 1 ห้อง  มีนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ  หลากหลาย  ไม่ว่าจะว่าด้วยเรื่องอารมณ์  หรือวิชาการ   จำนวน ในขณะนี้รวมสองห้อง  ก็เข้าไป  55 คน ต่อครู 8 คน     (ผ.อ. บอกว่า ไม่พยายามโฆษณา  เพราะจำนวนล้นแล้ว  แต่ก็ยังมีคนนิยมพาเด็กมาฝากไว้  เพราะไม่มีที่อื่นจะไปนั่นเอง)

แต่เนื่องจากวันนี้ ไม่ได้มาเยี่ยมชม เรื่อง “ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง”  จึงจะขอเข้าเรื่อง  เยี่ยมแผนกอนุบาลวัดกลาง  จะดีกว่า

ที่นี่มีเด็ก สามระดับคือ อนุบาล 1 ,2และ3  อย่างละสองห้อง    ห้องอนุบาล 1   มีครูสองคน  ต่อเด็ก ไม่เกิน 30 คน ส่วนอนุบาล2 และ 3  มีครูห้องละ 1 คน  มีนักศึกษาฝึกสอน อาสามาช่วยบ้างเป็นบางห้อง ที่นักเรียนมากกว่า 30    สถานที่ก็เหมือนห้องเรียนตามโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป  ไม่กว้างขวางนัก  ห้องน้ำอยู่ห่างจากห้องห้องเรียน โดยตั้งอยู่ที่หัวตึกและท้ายตึก   ดังนั้น เมื่อเด็กไปเข้าห้องน้ำ  จึงต้องไปเองตามลำพัง ครูไม่สามารถทิ้งห้องไปด้วยได้   ผ.อ.  บอกว่า เทอมหน้า ได้งบจากเทศบาล  จะรื้อส่วนนี้ออกและสร้างห้องเรียนอนุบาลใหม่ทั้งหมด   เพื่อให้เด็กมีห้องเรียน ได้มาตรฐานกว่านี้

 ครูเท่าที่เห็นมีอยู่  9 คน  และมีนักเรียนรวมกันหกห้อง 187 คน  ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ดีทีเดียว    กิจกรรมช่วงเช้า  มีกิจกรรมรวม  ทั้งหกห้อง   ฝึกหัดระเบียบวินัยในแถว   มีเพลงให้เด็กได้เต้นออกกำลังกาย  เมื่อเด็กเดินเข้าไปในห้อง ทุกคน จะกอดครูก่อนเข้าห้องเรียน   และกิจกรรมแรกที่เห็นคือ  บางห้องนั่งสมาธิ บางห้องนอนทำ Body scan   ได้ทราบตอนประชุมสรุปว่า   ครูโรงเรียนนี้ ได้รับการอบรมเข้มอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ได้ไปดูงานหลายแห่ง ทั้งที่โรงเรียน รุ่งอรุณ  โรงเรียนลำปลายมาศ    และเข้าอบรมจิตตปัญญาจาก ปรมาจารย์  วิศิษฐ์  และประชา   (ดังที่เคยได้เล่าไว้บ้างแล้วในบล็อกก่อนๆ) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ได้เห็นกิจกรรม  นิ่มนวลจากกายถึงกาย จากใจถึงใจ ระหว่างเด็กและครูอย่างชัดเจน

ครูมีความรู้ความชำนาญในการสอน   และเพิ่งผ่านการประเมินจาก สมศ  มาเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จัดการเรียนการสอน ได้ยอดเยี่ยม   ดังนั้นทุกอย่างจึงดูดี ไปหมด   เด็กหน้าตาสดใส กล้าพูดกล้าแสดงออก    ในช่วง สรุปการเยี่ยมชม  แม่ใหญ่จึงได้แต่ฝากว่าขอให้คงความดีอย่างนี้ ตลอดไป  ไม่ใช่พอไม่มีคนมาเยี่ยมชม แล้ว จะหย่อนยาน  ตามมีตามเกิด   เพราะนึกว่าเด็กไม่รู้อะไร   ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ทุกนาทีของนักเรียน โดยเฉพาะอนุบาล  นั้นมีค่ามาก  อย่าไปฉุดรั้งพัฒนาการเขา ด้วยกิจกรรมซ้ำซาก  ขอให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย  ที่ทำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข  เช่นที่ได้เห็นในวันนี้

ช่วงสรุปการเยี่ยมโรงเรียน ในวันนี้ นำการสรุปโดย คุณ เดชา  เปรมฤดีเลิศ    ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการหลักของโครงการ      ”ต้นกล้าแห่งปัญญา”      นี้    คุณเดชา เป็น NGO ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในภาคอิสาน        ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกเทศมนตรีนครขอนแก่น     ใครใคร่รู้จักอย่างละเอียดขึ้น  ขอเชิญ   ติดตามได้ในลิงค์ข้างล่างนี้http://www.kkmuni.go.th/center/index.php?option=com_content&view=article&id=443&Itemid=187&lang=en

ที่แม่ใหญ่ต้องกล่าวถึงบุคคลผู้นี้เป็นพิเศษ เนื่องจาก  เขาเป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังโครงการดีดีมากมายในเมืองขอนแก่น     เป็นคนมีจิตอาสา  ที่ทุ่มเท ทั้งกำลังกายและกำลังความคิดเพื่อสังคม และส่วนรวม   แม่ใหญ่รู้จักคุณเดชามานานเกือบยี่สิบปี  จนกล้าที่จะรับประกันความเป็นทองเนื้อแท้ของคุณเดชาได้  อย่างเต็มอกเต็มใจ

 คนรวบผมใส่เสื้อลายนี่แหละคือลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อ   เดชา เปรมฤดีเลิศ  คนเบื้องหลังที่ผลักดัน ชักจูง ส่งเสริม  เกี่ยวกับการศึกษา ของเทศบาลนครขอนแก่น มาอย่างยาวนาน


ไปเรียนรู้เรื่องทำนา

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 3 สิงหาคม 2011 เวลา 10:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 2273

 

วันนี้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมฟังชาวนาตัวจริง   และชาวนาวันหยุด  มาเล่าเรื่องความรู้เกี่ยวกับการทำนา  ที่งาน go green  go organic    ได้ความรู้มาหลายเรื่องจากตัวจริงเสียงจริง  หลังจากที่ได้ติดตามอ่านใน gotoknow มาพักใหญ่แล้ว  ได้พบคุณต้นกล้า  ชาวนาวันหยุด  ลุงมี  คุณสมปอง คุณฉับพลัน คุณตั้ม ชาวนาร่วมสมัยที่ได้ ใช้ชีวิตชาวนาอย่างเป็นสุข และได้ผล  มาคนละหลายๆปี  ได้พบคุณสุวัฒน์ วิศวกรอีกคน มาทักว่าเคยเป็นนักศึกษาวิศว มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุ่นหก  อุตส่าห์จำแม่ใหญ่ได้ (ขอบคุณมากค่ะ)  มาร่วมฟังอย่างสนใจและบอกแม่ใหญ่ ว่าอีกสองสามปี จะใช้ชีวิตบั้นปลายไปทำนา     อาม่า และคุณแพนด้า   ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วจากการอ่านบทความในลานปัญญา

งานนี้ได้ประโยชน์ ได้ความรู้ เสียดายที่ไม่มีชาวนาตัวจริงๆ มารับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงการทำนาของตัวเอง ให้เป็นชาวนาร่วมสมัยให้จงได้  จะมีก็แต่ ลุงพงศ์  ครูสอนทำนาของแม่ใหญ่ที่แม่ใหญ่พาไปด้วย  ลุงพงศ์บอกว่าทำนามานานปี  หลายๆเรื่องเพิ่งได้เรียนรู้เหมือนกัน

สำหรับแม่ใหญ่ที่ยังไม่เคยทำนาจริงๆ  เคยแต่อ่าน และเพิ่งเริ่มทดลองทำนาโยนเป็นครั้งแรก  จับประเด็นใหญ่ๆได้ ดังนี้

  • ทำนาดำดีที่สุด
  • เวลาดำนาไม่จำเป็นต้องดำสับหว่าง ดำเป็นแถวตรงๆ จะง่ายต่อการ แถกหญ้าด้วยเครื่องที่คุณสมปองคิดขึ้น  และเป็นเส้นทางให้เป็ด  เดินทางเข้าไปหาหอยเชื่อรี่กินง่ายขึ้น
  • การทำนา ใช้น้ำไม่ต้องมาก ให้มีการสลับเปียกแห้ง จะทำให้ข้าวขยายราก เติบโตเร็ว  เวลาให้ปุ๋ยให้ให้ตอนที่น้ำแห้งดินแตกระแหง  ใส่ปุ๋ยไปตามรอยแตกแล้วค่อยปล่อยน้ำเข้า
  • แหนแดง นำไปเลี้ยงในนา ให้ไนโตรเจน และช่วยคลุมดิน

ก็คงจะได้นำมาทดลองทำต่อไป  เพราะแม่ใหญ่ถือเป็นโครงการระยะยาวของโรงเรียนพัฒนาเด็กแล้ว

ขอบคุณอาม่าผู้ส่งข่าวมากๆค่ะ  แต่เสียดายไม่ได้เจอ อาจารย์ทวิช  เพราะงานเลิกห้าโมงเย็น ฟ้าครึ้มฝน เมฆดำทมึน เลยตัดสินใจรีบกลับขอนแก่น    เจอฝนตลอดทาง มาถึงบ้านเอาเกือบสามทุ่ม  คุ้มค่าที่ไปฟัง



Main: 0.071419954299927 sec
Sidebar: 0.04967212677002 sec