ชักจูงลูกหลานให้หันหาธรรมชาติ

อ่าน: 1556

         เมื่อสมัยแม่ใหญ่ยังเด็ก ที่พอจำความได้แล้ว   แม่เคยพาไปเที่ยวทุ่งนาของยายที่ดงละคร   นครนายก  ได้ไปพักอยู่ในกระต๊อบหลังหนึ่ง   เวลาลมฝนมา  หลังคามุงจากรั่ว และมีบางส่วนปลิวว่อน   เจ้าของบ้านวิ่งหากะละมังมารองน้ำ  แล้วเอาผ้าใบมาคลุมให้เราไปนั่งหลบกันอยู่ที่มุมบ้านซึ่งรั่วน้อยหน่อย    แทนที่จะกลัว   แม่ใหญ่ กลับจำได้ฝังใจว่าสนุกมากๆ  เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน  อาหารที่เขาทำให้ทานที่จำได้ และชอบมาจนบัดนี้คือ ขนมจีนคลุกน้ำปลา ใส่ผักกะเฉดและโหระพา อร่อยจนต้องขอทานเป็นจานที่สอง   วันไหนแดดดีดีก็ไปลงนากับเขา  คลุกโคลน ขี่ควาย   เป็นภาพที่ฝังจิตฝังใจ  ไมเคยลืม

มาวันนี้  ถึงแม้มาอยู่ต่างจังหวัด   แต่ก็อยู่แต่ในตัวเมือง  ไม่ได้ออกไปสัมผัสไร่นาอีกเลย  เมื่อมีเวลาว่างเพราะเกษียณตัวเองจากงานประจำ   จึงอยากไปคลุกคลีกับบรรยากาศ ทุ่งนาอีกสักครั้ง  และก็อยากชักจูงลูกหลานไปสัมผัสชีวิตชนบทด้วย      เมื่อมีคนบอกขายที่นา ราคาไม่แพงนัก เมื่อสองปีที่แล้ว    จึงไปขอแบ่งซื้อมา สี่ไร่  ยกให้เป็นชื่อลูก ชื่อหลาน ทั้งหมด    แล้วก็ชักชวนให้เขาไปเที่ยวไปเล่นในที่นาของเขาเอง    ที่นาซึ่งปลูกข้าวได้  มีสองไร่เศษๆ   อีกสองไร่เป็นบ่อน้ำใหญ่ซึ่งเจ้าของเก่า เขาขุดไว้

ช่วงสองปีที่แล้วต้องบอกว่าเป็นช่วงบ่มเพาะความรู้ต่างๆว่า จะทำอะไรกับที่นาตรงนี้ดี  ยังปล่อยให้เจ้าของเดิมเขาทำนาไปตามที่เขาเคยทำ   แต่ปีนี้ ได้เริ่มทดลองเอาสิ่งที่ศึกษามาปฏิบัติไปบ้างแล้ว   เป็นการลองผิดลองถูก  ไม่ได้นึกถึงผลผลิตเป็นข้าว  หรือเป็นเงินตอบแทนนัก   แต่อยากให้เป็นที่ซึ่งลูกหลานในเมือง  ได้มีโอกาสไปเรียนรู้และใกล้ชิดกับธรรมชาติ  ทั้งลูกหลานของเราเอง และลูกหลานในโรงเรียน ด้วย  ตอนนี้จึงตั้งเป็น  “ศูนย์ทำนาทดลองพัฒนาเด็ก”  เปิดหน้า เวปเพจใหม่ไว้ใน เฟสบุค  แล้วก็รวบรวมความรู้ต่างๆที่ได้ศึกษาจาก you tube และ google  มาไว้ที่หน้านี้   

 ส่วนทางด้านกายภาพ  ก็เริ่มด้วยการทำทางเข้าที่นา  ปลูกเถียงนา  โรงนา   และได้พาเด็กนักเรียนไปโยนข้าว แล้วเมื่อเดือนที่แล้ว  ขณะนี้  ข้าวเริ่มแตกเป็นกอ และแตกใบเป็นสี่ห้าใบแล้ว   ได้ ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  ปลูกต้นอาคาเซีย บนคันนา รอบๆที่นา  หาพืชพันธ์ไม้ต่างๆไปปลูกไว้  ทั้ง ต้นไผ่บงหวาน   ต้นสัก  ต้นมะละกอ   มะกรูด  มะนาว  ขนุน  มะรุม ต้นแค  ชะอม   หวังว่าอีกไม่นานจะได้เห็น ต้นไม้ต่างๆเหล่านี้ เติบโต  ตั้งใจจะเลี้ยงเป็ดสักยี่สิบตัว  เอาไว้กินหอยเชอรี่ในนา  และ เลี้ยงวัวสักสองตัวเพื่อเอาปุ๋ยคอกมาบำรุงดิน

 เดี๋ยวนี้   พอวันเสาร์อาทิตย์ ก็ชวนลูกๆหลาน  ไปเที่ยวเล่นที่เถียงนาใหม่  แทนการไปเดินห้าง    เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์   เอาอาหารไปทำทานกันบ้าง  ชวนไปวิ่งเล่นออกกำลังกัน     แม้ยังไม่ได้ลงมือเป็นเกษตรกรเต็มตัว  เพราะล้วนแต่ยังทำอะไรไม่เป็นกันสักคน  แต่อย่างน้อยก็ได้ไปเห็นลูกชาวนาข้างๆที่นาของเรา    อายุไล่เลี่ยกับหลานๆ  สามารถลงแปลงช่วยพ่อแม่ ถอนกล้า   แล้วมัดเป็นฟ่อน   และยังสามารถหาบเอากล้าไปดำนาช่วยพ่อแม่  ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว 

 ถือว่า   นี่เป็นพียงการเริ่มต้น  ที่จะให้เด็กๆได้เรียนรู้    ให้เขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติ   ได้เห็นชีวิตจริงของชาวนาไทย      แม่ใหญ่ถือว่า การได้จัดประสบการณ์ชีวิตให้เขา   ได้พบ  ได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของเขา  ดีกว่าที่จะให้เขาเติบโตและใช้ชีวิตเป็นเด็กเมือง เพียงอย่างเดียว 

วันศุกรที่ 12 สิงหาคมนี้  เป็นวันหยุด    ต้นกล้าที่หว่านไว้   โตได้ที่พอดี   ก็จะนัดครู  พนักงาน   เด็กนักเรียน  และลูกหลาน  ไปลงแขกดำนา ในส่วนที่เหลืออีกหนึ่งไร่  กันอีกครั้ง   เอาให้ตรงกับที่ป้าจุ๋มเคยบอกไว้ว่า  “ปลูกวันแม่  แล้วเกี่ยววันพ่อ”  นั่นทีเดียว   ขออย่าให้มีพายุเข้าหรืออุปสรรคอื่นใดอีกก็แล้วกัน


ไปเรียนรู้เรื่องทำนา

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 3 สิงหาคม 2011 เวลา 10:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 2272

 

วันนี้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมฟังชาวนาตัวจริง   และชาวนาวันหยุด  มาเล่าเรื่องความรู้เกี่ยวกับการทำนา  ที่งาน go green  go organic    ได้ความรู้มาหลายเรื่องจากตัวจริงเสียงจริง  หลังจากที่ได้ติดตามอ่านใน gotoknow มาพักใหญ่แล้ว  ได้พบคุณต้นกล้า  ชาวนาวันหยุด  ลุงมี  คุณสมปอง คุณฉับพลัน คุณตั้ม ชาวนาร่วมสมัยที่ได้ ใช้ชีวิตชาวนาอย่างเป็นสุข และได้ผล  มาคนละหลายๆปี  ได้พบคุณสุวัฒน์ วิศวกรอีกคน มาทักว่าเคยเป็นนักศึกษาวิศว มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุ่นหก  อุตส่าห์จำแม่ใหญ่ได้ (ขอบคุณมากค่ะ)  มาร่วมฟังอย่างสนใจและบอกแม่ใหญ่ ว่าอีกสองสามปี จะใช้ชีวิตบั้นปลายไปทำนา     อาม่า และคุณแพนด้า   ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วจากการอ่านบทความในลานปัญญา

งานนี้ได้ประโยชน์ ได้ความรู้ เสียดายที่ไม่มีชาวนาตัวจริงๆ มารับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงการทำนาของตัวเอง ให้เป็นชาวนาร่วมสมัยให้จงได้  จะมีก็แต่ ลุงพงศ์  ครูสอนทำนาของแม่ใหญ่ที่แม่ใหญ่พาไปด้วย  ลุงพงศ์บอกว่าทำนามานานปี  หลายๆเรื่องเพิ่งได้เรียนรู้เหมือนกัน

สำหรับแม่ใหญ่ที่ยังไม่เคยทำนาจริงๆ  เคยแต่อ่าน และเพิ่งเริ่มทดลองทำนาโยนเป็นครั้งแรก  จับประเด็นใหญ่ๆได้ ดังนี้

  • ทำนาดำดีที่สุด
  • เวลาดำนาไม่จำเป็นต้องดำสับหว่าง ดำเป็นแถวตรงๆ จะง่ายต่อการ แถกหญ้าด้วยเครื่องที่คุณสมปองคิดขึ้น  และเป็นเส้นทางให้เป็ด  เดินทางเข้าไปหาหอยเชื่อรี่กินง่ายขึ้น
  • การทำนา ใช้น้ำไม่ต้องมาก ให้มีการสลับเปียกแห้ง จะทำให้ข้าวขยายราก เติบโตเร็ว  เวลาให้ปุ๋ยให้ให้ตอนที่น้ำแห้งดินแตกระแหง  ใส่ปุ๋ยไปตามรอยแตกแล้วค่อยปล่อยน้ำเข้า
  • แหนแดง นำไปเลี้ยงในนา ให้ไนโตรเจน และช่วยคลุมดิน

ก็คงจะได้นำมาทดลองทำต่อไป  เพราะแม่ใหญ่ถือเป็นโครงการระยะยาวของโรงเรียนพัฒนาเด็กแล้ว

ขอบคุณอาม่าผู้ส่งข่าวมากๆค่ะ  แต่เสียดายไม่ได้เจอ อาจารย์ทวิช  เพราะงานเลิกห้าโมงเย็น ฟ้าครึ้มฝน เมฆดำทมึน เลยตัดสินใจรีบกลับขอนแก่น    เจอฝนตลอดทาง มาถึงบ้านเอาเกือบสามทุ่ม  คุ้มค่าที่ไปฟัง


ตกลาน

6 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:31 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1718

ไม่ได้เขียนเสียนาน  จนตกลานไปเลย  มัวแต่ไปประคบประหงมต้นกล้าร่วมกับเด็กๆที่ช่วยกันเพาะ  แต่เนื่องจากสถานที่ไม่ค่อยอำนวยเพราะเด็กๆแยกกันเพาะตามข้างๆห้องเรียนบาง กลางสนามบ้าง   ตอนกลางคืน  ฝนและพายุมา ลมแรง  พัดเอาต้นกล้าปลิวออกจากถาดไปก็หลายหลุม  เช้าๆต้องมาซ่อมกัน    ก็เป็นเรื่องโกลาหล   และช่วยกันแก้ปัญหาไปแต่ละห้องไป   เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ และคราวนี้ ต้องเตรียมสถานที่เพาะให้เหมาะกว่านี้   แต่ผลที่ได้ก็ไม่เลวร้ายนัก ตามรูปที่ถ่ายเอามาอวดกัน  ตั้งใจว่าหยุด 4 วันนี้ คงเอาถาดไปไว้ในนาเสียที  รอโยนในช่วงเปิดเรียนหลังวันหยุดยาวเข้าพรรษา  เด็กๆตื่นเต้นที่เห็นต้นกล้าอ่อนๆงอกออกมาจากเมล็ดอย่างรวดเร็ว  แค่สามวันก็เห็นต้นสีเขียวอ่อนกันแล้ว

ส่วนที่นาก็ได้มีการเตรียมหว่านกล้าเพื่อใช้ดำกันในวันที่ 30 แล้ว งานนี้ใช้ชาวนาตัวจริง ลุงพงษ์ กับลุงไหม  เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่า คงได้ผลดีกว่าที่พวกเราทำกันเอง แบบงูๆปลาๆ 

ส่วนการเตรียมการเรื่องนาหยอดหล่นนั้น  ยังไม่ได้ดำเนินการ   คาดว่าจะเริ่มทำลูกกระสุนกล้าสักสามสี่วันก่อนหยอด

ทำนาครั้งแรกในชีวิต  ตื่นเต้นไปพร้อมกับเด็กๆเลย  อุปสรรคก็มีไม่น้อย  นกมาจิกต้นกล้าบ้าง  หนูมาคุ้ยกระบะบ้าง   ยกแผงกล้าหนีลมฝนบ้าง    เข้าใจความลำบากของชาวนา อย่างซาบซึ้งก็คราวนี้  นี่ยังอีกหลายขั้นตอนเชียว กว่าจะถึง ขั้นตอนที่ออกมาเป็นเมล็ดให้ได้ทานกัน


งงกับลานปัญญา

4 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 2 กรกฏาคม 2011 เวลา 10:42 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก #
อ่าน: 1172

เขียนบล๊อกมาเกือบหกสิบบล๊อกแล้ว แต่ วันนี้  งงเล็กน้อย  เพราะพยายามจะเอา forward  mail ของเพื่อนที่ส่งมาให้  เป็น ตัวอักษร word ธรรมดา    แต่ปรากฎว่า เมื่อ copy มา paste  เมื่อเปิดดูเจอแต่หัวเรื่อง   น่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ  ไปเปิดดูก็ยังเห็นใครๆเขาส่งบล็อคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  เอ หรือว่าเราจะใช้เนื้อที่ส่วนตัวในหน้านี้หมดแล้ว  เป็นงงจริงๆ   เดี๋ยวจะลองดูอีกครั้ง

โรง พยาบาลธรรมชาติ 1.        ไขมันใน เลือดสูง  แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ  ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว 
2.        ปวดหัว  ให้หาผักคะน้าหรือ ปวยเล้ง (แมกนีเซียมกินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบ ได้หรือจะชง โกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ 
3.        เป็นหวัด ไอ จามบ่อย  ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม  หอม พริกให้มากเข้าไว้ 
4.        ภูมิแพ้  แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี) 
5.        แพ้ฝุ่น ละออง  ไรฝุ่น   หาโยเกิร์ตแบบรส ธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน 
6.        โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง  กินต้มยำไก่กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน 
7.        ไขข้อ อักเสบ   หาปลา เนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทูปลาสวายปลาแซลม่อนปลาซาร ์ดีนปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลา กระป๋อง 
8.        กระเพาะ ปัสสาวะอักเสบบ่อย  ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน (เปรี้ยวจัดมาก) 
9.        ท้องอืด แก๊สมาก ให้ กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ 
10.        ท้องผูก  ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น 
11.        โรคกระเพาะ อาหาร  หากล้วย หักมุกปิ้งกินกินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก 
12.        เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย  ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิงน้ำขิงชาขิงหรือเต้าฮวย 
13.        วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน  ให้กินปลาทูน่าให้มาก และกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้ 
14.        หงุดหงิด ง่าย ให้ กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า 
15.        กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมากมะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก(แมงกานีส) 
16.        ความจำไม่ ดี ให้ กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้ 
17.        มะเร็งเต้า นม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด 
18.        มะเร็งปอด ทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส  ฝรั่ง  ส้ม  มะนาว  มะขามป้อม มะละกอ  มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่ 
19.        ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย 
20.        เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ  กินปลาทะเล  น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้ มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย 
21.        ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น 
22.                   เบา หวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี  ผักโขมให้มาก  ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะ มีน้ำตาลอยู่น้อยมาก 


จิตตปัญญาศึกษา-ปลูกต้นไม้

4 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 26 มิถุนายน 2011 เวลา 8:15 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1560

ช่วงวันที่ 25-29 เทศบาลนครขอนแก่น เชิญไปเข้าร่วมกิจกรรม   จิตตปัญญาศึกษา นำโดยกระบวนกร  วิศิษฐ์ วังวิญญู   ในหัวข้อเรื่อง  กระบวนการในแดนฝัน  เป็นภาคภาษาไทยของ Gill Emslie  ซึ่งเป็นกระบวนกรชื่อดังศิษย์เอกของArnold Mindell  ที่ได้เคยมาจัดกิจกรรมในกรุงเทพ  มาก่อนแล้ว 

 เรื่องดังกล่าวนี้   ตั้งอยู่บนฐาน ของจิตวิทยาสายคาร์ล ยุง “  กิจกรรมครั้งนี้   เป็นเรื่องเกี่ยวกับ   งานกระบวนการ “”Process Work”   ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ  แม้บางตอนจะเข้าใจยากสักหน่อย  เป็นทฤษฎีที่มีกลิ่นนมเนยค่อนข้างมาก   แต่ที่น่าสนใจเพราะเมื่อโยงมาเข้ากับศาสนาพุทธของเราแล้ว  หลายเรื่องเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกัน 

 ได้มีการพูดกันถึง เรื่อง rank  ของคนทุกคนในสังคม  ที่อาจารย์แปลเป็นไทยว่า “ศักดิ์”  ว่ามันมี rank 4  ประเภทด้วยกันคือ

  • Social rank  ( ศักดิ์ทางสังคม)
  • Psychologial rank (ศักดิ์ทางจิตวิทยา)
  • Spiritual rank (ศักดิ์ทางจิตวิญญาณ)
  • Contextual rank (ศักดิ์ตามบริบทและสถานการณ์)

อาจารย์ให้จับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 4-5 คน  ทำความเข้าใจกับ rank ชนิดต่างๆ   และให้มองดูตัวเองและเพื่อนในกลุ่ม  ว่าได้เคยอยู่ใน rank ไหนบ้าง  และเคยใช้อภิสิทธิ์ของ rank นั้นๆ  อย่างรู้ตัวไหม เท่าทันไหม  ใช้เพื่ออะไร  เพื่อเกี้อกูลตนเอง หรือมนุษยชาติ  หลังจาก สุนทรียสนนากลุ่มย่อย กันพอประมาณแล้ว  ก็มาหลอมรวมความคิดกันในกลุ่มใหญ่  ซึ่งมีการสรุปกันว่า  คนที่ไม่ยึดถือ rank ต่างๆ  เดินทะลุมันออกมาได้นั่นแหละ  คือ มนุษย์ที่แท้

มีคำพูดที่อาจารย์โปรยไว้ให้ติดตามตอนต่อไปในกิจกรรม  ห้าวันนี้คือ  เรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเราเอง

คนที่จะเปลี่ยน ได้จริงๆ จะต้องเป็นคนที่

  • รักการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
  • รักตัวเองอย่างที่เป็นอยู่เดิม  ไม่ได้รังเกียจสิ่งที่เป็นอยู่

ซึ่งในหัวข้อที่สอง  นี่ฟังดูแปลก  เพราะถ้าคนเรารักในสิ่งที่เป็นอยู่  แล้วจะไปเปลี่ยนทำไม     ก็คงต้องรอฟังและมาเล่าต่อในตอนต่อไป

ช่วงทานข้าวกลางวัน  ไม่ได้อยู่ทานกับกลุ่ม  แต่แวบไปดูที่นาซึ่งได้มอบให้ลุงพงษ์ ลุงสมัย และเฉลา   ไปเตรียมที่ปลูกต้นอคาเซีย   รอบๆบ่อน้ำ (ให้หางกัน 2.50 เมตร  ตามวิชาที่ไปเรียนรู้มา)   ส่วนกำหนด  ที่จะดำนาช่วงออกพรรษานั้น    คงจะต้องเลื่อนออกไป เป็นปลายเดือน  เพราะต้องใช้เวลาเตรียมดินให้ดีกว่านี้ (ตำราบอกว่า เตรียมดินให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง )    ต้องปล่อยให้หญ้าเน่าก่อน 15 วัน   แล้วจึงจะไถแปรอีกครั้ง  แล้วยังต้องทำเทือกให้ดินละเอียด   ดังนั้น  การดำนา หรือ โยนกล้า น่าจะต้องเลือ่นไปช่วง ปลายเดือนกรกฎาเสียแล้ว   ก็ดีเหมือนกัน  ตรงกับวันทำบุญ ครบรอบวันตาย “ยายจ๋า” วันที่ 29 กรกฎาคม    ญาติพี่น้องจะได้มาทำบุญแล้วไปดำนาด้วยกัน  ในคราวเดียว

พอปลูกต้นไม้แล้ว ก็กลับไปร่วมกิจกรรม จิตตปัญญาต่อ   วันนี้เลยได้ทำครบทั้งสองเรื่อง



Main: 0.11397695541382 sec
Sidebar: 0.076562881469727 sec