Post Election Stress Syndrome

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 1:07 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1681

เรียนมาก็เจอแต่ Post-traumatic Stress Syndrome, Post Disaster Stress Syndrome คือภาวะความเครียดที่เกิดภายหลังอุบัติเหตุที่ค่อนข้างรุนแรง   หรือความเครียดหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง  เช่นสึนามิ ภูเขาไฟระเบิด  แผ่นดินไหวที่รุนแรง

ต่อมาก็เจอคำว่า Political Stress Syndrome

สถานการณ์การเมืองปัจจุบันทำให้คนไทย 1 ใน 4 ของประเทศเกิดภาวะเครียดจากสถานการณ์ทางการเมือง  ซึ่งเริ่มส่งผลต่อสังคม  ชุมชน  ที่ทำงานหรือแม้แต่ในครอบครัว  เริ่มมีการทะเลาะเบาะแว้งเพราะความเห็นไม่ตรงกัน

ถ้าความขัดแย้งทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ และไม่มีทางออก ก็อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย

หลังสุดก็มาได้ยิน Post Election Stress Syndrome

เป็นภาวะเครียดที่เกิดหลังเลือกตั้ง  แล้วไม่พอใจผลการเลือกตั้ง  ก็ออกอาการมากบ้างน้อยบ้าง  อาจพบในพรรคพวกเพื่อนฝูง คนในครอบครัว  เพื่อนร่วมงาน  หรือใน Social Media ต่างๆ

จิตแพทย์ก็ได้ให้คำแนะนำไว้ ถ้าพบเห็นก็ช่วยแนะนำบ้าง  อาจช่วยลดความรุนแรงลงได้  หรืออาจเจอความรุนแรงเสียเอง    อิอิ

39647538

Post to Facebook Facebook


สถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ (5)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 12 กรกฏาคม 2011 เวลา 22:00 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1440

อ. ศิระชัย โชติรัตน์

การจะรักษาประชาธิปไตยต้องเคารพผู้คนที่มีความแตกต่างกัน  และต้องเคารพกติกา  ต้องเปิดใจรับฟัง  และพูดคุยกันโดยใช้ถ้อยคำที่สุภาพ

ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นอาการที่แสดงออก  ซึ่งมีเหตุปัจจัยที่ต้องศึกษาค้นคว้า

สังคมไทยต้องการเวลาอีกนานที่จะเรียนรู้ที่จะเคารพซึ่งกันและกัน  และเคารพกติกา

ต้องเริ่มจากการทำความจริงให้ปรากฏ  และคนเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำลงไป  ผู้ผิดต้องได้รับโทษ  และลงท้ายด้วย “การให้อภัย”

เราพูดกันมากเรื่องการปรองดอง  ปรองดองยังไง?  ปรองดองแล้วจบไหม ?

ถ้ายังเหลือรากเหง้าของปัญหา เช่นโครงสร้างทางการเมือง  โครงสร้างทางสังคม ฯลฯ   ก็ยังไม่จบ

จะต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

หลังจากนั้นก็มีการชี้แจงการจัดทำเอกสารวิชาการและการจัดทำโครงการรุ่นเชิงปฏิบัติ

หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3 จะแตกต่างจากรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2

รุ่นที่ 1 นอกจากต้องส่งบันทึกการเรียนทุกวิชาเป็นรายบุคคลแล้ว  ก็จะทำประมวลบทเรียนการเสริมสร้างสังคมสันติสุข ซึ่งเป็นงานเขียนที่ประมวลความรู้ที่ตกผลึกจากกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดที่ได้ตลอดหลักสูตร  พร้อมกับระบุว่าจะนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดในการทำงานได้อย่างไร

เนื่องจากหลักสูตรนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดิน  เมื่อจบการศึกษา นักศึกษาจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนในรูปของ “เครือข่ายเสริมสร้างสังคมสันติสุข” เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงในการสร้างสันติสุขในชาติในระยะต่อไป

รุ่นที่ 1 ได้ทำ Peace Talk, Peace Conversation, Peace Dialogue และ Peace Net (Networking) หลายสิบครั้ง  และได้นำเสนอเอกสารวิชาการรุ่นในเวทีสาธารณะและนำเสนอต่อสถาบันพระปกเกล้าและรัฐบาลไปเรียบร้อยแล้ว

รุ่นที่ 2 ได้พัฒนามาทำโครงการสันติธานี เน้นการลงมือปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน  มีกิจกรรมร่วมกับสถานีตำรวจ โรงเรียน โรงพยาบาล ภาคชุมชน  ได้รับการสนับสนุนจากศุนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)    แบบว่า…4ส3 คิด  ศอ.บต. ทำ

แต่ รุ่นที่ 2 มาเริ่มทำโครงการภายหลังปัจฉิมนิเทศน์  จึงล่าช้ายังไม่ได้นำเสนอต่อสถาบันพระปกเกล้าและรัฐบาล

รุ่นที่ 3 นี้จึงต้องทำโครงการรุ่นเชิงปฏิบัติ ซึ่งนักศึกษาจะต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอะไร ?  ทำอย่างไร ?……และต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลภายใน 9 เดือนที่ศึกษาหลักสูตรนี้  แล้วนำเสนอต่อสถาบันพระปกเกล้าและรัฐบาลเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้

มีการแนะนำว่า ในการลงพื้นที่  ไม่ใช่ลงไปแค่หาข้อมูล  ความจริง  แต่ลงไปเก็บความรู้สึก นึกคิด ดังนั้นจึงต้องมีคนที่จะเชื่อมโยง  ทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย(ด้านอารมณ์และจิตใจ)  มีการสร้างเครือข่ายเป็นใยแมงมุม  มีความแตกต่าง, Flexible ไม่มี  pattern ที่ตายตัว

ผศ. ดร. จงรัก พลาศัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

ได้พูดถึงปัญหาภาคใต้  ด้านการศึกษา

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใช้เวลาสี่สิบกว่าปีสอนด้านวิทยาศาสตร์

มหาวิทยาลัยปัตตานี ใช้เวลาสี่สิบกว่าปีสอนด้านสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยนราธวาสราชนครินทร์ใช้เวลาสี่ปีสอนแต่ศึกษาศาสตร์

การจัดการศึกษาต้องครบทุกด้าน ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความหวังที่ลูกหลานจะได้เรียนคณะยอดนิยมเหมือนคนภาคอื่นๆ

ปัจจุบันเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 80 กว่าคน ได้เรียน แพทย์ วิศวะ พยาบาล ฯ

ประชาชนมีความพึงพอใจมาก  เป็นการสร้างฐานความรู้สึกที่ดี

สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีวัตถุดิบทางการเกษตรมาก  แต่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่จะแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเลย  ทำอย่างไรจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ท่านสิงห์ชัย ทุ่งทอง สมาชิกวุฒิสภา

เรามีข้อมูล  มีความรู้ทางทฤษฎี  มีผลงานวิจัยมากมายอยู่แล้ว  ทำอย่างไรที่จะนำความรู้  ทฤษฎีต่างๆมาปฏิบัติ

จะทำอะไรดี?  ทำอย่างไร?

นอกจากปัญหาภาคใต้แล้ว  ปัจจุบันก็มีปัญหาภาคอีสาน ภาคเหนือ  แม้แต่ใน กทม. เอง

จุดแข็งของสังคมไทยคือ Human Touch  แต่วิธีแก้ปัญหาคือตั้งกรรมการเลยไม่เสร็จสักเรื่อง

Post to Facebook Facebook


สถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ (4)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 12 กรกฏาคม 2011 เวลา 2:27 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2496

ดร. เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช

ในเรื่องความขัดแย้งของประเทศ เรามีการศึกษามากมาย  มีเวทีพูดเรื่องนี้มากมาย  เราวิเคราะห์ปัญหาแล้วได้คำตอบว่า  ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา  แต่ไม่มีคำตอบว่า ทำอะไร?  ทำอย่างไร?

ปัญหาแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย  แต่เป็นปัญหาไปทั่วโลก

อาจารย์พูดถึงความเป็นกลาง  ตัวบุคคลที่เป็นกลางคงไม่มี  แต่สิ่งที่เราต้องการคือพื้นที่ปลอดภัยพื้นที่ที่เป็นกลาง  ที่คนที่สุดขั้ว สุดโต่งสามารถมานั่งคุยกันได้

ศ. ดร. สุภางค์ จันทวานิช

สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมหรือไม่ ?

จะใช้แนวคิดพหุวัฒนธรรมมาช่วยป้องกัน  แก้ไขและเยียวยาความขัดแย้งของประเทศได้หรือไม่ ?

ประเทศไทยจะประกาศว่าประเทศไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมหรือไม่ ?

เรานึกว่าประเทศไทยเราเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม  แต่มี เรา กับ มัน อยู่มาก

คนที่ใช้ภาษาอื่นมีโอกาสเรียนในโรงเรียนของบ้านเราไหม ?

อุสตาซและบาดหลวงได้เงินนิตยภัตเหมือนพระสงฆ์ไหม ?  ได้เท่ากันไหม ?

กลุ่มชนต่างชาติพันธุ์  ต่างวัฒนธรรมมีสิทธิ์เข้าถึงบริการสาธารณสุขได้เท่าเทียมกับคนไทยหรือไม่ ?

แรงงานต่างด้าวมีแบบฟอร์มต่างๆ เช่นร้องทุกข์  ในภาษาของเขาให้กรอกไหม ?

กฏหมายและระเบียบของประเทศไทยให้สิทธิคนบางกลุ่ม  ไม่ให้คนบางกลุ่มหรือไม่ ?

สิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเท่าเทียมกันหรือไม่ ?

เคยเห็นที่พักของแรงงานต่างด้าวไหม?

รศ. ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

12965325251296532550l

ในยุคนี้ Peace Study  ต้องอาศัย Cyberspace เพราะสามารถหาและเชื่อมโยงเครือข่ายได้ดี

เมื่อไหร่เรารังเกียจหรือปฏิเสธมนุษย์แล้ว จะไม่มีวันเจอสันติภาพ

ในการทำงานต้องอาศัยข้อมูล  ถ้าข้อมูลผิด  ข้อมูลไม่ถูกต้องก็จะยุ่ง  เพราะเราไม่ได้รากเหง้าของปัญหา

ประเทศไทยเรามี Success Stories เรื่องสังคมพหุวัฒนธรรมมากมาย

อาจารย์ฝากประเด็น

Academic Touch, Academic Talk

Social Touch, Social Talk

Solution Touch, Solution Talk

อาจารย์เน้น “อย่ามองปัญหาแยกส่วน” การทำงานต้องมองภาพรวมให้ได้ก่อน (Holistic)  อย่ามองแยกส่วน  ถ้ามองแยกส่วน  ทำไปสักพักก็จะไปต่อไม่ได้  แถมก่อปัญหาใหม่แทรกซ้อนเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

อาจารย์ได้ฝากร่าง พ.ร.บ.สัญชาติเพื่อคืนสิทธิในสั​ญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต  ให้ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาช่วยผลักดันต่อด้วย

Post to Facebook Facebook


สถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 12 กรกฏาคม 2011 เวลา 0:39 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1441

อ.จิราพร บุนนาค

jiraporn-KPI รูปยืมมาจากบันทึกของ อ. แหวว

ความขัดแย้งเป็นปกติของสังคม แต่เราจะจัดการความขัดแย้งโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงได้อย่างไร?

อะไรทำให้เกิดการทำผิดกติกา ?   อะไรเป็นรากเหง้าของการทำผิดกติกา ?

ในการเรียนการสอน บางครั้งมีชาวบ้านมาพูดให้ฟัง มาเป็นอาจารย์ นักศึกษาบางคนจะรู้สึกอึดอัดมาก เพราะอะไร?  ทำไมเราไม่อยากฟัง ?  เราต้องมองและทำความเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกทุกกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มต่างๆที่หลากหลาย ที่แตกต่างกันทั้งอาชีพ ฐานะ การศึกษา  ศาสนา ฯลฯ

จะเรียนรู้จริงๆต้องไปให้ถึงระดับความรู้สึก

โดยทั่วไป สถานการณ์ที่เห็นหรือสถานการณ์ผิวหน้า เป็นแค่อาการของโรค (symptoms)

ต้องมองลงไปอีกชั้นหนึ่ง เป็นมิติเชิงโครงสร้าง เช่น กติกา การศึกษา การบริหารจัดการ

แต่ชั้นที่ลึกที่สุดเป็นมิติทางวัฒนธรรม เกี่ยวกับวิถีชีวิต ศาสนา อัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์  จะลงไปถึงความรู้สึก

ในสถานการณ์ win – win ไม่ได้หมายความว่าได้ของเท่ากัน  แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก  รู้สึกว่าพอแล้ว  ดีแล้ว

หลังกลุ่มวิชาที่ 1 การทำความเข้าใจพื้นฐานความขัดแย้งและสันติวิธี  ก็จะพานักศึกษาลงพื้นที่ภาคกลาง คือที่จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี  เพื่อศึกษา

ความขัดแย้งจากอำนาจและการอุปถัมภ์

ความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษาพูด ลงไปลึกซึ้งกว่าแค่การท่องเที่ยว

ลงไปค้นให้พบต้นทุนทางปัญญาที่เกิดจากความหลากหลาย  สังคมพหุวัฒนธรรมจะมีทางเลือกในการเผชิญปัญหาและการอยู่ร่วมกันได้ดีกว่าและมากกว่า

ลงไปดูกระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ส่วนการลงพื้นที่ภาคใต้ ลงไปเพื่อเรียนรู้อัตลักษณ์ เฉพาะของคนที่นั่น  เริ่มจากการรับฟังภาพรวมจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (deep South Watch –DSW) ซึ่งเป็นองค์กรประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมและวิชาการทั้งในและนอกพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้

รับฟังข้อมูลจากกลุ่มพลัง 5 วัฒนธรรม  คือ

กลุ่มศาสนา - จากมัสยิด

กลุ่มการศึกษา - จากปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม

กลุ่มการเมือง - ทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ

กลุ่มสื่อมวลชน

กลุ่มสตรีและเยาวชน

รับฟังแนวความคิดทางการเมือง

อยากได้อะไร? แบ่งแยกดินแดน?

ประเด็นข้อขัดแย้งในการจัดการฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม - ประมงน้ำตื้น  ประมงชายฝั่ง

การลงพื้นที่ภาคเหนือ

เรื่องหลักจะเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและการสร้างสมานฉันท์ของคนในชาติ  การเมืองที่แบ่งสี แบ่งขั้ว  สังคมพหุวัฒนธรรม

ปัญหาน่าจะเกิดจากการได้รับรู้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ วิธีคิดและวิธีปฏิบัติ

การลงพื้นที่ภาคใต้ตอนบน คงจะไปที่ภูเก็ตและพังงา

พื้นที่ภาคตะวันออก คงไปที่มาบตาพุด ระยอง ศึกษากรณีข้อขัดแย้งในการจัดการฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

อาจารย์ยังเน้นความสำคัญของการสร้างเครือข่าย เพื่อทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน (networking)

Post to Facebook Facebook


สถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 11 กรกฏาคม 2011 เวลา 22:48 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1699

ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

45832-011-300x225

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชบัญญํติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จึงถือว่าประเทศไทยได้เปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่นั้นมา

จากคำว่า ของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศเพราะเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ ประชาชนเป็นผู้ปกครองประเทศ

แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจ  ไม่มั่นใจหรือยังสงสัยอยู่

อาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่มีคำว่าประชาธิปไตยในชื่อของประเทศเลย

เช่น

เกาหลีเหนือ ชื่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี

แอลจีเรีย     ชื่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย เป็นต้น

เหมือนรถยนต์ที่ติดป้ายรถยนต์คันนี้สีขาว ทั้งๆที่สีน้ำเงิน  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศที่ไม่มีคำว่าประชาธิปไตยในชื่อประเทศจะเป็นประชาธิปไตยทั้งหมด

คนไทยเราจะสร้างสังคมสันติสุขในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างไร? ท่ามกลางความแตกต่างทางความคิด ผลประโยชน์ การศึกษา ฐานะ  หรือสรุปว่าท่ามกลางความขัดแย้ง

คนไทยจะมีความสามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในระบอบประชาธิปไตยได้ไหม?

คนไทยเราไม่ได้ฝึกมาให้เคารพความแตกต่าง  เคารพสิทธิของผู้อื่น  เคารพกติกา

คนไทยเราไม่ได้ฝึกมาให้ยอมรับและเคารพคนที่มีความแตกต่างกันทางความคิด ความเชื่อ

ประเทศอเมริกาหลังจากที่มีเอกราชและปกครองแบบประชาธิปไตยก็เคยมีสงครามกลางเมือง มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายถึง 600,000 คน

ฮิตเลอร์ก็มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย  แต่ก็ก่อให้เกิดสงครามโลกที่มีผู้คนล้มตายหลายล้านคน

แต่ประเทศทั้งสองนี้ก็แก้ไขด้วยการแก้ที่ประชาชน  ให้การศึกษาให้ประชาชนเคารพผู้อื่นที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันและเคารพในกติกา

กติกาที่ว่าก็คือกฏหมาย

ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้เขียนกติกา

ฝ่ายบริหารและข้าราชการเป็นผู้ใช้กติกา

ฝ่ายตุลาการเป็นผู้ควบคุมให้เล่นตามกติกา

บางครั้งกติกาก็เป็นปัญหา  แต่จริงๆเป็นปัญหาการบังคับใช้กฏหมาย คือกรรมการเป็นปัญหาซะเอง

ในการแข่งขันฟุตบอล  ถ้ามีคนทำผิดกติกาแล้วกรรมการไม่เป่าฟาล์ว  อีกข้างก็ทำผิดกติกาบ้าง  กรรมการก็ไม่เป่า  แล้วคิดว่าเกมฟุตบอลจะเล่นกันต่อไปได้ไหม?

แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องปลายเหตุ ถ้าจะแก้ที่ต้นเหตุหรือต้นทางก็คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนเคารพกฏหมาย

Post to Facebook Facebook


การทำความเข้าใจพื้นฐานความขัดแย้งและสันติวิธี

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 11 กรกฏาคม 2011 เวลา 17:39 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1878

ศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2554   9.30-16.30 น.

เริ่มการศึกษาเป็นเรื่องเป็นราวเสียที  วันนี้ประเดิมการเรียนในกลุ่มวิชาที่ 1  การทำความเข้าใจพื้นฐานความขัดแย้งและสันติวิธี

หัวข้อวิชา - สถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ

วิทยากร

พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ

ดร. เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช

ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

อ. จิราพร บุนนาค

ศ. ดร. สุภางค์ จันทวานิช

รศ. ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

อ.ศิระชัย โชติรัตน์

หัวข้อวิชานี้คงเริ่มปูพื้นถึงสถานการณ์ความขัดแย้งหลักในชาติ  เพื่อให้นักศึกษาเริ่มสนใจ  เกิดความเข้าใจก่อนที่จะไปศึกษาหัวข้อวิชาอื่นๆต่อไป

เริ่มโดยพลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ ชี้แจงการเรียนแบบ Case Based (กรณีศึกษา)   การเรียนแบบ Student Center (นักศึกษาเป็นศูนย์กลาง)  อาจารย์เป็นแค่ผู้แนะนำ สร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Facilitator –กระบวนกรในวงการจิตวิวัฒน์ หรือวิทยากรกระบวนการ หรือ คุณอำนวยในวงการการจัดการความรู้  Knowledge Management – KM)

ท่านแนะนำให้ใช้ศิลป์ก่อนใช้ศาสตร์ ซึ่ง ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ ใช้คำว่า ต้องใช้ Soft Side ควบคู่กับ Hard Side  หรือใช้ใจ (จิตวิญญาณ - Spiritual) ทำงานควบคู่กับการใช้ความรู้ทางทฤษฎี (Theory)

ท่านพูดถึงหลักสูตรที่ประกอบด้วย 4 Module  คือ

- พื้นฐานความขัดแย้งและสันติวิธี

- ประเด็นความขัดแย้งหลักในชาติ ซึ่งแยกเป็น

ความขัดแย้งในสังคมพหุวัฒนธรรม

ความขัดแย้งเชิงอัตลักษณ์และแนวทางสันติวิธีในการจัดการปัญหาความรุนแรง:กรณีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ความขัดแย้งทางการเมืองและการสร้างสมานฉันท์ของคนในชาติ

ความขัดแย้งและแนวทางในการจัดการฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

การศึกษาดูงานในพื้นที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

- การจัดทำเอกสารวิชาการและการจัดทำโครงการรุ่นเชิงปฏิบัติ

ปิดท้ายด้วยการแนะให้นักศึกษาสนใจเรื่องของความขัดแย้งในประเด็นของการป้องกัน  การแก้ไขปัญหา และการเยียวยา

แล้วโยนไมค์ให้ ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล………

Post to Facebook Facebook


สรุปการปฐมนิเทศน์

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 10 กรกฏาคม 2011 เวลา 16:52 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2180

ก่อนเข้าสู่การเรียนของหลักสูตรก็มีการปฐมนิเทศน์  สิ่งที่ได้จากการปฐมนิเทศน์

-รู้จักสถาบันพระปกเกล้า เรื่องราวเกี่ยวกับสถาบันฯ ภารกิจหน้าที่  กรรมการและผู้บริหารสถาบัน  ที่สำคัญที่สุดคือ พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ของราชวงศ์จักรี   การพระราชทานรัฐธรรมนูญ  และการสละราชสมบัติ

-เข้าใจหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข

ที่สำคัญคือวัตถุประสงค์ ระยะเวลาที่ศึกษา วิธีการจัดการเรียนรู้ โครงสร้างของหลักสูตร

-รู้จักคณาจารย์ ทีมงานสนับสนุน  นักศึกษารุ่นเดียวกันและเครือข่ายรุ่นที่ 1 และ 2

มีกิจกรรมละลายพฤติกรรมและปรับทัศนคติให้พร้อมที่จะเรียนรู้ร่วมกันตามแนวทางการศึกษาของหลักสูตร ฯ

บทวิจารณ์

ตั้งแต่สนใจ  เริ่มหาข้อมูลรายละเอียดของหลักสูตร  สมัคร  เข้ารับการสัมภาษณ์  รายงานตัว  กิจกรรมปฐมนิเทศน์  และเริ่มเรียน รายละเอียดชัดเจน  ตรงไปตรงมา  การประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์  ผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา  วันที่รายงานตัว  วันปฐมนิเทศน์  วันที่เริ่มเรียน  ทุกรายการเป็นไปตามกำหนดการทั้งสิ้น  รวมทั้งมีตารางการเรียนการสอน  การศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศไว้ล่วงหน้าชัดเจน  ทำให้นักศึกษาสามารถจัดตารางนัดหมายของตัวเองได้ล่วงหน้า

การปฐมนิเทศน์ก็มีการชี้แจงว่านักศึกษาต้องปฏิบัติตัวอย่างไร  มีเกณฑ์หรือกฏกติกามารยาทในการเรียนอย่างไร  ต้องทำรายงานและทำโครงการอะไรบ้าง เมื่อไหร่ ชัดเจน

การติดต่อประสานงานก็ใช้ mail เป็นหลัก การใช้จดหมาย โทรศัพท์และ SMS ก็มีบ้างในกรณีที่จำเป็น

สรุปว่าพอเริ่มเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้  จะพบว่าแม้เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมาใหม่  รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 3  แต่ก็เป็นหลักสูตรที่ชอบมากๆ

เริ่มจาก

แนวคิด  หลักการและเหตุผล เสียดายที่น่าจะมีหลักสูตรแบบนี้มานานแล้วในสังคมไทย  เพราะอาจช่วยป้องกันไม่ให้ความขัดแย้ง ขยายตัวไปใช้ความรุนแรงในการแก้ไขความขัดแย้ง  แต่ก็ยังดีที่อาจช่วยป้องกัน แก้ไข  และเยียวยาความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้ว

วัตถุประสงค์

นอกจากเรียนรู้ทางทฤษฎีแล้ว  หลักสูตรนี้ยังมีวัตถุประสงค์ให้นำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ คือการเรียนรู้ การใช้ชีวิตและการทำงาน  รู้จักสร้างเครือข่ายและทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านชาติพันธ์ ศาสนา ความเชื่อ อย่างมีความสุข  หรือรู้จักป้องกัน แก้ไขและเยียวยาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

วิธีจัดการเรียนการสอน

จับประเด็นจากสิ่งที่ พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล เล่าให้ฟัง

การจัดการเรียนการสอนเป็นแบบกรณีศึกษา (Case Based)  และเป็นแบบนักศึกษาเป็นศูนย์กลางการศึกษา (Student Based)  อาจารย์ทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการ (คุณอำนวยหรือกระบวนกร)

พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ เน้นเรื่อง Learn how to Learn หรือกระบวนการเรียนรู้ค่อนข้างมาก  ท่านพูดถึงปัจจัตตัง หรือความรู้เฉพาะตนที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ  ไม่ใช่จากที่ฟังมา  อ่านมา ฯ ( ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ ใช้คำว่า  ความรู้ First Hand)

สิ่งที่อาจารย์สอนเป็นเพียงแนวคิดทางทฤษฎีที่จะใช้เป็นเครื่องช่วยในการที่เราจะศึกษา  หาข้อสรุปของเราเอง  ซึ่งจะได้จากลงพื้นที่ไปสัมผัสด้วยตัวเราเอง  ไปฟัง  ไปรับรู้ความคิด  ความรู้สึกของคนที่แตกต่างไปจากเรา  เป็นผู้คนที่อยู่กับปัญหาจริงในความรู้สึกนึกคิดของเขา  และได้จากการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่คิดต่างจากเรา  รวมถึงเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์ด้วย

อาจารย์เน้นเรื่องการเปิดใจ รับฟังผู้อื่น  ซึ่งถ้าสนใจก็ศึกษาเรื่องสานเสวนา  สุนทรียสนทนา (dialogue)  ไว้ล่วงหน้าได้เลย

หลักสูตร

เท่าที่อ่านดูก็ชอบมาก  เพิ่งเริ่มต้นศึกษา

คณาจารย์

อาจารย์

สุดยอด *****

นักศึกษา

ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีและมาจากกลุ่มที่หลากหลาย (ชอบที่ ไอริณ ดำรงมงคลกุล พูดว่า นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นคนดีๆทั้งนั้น)

นักศึกาา

การจัดการ

การจัดการมีประสิทธิภาพ  การประสานงาน   อุปกรณ์  สื่อการเรียนการสอน   เอกสารประกอบการเรียนการสอน  สถานที่  การเดินทาง  อาหาร ประทับใจมาก

บรรยากาศ

ทั่วๆไปดีมาก  สนิทสนมกันง่ายทั้งนักศึกษารวมทั้งท่านอาจารย์  อาจจะมีความแตกต่างกันทั้งวัย อาชีพ  การศึกษา ตำแหน่งหน้าที่การงาน  แต่ก็ไม่มีช่องว่าง เพราะ สว. ท่านก็ลดอายุ  และน้องๆก็ให้ความเคารพ  เกรงใจ

วันที่สองของการเรียนก็เริ่มมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง   มีความขัดแย้งแต่ไม่มีการใช้ความรุนแรง

……..อิอิ  อิอิ  ขอ อิอิ หน่อย  เพราะเขียนเรื่องที่มีสาระแล้วเครียดๆชอบกล อิอิ

Post to Facebook Facebook


DISC Model และ ผู้นำสี่ทิศ

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 10 กรกฏาคม 2011 เวลา 13:33 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 7491

กิจกรรมปฐมนิเทศการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 3 ภาคบ่าย วันที่ 24 มิถุนายน 2554 โดนนายทวีสิน ฉัตรเฉลิมวิทย์ (นายกอล์ฟ)  ผู้จัดการการพัฒนาองค์กร บริษัทเอส ซี จี ซิเมนต์ จำกัด  เป็นการจัดกิจกรรมที่ใช้เทคนิค  DISC Model และผู้นำสี่ทิศ มาผสมผสานกัน

DISC

DISC Model เป็นเทคนิคเพื่อการเรียนรู้และเสริมสร้างความสัมพันธ์จากความรู้ความเข้าใจในบุคคลิกภาพของมนุษย์4 แบบ โดยต้นแบบแนวความคิดนี้มาจากการศึกษาพฤติกรรมของบุคคลของ  Dr. William Moulton Marston (1893–1947)

กิจกรรมเริ่มด้วยการให้แบ่งกลุ่มโดยใช้ แบบทดสอบ “คุณเป็นสไตล์ไหน” เพื่อแบ่งกลุ่มพวกเราเป็นกลุ่มด้านซ้ายและด้านขวาก่อน  ตามมาด้วยการแบ่งกลุ่มซ้ายและขวาเป็นกลุ่มหน้าและหลัง นักศึกษาก็จะถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม  หรือง่ายๆเป็นสี่แบบหรือสี่สไตล์

อาจารย์ให้พวกเราแต่ละกลุ่มแบ่งกลุ่มย่อยคุยกันว่าในแต่ละกลุ่มมีลักษณะพิเศษอะไร มีนิสัยใจคออย่างไร ทำไมเป็นคนแบบนี้ แล้วเอามาเล่าสู่กันฟัง

สี่กลุ่มตาม DISC Model ก็คือ

D = Dominance ➞ Results-oriented

หรือเป็นพวกกระทิงที่เป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ชอบอิสระ คิดนอกกรอบ ชอบแข่งขัน ชอบเสี่ยง โผงผาง ชอบลุย ยึดตัวเองเป็นหลัก

 

I = Influence ➞ Encouragement

หรือเป็นพวกอินทรีที่เป็นคนที่ชอบสังคม ทันสมัย กระตือรือร้น หลีกเลี่ยงรายละเอียด ชอบคิด ฝัน  วางแผน

 

S = Steadiness ➞ People-oriented

หรือเป็นพวกหนูที่เป็นคนอดทน สุภาพ  เกรงใจคนอื่น ยอมตามใจคนอื่น ประนีประนอม

 

C = Conscientiousness ➞ Precise

หรือเป็นพวกหมีที่เป็นคนยึดกฏระเบียบ ตัวเลข ข้อเท็จจริง เคร่งครัดในวินัย เหตุผล ละเอียดเกินไป

ในกิจกรรมผู้นำสี่ทิศก็จะแบ่งกลุ่มหรือประเภทเป็นสี่เหมือนกัน คือ กระทิง อินทรี หมีและหนู

นพลักษณ์  ก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง  แต่แบ่งประเภทของคนเป็น 9 ลักษณะใหญ่ๆที่แตกต่างกัน

บทเรียน

เทคนิคหรือกิจกรรมแบบนี้จะทำให้เราเข้าใจความแตกต่างของผู้คน  คนเรามักไม่ได้เป็นประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างเด็ดขาด  แต่จะมีองค์ประกอบของทุกประเภทปนกันอยู่ในตัวเรา  แต่พอสรุปรวมออกมาแล้ว  แต่ละคนจะมีลักษณะที่เด่นชัดออกมาเป็นแบบไหน ถ้าคิดในเชิงคณิตศาสตร์ (Combination) ก็จะได้ผู้คนหลายพันล้านคนที่ไม่เหมือนกันเลย

การเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก็มีประโยชน์เบื้องต้น  ทำให้เราเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของผู้คน  ไม่พยายามที่จะไปบังคับผู้คนให้เปลี่ยนแปลงความคิด วิถีชีวิต  ความเชื่อให้เหมือนเรา  แต่จะเริ่มเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน  อยู่ในสังคมร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างอย่างมีความสุข

เสียดายที่เวลาน้อยเกินไป  เพราะถ้ามีเวลามากกว่านี้ กิจกรรมจะนำไปสู่การค้นหาตัวเอง  ค้นพบตัวเอง  และสามารถจะแปลงร่างไปเป็นสัตว์ประเภมอื่นๆได้  หรือนำไปสู่การพัฒนาตัวเองด้านจิตวิญญาณ  จะเลิกที่จะพยายามบังคับผู้คนให้มาคิดเหมือนตัวเอง  แต่จะมุ่งพัฒนาตัวเองแล้วจะสามารถเหนี่ยวนำและหล่อเลี้ยงคนในครอบครัว พรรคพวกเพื่อนฝูง  สังคมเล็กๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จากแนวคิดและการปฏิบัติที่ได้พัฒนาแล้ว

และถ้ามีคนคิดและปฏิบัติแบบนี้มากขึ้นๆ  มีการพัฒนาเครือข่ายขึ้นมาสังคมก็จะเริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

ทำสิ่งเล็กๆที่ยิ่งใหญ่  ไม่กลัวความล้มเหลว  ไม่หวังสิ่งตอบแทน  แต่ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ….รศ. ดร. นิกร วัฒนพนม

 

 

 

Post to Facebook Facebook


ไม่ใช่อย่างที่เห็น

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 4 กรกฏาคม 2011 เวลา 21:51 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2481

หลังเลือกตั้งเห็นออกอาการกันหลายคน  ทั้งดีใจ  ถูกใจ  เซ็ง  หงุดหงิด สารพัด ฯลฯ

ลองมาดูทฤษฎีกันหน่อย…

เคยเขียนบันทึกเรื่อง The Ladder of Inference ไว้แล้ว  ขอทบทวนอีกที

พฤติกรรมของเราแตกต่างกันก็เพราะเราเชื่อต่างกัน (ลุงเอกว่า  นิสัยถาวร)

เราเชื่อต่างกันก็เพราะสรุปแตกต่างกัน

เราสรุปแตกต่างกันก็เพราะเราใส่ไข่(ปรุงๆ แต่งๆ) ข้อมูลที่เราเลือกรับมามากน้อยแตกต่างกันจนได้สมมุติสัจจะ (Assumptions) ที่แตกต่างกัน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเราก็รับทราบไม่หมด  แถมยังเลือกหรือไม่รับข้อมูลแตกต่างกันไปอีก

เหมือนเราเห็นแค่ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่โผล่พ้นน้ำ  แถมยังมองจากคนละมุมอีกด้วย

tacitvsexplicit

( รูปนี้เอามาจากบันทึก คุยเรื่อง KM ที่มหาชีวาลัยอีสาน ของ อ.แพนด้า ( Ico64 อรรณพ วราอัศวปติ )

ในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งก็ไม่มากมายอะไรนัก เห็นเรื่องราวต่างๆมามากพอสมควร  เห็นนักการเมือง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย  ก็ผ่านมา  ผ่านไป  ชื่นชมบ้าง  ไม่ชอบบ้าง เกลียดบ้าง

ถามว่าจริงๆเรารู้เรื่องราวต่างๆดีแค่ไหน ?

เคยไปทำงานที่ เทศบาลตำบลวาริชภูมิ จ.สกลนคร ตอนเย็นเลิกงานก็มีโอกาสแวะที่ เขื่อนน้ำอูน  วิวทิวทัศน์ บรรยากาศก็สวยงาม  ดูแล้วสบายใจ

วาริชภูมิ

คืนก่อนดูโทรทัศน์รายการคุยกับแพะ มีเรื่องราวของเขื่อนน้ำอูน….

ถ้าเราไม่ทราบเรื่อราวเหล่านี้ก็จะเห็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม  แต่เบื้องหลังก็มีเรื่องราวที่เจ็บปวด  เรื่องราวของประชาชนที่ต้องเดือดร้อนเพราะการทำงาน  ในแนวคิดแบบเดิมๆ

ครั้นผู้คนเหล่านี้มาเรียกร้องความเป็นธรรม  ก็อาจมองว่าเป็นม็ํอบที่ถูกจ้างมา????

สนใจอ่าน….

รายงาน: ทรหดกว่ายายไฮพังเขื่อน คนน้ำอูนกลืนน้ำตา 40ปี แผลนี้ไม่มีเยียวยา

หมั่นติดตามข้อมูลข่าวสาร มีสมาธิ  มีสติพิจารณาไตร่ตรอง  ใช้ปัญญาในการเรียนรู้และใช้ชีวิต  ชีวิตจะเป็นสุขขึ้น  อิอิ

Post to Facebook Facebook


ทดสอบ

5 ความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 กรกฏาคม 2011 เวลา 17:40 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2345

 

เคยเขียนบันทึกโดย Word 2007  และ  2010  แล้ว Post ขึ้นลานปัญญาเลย  สดวกดีเพราะไม่ต้องยุ่งยากหลายขั้นตอน  แถมเอารูปขึ้นง่ายด้วย  แบบว่าม้วนเดียวจบ

ตอนนี้เขียนด้วย word  2007  และ 2010  ส่งไปลานปัญญาไม่ได้  กำลังปล้ำหาทางแก้ไขอยู่

เลยลองมาใช้ Windows Live Writer  ดู

    Photo871    Photo870    Photo872

Photo869  ห้องทำงานผมเอง  อิอิ

Post to Facebook Facebook



Main: 0.16020107269287 sec
Sidebar: 0.065670013427734 sec