แล้วเราเป็นไผ … ภาค 2

โดย cinshy เมื่อ April 28, 2009 เวลา 5:55 am ในหมวดหมู่ Uncategorized #

โรงเรียนจีนเป็นโรงเรียนแรกของเรา เราเรียนที่นั่นตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึงป.หนึ่ง ได้เรียนภาษาจีนมาบ้างแต่จำอะไรไม่ได้นอกจากนับเลข 1-99 แค่ 99 เท่านั้นเพราะจำไม่ได้ว่าคำว่าร้อยในภาษาจีนว่ายังไง จบป.1 ที่โรงเรียนจีนก็ถูกพี่จับย้ายโรงเรียนเลยทำให้ต้องซ้ำชั้นป.1 อีกรอบ พี่เล่าว่าก่อนที่จะย้ายโรงเรียน ผมเรายาวมาก ๆ และพี่ต้องนั่งถักเปียให้เราทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน แต่โรงเรียนที่จะย้ายไปอยู่มีระเบียบว่าต้องไว้ผมสั้น พี่บอกว่าวันที่เราโดนตัดผมเราร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย

นึกย้อนไปแล้วจำเรื่องราวตอนอยู่ประถมได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อดีนัก แต่ที่จำได้ขึ้นใจคือเรื่องชุดนักเรียนและทรงผมนักเรียน แม่ซึ่งเคยเป็นช่างตัดเสื้อมาก่อนจะเป็นคนตัดชุดนักเรียนให้เราทุกชุดตั้งแต่เรียนประถมจนจบม.ปลาย แต่ชุดนักเรียนที่แม่ตัดให้มักจะมีอะไรที่ำทำให้ชุดเราไม่เคยเหมือนชุดของคนอื่นอยู่เสมอ เช่นสีเสื้อนักเรียนที่เป็นสีขาวแต่ขาวแบบไม่เหมือนใคร กระเป๋าเสื้อทรงสี่เหลี่ยมแต่แม่ตัดให้เป็นห้าเหลี่ยม กระโปรงนักเรียนจีบแคบจนทำให้เราวิ่งไม่ได้และต้องใช้วิธีเดินเร็วเอา มีอยู่ครั้งนึงที่แม่ตัดกระโปรงนักเรียนให้จนเสร็จแล้วมานึกได้อีกทีว่าลืมทำกระเป๋ากระโปรงให้้ด้วย ส่วนเรื่องทรงผมก็เพราะแม่เคยเป็นช่างเสริมสวยอีกนั่นแหละ ตอนเราอยู่ประถมเราจะถูกแม่จับมานั่งตัดผมหน้าบ้านเป็นประจำ แต่เราก็ชอบจะวิ่งหนี กว่าจะตัดผมเสร็จกันแต่ละทีเรียกว่าเหนื่อยทั้งแม่ทั้งลูก จนมีอยู่ครั้งนึงที่แม่เผลอตัดโดนหูเราเข้า เท่านั้นแหละ เราวิ่งร้องไห้ไปทั้งบ้านเลย หลังจากครั้งนั้นแม่ก็บอกให้เราไปตัดผมที่ร้านแถวบ้านแืทน อิอิ

พอจบป.6 ก็สอบเข้าเรียนม.ต้นในโรงเรียนหญิงล้วน ความทรงจำที่ดีของม.ต้นคือความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อน พวกเรามีกันอยู่ 10 สาวและตั้งชื่อกลุ่มกันว่า Anchor เวลาว่างก็มักจะนั่งจับกลุ่มคุยกันหลังโรงเรียน วันหยุดก็จะชวนกันไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนโน้นคนนี้ บ้านเพื่อนบางคนอยู่ไกลหรืออยู่ต่างอำเภอหรือต้องเดินข้ามสวนยางพาราไปหลายกิโลเมตรเราก็ไปกันหมด

มีรูปถ่ายอยู่รูปหนึ่งที่เห็นทีไรก็มีความสุข วันนั้นพวกเราไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนหนึ่ง นั่งรถโดยสารกันไปเกือบชั่วโมง พอลงรถเราก็ซื้อขนมและน้ำแข็งหน้าปากซอยเอาไว้ไปกินกัน เพื่อนบอกว่าบ้านไม่ไกลเดินเดี๋ยวเดียวก็ถึง แต่พอเอาเข้าจริงกว่าเราจะเดินกันไปถึงบ้านน้ำแข็งละลายเกือบหมด เดินบ่นกันไปตลอดทางแถมกลางทางยังเจองูขวางไว้อีกตะหาก พอไปถึงพวกเราก็จัดการต้มมาม่ากินกัน ต้มมาม่าทุกห่อรวมกันในหม้อใบใหญ่แล้วกินรวมกันอยู่ในหม้อเดียว รูปถ่ายรูปนั้นจึงเป็นรูปที่เห็นสาว ๆ นั่งล้อมวงรอบหม้อใบนั้นและกินมาม่าด้วยกัน ส่วนหน้าเรามีเส้นมาม่ายืดจากปากถึงคาง ช่วงนั้นเราค่อนข้างซนแต่ไม่เกเร อย่างเกเรมากสุดก็ตอนที่เราชวนเพื่อนปีนกำแพงหนีโรงเรียน ตอนนั้นเราเห็นเด็กหลายคนชอบทำกันนักเลยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่พอปีนออกไปได้แล้วก็ไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายพวกเราเลยได้แค่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างโรงเรียนแล้วปีนกลับกันมาใหม่

พอเรียนจบม.ต้นก็ตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทย์ต่อตอนม.ปลาย โรงเรียนที่เราอยู่ม.ต้นมีชื่อเสียงทางด้านสายศิลป์ เราจึงต้องไปสอบเข้าเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงด้านสายวิทย์ ยังจำได้ว่าในวันที่ประกาศผลสอบเข้าม.ปลาย เราไปดูผลสอบกับพี่ชาย ตอนแรกพี่รออยู่ในรถแล้วให้เราไปดูคนเดียว เราตรวจดูผลสอบแล้วไม่เจอชื่อตัวเอง ใจหายวาบ วิ่งกลับมาบอกพี่ว่าสอบไม่ติด พี่ไม่เชื่อแล้วบอกให้เราไปลองดูใหม่ เราก็ไปตรวจดูอีกรอบแล้วกลับมาบอกพี่ว่าไม่ติดจริง ๆ พี่เลยไปดูด้วยตัวเองแล้วเจอชื่อเราอยู่ในห้องหนึ่งซึ่งถือเป็นห้องสำหรับเด็กเรียนดี ตอนนั้นไม่เชื่อว่าจะสอบติดห้องหนึ่ง ตอนแรกที่เราหาชื่อตัวเองไม่เจอเพราะเราตรวจชื่อดูทุกห้องแต่ไม่ดูห้องหนึ่งเพราะคิดว่ายังไงซะก็ไม่ติด จำได้เลยว่าพอรู้ผลสอบแล้วดีใจแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ กลับบ้านมาเขียนไดอารี่ถึงความกังวลที่ต้องเป็นเด็กห้องหนึ่ง

และ เมื่อเปิดเทอมมาเราก็เข้ากับเพื่อน ๆ ในห้องหนึ่งไม่ค่อยได้ อาจจะเพราะด้วยบุคลิกหลายอย่างที่ต่างจากคนอื่นในห้อง โดยเฉพาะการไม่ชอบอ่านหนังสือที่โรงเรียน ยิ่งถ้าให้นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องแล้วยิ่งรู้สึกอึดอัด อย่าว่าแต่ให้เราอ่านเองเลย แค่มองไปรอบ ๆ เห็นเพื่อนคนอื่นนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ก็รู้สึกไม่ใช่ที่ของตัวเองจนต้องพาตัวเองออกไปหาอะไรทำนอกห้อง ส่วนใหญ่คือไปอยู่ห้องดนตรีไทย เช้ามาก็แวะไปซ้อมดนตรี เที่ยง ๆ กินข้าวเสร็จก็ไปนั่งเล่นอยู่ในห้องดนตรี เย็น ๆ หลังซ้อมดนตรีเสร็จก็ชวนกันไปนั่งกินขนมข้างโรงเรียน ชั่วโมงไหนไม่มีเรียนเราก็มักจะโผล่ไปนั่งคุยกับเพื่อนห้องโน้นห้องนี้ บางคืนไปเล่นดนตรีไทยตามงานศพ กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำแต่ก็ได้เงินค่าขนมกลับมานิดหน่อย เวลาว่างอื่น ๆ ก็เอาไปทำกิจกรรมของโรงเรียน อาจจะพอเรียกได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรมแต่เป็นลักษณะไปช่วยงานคนอื่นซะมากกว่าที่จะเป็นตัวตั้งตัวตี ตอนอยู่ม.ปลายมีเพื่อนผู้ชายค่อนข้างเยอะจนพี่ ๆ เคยคุยกันเล่น ๆ ว่าอาจจะมีน้องสาวเป็นทอม อันนี้พี่เพิ่งมาเล่าให้ฟัง

แวะเล่าเรื่องดนตรีไทยสักนิดนึงเพราะครอบครัวเราจัดเป็นครอบครัวดนตรีก็ว่าได้ พี่ชายสองคนเรียนจบนาฎศิลป์และเคยทำงานเป็นครูสอนดนตรีไทยก่อนที่จะไปเรียนต่อกันสาขาอื่น ที่บ้านเลยมีเครื่องดนตรีไทยอยู่พอสมควร พี่คนนึงเป็นมือเป่าปี่ พี่อีกคนเป็นมือระนาดเอก ส่วนเราหัดเล่นดนตรีไทยมาตั้งแต่ประถมและเลือกเล่นซออู้เป็นเครื่องดนตรีชนิดแรก พอเข้าม.ปลาย พี่ชายที่เล่นระนาดจับเราหัดเล่นฆ้องวง เช้า ๆ สักตีห้าหรือหกโมง พี่จะปลุกให้มาซ้อมดนตรี พี่พับผ้าขาวม้าเข้ากันหลายทบแล้วปูลงบนผืนระนาดส่วนเราก็ใช้ไม้นวมเล่นเพื่อไม่ให้เสียงดังเกินไป เราเรียนดนตรีกับพี่ในลักษณะตัวต่อตัวและจำทำนองจำโน๊ตมาตลอดจนไม่รู้วิธีอ่านหรือเขียนโน๊ตเพลงเลย บางเวลาที่อยู่ห้องดนตรีไทยก็มักจะนั่งขัดสมาธิแล้วเอาไม้ฆ้องวงมาตีลงบนหน้าตักของตัวเองเพื่อฝึกข้อมือให้ตีได้คล่อง

หลังจากที่พี่ฝึกให้เราหัดเล่นฆ้องวงได้ไม่นาน พี่ก็เริ่มรับจ้างเล่นดนตรีไทยตามงานต่าง ๆ และให้เราไปเล่นกับพี่ ส่วนใหญ่จะเล่นเป็นวงมโหรีมีแค่ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวง กลองตะโพนและฉิ่ง ส่วนนักดนตรีที่มาเล่นนอกจากพี่และเราแล้วก็เป็นเพื่อนหรือนักดนตรีที่พี่รู้จัก บางทีหานักดนตรีได้ไม่ทัน เราก็ไปชวนเพื่อนที่โรงเรียนมาเล่นแทน ปกติค่าจ้างวงดนตรีลักษณะแบบนี้จะแพงกว่าจ้างวงดนตรีจากโรงเรียนทำให้เราได้ค่าขนมมากขึ้นอีกหน่อยแต่ไม่สนุกเท่างานของโรงเรียน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่และมืออาชีพ มีเราเป็นเด็กไปเล่นและเป็นมือฝึกหัดอยู่คนเดียว นอกจากรับเล่นดนตรีตามงานแล้ว เราและพี่ชายอีกสองคนยังได้เล่นดนตรีไทยในงานศพคนในครอบครัวและญาติใกล้ชิด เริ่มด้วยงานศพพ่อตัวเอง ตอนนั้นเราอยู่ป.6และยังหัดสีซออยู่เลย ต่อมาก็เป็นงานศพน้าสาวฝ่ายพ่อ และสุดท้ายที่จำได้คืองานศพปู่ของตัวเองหลังเรารับปริญญาได้ไม่นาน ถ้าจำไม่ผิด งานหลังสุดนี้มีหลาน ๆ ที่เพิ่งหัดเล่นดนตรีมาร่วมวงด้วย

ตอนเรียนม.ปลายเราเรียนถนัดอยู่วิชาเดียวคือคณิตศาสตร์ที่ถือว่าเป็นวิชาเอาไว้ปราบเซียนแต่กลับถูกโฉลกกับเรา ส่วนวิชาไหนที่คนอื่นว่าง่ายรวมทั้งวิชาชีววิทยา เรามักจะสอบผ่านแบบหืดขึ้นคอ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราไม่ใช่หนอนหนังสือ วิชาไหนเนื้อหาไหนที่ต้องใช้ความเข้าใจเราจะชอบมากเพราะ้ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมานั่งอ่านนั่งท่องตำรา ส่วนวิชาไหนที่ให้ท่องไปสอบเราขอผ่านไปเลย และคงเป็นเพราะคะแนนวิชาคณิตค่อนข้างสูงบวกกับคะแนนวิชาชีวะที่ค่อนข้างต่ำ เลยมีแต่คนคิดว่าเราจะเลือกเรียนวิศวะ ตอนนั้นใคร ๆ ก็ถามเราว่าจะเข้าวิศวะที่ไหน เลือกเรียนวิศวะอะไร แต่เรากลับบอกทุกคนไปว่าเราจะเรียนสายชีวะ เราอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมากกว่าอยากจะคิดเลข แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเรียนอะไรในสายชีวะ

ช่วงนั้นเราเรียนศึกษานอกโรงเรียนไปด้วย จบกศน.ตอนอยู่ม.5 และก็ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวตอนอยู่ม.5 เช่นกัน ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดวางแผนว่าจะเรียนอะไรและไม่ได้เตรียมตัวอะไร มากมาย สอบเข้าครั้งนั้นเลือกไป 4 คณะ สองคณะแรกเลือกไปตามความนิยมคือแพทย์และเภสัช แต่เราเลือกแพทย์ทหารเพราะตอนนั้นคิดว่าถ้าให้เราเรียนหมออย่างเดียวอาจจะไม่เหมาะกับตัวเอง เลยเลือกหมอทหารไปเผื่อมีอะไรให้ทำเพิ่มขึ้นบ้าง อีกคณะนึงคือคณะที่พี่ขอมา พี่บอกว่าจะเลือกเรียนอะไรเลือกสอบเข้าที่ไหนพี่ไม่ว่า แต่พี่คิดว่าในอนาคตสาขาพันธุศาสตร์น่าจะดัง ถ้ายังไงก็เลือกเล่น ๆ ไปให้พี่สักหน่อยล่ะกัน ตอนนั้นอยู่ม.5 ไม่เคยเรียนพันธุศาสตร์ ไม่เคยเรียนโครโมโซม ดีเอ็นเอ เพราะเป็นเนื้อหาของม.6 ล้วน ๆ แต่เมื่อพี่ขอมาเราก็จัดให้ เลือกพันธุศาสตร์ไปเป็นอันดับสาม ส่วนอันดับสุดท้ายเราเลือกแบบตามใจตัวเองคือสาขาจิตวิทยาเพราะมีความทรงจำในวัยเด็กที่เราเคยได้อ่านหนังสือชุดเกี่ยวกับสมองและจิตของพี่ จำไม่ได้ว่าพี่ตั้งใจเอามาให้เราอ่านหรือแค่เอามาเก็บที่บ้านแล้วเราไปค้นเจอเข้า แต่จำได้ขึ้นใจเลยว่าเป็นหนังสือที่อ่านยากมากแต่น่าสนใจมาก อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่เราก็อ่านจนจบ พอประกาศผลสอบออกมาปรากฎว่าได้เรียนพันธุศาสตร์

หลังจากที่เห็นพี่ ๆ ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือหนังหาบ้าง ไปทำงานบ้าง คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกจากบ้านบ้างแล้ว ได้เวลาไปเรียนหนังสือต่อที่บางกอก …

======================================================

รูปข้างบนให้เห็นหน้ากันชัด ๆ แต่อาจจะโดนข้อหามีแว่นกันแดดบัง เลยเอามาฝากอีกรูปค่ะ :-)

ขอหมายเหตุไว้อีกนิดว่าบันทึกนี้เขียนลงใน Google Doc แล้วจึงคัดลอกมาลงในลาน เพิ่งมาเจอตอนอ่านตรวจทานว่ามีหลายส่วนที่เว้นวรรคไม่ตรงกับต้นฉบับ ได้แก้ไปแล้วแต่อาจจะมีตกหล่นอยู่บ้าง ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามีบางส่วนเว้นวรรคผิด ๆ ถูก ๆ ก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ

« « Prev : แล้วเราเป็นไผ..ตอนแรก

Next : แล้วเราเป็นไผ ภาค(ก่อน)จบ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 8:55 am

    เขียนได้มันดี โดยเฉพาะอีตอนหนีโรงเรียนแล้วไม่รู้ไปไหนปีนกลับโรงเรียนเหมือนเดิม นึกถึงภาพเด็กนักเรียนสมัยก่อนเป็นอย่างนี้จริงๆ อิอิ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 11:05 am

    อ่านแล้วชอบอ่ะ  อิอิ

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 12:01 pm

    อ่านจบพร้อมรอยยิ้มกว้าง เห็นภาพเด็กผู้หญิงที่เชื่อมั่นในตัวเอง สดใส เอาเรื่องและแกร่งพอตัวขึ้นมาเชียวจ้ะ และยิ้มรับรอยยิ้มสดใสของเจ้าของสวยน่ารักคนนี้อย่างมีความสุข อิๆ

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 12:51 pm

    สรุปว่าตอนเด็กย้ายโรงเรียนเพราะพี่ขี้เกียจถักเปียหรือครับ

    เท่าที่สังเกต การคัดลอกมาปะโดย Windows XP มีปัญหาครับ มีเว้นวรรคแถมมาให้ มักจะพบที่ “คำแรก” ของย่อหน้า แต่บางทีข้างในก็เป็นเหมือนกัน

  • #5 cinshy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 April 2009 เวลา 4:41 am

    สวัสดีทุกคนคุ่ะ

    คุณอัยการ: ก่อนจะปีนก็รู้แค่ว่าอยากปีนอยากลองแต่ลืมคิดว่าจะปีนออกไปไหน เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อกี้เองว่าถ้าออกไปนั่งเล่นชายทะเลก็คงได้เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้กับทะเลเลยค่ะ แต่คงเสี่ยงกับโดนสารวัตรนักเรียนจับอยู่ไม่น้อย

    คุณจอมป่วน: ถ้าชอบก็อย่าลืมมาอ่านตอนต่อไปเด้อ

    พี่เบิร์ด: ยิ้มค่ะยิ้ม ^_^ เป็นคนชอบยิ้มค่ะ ยิ้มไว้โลกนี้สดใส อยู่แถวนี้ก็ชอบทำตัวเป็นตัวแทนยิ้มสยาม และจะิยิ้มมากขึ้นเวลาฟังฝรั่งพูดอะไรไม่รู้เรื่องก็ยิ้มเอาไว้ก่อน อิอิ

    คุณรอกอด: โรงเรียนจีนเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ และมีเด็กสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมได้ค่อนข้างน้อย พี่บอกว่าที่ให้ย้่ายไปเรียนโรงเรียนใหญ่ขึ้นก็เพราะหวังว่าเราจะมีโอกาสเรียนต่อมากขึ้นค่ะ

    ขอบคุณทุกคนที่แวะมาทักทาย :-D


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.15333700180054 sec
Sidebar: 0.033191919326782 sec