แล้วเราเป็นไผ..ตอนแรก
อยู่ดีไม่ว่าดี..งานเข้าจนได้ค่ะ โดนตามให้มาร่วมวงเล่าเรื่องเราเป็นไผกับเค้าซะดี ๆ ยินดีร่วมเล่าค่ะแต่ชีวิตนี้ยังไปไม่ถึงเลขสาม เลยทำให้เรื่องที่เล่าคงเป็นเรื่องเรียนและเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่ก็น่าจะทำให้หลาย ๆ ท่านนึกย้อนกลับไปสมัยวัยเรียนกันได้ค่ะ ยังไงตามอ่านกันได้นะคะ แต่เรื่องอาจจะยาวเพราะเล่าอะไรสั้น ๆ ไม่ค่อยจะได้ อาจจะต้องกลับไปเรียนเขียนย่อความมาใหม่
วนเวียนอยู่ในลานปัญญามาตั้งแต่เริ่มมีลานใหม่ ๆ แต่มักจะแอบอ่านบันทึกอยู่เงียบ ๆ นานน๊านจึงจะโผล่มาสักที หลาย ๆ คนในนี้จึงอาจจะสงสัยว่าเรานี้คือใคร ก่อนจะเล่าเรื่องเป็นไผเลยขอแนะนำตัวสักนิดนะคะ ชื่อณิชค่ะ เป็นคนสงขลา ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่อังกฤษและคาดว่าจะจบปีหน้านี้แล้วล่ะค่ะ เหมือนแนะนำตัวเข้าประกวดนางสาวไทยเลย อิอิ
เราเป็นน้องคนสุดท้องในพี่น้องห้าคน เป็นลูกคนเดียวที่เกิดที่โรงพยาบาล เป็นลูกคนเดียวที่ผ่านมือหมอสูติ ส่วนพี่คนอื่นผ่านมือหมอตำแย เป็นลูกคนเดียวที่ถูกเรียกว่าเด็กในเมือง และเป็นน้องคนสุดท้องที่ถูกเรียกว่าลูกหลงเพราะมีอายุห่างจากพี่ ๆ มากพอสมควร
แม่เล่าให้ฟังว่าในวันที่เราจะเกิด แม่ก็ไปขายของตามปกติ พอขายของเสร็จก็กลับมาชวนพี่สาวไปโรงพยาบาล นั่งรถตุ๊ก ๆ กันไปสองคนและเราก็เกิดมาตอนดึก เพราะเกิดตอนดึกบวกกับสีผิวแบบนี้เลยโดนพี่ ๆ แกล้งมาตลอด แถมตอนเด็กยังถูกคนในซอยเรียกว่า ปลามิหลัง หนึ่งในปลาที่แม่ขายสมัยนั้น ลักษณะคล้าย ๆ ปลาดุก ที่ถูกเรียกชื่อนี้เพราะเค้าว่าสีปลากับสีผิวเราหนะสีเดียวกันเลย ขนาดโตมาจนป่านนี้ บางคนในซอยยังจำชื่อเล่นเราไม่ได้ จำได้แต่ชื่อมิหลัง -_-”
ตอนเราเป็นเด็ก แม่ต้องไปขายของเลยต้องฝากเราไว้กับคนโน้นคนนี้ในซอยให้เลี้ยงเราแทน บ้านไหนมีคนอยู่ก็เอาเราไปฝากไว้บ้านนั้นล่ะค่ะ และเพราะฐานะทางครอบครัวที่ค่อนข้างลำบากทำให้เราถูกเลี้ยงมาด้วยนมข้นหวาน ใช่ค่ะ นมที่มีเขียนไว้ด้านข้างว่าห้ามเลี้ยงเด็กทารกนั่นล่ะค่ะ แม่บอกว่าแม่ซื้อนมผงให้เราได้แค่กระป๋องเดียว ที่เหลือเป็นนมข้นหวานทั้งหมด ต้องเป็นตรามะลิด้วยนะคะ เพราะตราหมีจะแพงกว่านิดหน่อย แต่ที่รอดมาได้ทุกวันนี้ไม่เป็นโรคขาดสารอาหารไปซะก่อนก็คงเป็นเพราะปลาที่แม่ขายช่วยชีวิตไว้ค่ะ
ถึงแม้จะมีพี่น้องเยอะแต่ตอนที่เราเป็นเด็ก พี่น้องทุกคนต่างแยกย้ายไปเรียนที่อื่นหรือไปทำงานกันหมดเลยเหลือเราเป็นลูกอยู่บ้านคนเดียว จำได้เลือน ๆ ว่าตอนเช้าตื่นมาก็ไม่เจอใครแล้วเพราะแม่ต้องออกไปแพปลาตั้งแต่เช้าตรู่ ตื่นมาเราก็อาบน้ำกินข้าวที่แม่ทำไว้ให้ หยิบเงินที่แม่วางไว้ให้ เดินออกไปขึ้นรถที่ปากซอย นัุ่งตุ๊ก ๆ ไปโรงเรียนเองกลับเองตั้งแต่เล็ก ๆ มาถึงบ้านก็กินข้าวที่เหลือ ทำการบ้าน เก็บกวาดทำงานบ้านบ้าง กว่าแม่จะกลับมาบ้านอีกทีก็ดึกดื่นไปแล้ว แ่ต่พี่มักจะเล่าให้เราฟังว่าเราเป็นเด็กวัดมาตั้งแต่เด็ก เย็น ๆ เรามักจะเดินไปหาพี่ที่วัด ไปร้องไปเต้นไปกินขนมอยู่เป็นประจำ
อาจจะสงสัยว่าทำไมเราเล่าถึงแต่แม่แล้วพ่อไปไหน ในความทรงจำส่วนใหญ่เราเห็นแต่แม่ค่ะ ส่วนพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนเราอยู่ป.6 ตั้งแต่จำความได้ก็รู้ว่าพ่อไม่สบาย ช่วงที่ยังจำได้ดีคือตอนพ่อป่วยหนักและเข้าโรงพยาบาลบ่อยแต่เราไม่เคยได้ไปเยี่ยมหรือไปเฝ้าไข้เพราะต้องทำหน้าที่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน 2 คน จนมีอยู่วันนึงหลังจากเลิกเรียน ไม่รู้เรานึกอะไรขึ้นมา เดินไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล เป็นวันแรกและวันเดียวที่ได้อยู่โรงพยาบาลกับพ่อ รุ่งขึ้นพี่มาตามที่โรงเรียนและบอกว่าพ่อเสียแล้ว …
ยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยไปช่วยแม่ขายปลาที่ตลาด ช่วยขายปลาแป้น เป็นปลาตัวเล็ก ๆ เอามาต้มส้มแบบใต้อร่อยค่ะ ช่วยขูดเกล็ดปลาหลุมพุก เดินไปเข็นน้ำแข็งแล้วมาช่วยเรียงปลาในลัง ต้องเรียงเป็นชั้น ๆ เริ่มจากน้ำแข็งกับเกลือนิดหน่อย วางปลาเรียงลงไปสักสองชั้นแล้วตามด้วยน้ำแข็งอีกที ทำแบบนี้จนปลาเต็มถังค่ะ โตขึ้นหน่อยก็ไปช่วยพี่เฝ้าห้องน้ำ คอยเก็บเงินเวลาคนเข้าห้องน้ำในตลาด ล้างห้องน้ำบ้างเป็นครั้งคราว ตอนเด็ก ๆ ไม่ชอบทำงานพวกนี้เลยค่ะแต่พี่ ๆ มักจะบอกเราเสมอว่าเราหนะเกิดมาโชคดี เกิดมาตอนที่ครอบครัวเริ่มลงหลักปักฐานได้ เราได้เข้าเรียนโรงเรียนดี ทำแค่นี้หนะสบายแค่ไหนแล้ว พี่ ๆ ทำกันมาเยอะกว่านี้อีก
นี่เล่ามาตั้งยาวยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเริ่มเล่าเรื่องเรียนบ้าง ถ้าใครคิดว่านักเรียนอังกฤษคนนี้คงเป็นประเภทเด็กเรียนจ๋า ก็อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดกันเล็กน้อยล่ะค่ะ ^_^
« « Prev : เมื่อเช้านี้ออกไปทิ้งขยะมาค่ะ
Next : แล้วเราเป็นไผ … ภาค 2 » »
9 ความคิดเห็น
เพิ่งเห็นหน้าน้องณิชชัดๆนี่แหละจ้ะ สวยน่ารักเชียว ^ ^
เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากจ้ะ และนับถือในความเด็ดเดี่ยวของใจจริงๆ จะรออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ
ดีครับ
อ่านเพลินและเหมือนจะเห็นภาพตามเลย…รออ่านตอนต่อไปค่ะ
สวัสดีค่ะทุกคน
พี่เิบิร์ดคะ … เลือกรูปที่เห็นด้านข้าง เพราะกลัวว่าถ้าเห็นแบบเต็มหน้าชัด ๆ แล้วพี่อาจจะตะลึงจนอ่านต่อไปไม่ได้ อิอิ
คุณสิทธิรักษ์ … ขอดีด้วยคนค่ะ
คุณจันทรรัตน์ … ดีใจที่คนอ่านอ่านแล้วรู้สึกเพลินค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน ทักทาย และให้กำลังใจกันนะคะ
ขอเพิ่มเติมหน่อยค่ะ
มีคนทักมาว่าปลาที่ขายตอนนั้นน่าจะเป็นปลาแป้นและปลาขี้เจะ หน้าตาคล้าย ๆ กันแต่ปลาแป้นจะตัวใหญ่ปลาขี้เจะตัวเล็กกว่า
ไม่ได้กินต้มปลาแป้นกับขี้เจะมานานมากแล้วค่ะ แม่บอกว่าเดี๋ยวนี้หาปลาพวกนี้กินได้ยากมาก ส่วนชื่อปลามิหลังเป็นภาษาถิ่นแต่ถ้าเป็นภาษากลางจะเรียกว่าปลาดุกทะเลค่ะ
ที่บ้านยกให้เป็นเด็กเมืองก็เพราะเหตุนี้ล่ะค่ะ
รูปตอนหน้าเอาแบบไม่มีควันมาบังนะครับ
เดี๋ยวจัดให้ค่ะ
สวัสดีครับ
ชอบกินปลามิหรัง(บ้านผมออกเสียงแบบนี้) กับปลาหลุมพุก (ปลาตะลุมพุก กรุงเทพเรียกปลาชิกคัก)
ปลามิหรังเหมือนปลาดุกตัวเล็กเป็นปลาน้ำเค็ม แต่ถ้าเรียกดุกเลบ้านผมเรียกปลาอีกแบบหนึ่งเหมือนปลาดุกตัวใหญ่ครับ
พูดถึงปลามิหรัง ดุกเล หลุมพุก แล้วเนือยเลย อิอิ
สวัสดีค่ะคุณอัยการ
ใช่แล้วค่ะ น่าจะออกเสียงว่ามิหรังมากกว่ามิหลังเพราะเวลาพูดต้องใส่สำเนียงใต้ลงไปด้วย ตอนเขียนออกมานึกคำเป็นภาษากลางแล้วลืมสำเนียงใต้ไปเล็กน้อย อิอิ
ถ้าให้เลือกกินระหว่างมิหรังกับหลุมพุก ขอเลือกกินมิหรังแน่นอนเพราะปลาหลุมพุกก้างเยอะเหลือเกิน เวลากินปลาหลุมพุกจะกินไปบ่นไปเพราะก้างทั้งนั้นแต่ก็ยังชอบกิน แต่เดี๋ยวนี้แม่บอกว่าหาปลาพวกนี้ยากกกกกกส์ ไม่ค่อยมีปลาหรือถ้ามีก็จะถูกส่งไปร้านอาหารหรือโรงแรมหมด ต้องใช้วิธีบอกให้คนรู้จักในตลาดเก็บไว้ให้ค่ะ
เนือยเหมือนกันเลยนิ