แล้วเราเป็นไผ ภาค(ก่อน)จบ

โดย cinshy เมื่อ May 15, 2009 เวลา 5:49 am ในหมวดหมู่ Uncategorized #

เล่ามาถึงตอนที่เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ เริ่มต้นเรียนด้วยความขลุกขลักเล็กน้อยเพราะความรู้ของม.6 ที่มีมาด้วยคือความว่างเปล่า วิชาปีหนึ่งที่เราจำได้ขึ้นใจคือฟิสิกส์ คะแนนสอบกลางภาคออกมาต่ำมากจนเรียกว่าตกแต่เราก็เลือกเรียนต่อถึงปลายเทอม ผลสอบออกมาว่าได้เกรด D ตอนดูเกรดลุ้นแทบแย่ พอเห็นเกรดแล้วเป็นปลื้ม นึกว่าได้ประเดิมปีหนึ่งด้วยการสอบตกซะแล้ว ถึงแม้ว่าปีแรกอาจจะติดขัดไปบ้างแต่ก็ดีขึ้นในปีต่อ ๆ มาจนถูกสวมหมวกให้เป็นเด็กเรียน

ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเราก็ยังหากิจกรรมทำอยู่เรื่อย ๆ และได้ไปอยู่เป็นเด็กรับส่งเอกสารขององค์การนิสิต จนขึ้นปีสามที่เราได้รับมอบหมายให้ลงเป็นกรรมการซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น ตอนนั้นเริ่มมีคนเป็นห่วงผลการเรียนหากว่าเราทำกิจกรรมมากไป เราได้แต่รับปากไว้ว่าจะไม่ให้เสียการเรียน และเราก็ได้แสดงให้เห็นว่าคำว่าเด็กเรียนและเด็กกิจกรรมไม่จำเป็นต้องใช้เรียกแยกกันเสมอไป พอขึ้นปี 4 เราก็ออกจากวงการมาอยู่แต่ห้องแล็บคอยเก็บใบไม้ใบหญ้าไปทำการทดลองแทน เมื่อลองนั่งนึกย้อนดูถึงช่วงนั้นก็พบว่าสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญคือการเรียนในห้องเรียน การที่เราพยายามเรียนให้เข้าใจตั้งแต่อยู่ในห้องเรียนทำให้เราใช้เวลาอ่านหนังสือนอกห้องเรียนน้อยลงและมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น

ตอนอยู่ปี 4 ก็ได้เวลาเลือกเรียนต่อปริญญาโท เราไปสอบโทไว้หลายที่ มีตอนไปสอบอยู่ที่นึงที่เราขำตัวเองว่าทำไปได้ เรื่องของเรื่องคือไปสอบเรียนโทในสาขาที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรงและทำข้อสอบไม่ได้เลย จะออกจากห้องสอบก็ไม่ได้เพราะเพิ่งเข้าไปนั่ง จะฟุบนอนก็เกรงใจคนอื่น เมื่อไม่มีอะไรทำบวกกับเห็นกระดาษคำตอบว่าง ๆ เลยเขียนลงไปในกระดาษคำตอบทำนองว่า คำถามที่ถามมาแต่ละข้อเราตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเรียนแต่จะเขียนเล่าเรื่องที่เราได้เรียนมาแทน แล้วเราก็ลงมือเขียนจนเต็มกระดาษคำตอบ อันนี้เป็นการตอบไม่ตรงคำถามอย่างชัดเจนแต่ปรากฎว่าสอบติด (ซะงั้น)

มีอีกที่นึงที่เราสมัครเรียนต่อโทแต่หลังสอบสัมภาษณ์ก็ได้รับการติดต่อกลับมาว่าเราถูกเลื่อนชั้นให้ไปเรียนปริญญาเอกพร้อมทุนการศึกษาเรียบร้อย แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดและยังไม่พร้อมที่จะเรียนต่อระดับปริญญาเอก เราจึงเข้าไปพูดคุยเพื่อขอเรียนแค่โทเท่านั้น คำตอบที่ได้รับคือถ้าจะเรียนแค่โทก็ไม่มีทุนให้ และคำตอบที่เราให้ไปคือเราขอสละสิทธิ์ทุนนั้น สุดท้ายเราได้สละสิทธิ์ที่เรียนโททุกที่และเลือกไปทำงานเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนไม่กี่พันบาท มีบางคนบอกว่าเราบ้าเราโง่แต่เราก็พอใจในที่สิ่งเราเลือก สิ่งหนึ่งที่เรารู้ในตอนนั้นคือหลายอย่างมันยังไม่ใช่ มันยังไม่พร้อม และมันดูเร่งรีบเกินไป แล้วจะรีบเดินหน้าทำไม จึงตัดสินใจใส่เีกียร์ว่างและอยู่พักร้อนเพื่อให้เวลากับตัวเองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพัก

ทำงานได้ปีนึงก็ตัดสินใจกลับมาเรียนต่อโท คราวนี้มุ่งเป้าสมัครสอบไปเพียงที่เดียว และเพราะฐานะทางบ้านที่ไม่อำนวยและเราไม่ต้องการให้แม่ทำงานหนักเพื่อส่งเราเรียนต่อ เราจึงขอให้แม่ส่งเราเรียนแค่เทอมเดียวส่วนที่เหลือเราจะหาเงินเรียนต่อเอง ลืมบอกไปว่าตอนเรียนตรีใช้เงินกู้เพื่อการศึกษาเป็นหลัก ได้เงินสนับสนุนจากญาติบ้าง แม่ส่งเงินให้บ้าง รับสอนพิเศษบ้าง รวมกับทุนเรียนดีแต่ละปีบ้างก็พออยู่รอดมาได้

ช่วงแรกที่เข้าไปเรียนโทเราได้ติดต่อพูดคุยกับอาจารย์หลายท่านเรื่องทุนการ ศึกษาแต่ก็ผิดหวัง จึงทำให้รู้ว่าหาทุนเรียนโทนี่ยากจริง ๆ (คือว่าต้องย้ายไปเรียนเอกถึงจะมีสิทธิ์สมัครขอทุนได้) แต่เราก็พยายามต่อไปเพราะรับปากแม่ไว้แล้วต้องทำให้ได้ จนในที่สุดทางสถาบันได้นำเรื่องของเราเข้าที่ประชุมและอนุมัติทุนการศึกษา 3 ทุนสำหรับค่าเทอมและเหลือใช้จ่ายอีกเล็กน้อย ปีนั้นจึงเป็นปีแรกที่ทางสถาบันให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนและยังคงให้ทุนแก่นักเรียนเข้าใหม่ในรุ่นต่อ ๆ ไป

เงินก้อนนั้นที่ได้มาทำให้เราจ่ายค่าเทอมในเทอมต่อไปได้แต่ไม่เพียงพอที่ใช้จ่ายจนเรียนจบ มีอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เราได้เรียนต่อคือขอเปลี่ยนจากระดับปริญญาโทไปเป็นเอกพร้อมกับสมัครขอทุน เราจึงไปขอสมัครเรียนปริญญาเอกกับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ ก็เกรงและเราเองก็ไม่เคยพบไม่เคยคุยกับอาจารย์มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าความบ้าอันไหนเข้าสิงทำให้เราเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเคาะห้องอาจารย์และเล่าถึงความจำเป็นที่เราต้องสมัครทุน

อาจารย์ชวนคุยอยู่สักพักก็บอกในสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้ยิน อาจารย์บอกว่าให้เราเรียนแค่โทก็พอโดยที่อาจารย์จะรับเราเป็นลูกศิษย์และจะใหุ้ทุนเราเรียนจนจบโท แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือขอให้เราไปสอบทุนเรียนต่อต่างประเทศ ก่อนหน้านั้นการไปเรียนต่อต่างประเทศดูเหมือนเป็นสิ่งที่ห่างไกลเหลือเกิน และยังไม่ได้วนเวียนเข้ามาในความคิด (ที่จริงแล้วเคยคิดเพียงแต่ไม่เคยหวังจึงไม่ได้ลงมือทำ) แต่สิ่งที่อาจารย์พูดมาครั้งนั้นได้เริ่มจุดชนวนความคิดนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ยังระลึกถึงบุญคุณของอาจารย์ที่ให้โอกาสแก่ลูกศิษย์คนนี้

ตอนเรียนโทเปลี่ยนจากเก็บใบไม้ใบหญ้ามาเป็นหัดเลี้ยงกุ้ง ช่วงนั้นจึงโชคดีมีกุ้งใ้ห้กินอยู่ไม่ขาด ตอนนี้ไม่ได้เลี้ยงกุ้งแล้วแต่หันมาดูแลน้องแมลงหวี่แทน เลี้ยงดูแมลงหวี่ง่ายกว่าเลี้ยงกุ้งเยอะ เพียงแต่เสียดายอยู่อย่างเดียวคือเอาแมลงหวี่มาทำกับข้าวไม่ได้ (เพื่อนเคยแซวว่าน่าจะเอามาทำซุปแมลงหวี่กินได้) และตั้งแต่ได้สร้างวีรกรรมปล่อยแมลงหวี่หลายพันหรือเป็นหมื่นตัวออกมาบินว่อนอยู่ในแล็บ เราก็ได้รับฉายาให้เป็นราชินีแห่งแมลงหวี่ไปโดยปริยาย ส่วนเมื่อเรียนจบแล้วจะเลือกไปเลี้ยงตัวอะไรก็ต้องคอยดูกันต่อไป

###############################################
เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านเป็นไผจบทั้งสามตอนคงพอได้รับรู้ประวัติและเรื่องราวรวมทั้งได้รู้จักเรามากขึ้น ก็ขอจบเรื่องราวเป็นไผไว้ที่บันทึกนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังรู้สึกค้างคาใจ คือสิ่งที่เล่าไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ยัีงขาดความเป็นไผในปัจจุบันที่ยังไม่ได้กล่าวถึง จึงใส่ชื่อบันทึกไว้ว่า (ก่อน)จบ ตัวตนนั้นยังคงเหมือนเดิมเพียงแต่ความคิดบางอย่างเปลี่ยนไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ไว้นึกครึ้มอกครึ้มใจจะแวะมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ขอหมายเหตุไว้นิดนึง คือพยายามเขียนเรื่องนี้โดยไม่ระบุชื่อบุคคลและสถานที่ ไม่ได้เป็นความลับอะไรเพียงแต่เป็นการเขียนแบบไม่เป็นทางการจึงไม่อยากอ้างอิงถึงภายนอกค่ะ หวังว่าอ่านแล้วไม่ดูขัดหูขัดตาเกินไปนะคะ :-)

อ้อ หนุ่มในรูปคือนายเหล็กโคนที่เคยเขียนถึงในบางบันทึกค่ะ ^_^ วันนี้เอามาเปิดตัวซะเลย ขออนุญาตเจ้าตัวมาเรียบร้อย อิอิ

« « Prev : แล้วเราเป็นไผ … ภาค 2

Next : ไปเที่ยววิมเบิลดันกันค่ะ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 May 2009 เวลา 7:21 am

    ชีวิตน่าสนใจครับ  อ่านสนุก  ได้อะไรๆ(ไม่บอก)ด้วย  อิอิ

  • #2 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 May 2009 เวลา 8:20 am

    ขอบคุณที่ถ่ายทอดนะคะ  อ่านแล้วรู้สึกค่ะว่าได้สัมผัสแนวคิด อีกชีวิตหนึ่ง มีคุณค่า มีบทเรียน และ มีความหมายอยู่ในตัว  ทุกชีวิตมีคุณค่าค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ 

  • #3 cinshy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 May 2009 เวลา 5:09 am

    คุณอาจอมป่วน ได้อะไรแล้วแอบอุ๊บอิ๊บอยู่คนเดียวเหรอเนี่ย อิอิ
    คุณป้าหวาน เชื่อเหมือนกันค่ะว่าทุกชีวิตมีคุณค่า ถ้าเรามองหาคุณค่าในตัวเองเจอจะทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากเลยล่ะค่ะ

    ^_^

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2009 เวลา 8:11 pm

    ดีใจที่มาร่วมวง

  • #5 cinshy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 May 2009 เวลา 3:38 am

    ด้วยความยินดีเลยค่ะ ^_^  ดีใจที่ครูบาแวะมาเยี่ยมเช่นกัน :-D

  • #6 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2009 เวลา 6:51 am

    ตั้งแต่เห็นชื่อบันทึกก็นึกในใจแล้วว่าเด็กใต้แน่นอน เพราะที่อื่นคงไม่เรียกปลาหัวโม้ง อิอิ
    เขียนได้สนุกน่าติดตามอ่านไม่เบื่อครับ

  • #7 cinshy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 June 2009 เวลา 2:13 am

    เด็กใต้ของแท้แน่นอนเลยค่ะทั่นอัยการ หน้าตากับสีผิวยิ่งบอกยี่ห้อเลยล่ะ  อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.088044881820679 sec
Sidebar: 0.034692049026489 sec