คนอิงระบบ ตอนที่ 1 ***

อ่าน: 2814

ท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า”สวรรค์มีตา” หรือ “ฟ้าลิขิต” “ชะตาฟ้า” ถ้าคอหนังกำลังภายในคงจะเข้าใจได้ ถ้าเป็นสายพุทธ..มักจะใช้กฎแห่งกรรม หรือบุญมาวาสนาส่ง มีความเชื่อในเรื่องชาตินี้ชาติหน้า..ก็ว่ากันตามอัธยาศัยก็แล้วกันนะครับ ..ผมเป็นผู้เรียนอยู่เรื่อยๆ เหนื่อยก็นอนยิ้ม มีแฮงก็ลุกมาโลดโผนโจนทะยานต่อ ..คนเรามีงานมีหน้าที่มีพันธกิจไม่เหมือนกัน แล้วเราก็ก้มหน้าก้มตาทำๆๆและทำ จำเจกันอยู่อย่างนั้น เบื่อหรือไม่สนุกก็ต้องทำ..เพราะมันเป็นหน้าของเรา ปัญหามีอยู่ว่า เราจะบรรเทาความจำเจในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

เบื่อผมทรงนี้เปลี่ยนทรงผมใหม่

เบื่ออาหารเมนูนี้ก็หาเรื่องชิมอาหารใหม่ๆแปลกๆ

เบื่ออ่านเฟสบุกส์เฉยๆ..ก็ลองคอมเมนท์ดูบ้างสิเธอ

เราสามารถโยกความเบื่อหน่ายต่างๆนานาได้ถ้าเราใส่ใจประเด็นนี้ ช่วงนี้มหาชีวาลัยอีสานกำลังจะปรับตัวไปเป็นบริเวณของหมู่บ้านโลก ก่อนนั้นมีรูปแบบคล้ายๆกับศูนย์เรียนรู้ ซึ่งตั้งและทำมานานก่อนที่จะคนเรียกขานว่าศูนย์นั่นศูนย์นี่เกร่อทั่วประเทศ จ ริ ง ๆ แ ล้ ว มั น เ ป็ น บ้ า น เ รี ย น เพราะคนที่อยู่อาศัยไม่มีความรู้ว่าจะจัดการตัวตนกับที่ดินเสื่อมโทรมผืนนี้อย่างไร มีเรื่องให้คิดเยอะครับ..ความอยู่รอดอยู่ดี..ทั้งตัวเราและอนาคตของพื้นที่แห่งนี้ด้วย ไม่ใช่คิดแต่จะกอบโกยทำประโยชน์ทำมาหากิน ทำๆเหมือนรออะไรสักอย่าง พอเหนื่อยล้าแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมและหนี้สินไม่ตก ก็แบ่งขายที่ดินจนจุ๊ดจู๋ลงไปเรื่อยๆ

ช่วงที่ทำมาหากินก็ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้แก่ธรรมชาติเลย

มนุษย์ไ ป อ ยู่ อ า ศั ย ต ร ง ไ ห น ก็ ไ ป ส ร้ า ง ปั ญ ห า ที่ ต ร ง นั้ น

ข่มขืนเอาเป็นเอาตายกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

ทำไม!.ค น ขี้ เ ห ม็ น ถึ ง มี แ น ว คิ ด อ ย่ า ง นี้ ล ะ ค รั บ

เป็นกันทั้งโลกด้วยนะเธอ..เราจึงเห็นโลกใบนี้เน่าเฟะเต็มไปด้วยมลภาวะ ช่วยกันปู้ยี้ปู้ยำแล้วก็ยังเล่นตลกต่อ.. คุยฟุ้งเรื่องรักป่า..โลกร้อน..ชอบป่าไม้ รักธรรมชาติ (อยู่ในห้องแอร์) แม้แต่ความรักความคิดเกี่ยวกับโลกและสังคมก็ยังกระทำเพียงครึ่งเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็จะได้อยู่อาศัยบนโลกใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยโรคและกิเลส

ถ้ า เ ป็ น อ ย่ า ง นี้ จ ะ เ อ า ยั ง ไ ง ดี ล ะ เ ธ อ

หลังจากงึมงำอยู่นานก็เริ่มถามตัวเองว่า..ผ ม จ ะ เ อ า ชี วิ ต ไ ป ว า ง ไ ว้ ต ร ง ไ ห น ด้วยศักยภาพและประสบการณ์อันน้อยนิด ผ ม ค ว ร จ ะ เ ลื อ ก ทำ อ า ชี พ อ ะ ไ ร มองเฝ้ามองดูคนที่เขาเจริญก้าวหน้า..ทุกคนผ่านการเล่าเรียนระดับสูงมาทั้งนั้น บางคนข้ามน้ำข้ามท่าไปเรียนมาจากเมืองนอก บางคนปรับปรุงตัวจนเป็นเผ่าพันธุ์อินเตอร์ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ข้าราชการที่ได้รับการบรรจุตำแหน่งต่างๆล้วนแต่ผ่านการเรียน มีกระดาษเปื้อนหมึกรับรองความรู้ความสามารถจากสถาบันต่างๆ..เมื่อได้การงานทำ..ก็ไต่ระดับขึ้นไปๆ เป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ บางคนมีสร้อยต่อท้ายคำว่า “พิเศษ” ไปไหนๆก็เห็นแต่คนพิเศษ.. ผมแอบอิจฉาความพิเศษ ผมอยากจะได้ความพิเศษบ้าง

จึ ง ม า คิ ด ทำ เ รื่ อ ง ธ ร ร ม ด า ๆ ใ ห้ เ ป็ น เ รื่ อ ง พิ เ ศ ษ

ผมย้อนมามองดูตัวเอง ต้นทุนทางการศึกษาก็กระพร่องกระแพร่ง ไม่มีปริญญาอะไรกับเขา ความรู้ความสามารถก็ไม่มี เพราะไม่ได้เรียนไม่ได้ผ่านสถาบันระดับอุดมศึกษา ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอบรมวิชาการวิชาชีพ สภาพโดยรวมเหมือนตาบอดคลำช้าง เป็นชีวิตแห่งการเรียนรู้ที่สะเปะสะปะและเละตุ้มเปะด้วยนะเธอ ถ้าคิดมูลค่าความผิดพลาดจากการเรียนผมคงหลายสิบล้านบาท มันไม่ใช่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างเดียวหรอกนะ ยังสูญเสียความร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองไปไม่รู้เท่าไหร่ ที่หามาได้หมดไปกับการเรียนการทดลองกิจกรรมรอบๆบ้าน ทำๆ..จนคนที่นอนใกล้ๆเอือมระอา..แต่เขาก็ไมรู้จะทำยังไง..กับคนหัวดื้อ จึงตกกะไดพลอยโจน

คติพจน์ของผม : เ รื่ อ ง เ จ๊ ง เ รื่ อ ง เ ล็ ก . . เ รื่ อ ง ทำ เ รื่ อ ง ใ ห ญ่

ผมเป็นบ้าอะไรไม่รู้นะครับ..เคยดูแคลนการสะสมเงินทอง

ด้วยประมาทว่า..ห า เ มื่ อ ไ ห ร่ ก็ ไ ด้

แต่ก็แปลกนะ..ภาพลักษณ์คนภายนอกมองว่าผมเป็นคนรวย

ชาวบ้านแถวๆนี้..ไปถามหาครูบาสุทธินันท์ เข้าไม่รู้จักหรอก

เพราะฉายา “ครูบา” คนเมืองแต่งตั้ง

ที่ชาวบ้านเขาตั้งให้คือ “เสียอุ๊”

ชีวิตผมมักเป็นอย่างนี้เสมอ..อะไรๆที่เป็นที่ได้..คนอื่นอุปโหลกให้ทั้งนั้น!

เมื่อดำเนินการหัวหกก้นขวิดมาจนถึงบั่นปลายของชีวิต ผมก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น..เห็นบางคนร่ำรวยอุตสาห์หาเงินทองเอาเป็นเอาตาย บางคนถึงกับคดโกงยังไงก็ได้ขอแต่ให้ข้ารวย พ ว ก นี้ ก็ ร่ำ ร ว ย จ ริ ง ๆ นั่ น แ ห ล ะ แต่คุณภาพชีวิตของเขาไม่ได้ร่ำรวยตามไปด้วย ความรวยก็แยกไปทาง ความเป็นมนุษย์ก็แยกไปทาง ต า ย ไ ป ก็ ไ ม่ เ ห็ น เ ป็ น ท่ า อ ะ ไ ร ทุ ก ๆ อ ย่ า ง Delete ว่างเปล่า จ บ ค ว า ม เ ป็ น ม นุ ษ ย์ ร ว ย ๆ แ บ บ ก ร ะ จ อ ก ๆ .

เธอเคยคิดไหมครับว่า จะปิดบัญชีความเป็นมนุษย์อย่างไร..

ผมวุ่นวานอยู่กับการเรียนรู้ทุกวันทุกคืน ก่อนหน้านั้นก็รับแขก จัดการฝึกอบรม ไปเสนอหน้าที่โน่นที่นี่ เป็นกรรมการบ้าๆบอๆเยอะไปหมด ทุ ก สิ่ ง ที่ เ ข้ า ไ ป มี ส่ ว น ร่ ว ม คื อ วิ ธี ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผ ม คนบ้านนอกบ้านป่า..ถ้าไม่เข้าไปคลุกในกรุงบ้างก็จะไม่รู้อะไร คงอยู่แบบดื้อตาใสไปวันๆ ที่ผ่านมาจึงฟังทั้งเพลงลูกทุ่งและเพลงลูกกรุง เพลงฝรั่งฟังบ่ออก..แต่ก็ชอบนะ..เกิดเป็นคนไทยก็ควรเรียนรู้เรื่องเมืองไทยใช่ไหมละครับ? จะมาอยู่แบบไม่รู้ไม่ชี้ หรือรู้แต่เรื่องในสำนักงานของตนเองก็บ้าแล้ว

ช่วงนี้ผมจึงสนับสนุนให้ญาติของผมถลาแล่นออกจากบางกอกบ้าง โชคดีเป็นบ้าที่พี่จินตนามาคลุกอยู่ในป่าได้หลายวัน มาถึงที่นี่จะทำอะไรก็ได้ โจทย์มีให้เลือกจนตาลาย จะปลูกต้นไม้ ปลูกผัก เด็ดผัก เรียนนิสัยของผัก ลองเอาผักมาทำอาหาร เอาผลไม้มาทำขนม โธ่! ปัจจัยการเรียนสดๆอยู่ตรงหน้า คว้าอะไรมาทำก็สนุกทั้งนั้นแหละ ผมเรียกว่า..วิชาที่ชิมได้

ผมนะจัดพื้นที่รอบบ้านไว้อย่างธรรมชาติ จะนั่งนอนรับลมเย็น จะนั่งอาบแดด จิบน้ำชาคุยกัน ฟังเสียงนกป่าร้องเพลงทั้งวันก็ยังได้ หรือจะแอบดูเจ้าไก่พังส์หัวจุกควงสาวๆขนาบข้างละ2-3ตัว ก็เพลินไม่เบา..ไม่มีใครนั่งๆนอนๆให้สมองกลวงหรอกนะเธอ..สายตามองไปเห็นผักอวบสดสะพรั่ง เห็นดอกมะรุม ดอกชมจันทร์ ดอกอัญชัน ดอกบวบ ดอกฟักทอง ยอดน้ำเต้า ยอดมะรุม ยอดเสาวรส ยอดชะอม ยอดขี้เหล็ก ยอดมะระขี้นก ผักกวงตุ้ง ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักสลัด ผักกุยช่าย ผักปวยเล็ง ผักชี ต้นหอม ฯลฯ คิดทำเมนูแปลกๆวันละ2-3 หม้อยังไม่พร่องเลยเธอ เมื่อ

วานก่อนทำไอติมแตงไทย

เมื่อวานทำขนมแตงไทย

วันนี้เห็นคุยกันว่าจะทำเมนูเกี่ยวกับหน่อไม้ หน่อไผ่กิมซุง หน่อบงหวาน แข่งกันขึ้นปะเลอะ ผมนะแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ค อ ย ช ม กั บ ชิ ม ก็ อิ่ ม จ น อื ด แ ล้ ว ผมคิดไปเองรึเปล่าไม่รู้นะ ..วิถีคนเมืองที่อยู่กับการงานวุ่นวายทั้งปีทั้งชาติ ที่อยู่อาศัยก็กระจิดริด จะปลูกอะไรก็ยาก พี่จินตนาเล่าว่า..พยายามปลูกผักบนคอนโด เห็นผักที่นี่กับผักที่โน่นแล้วอยากร้องไห้ ..ก็บอกว่า..ไม่เป็นไรหรอก เห็นไหมนี่ เมล็ดพันธุ์ผักที่ส่งมา..มันอวบงามน่าตื่นตาไหมละ..แทบทุกมื้อจะมีผักสลัดต้นอวบกรอบวางเคียงทุกมื้อ ผักสลัดที่ว่านี้พี่จินตนาส่งเมล็ดมาให้ เออวิธีนี้ก็ดีนะ ท่านใดอยากจะชิมผักอะไรก็ส่งเมล็ดมา ผมปลูกแล้วโตแล้วก็จะชวนมาชิม ส่วนการปลูกที่คอนโดก็สนับสนุนนะ..กลับไปเที่ยวนี้ขนเอาดินที่ผสมปุ๋ยตามสูตรสวนป่าไปด้วย 5-6 กระสอบปุ๋ย ไปรื้อปลูกใหม่ ผักอาจจะงามขึ้นมาก็ได้

ก่อนหน้านี่พี่แต๋วพี่ต้อยพี่ประกรณ์มาก็เฮฮาไปอีกแบบ ทุกทีมมีสไตล์การทำอาหารไม่เหมือนกัน คนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆก็คือชูชก เอ๊ย! ผมและโฉมยงนี่แหละ ได้ทั้งความรู้ความอร่อยๆ มี ค รู ม า ส อ น เ ชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ ถึ ง บ้ า น เ ธ อ เ อ๋ ย จ ะ มี ก า ร เ รี ย น วิ ธี ไ ห น ที่ วิ เ ศ ษ ไ ป ก ว่ า นี้ อี ก . . ตอนนี้ผักมีเยอะ ก็จะเก็บไปฝากคนรักคนดีที่ขาดแคลนผักปลอดสารพิษ รถพิ่นตนาข้างหลังกว้างขวาง ใส่ผักได้สัก6-7เข่งละมั๊ง

เราจะนัดกันมารับโบนัสความรักจากสวนป่ายังไงดีละครับ

ฝ่ายผู้เชิญจัดให้พักที่โรงแรมสยามซิตี้ รึสยามอะไรสักอย่าง จำผิดจำถูกที่อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไม่แน่หรอกบางทีผมก็จะนอนที่พหลโยธินเพรสเหมือนเดิมขอเคลียร์คิวก่อนนะครับ แล้วจะแจ้งด่วน พี่ต้อยอยู่ในระหว่างพักฟื้น อยากให้ชิมน้ำเต้าอ่อน ยอดน้ำเต้า ผักพวกนี้เป็นยา ดอกและยอดมะรุมก็ดีนะพี่ต้อยจะจัดไปฝากอีก จะได้รับประทานแล้วเย็นอกเย็นใจ อิ อิ..

วันนี้จะประดิษฐ์น้ำเต้า

คิดถึงนักศิลปะ ..ไม่มีใครว่างเลย

ก็คงประดิษฐ์แบบป่าๆตามสไตส์ป่านะครับ

สวยไม่สวยก็คอยดูเอาก็แล้วกัน

ฟ้าแจ้งแล้ว..ข อ อ นุ ญ า ต ไ ป ต้ ม ซุ ป ผั ก เ ลี้ ย ง พี่ จิ น ต น า ..

ขอบคุณทุกคอมเมนท์..


กว่าจะเป็นโมเดลบุรีรัมย์

อ่าน: 2323

พี่น้องครับ ผมต้องใช้เวลาปั้นดินทรายที่แห้งแล้งให้เป็นป่าผืนเล็กๆขึ้นมา ด้วยการใช้เวลาไปมากกว่าค่อนชีวิต ที่แทบไม่ได้ทำอย่างอื่นอย่างใดกับใครเขาเลย ก้มหน้าก้มตาสะเปะสะปะในพื้นที่ปลูกต้นไม้ ไ ม่ มี อ า ชี พ อื่ น แ ล ะ ก า ร ง า น อื่ น ด้ ว ย น ะ .. ผมเหนียมอายที่จะตอบว่ามีอาชีพอะไร? ครั้นจะตอบว่า..มีอาชีพปลูกสร้างสวนป่า ตามที่ระบุไว้ในโล่รางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาปลูกสร้างสวนป่า ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และรับเหรียญรางวัลของFA0. ก็ยังไม่กล้าที่จะพูดเต็มปากเต็มคำ..เพราะพูดไปก็ยากที่ใครจะทำความเข้าใจได้ แม้แต่สถาบันการเงินก็ยังไม่มีมาตรการเงินกู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง

ก า ร นำ พ า ค ร อ บ ค รั ว อ อ ก น อ ก ลู่ น อ ก ท า ง ก ร ะ แ ส สั ง ค ม

มั น เ จ็ บ ตั ว จ น ห นั ง กำ พ ร้ า ถ ล อ ก ป อ ก เ ปิ ก อ ย่ า ง นี้ แ ห ล ะ

ทำไงได้..ในเมื่อเรากำหนดเอง ก็ควรรับเละรับทุกอย่างเอง

มาวันนี้..วันที่สรุปบทเรียนฉากใกล้สุดท้าย ซึ่งไม่ง่ายเลยถ้าไม่มีคุณชายและลูกสาวขันอาสา มาระดมพลังทำงานแบบหัวชนฝา ที่มีเรื่องลุ้นระทึกทุกๆ3เวลาก่อนอาหาร เ มื่ อ คื น ค น ทำ ห นั ง สื อ ยั ง อ ด ห ลั บ ขั บ ต า น อ น เ ขี ย น สิ่ ง ที่ เ รี ย ก ว่ า ถ อ ด บ ท เ รี ย น แหม..นึกว่าจะเข็ดหลาบรึอ่อนเพลียจนแผ่สองสลึงหลับนอน ยังมารำพึงรำพันต่อเสียยืดยาว แล้วให้ผมคอมเมนท์ ..เอาละสิ..ค น ที่ จุ ก จิ ก ก ว น ใ จ คุ ณ เ ธ อ ทั้ ง ห ล า ย ใ น เ รื่ อ ง ค อ ม เ ม น ท์ . . คราวนี้ โ ด น ย้ อ น ศ ร ใ ห้ ค อ ม เ ม น ท์ เ สี ย เ อ ง . .

ผมอยากจะบอกว่า ..นี่ไงมหากาพย์แห่งการทำหนังสือ ฉบับที่ได้ประมวลผลคนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่เรียกว่ากองบรรณาธิการ ที่ต้องทำงานแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ยอมทุ่มเททุกอย่าง ทุกอย่างที่เหมารวมถึง-กำลังกาย-กำลังใจ-กำลังสติปัญญา มีเท่าไหร่โป๊ะลงหมดหน้าตัก..ท่ามกลางความบีบคั้นที่มาจากรอบทิศทาง

คณะทำงานโดนบีบ บีบ ๆๆ จนเหลือแต่หัวกะทิ ..

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ ได้รับทราบอะไรที่อยู่เบื้องหลังบ้าง เพื่อจะได้สัมผัสวิถีความดีของคนดีที่เรารู้จัก ว่าที่เขาทำอย่างนี้ได้เพื่ออะไรเพราะอะไร ..กว่าจะจับตัวอักษรออมาจากป่ามาร้อยเรียงได้นั้น ต้องชำระคราบไคลไปกี่ครั้ง แม้แต่ตอนท้ายๆที่จับอาบน้ำทาแป้งก่อนจะส่งขึ้นแท่นพิมพ์ ก็ยังดึงมาส่องกระจกจนเวียนหัว..

ผมอยากให้ “แม่หยิบ” และท่านที่อุปการคุณหนังสือเล่มนี้ได้รับรู้เรื่องหลังโรง ว่าที่ท่านช่วยกันอ่านสะดวกสบายนั้น คนที่ทำถูกกดดันจนอ้วกแตก! แต่เขาหายเหนื่อยจนปลิดทิ้งถ้าเห็นหนังสือโมเดลบุรีรัมย์ไปอยู่ในมือของท่าน ..เมื่อทุกอย่างเดินหน้าได้ทันครรลองของลิขิตฟ้า.. สามารถนำเสนอในงานที่โผล่ขึ้นมาแบบฟ้าผ่า!

เราจะไปเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ที่ตึกสันติไมตรีครับผม..

และที่สำคัญโดยบังเอิญหรืออย่างไรก็สุดอธิบายได้

การประชุม r2r ครั้งที่ 5 “วิถี R2R: เรียบง่าย คุณภาพ ครบวงจร

การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจำสู่งานวิจัย(R2R)ครั้งที่5
วิถีR2R:เรียบง่าย..คุณภาพ..ครบวงจร
10-12กรกฎาคม2555
ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่มเมืองทองธานี
จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขและภาคีเครือข่าย R2R

คือ…การร่วมวงสุนทรียสนทนากับปราชญ์แห่งชีวิตสองท่านคือ…

วันพุธที่ 11 กค. 2555 เวลา 10.30 - 12.00 น.

ห้องGrandDiamondBallroom:
ใครๆ ก็ทำ R2R กัน”

วิทยากร: ปราชญ์พ่อสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ อำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ (Sutthinun Pratchayapruet )
อาจารย์วิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรยนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์ (
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา)

ซึ่ง..ประเด็นแห่งสุนทรียสนทนานี้…นำไปสู่การเรียนรู้ในประเด็นที่ว่า…

1.อยากให้เล่าบริบทในงานของตัวเองก่อนว่าทำงานด้านไหน เมื่อเกิดปัญหาแล้วแก้ยังไง โดยใช้แนวคิดเชิงวิจัย (R2R) อย่างไร เช่น วิธีตั้งคำถาม การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

2.จากการทำงานนี้ เกิดการเรียนรู้ในชุมชน/องค์กรอย่างไร มีการนำความรู้นี้ไปใช้ในทางปฏิบัติอย่างไร มีการกระจายไปภาคอื่นๆ หรือไม่อย่างไร

**อยากให้เน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของบุคลากร/องค์กร และการสนับสนุนที่ให้นี้ ทำอย่างไรในเชิงโครงสร้าง จึงเกิดขึ้นมาได้

และสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังก็คือว่า…อยากให้ผู้เข้าร่วมฟังได้เกิดการเรียนรู้ในวิธีคิด และการเรียนรู้จากวิทยากรทั้งสองท่านค่ะว่า ตลอดชีวิตแห่งการงานนั้น มีสิ่งใดบ้างที่เกิดเป็นประเด็นแห่งการเรียนรู้เกิดขึ้น …

ใน เวทีนี้ … คิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่หลายๆ ท่านจะได้รับโอกาสที่ดีที่ร่วมฟัง เรื่องราว เรื่องเล่า…ผ่องถ่ายจากประสบการณ์ถือเป็นความงดงามแห่งชีวิตการงาน

ท่านคงเห็นโจทย์บนเวทีวันที่ 11 .. แล้วใช่ไหมครับ ผมไม่ทราบว่าประเด็นหลักๆมันมาจ๊ะกันได้ยังไง ถึงตอนผมโม้..ผมก็จะบอกว่าเรื่องมันยาว..ฟังที่เล่าบนเวทีมันเป็นแค่น้ำจิ้ม..ถ้าอยากได้มหานทีคุณพี่ต้องอ่าน ..”โมเดลบุรีรัมย์” จึงจะได้คำตอบครบถ้วนตามที่ผู้ดำเนินการสนทนาจุดประเด็น อนึ่งผมทราบว่าเครือญาติคนสวยชาวFB.หลายท่านจะไปพบปะกัน ขอลายเซ็นคุณชายและคณะบรรณาธิการ นับเป็นมหาโอกาสดีเหลือเกิน ที่เราจะได้ให้กำลังใจ

ค น ที่ เ สี ย ส ล ะ สุ ข ส่ ว น ตั ว มา เ พิ่ ม ค ว า ม สุ ข ใ ห้ ส่ ว น ร ว ม ..

ความเหนื่อยยากเดินทางมาถึงป้ายจอด เราสามารถเก็บความรู้สึกที่เรี่ยราดตามรายทางระหว่างทำงานให้ทันเวลา เพื่อจะมาบอกเล่าหมายเหตุแห่งชีวิตต่อหน้าผู้คนที่ลงทะเบียน 2,000 คน เรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยแม้แต่จุดเดียว การสรุปบทชีวิตของชาวป่าที่ผ่านมา30ปี ทีมีแต่น้ำลายกับกำปั้นเป็นปัจจัย ดิ้นรนทำงานบนฐานความไม่พร้อม พอถึงตอนถอดบทเรียน บ ท ที่ ว่ า นี้ มั น ติ ด เ ชื้ อ ค ว า ม ย า ก ลำ บ า ก ป ะ ป น ม า กั บ จ น ถึ ง อั ก ษ ร ตั ว สุ ด ท้ า ย

จ ง ภู มิ ใ จ เ ถ อ ะ คุ ณ ช า ย

ถอนลมหายใจ ร ะ บ า ย ค ว า ม ห นั ก ใ จ อ อ ก ไ ป ใ ห้ ห ม ด

เ ปิ ด รั บ ค ว า ม ห นั ก แ น่ น ใ ห้ ก ลั บ ม า อ ยู่ ใ น ตำ แ ห น่ ง เ ดิ ม

ค ว ร ห ลั บ พั ก ย า ว ๆ อ ย่ า ง อิ่ ม สุ ข

ขอบคุณมากมาย..จ น ไ ม่ รู้ จ ะ เ ขี ย น ว่ า ยั ง ไ ง

รวบรวมแรงไว้ไปเซ็นชื่อให้คนที่รักหนังสือเล่มนี้ก็แล้วกัน

อิ อิ ..


วัวพลาสติก

อ่าน: 4969

คนทั่วไปรู้จักบุรีรัมย์ว่าเป็นที่ตั้งของปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ต่อมาก็ฮือฮาเรื่อง เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป พระนารายณ์คืนมา แต่ที่สตึกบ้านผม..สมัยที่มีส่งเสริมการท่องเที่ยวทุกจังหวัด อำเภอสตึกมีลำแม่น้ำมูลไหลผ่าน จึงมีจารีตประเพณีพื้นถิ่นเกี่ยวกับท้องน้ำ ช่วงฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านที่อยู่ตามริมแม่น้ำก็จะจัดงานแข่งเรือยาว เปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ เจ้าอาวาสมักจะเป็นผู้สนับสนุนหลัก เช้าๆจะมีหนุ่มๆแบกพายมาลงเรือซ้อมเอาพละกำลัง แม่บ้านแม่เรือนสาวๆก็จะมาช่วยกันจัดเตรียมอาหารเลี้ยงดูกันที่วัด ถึงวันแข่งเรือยาวก็จะชวนกันไปเชียร์เรือบ้านตัวเอง

ไม่ได้แข่งเอาเป็นเอาตายเหมือนสมัยนี้

แพ้-ชนะ ก็ยังกอดคอสนุกเฮฮาเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่พึ่งพาอาศัยกันได้

ไม่มีการพนันมาเกี่ยวข้อง ผูกพันกันด้วยใจล้วนๆ

ต่อ มาคณะกรรมการจัดแข่งเรือยาวประเพณีจังหวัดบุรีรัมย์ ได้พัฒนาการขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับของชาว ..ปึ ด จ้ำ ปึ ด ทั่วประเทศ แต่ละปีจะมีเรือดังๆจากทุกภาคมาปะทะฝีพายเพื่อล่าถ้วยรางวัลพระราชทานฯ ประกอบกับที่สตึกมีการเลี้ยงช้างอยู่แล้ว คณะกรรมการจัดงานฯจึงจัดให้เอาช้างมาว่ายน้ำแข่งข้ามลำน้ำมูล บางปีน้ำเชี่ยวมาก ช้างจำนวน20เชือกเสโฮลงแม่น้ำ เพื่อว่ายข้ามาอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางประมาณ 120 เมตร บางปีมีช้างแม่ลูกอ่อนเข้าแข่งขันด้วย ลูกอ่อนต้วมเตี้ยมสูงเท่าเด็กๆอายุน่าจะไม่ถึงปี แม่ช้างและเจ้าตัวเล็กๆ ลอยตุบป่องๆห่างไปจากเส้นชัยไกลโข คนดูวิ๊ดว๊าย!!! หัวใจจะวาย..แม่ช้าง จ ะ ค อ ย เ อ า ลำ ตั ว ต้ า น ข ว า ง น้ำ ไ ว้ ใ ห้ ลู ก ของเธอ  ค่ อ ย ๆ ป ร ะ ค อ ง กั น ขึ้ น ฝั่ ง อ ย่ า ง อ่ อ น ร ะ โ ห ย

ผู้ชมเป็นลม..ร้องหายาดมกันจ้าละหวั่น

ผมทำหน้าที่พากษ์..แข่งช้างว่ายน้ำ

เผลอตะโกน..จนหลอดลำโพงขาดขาดกระจุย

โธ่ใครจะอดใจไหว..ความตื่นเต้นที่ต้องลุ้นระทึกทุกวินาที

วั น รุ่ ง ขึ้ น ห ล อ ด เ สี ย ง อั ก เ ส บ ..

เสียงแหบ..เหมือนเป็ดปักกิ่งถูกถอนขน  อิ อิ

สมัย หนุ่มๆผมจุ้นกับงานสังคมชาวบ้านแทบทุกเรื่อง ตอนป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี ครม.ได้ตั้งงบกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา 2,000 ล้านบาท แล้วให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด ใครมีโครงการอะไรดีๆก็เขียนมาขอรับการสนับสนุนได้ บางจังหวัดก็เขียนส่งเสริมปลูกมะม่วงหิมพานต์ในภาคอีสาน พอไม่ได้ผลชาวบ้านก็ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “มะม่วงอันธพาล” บุรีรัมย์บ้านผม ท่านพร อุดมพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์สมัย นั้น ให้คนมาเรียกผมไปพบที่ศาลากลางจังหวัด ท่านอยากให้ผมเสนอแผนเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจ บัญชาให้หัวหน้าสำนักงานจังหวัดฯ จัดห้องจัดเครื่องพิมพ์ดีดมาอำนวยความสะดวก ผมนะมีเรื่องอยากจะทำอยู่แล้ว นึกได้ว่าสมัยโน้นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ที่ป่าสงวน ที่รกร้างว่างเปล่าในหมู่บ้าน ที่ไร่ที่นาหลังการเก็บเกี่ยว มีความเหมาะสมที่จะเลี้ยงปศุสัตว์เป็นอย่างมาก ชาวบ้านทั่วไปก็นิยมเลี้ยงวัว ตื่นเช้าก็ต้อนวัวเป็นฝูงๆคอกเล็กคอกใหญ่เดินกันไปคับถนน ไ ล่ ต้ อ น ใ ห้ วั ว กิ น ใ บ ไ ม้ ใ บ ห ญ้ า  ไม่ต้องลงทุนอะไร..

ปัจจัยการผลิตมีเพียง..หนังสะติ๊ก รองเท้าฟองน้ำ วิทยุทรานซีสเตอร์ และข้าวห่อ

เรียกว่าวัวบ่ายหน้าไปไหนฉันไปด้วย..บ่ายๆก็ต้อนกลับบ้าน

วัวฝูงจึงเป็นอาชีพ เป็นงานประจำ เป็นกะปุกออมสิน เป็นวัฒนธรรมอีสาน

ยามขัดสนหน้ามืดขึ้นมา ก็ แ บ่ ง ข า ย วั ว ค ว า ย นี่ แ ห ล ะ ค ลี่ ค ล า ย ปั ญ ห า

บางครัวเรือน..ข า ย ค ว า ย   ส่ ง ค ว า ย ไ ป เ รี ย น ..

ผม เสนอแผนงานส่งเสริมการเลี้ยงวัวเพื่อปรับปรุงพันธุ์ผ่านจังหวัดฯไปยังสำนัก งบประมาณ ปรากฏว่าได้รับการอนุมัติ แต่ก็มีตัวจุ้นจ้านมาเบี่ยงแบนวัตถุประสงค์ แทนที่จะเอาวัวพันธุ์ดีหรือเอาพ่อพันธุ์ดีมาผสมพันธุ์ยกระดับคุณภาพของตัว วัวให้โตขึ้น มีนักการเมืองขาใหญ่แถวๆปราจีนบุรีมาอุบอิบเปลี่ยนแปลงโครงการของผม พี่แกจะเอางบประมาณนี้ไปสั่งวัวนมจากนอกเข้ามาเลี้ยงในเลี้ยงในเขตอิทธิพล ซื้อเสียงของตัวเอง หมายความว่า..จะสั่งแม่พันธุ์วัวนมมาให้ชาวบ้านเลี้ยง ได้ลูกวัวนมตัวผู้จึงจะเอามาให้เกษตรกรบุรีรัมย์เอาไปเลี้ยงขุน มันน่าถีบไหมละ ..

ตอนนั้น ..ส.ส.บุรีรัมย์ รุ่นเดอะเรียกผมไปพบ..

แกบอกว่า..เอ๊งก็ยอมๆหยวนๆมันไปเถอะไอ้นายเอ๊ย..

วัวก็ได้มาฟรีๆ..ไม่ต้องไปคิดมาก

แหม..ปู่คิดยังงี้ได้ไง..คนบุรีรัมย์ถูกตบหน้านะโว้ย!!

ว่าแล้ว..ก็ทำเรื่องโยนงบประมาณกลับ ไม่ทำไม่อะไรทั้งนั้น!

คงจะเป็นครั้งแรกมั๊ง..ที่งบประมาณถูกตีกลับอย่างไม่แยแส..

อย่า นึกว่าเรื่องจะจบง่ายๆนะครับ เมื่อนักการเมืองรู้ว่าชอบบ้านชอบเลี้ยงวัว ก็คิดจะหากินแบบได้ทั้งเงินทั้งกล่อง จึงเขียนโครงการส่งเสริมเลี้ยงวัวอีสานเขียวขึ้นมาใหม่ อยากจะเลี้ยงวัวเนื้อไม่เอาวัวนมใช่ไหม ไม่เป็นไรป๋าจัดให้..วางแผนไปสั่งวัวเนื้อพันธุ์สวยๆจากต่างประเทศมาให้ เลี้ยงกัน เอาให้ถูกใจ โดนใจ ไม่ให้ขายขี้หน้าอีก

ในแผนใหม่นี้ พี่แกไปสั่งเอาวัวเนื้อจากประเทศออสเตรเลียมาแจกจ่ายชาวบ้าน ตั้งเงื่อนไขให้ชาวบ้านที่สนใจยืมเอาวัวไปเลี้ยงครอบครัวละ5ตัว ภาพที่เอามาโชว์เป็นวัวพันธุ์บาห์มมันผิวขาวผ่อง ตัวโตยังกะตึก ใครเห็นมีรึจะอดใจไม่เลี้ยง เงินกู้ก็ต่ำผ่อนส่งเป็นลูกวัวก็ได้ ถ้าไม่เข้าโครงการนี้รอให้ตายก็ไม่มีปัญญาได้เลี้ยงวัวสวยๆหรอก มีเกษตรกรแทบทุกจังหวัดสมัครเข้าโครงการอย่างอึกทึก ใครลงทะเบียนไว้แล้วก็มานอนฝันหวาน

บังเอิญ ช่วงนั้นผมประสบอุบัติเหตุรถเทกระจาด เพื่อนที่ไปด้วยกันกลับบ้านเก่าเรียบ 3 ชีวิต เหลือรอดผมคนเดียว..ที่เหมือนมีนางฟ้ามาอุ้มกระแทกประตูรถไปวางไว้ที่ปลัก ควาย ก้นกบหัก ซึ่โครงพังไปแถบหนึ่ง กระดูกสันหลังเคลื่อน ก็แปลกนะเธอ.. ถ้ากระเด็นออกจากรถไปตกยังดินที่แข็งๆ คงกลับบ้านเก่าไปรอสตีปจ๊อบส์แล้ว

พรรคพวกหามไปส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว ไปถึงหมองัดคอเป่าปอด เอาเข็มเท่าหอกโมกขศักดิ์ แทงฉึก! เข้าหน้าอก..ไปดูดเลือดคั่งภายในออกมา เจียนอยู่เจียนตายยิ่งกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด คุณหมอค่อยๆแก้ไขสังขารให้ทีละเปลาะๆ เอาเรื่องระบบการหายใจก่อน แล้วตามด้วยระบบกระดูดกระเดี้ยว..นายแพทย์เพาะ พานิช ดูแลเรื่องกระดูกให้ ป่วยครานั้นเป็นการปวดสุดโหดที่ทรมานมาก ถ้าไม่มีพยาบาลสาวสวยๆคอยดูแลใกล้ชิด.. ผมคงจะไปไม่กลับหลับไม่ตื่นไปแล้ว

ขอขอบพระคุณ ท่านพรเทพ เตชะไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น ที่เป็นเจ้าภาพสั่งดูแลพิเศษ ท่านพรเทพ.. ไปนั่งเกาะอยู่ปลายเตียง คุณหมอคนไหนเดินผ่านมา ก็บอกว่า “ห้ามไม่ให้ไอ้หมอนี่ตายนะหมอ” แถมยังเมตตากรุณาควักค่าใช้จ่ายออกให้ทั้งหมด.. หลังจากรู้ตัวว่ารอดตายแน่ๆแล้ว. . นอนอยู่บนเตียงเป็นเดือนๆ นึกไปถึงคำอธิฐาน..ที่เคยมีคนชอบพูดกัน ข อ ใ ห้ สุ ข ส บ า ย นั่ ง กิ น น อ น กิ น . .

วันๆ..อ่านหนังสือ สมัยนั้นถ้ามีแฟนๆFB.อย่างในตอนนี้..คงจะไม่กระไรนัก

ในช่วงฟักฟื้นผมก็หาเรื่องเล่นสิครับ

ผมเปิดดูรายชื่อร้านอาหารดังๆในบางกอก

แล้วให้โฉมยงไปร้านขายเป็ดย่างบ้าง ร้านแพะตุ๋นที่เยาวราชบ้าง

ซื้อใส่กระติกมาชิมเรียกพละกำลังเอาแฮง ช่วงฝึกคลาน ฝึกเดินใหม่

แ พ ะ ตุ๋ น เ จ้ า นี้ ร ส ช า ติ เ ข า เ ยี่ ย ม จ ริ ง ๆ

โทรศัพท์..ไป ชมเจ้าของร้าน ..อาเฮียเป็นคนรับสาย..ส่งเสียงล้งเล้งไปถึงอาซ๊อ..บอกว่ามีคนชมมา โว้ย..เร็วๆ.. หลังจากนั้นผมก็คุยกับอาซ๊อนานสองนาน บอกว่าผมก็เลี้ยงแพะนะ แต่ปรุงอาหารไม่เป็นไม่เก่งเหมือนอาซ๊อ..แพะตุ๋นน้ำแดงที่ชิมต้องยกนิ้วโป้ แถมก้อยให้จริงๆ อ า ซ๊ อ น้ำ เ สี ย ง ร ะ รื่ น   คุยใหญ่เลย..ว่าที่ร้านนี้นะใครๆก็รู้จัก ถ้าจะกินแพะตุ๋นต้องมาที่นี่ เจ้าใหญ่นายโตมาสั่งไปเลี้ยงกันประจำ..

แต่ที่ร้านไม่ได้..ทำ เ อ ง น ะ มีเจ้าประจำ ม า ส่ ง วั น ล ะ 4 – 5 ห ม้ อ ใ ห ญ่

โธ่ๆๆๆ ซ๊ อ ห น อ ซ๊ อ ..นึกว่าเจ๋ง..

ระหว่าง ที่ผมนอนป่วยอยู่บนเตียงก็ติดตามข่าววัวออสเตรเลีย ผมนึกแปลกใจว่า..เงินที่ชาวบ้านกู้ไม่กี่แสนจะซื้อวัวแม่พันธุ์สวยๆจากนอก ได้อย่างไร และเงื่อนไขโครงการก็หวานจ๋อยผิดปกติ จึงเขียนบทความติงเรื่องนี้ใน ห นั ง สื อ นิ ต ย ส า ร เ กี่ ย ว กั บ ก า ร เ ลี้ ย ง ป ศุ สั ต ว์ ฉ บั บ ห นึ่ ง  ซึ่งชาววัวทั้งหลายก็คงได้อ่านกันแต่ไม่แยแส ผมตั้งข้อสังเกตไว้ล่วงหน้า อะไรที่นักการเมืองมาเกี่ยวข้อง ตอนต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็นบ๊องกัญชาทุกที ..

ไม่ มีชาววัวคนไหนเขาสนใจสิ่งที่ผมทักท้วงหรอก จนกระทั้งวันที่วัวเดินทางมาถึงศูนย์กักสัตว์ นัดหมายให้ชาวบ้านจัดรถไปรับวัวมาเลี้ยง วันนั้นชาวบ้านคึกคักทั้งแผ่นดิน รถบรรทุก อีตุ๊กอีแต๋น เจ้นออกจากหมู่บ้านมาเป็นสาย แต่พอมาเห็นตัววัว..ซึ่งมันต่างจากภาพในวีดีโอและภาพในความคำนึงราวกับฟ้า กับดิน เลือกก็ไม่ได้เสียด้วย อ่านชื่อถึงใครก็เอารถมาไปเทียบ  ต้อนวัวลงให้ครบจำนวน แล้วก็ให้รีบขับออกมา หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ทั้งวัน

แหม ตอนไปร่าเริงเหมือนจะบินได้ แต่ตอนบรรทุกวัวกลับบ้านเหงาหงอยเหมือนแมวป่วย วัวแต่ละตัวนอกจากไม่ถูกใจแล้วยังดิ้นรนมาก บางตัวถึงกับกระโจนลงรถวิ่งหายเข้าป่า ติดตามไล่ล่ากันจนขาขวิด หลายตัวต้องจับด้วยวิธีไข้โป้ง ขนกันขึ้นรถมาทั้งน้ำตา .. ส่วนตัวที่เหลือก็กระโดกกระเดก เอามาขังคอกไว้ เพื่อนๆคนไหนมาดูก็มีแต่บอกว่า..ไม่สมราคาคุย ..เจ้าตัวเองก็คุยไว้เยอะเสียด้วยสิพูดไม่ได้ไอไม่ดัง ไหนๆมาแล้วก็ทดลองเลี้ยงดู สั่งแม่ยายน้องเมียให้ช่วยๆหาหญ้ามาป้อนอย่าได้ขาด

แม่ยายบางคนเอาใจลูกเขย บอกว่ามันเป็นวัวเทศ..ต้องเลี้ยงดีหน่อย เอาหญ้าไปล้างน้ำก่อนป้อน

หลังจากพักฟื้นระยะหนึ่ง ปศุสัตว์ในเขตรับผิดชอบก็จะมาผสมเทียมให้

ผสมครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ติด..จนเอือมระอากันไปทั้ง2ฝ่าย

จนได้ฉายาว่า..วั ว พ ล า ส ติ ก ..เ พ ร า ะ มั น ผ ส ม ย า ก นี้ เ อ ง

แม้แต่ตัวที่ผสมติด..ค ล อ ด อ อ ก ม า ตั ว เ ท่ า ลู ก ห ม า . .

ผอมๆเหี่ยวๆแพ้กระทั้งวัวพื้นเมือง

ไอ้ ที่เคยกระดี๊กระด๊าก็ใจฝ่อลงไปเรื่อยๆ ชักถอดใจไปตามๆกัน คราวนี้จะทำยังไงดีละครับ คนโน้นปรึกษาคนนี้ ข้ามอำเภอข้ามจังหวัด ไปมาเล่าสารทุกข์แลกเปลี่ยนกัน มีคนหนึ่งโพล้งออกมา..”ไปหาอาจารย์สุทธินันท์ ดีกว่า” แก เคยเขียนท้วงติงเราไว้ หลังจากนั้นก็มีผู้นำหลายจังหวัดมาเยี่ยมผมที่เตียงโรงพยาบาลหัวเฉียว คำแรกที่ถาม..นึกว่าจะถามไถ่เรื่องอาการเจ็บป่วย แกถามว่า..”วัวของอาจารย์เป็นเหมือนของพวกผมไหม?” อ้าว! ที่ผมเขียนเตือนก็เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องดีจนเลิศจนผิดปกติ เมื่อมันผิดปกติผมจะเอามาเลี้ยงทำไมละครับ? ผมไม่เอาวัวพวกนี้มาเลี้ยงอยู่แล้ว หลังจากนั้นพรรคพวกก็หันหน้าไปบ่นกันเหมือนหมีกินผึ้ง ก็บอกแล้วไง..ไม่เชื่อกัน แล้วจะทำยังไงละ

อาจารย์ บอกสิว่า..พวกผมควรจะทำยังไง!!

โธ่ ! พ่อทูลกระหม่อมทั้งหลาย ..ผมก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้

ให้กลับไปปรึกษาหารือกันดู ไปหาเจ้าหน้าที่ ขอรับการแนะนำ

หลายคนพูดแทบจะนัดกัน..ผ๊ม ไ ป ม า ห ม ด แ ล้ ว ..

หลัง จากมาปรับทุกข์ให้ฟัง..นายฮ้อยอกหักทั้งหลายก็บ่ายหน้ากลับบ้าน หลังจากผมพักรักษากายาแข็งแรงขึ้นก็กลับสวนป่า เมื่อชาววัวจังหวัดโน้นจังหวัดนี้รู้ข่าวก็แวะเวียนมาปรึกษา..แหม..ทำยังกับ ผมมีอำนาจสั่งการอะไรได้ ผมก็บอกตรงๆว่า..ผมไม่มีน้ำยาอะไรหรอก..ให้ไปหาเจ้าหน้าที่ๆรับผิดชอบ แต่เรื่องก็ไม่จบ จนกระทั้งคืนหนึ่ง มีชาววัวพลาสติกชั้นผู้นำ 6-7จังหวัดบึ่งรถเข้ามาพบอย่างแข็งขัน พร้อมกับยื่นคำขาด..

อาจารย์ต้องช่วยพวกผม ..

ก็บอกแล้วไง..ผมไม่มีเพาเวอร์อะไร..

แต่เพื่อนร่วมโลกที่มาเยี่ยมก็ยืนกระต่ายขาเดียว

ถ้า อ า จ า ร ย์ ไ ม่ รั บ ป า ก ช่ ว ย . .  พ ว ก  ผ ม ไ ม่ ก ลั บ . .

โธ่ ..มาไกลๆกันทั้งนั้น..โคราช ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบล ฯลฯ

ผมรู้นะ..อาจารย์เคยเขียนโครงการทำนองนี้..ต้ อ ง ร่ ว ม รั บ ผิ ด ช อ บ สิ

เออ..เข้าใจหาช่องเจาะใจเราจนได้!!

จะให้ร่วมรับผิดชอบรึ..ข อ คิ ด ดู ก่ อ น น ะ

วัว ก็ไม่ได้เอามาเลี้ยงกับเขาสักตัว ผลประโยชน์อะไรก็ไม่ได้รับสักอีแปะ แต่ทุกข์ของเพื่อนร่วมแผ่นดินนี่สิจะทำยังไง คิด และ คิด จนสมองแฉะ ..เอายังงี้ดีกว่า ผมเผ่นเข้ากรุงเทพฯ ไปขอพบอาจารย์ประเวศ วะสี อาจารย์ระพี สาคริก ที่งานแสดงกิจกรรมอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว เล่าเรื่องให้ท่านฟัง ..เอาเรื่องหนักๆไปโยนให้ผู้ใหญ่ บาปแท้ๆ ..บางท่านแนะนำให้ไปหาทนายทองใบ ทองเปาว์ จัดการโทรศัพท์นัดให้เสร็จสรรพ ให้ไปหาหรือกันในแง่กฎหมาย ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นกฎหมู่มากกว่ากฎหมาย จึงไม่ได้ดำเนินการในแง่นี้หลังจากนั้นก็เผ่นไปขอพบอาจารย์เสน่ห์ จามริก ที่สถาบัน LDI. อาจารย์เมตตารับฟังเรื่องราวอย่างละเอียด พร้อมกับแนะนำว่า..เ อ า อ ย่ า ง นี้ ไ ห ม ? ค รู บ า ..LDI.จะเป็นเจ้าภาพนัดเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องทั้งหมดมาปรึกษาหาทางออกร่วมกัน

แหม..ถ้ามีแนวทางประนีประนอมกันได้ละเยี่ยมเลย

หลัง จากนั้นท่านอาจารย์ได้นัดหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพบปะกันที่ LDI. คุยกันถึงภาพรวมและข้อเท็จจริง ผมเดาเอาว่า..เจ้าหน้าที่ก็หนักใจ เพราะเบื้องหลังมีเงาของนักกินเมืองคำกำชับอยู่ตลอด ผู้น้อยจะไปหืออะไรได้ ใบสั่งให้ทำอะไรก็ต้องเดินตามนั้น โธ่ กรมปศุสัตว์เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จะตาย ทำไมจะไม่รู้ลึกตื้นหนาบางละครับ แต่..มันพูดบ่ได้  ใกล้จะจุกอกตายก็พูดความจริงไม่ได้ ..ผมก็ตัดสินใจแทนชาววัวไม่ได้ จึงนัดหมายกันอย่างนี้ดีไหม?.. ตอนนั้นท่านนิพนธ์ พร้อมพรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตกลงจัดงานวันนัดพบชาววัวพลาสติกที่โรงแรมสีมาธานี ให้ปศุสัตว์จังหวัดเชิญตัวแทนผู้นำแต่ละจังหวัดมาร่วมประชุมหาทางออกร่วมกัน จะได้รู้แล้วรู้แรดก็ไปเสียที พอถึงวันนัด..มีสมาชิกที่มีรายชื่อเป็นตัวแทนเข้าประชุม และที่มาเป็นกำลังใจเต็มถนนหน้าโรงแรม

แต่..ก็แปลกอีกนั่นแหละ..

มีการคัดกรองรายชื่อคนที่เข้าประชุมอย่างละเอียด

ใครไม่มีชื่อห้ามเข้าเด็ดขาด..

รวมทั้งผมด้วย..เจ้าหน้าที่ของรัฐฯอาจจะมองว่า เ ป็ น ตั ว แ ส บ . .

เมื่อไม่ให้ผมเข้าประชุม..มันก็ป่วนสิครับ..

จะขึ้นต้นลงท้ายยังไง ..ใ ค ร จ ะ เ ป็ น ตั ว แ ท น ช า ว วั ว ที่ รู้ เ รื่ อ ง . . ดี !..

ตัวแทนชาววัววิ่งโร่มาหา!.. พวกผมจะทำยังไงดี ทำไมมันทำอย่างนี้

ผมก็เพิ่งรู้ อ๊าว!..มีเรื่องอย่างนี้ด้วยรึ!

ไม่อยากหร๊อก..ไอ้ สู้ กั น ท า ง ค ว า ม คิ ด นี่ ถ นั ด นั ก

ผ  ม จ ะ ถี บ มั น ต ก เ ก้ า อี้ ใ ห้ ดู . . ไอ้พวกหาความจริงใจไม่ได้นี่..

ไปบอกมันว่า..ไ อ้ ห น้ า ไ ห น สั่ ง ไ ม่ ใ ห้ อ า จ า ร ย์ พ ว ก กู เ ข้ า ป ร ะ ชุ ม . .

กูจะยกโขยงกันกลับทันที..ป ล่ อ ย พ ว ก มึ ง คุ ย กั น เ อ ง เ อ อ เ อ ง ก็ แ ล้ ว กั น . .

โห! เรื่องนี้ยิ่งเขียนก็ยิ่งมันส์

มีอีกหลายสิบตอน  ขืนเขียนไม่บันยะบันยังลงไป

ที่รักก็จะอ่านตาแฉะนะสิ..

เ อ า ไ ว้ ติ ด ต า ม ต อ น ต่ อ ไ ป ดี ไ ห ม ? . . ค น ส ว ย


สะกดรอยสวนป่า

อ่าน: 2860

จะเขียนหนังสือสักเล่ม “โมเดลบุรีรัมย์”

มันไม่ง่ายเหมือนปลูกต้นไม้ เพราะเป็นงานที่ตนเองไม่ถนัด

แต่เมื่อจำเป็นต้องสรุปบทเรียนของชีวิต

ก็ต้องพยายามเขียน และเขียน

โชคดีเป็นบ้า ที่มีคุณชายอาสาดูสาระ/ดีดสิ่งที่เกะกะออกทิ้ง

คัดกรอง ตรวจสอบ ตรวจตรา มีคนอาสาอยู่เบื้องหลัง

ตาบอด..มีคนจูงก็อย่างนี้แหละ ..

ใครก็รู้พูดว่า คนไทยมีนิสัยไม่รักการอ่าน จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมเห็นบางคนชอบอ่าน ชอบเขียน แสดงว่า..เหมาโหลไม่ได้หรอก ผมมีความเชื่อว่าคนไทยจะอ่านมากขึ้น หวังว่า..จะชอบซื้อหนังสือด้วย จัตุปัจจัยที่ท่านกรุณาจับจ่ายซื้อหนังสือเล่มนี้ พึงทราบด้วยเถิดว่า..ท่านได้ช่วยให้กำลังใจคนป่าตัวเล็กๆที่ดิ้นรนสร้างป่าในฝันให้เป็นจริง เป็นจัง เป็นแล้ว โน่นๆ..ต้นไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ร่มไม้ เงาไม้ ทุกอย่างค่อยๆงอกเงยและงอกงามมาจนถึงกระทั้งวันนี้ วันที่จะปักธง..ปักใจ ไว้กับผืนแผ่นดินไทยตลอดไปๆ..

ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกกะโปโล เกิดและโตมาบนผืนดินผืนป่าแห่งนี้ มองไปไหนก็เห็นแต่ป่าไม้ ยังนึกแปลกใจว่าสมัยนั้นเราช่างห่างไกลปืนเที่ยง แทบไม่รู้จักคำว่าความเจริญเป็นยังไง แต่ชีวิตแช่มชื่นนะเธอ คนเรานี่นะ..เมื่อไม่รู้เห็นอะไรก็ไม่มีกิเลศอะไรมายั่วยุ เราก็อยู่ได้อย่างธรรมดาธรรมชาติทั้งวัน มีเรื่องให้เล่นสนุกจนลืมทุกข์ลืมหิว ชีวิตมันไหวพลิ้วเหมือนยอดกิ่งไม้โดนแรงลมโยกไกว เหมือนนกป่าส่งเสียง.. จะหัวเราะ..ร้องเพลง..รึร้องไห้ก็ไม่รู้ เหมือนสายหมอกๆจางมาแอบพบหยดน้ำค้างใสกระจ่างที่ยอดหญ้า เหมือนแววตาของเหยี่ยวที่เริงร่าถลาลมอยู่บนท้องฟ้ากว้าง..เหมือนดอกไม้ป่าที่โชยกลิ่นหอมละมุนลอยมาจากทิศไหนก็ไม่รู้ เหมือนความวับแวมของนกกะปูดที่ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง เหมือนสัญญาณเสียงโป๊กๆของนกหัวขวานชักชวนให้ง่วงนอนยามบ่าย เหมือนไข่หมกขี้เถ้าที่ยายเขี่ยออกมาป้อนหลาน..เหมือนและเหมือน ..โลกใบนี้งดงามและงอกงามทั้งปีทั้งชาติ

สวนป่าในอดีตแทบไม่มีฤดูกาล เช้า-สาย-บ่าย-คล้อยทุกอย่างไม่เคลื่อนไหวแตกต่างกันมากนัก เช้ามีสายหมอก บ่ายมีลมเย็น ค่ำคืนมีน้ำค้างมาทำหน้าที่ดูแลบรรยากาศให้ร่มรื่น เสียงฟ้าร้องครืนๆ เมฆลอยต่ำ จากนั้นไม่นานเทวดาก็ปล่อยเม็ดฝนให้ทำไร่ทำสวน นอนดูหยาดน้ำรวมตัวกันไหลลงผ่านชายคาสู่โอ่งใบใหญ่ ถึงจะสีออกชาๆแต่ก็สะอาดทีเดียวแหละ อึ่งอ่างคางคกออกมาเริงร่าสายฝน ขณะที่ไส้เดือนอุ้มลูกจูงหลานอพยพขึ้นสู่ที่สูง ต้นไม้ใช้ใบและรากซึมซับน้ำเก็บไว้ในลำต้น

ทุกสิ่งจัดไว้เป็นระบบที่สมบูรณ์ยิ่ง

ไม่มีของเสีย ของตกค้าง และไม่รู้จักมลภาวะ

ป่าเล็กๆแห่งนี้ปลอดภัย ปกติสุข เกาะเกี่ยวกันไว้อย่างอื้ออาทร

ไม้เล็กอาศัยไม้ใหญ่ อยู่ด้วยกันพึ่งพากันอย่างญาติ

ลูกสุกของผลไม้ป่าเป็นอาหารของนกและสัตว์เคี้ยวเอื้องนานาชนิด

โชคดียิ่งกว่าเด็กสมัยนี้ที่มีร้านเซเว่นอยู่ทุกหัวมุมถนน

ไม่มีความแร้นแค้น ความหิวโซ ความสับสนอลหม่านใดๆ

ป่าจริงๆ คือถิ่นพำนักของความปกติสุข ความสงบ ความร่มเย็น ความพอดีและความเพียงพอ

ไม่มาก ไม่น้อย พอดีๆ ด้วยกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ

สิ่งที่นอกเหนือจากความสมดุลจะปรับตัวจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน

ก็ลองนึกดูเถิดเธอ ..เจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งได้ซึมซับสภาพสวรรค์บนดิน สวรรค์ที่ไม่ต้องฝันไม่ต้องเรียกหา ทุกสิ่งทุกอย่างมีพร้อมสรรพเต็มตาเต็มใจ ถามว่าเด็กบ้านป่าเหงาไหม? โธ่..วิ่งเล่นทั้งวันและได้เพื่อนเล่นมากมาย..ยามลูกยางหล่นไล่เรียงตามแรงลม หมุนติ้วละลิ่วลงมาจากยอดยางสูง มีฝูงนกแขกเต้าบินโฉบตามเจี๊ยวจ๊าว ..ทิ้งตัวลงนอนกับผืนพรมหญ้า ดูการลีลายิมนาสติกที่แสดงโดยฝูงนกกับลูกยางพลิ้วไสว ดูฟรีด้วยนะเธอ หลายครั้งที่เผลองีบอย่างอิ่มเอม

นี่คือความปรกติสุขที่เคยได้รับเมื่อครั้งกระโน้น

ตั้งแต่กระนั้นมาจนกระทั้งบัดนี้ ชีวิตของมานพน้อยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบกระชากลากถู ภายในเวลาไม่นานปีเท่าใดนัก สวรรค์ก็หายไปในพริบตา มีภาพนรกบนดินโผล่ขึ้นมาแทน มีอสูรกายในรูปร่างต่างๆพากันมาเรื้อทึ้งสวรรค์อย่างเอาเป็นเอาตาย

โอ้โห นี่ป่าไม้ต้นโตๆทั้งนั้น สภาพเนื้อดินอุดมสมบูรณ์แสนโอชะของพืชไร่พืชผล แต่เกษตรกรไม่ดูตาม้าตาเรือว่าธรรมชาติสะสมไว้เลี้ยงตัวเอง พวกตาบอดสีมองเห็นว่า..ของดีๆฟรีๆที่เห็นอยู่โทนโท่นี้จะเก็บไว้ป่าทำไม? พากันมาจับจองหักร้างถางพงเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกไม่ดีกว่าหรือ? เมื่อมีเหตุและผลกำกับเช่นนี้ การโค่นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบขึ้นเรียงรายเหมือนนิ้วมือ ถูกตัดเผาเรื้อความรกร้างมาเป็นผืนดินเปล่าเปลือย

· เพื่อจะปลูกพืชต้นเล็กๆกะจ้อยร่อยแทนต้นไม้ใหญ่

· เพื่อจะปลูกพืชล้มลุก ให้ตัวเองล้มลุกคลุกคลานในภายหลัง

· เพื่อจะเปลี่ยนความยั่งยืนไปสู่ความยับเยินและยุ่งเหยิง

· เพื่อจะแสดงความรู้ความสามารถทางวิชาการ/เทคโนโลยีอวดแมลงเม่า

แทนที่จะเปลี่ยนของดีให้เป็นสิ่งดีๆยิ่งขึ้น ผลกลับตรงกันข้าม การทำมาหากินที่ผิดตัวผิดฝา..ปีนเกลียวกับธรรมชาติ ผลลัพธ์ช่างน่าสมเพชนัก

· มีเกษตรกรสักกี่คนที่กินอิ่มนอนอุ่น

· มีเกษตรกรสักกี่คนเข้าใจในวิถีชีวิตกับธรรมชาติ

· มีระบบเกษตรกรรมประเภทไหนที่ไม่สร้างความเสื่อมโทรมบ้าง

· มีวิชาความรู้อะไรที่ถ่ายทอดให้เห็นว่า คนเราอยู่ที่ไหนต้องทำให้พื้นที่ตรงนั้นดีขึ้น

· มีพื้นที่ตรงไหนละที่อุดมสมบูรณ์ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์

เมื่อไม่มีไม่ความหลากหลาย ผลผลิตมันก็ค่อยๆลดน้อยลงๆ จากหัวมันสำปะหลังโตเท่าโคนขา ก็ลดลงมาเท่าแขนเด็กเป็นโรคตานขโมย ทุกอย่างมีแต่ลดๆๆ คราวนี้ก็เป็นเสือติดจั่นสิครับ หันรีหันขวางมองหาประตูออกแทบไม่เจอ ได้ยินเสียง..โฆษณาชวนเชื่อ..เรื่องการเพิ่มผลผลิต อยากรวยมาก อยากได้มาก ก็บุกรุกขยายพื้นที่ให้มากขึ้น ทุ่มเทปัจจัยการผลิตกระหน่ำลงไป ห้ามพักยกด้วยนะ ถ้าไม่เดินหน้าตามเขาบอก ผลผลิตเกิดให้เห็นทันตา บ่งบอกว่ามันจะขาดทุนแน่ๆ เกรงว่าทุนหายกำไรหด แถมยังถูกผลักไสให้รุนไปข้างหน้าอย่างไม่ยั้งคิด ปุ๋ยรึไปเป็นหนี้มา ยารึไปซื้อมาฉีดฆ่าๆแมลงที่นับวันจะหัวแข็ง แม้แต่ควายไถนาอยู่ดีๆก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด พากันขายควายทิ้งไปดาวน์ควายเหล็กมาใช้ ตกน้ำเมื่อไหร่ก็วิ่งตาตั้งไปหาร้านซ่อม ออกลูกก็ไม่ได้ ขี้ก็ไม่ได้ปุ๋ย แก่หง่อมไปเรื่อยๆจนเป็นเศษเหล็ก ลองพิจารณาหาจุดความเจริญดูสิ อยู่ที่ไหน ทำไมมันมีแต่เศษๆๆ สมบัติพัสถานแม้แต่ชีวิตก็กำลังเป็น-กะ-เศษ-ตระกร-อยู่รำมะร่อ

เออ วิถีเกษตรกรไทยมันหายไปไหนนะ

มันไม่ทันสมัยไม่ทันกินจริงหรือ

มันเสียหายจนเอามาปัดฝุ่นขึ้นมาใหม่ไม่ได้หรือ

รึ ว่ามันหมดน้ำยาจนไม่น่าสนใจไปเหลียวแล

เอาละไม่ว่ากัน..ถ้าวิถีไท-ปัญญาไทยมันตกต่ำถึงเพียงนั้น

ไหนลองบอกสิว่า..จะไปทำการเกษตรแบบไหนที่มันดีกว่าของดั่งเดิม

บอกได้ไหมพ่อมหาจำเริญ..ว่ า ข ณ ะ นี้ อ ยู่ กั บ ค ว า ม รู้ อ ะ ไ ร ?

มีความรู้เพียงพอที่ตนเองจะดูแลชีวิตและครอบครัวได้จริงหรือ

ที่แสดงบทเกษตรกรพันธุ์ทางมาตลอด..ได้คำตอบว่าอย่างไร?

ร่ำ ร ว ย ผิ ด ป ก ติ ห รื อ ย า ก จ น ผิ ด ป ก ติ กั น แ น่

เงินกองทุนต่างๆที่เขาหยิบยื่นให้ มีมูลค่ามากกว่าป่าไม้ที่ไปโค่นทิ้งจริงหรือ?

เรื่องวิถีการเกษตรตกอ่างกะปินี่ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นโจทย์เป็นจำเลย แยกแยะไม่ออกจริง ภายในเวลา50ปีที่เราทิ้งความเป็นไทย ทิ้งทักษะชีวิตที่บรรพบุรุษสะสมไว้ให้ ทิ้งๆๆ จนไม่เหลืออะไร ถามว่าจะเดินหน้าต่อไปได้จริงหรือ ถ้าไปไม่ได้เกียร์­ถอยมีหรือเปล่า แม่แรงสำหรับยกชะตากรรมมีไว้แล้วรึยัง ได้ศึกษาลู่ทางที่จะผลิกกลับมาสู่ความเป็นไทบ้างแล้วหรือยัง

คงเคยได้ยินคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” จนเหม็นเบื่อแล้วใช่ไหม ?

เข้าใจว่าอย่างไร ไหนลองเล่าให้ฟังทีสิ

ไปสมคบคิดเรียนกันที่ไหนๆ จึงพากันถอดแบบทำ “เศษ-ฐ-กิจ-ไม่พอเพียง”

ชะลอหลังยาวเอ๋ย..มีโอกาสที่จะหันกลับมาเข้าลู่แห่งความดีงามอยู่แล้ว

ทำไมพากันเล่นตลกนักเล่า

หรือจะเปลี่ยนอาชีพไปเล่นจำอวดหน้าม่านแทนการทำไร่ทำนา

มีการเกษตรที่ไหนบ้างที่ทำแล้วบริเวณทำมาหากินมีสภาพแวดล้อมดีขึ้นเจริญขึ้น ความหลากหลายพลิกฟื้นกลับตามลำดับ น้ำหมอกน้ำค้างกลับคืนมา สายลมแสงแดดฟ้าฝนพร่างพรมตามระบบนิเวศเป็นปกติ นกหนูแมลงกับมาอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันได้ ต้นหญ้าต้นไม้มีสิทธิในการหยั่งรากหยั่งต้นขึ้นมาได้ สิ่งที่ล้างผลาญเพื่อนร่วมโลกได้รับการเหยี่ยวยา

จะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้

เกษตรกรต้องเป็นคนที่ยอมรับว่าเราเพียงแค่มาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ช่วงสั้นๆเท่านั้น

ไม่ใช่มายึดครอง มาสะสมความชั่วร้าย มาสร้างภัยพิบัติไม่ยี่ร่าใดๆ

ควรตระหนักว่า..เพื่อนร่วมโลกทุกชีวิตเกิดมาย่อมมีสิทธิเสมอภาพเท่าเทียมกัน

จะเบียดเบียนใครก็บอกว่า..จะทำความเข้าใจ จะรับผิดชอบอย่างไร?

ละ ลด เลิก เป็นฆาตกรหมู่ล้างผลาญชีวิตเพื่อนร่วมยุคสมัยได้ไหมละ

จากโจทย์ที่รำพึงรำพันสะทกสะท้อนจนสะท้านข้างต้น ไม่ได้นึกสนุกมาเขียนขับลำนำเล่นๆหรอกนะเธอ อยากจะบอกว่า เมื่อเห็นกองทุกข์นั้นแล้ว ผมพยายามคลี่คลายทุกข์สถานะเกษตรกรพันธุ์แท้ของตนเอง จะต้องตอบโจทย์..โยนหินถามทางให้กระจ่าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะดีแต่เป็นไอ้ขี้โม้คนหนึ่ง

ถามว่า..ผมเจ๋งนักรึ

ที่จะมาเสนอทฤษฎีการทำมาหากินวิถีไทที่ใส่ใจและพยายามทำความเข้าใจกับธรรมชาติ

เธอว่าเป็นไปได้ไหม ที่มนุษย์จะทำมาหากินทางด้านการเกษตร ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด พลิกฟื้นความแห้งแล้งดินเลว ให้กลับมาเป็นพื้นที่แห่งความชุ่มชื่นร่มเย็นอีกครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งที่ทำกำลังเป็นตัวบวกตัวคูณของกันและกัน

เปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยว ม า เ ป็ น เ ก ษ ต ร แ ก ง โ ฮ ะ !

เปลี่ยนจากการเกษตรล้างผลาญ ม า เ ป็ น ก า ร เ ก ษ ต ร ที่ เ อื้ อ อ า ท ร

เปลี่ยนจากความมืดบอดทางปัญญา ม า เ ป็ น ผู้ เ รี ย น ที่ พ ร้ อ ม เ ปิ ด ต า เ ปิ ด ใ จ

เปลี่ยนจากการเกษตรแบบถูกมัดมือชก ม า เ ป็ น เ ก ษ ต ร ก ร ที่ มี ลำ หั ก ลำ โ ค่ น

เปลี่ยนจากการเกษตรเชิงรับ ม า เ ป็ น ก า ร รุ ก คื บ ที่ จ ะ เ อ า ธ ร ร ม ช า ติ ก ลั บ คื น ม า

โมเดลบุรีรัมย์ ..ผมทำอย่างนี้ครับ

ผมเอาภาพสวนป่าในอดีตมาตั้ง แล้วค่อยๆใส่ความหลากหลายที่อุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ด้วยการปลูกหน่ออ่อนของความหลากหลายให้แพร่ไปทั่วสวน หลังจากนั้นไม้ยืนต้นนานาชนิดก็เปลี่ยนหน้าตาที่ดินที่เสื่อมโทรม ให้พลิกฟื้นมาเป็นพื้นที่ๆธรรมชาติสามารถหยั่งรากลงไปได้ พลังของธรรมชาตินั้นน่าพิศวงนัก เพียงเวลาผ่านไปไม่ถึง10ปี ผมก็แน่ใจว่าอีสานบ้านเราสามารถเรียกธรรมชาติให้กลับมาเป็นทุนทางธรรมชาติได้ ทำอย่างที่ผมปลูกป่านี่แหละ สามารถตอบโจทย์ความยั่งยืน ความเพียงพอ ความเป็นเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง การที่มีต้นไม้เต็มสวน..ก็เหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์

ถ้าใจเธอนิ่งพอ ที่จะให้ความรักและความรู้วิ่งออกข้างหน้าเรื่องการแสวงหาเงินทอง เธอจะค่อยๆเข้าใจสิ่งที่งอกเงยขึ้นในการครุ่นคิดคำนึง แล้วแปรมาเป็นแผนที่การลงมือเพาะปลูกความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้งอกงาม ดุจเช่นระบบของธรรมชาติ ทำความเข้าใจแล้วพัฒนาเป็นความตั้งใจ ผลลัพธ์สิ่งที่ได้รับจะครบเครื่องเรื่องของหน้าที่ชีวิต

คนเรานี่นะครับถ้าช่วยกันทำหน้าที่มนุษย์ 3ด้าน คือ

1 ทำหน้าที่การงานของตนเองให้ดี ทำให้เต็มความสามรถ

2 ทำหน้าที่ดูแลสังคม เลิกลอยเพสังคม

3 ทำหน้าที่ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ เป็นเจ้าภาพร่วมกันในระดับครัวเรือน ชุมชน หมู่บ้าน ฯลฯ

ถ้าคนไทยทำหน้าที่ของตนเองให้ครบถ้วนทั้ง3ข้อนี้แล้ว เราก็จะได้คำตอบกลับมาว่า ประเทศไทยควรจะพัฒนาหลุดออกจากความสับสนอลหม่านในสังคมได้อย่างไร โดยการชูประเด็นบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน ที่มีธงอยู่ในหัวใจ แล้วช่วยกันยกธงนั้นขึ้นชูยังบ้าน ชุมชน ของตนเอง

ผมทึกทักเอาเองว่า ขณะนี้เรากำลังปวดหัวกับความเป็นไปในแผนภูมิของประเทศชาติ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ยืนอยู่ในมุมของตัวเอง แล้วพยายามใช้กลอุบายต่างๆ ทั้งรุกและรับเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆเข้ามารวมศูนย์ของตัวเอง เพื่อรวบยอดให้มีอำนาจแข็งแกร่งพอที่จะบันดาลอะไรๆให้ได้ดั่งใจตนเอง ถามว่า ทำอย่างนี้ผิดไหม ไม่ผิดหรอกนะครับ ถ้ามีอำนาจวาสนาแล้ว ชี้ชวนคนไทยทุกหมู่เหล่าให้ช่วยกันทะนุบำรุงประเทศตาม3ข้อที่กล่าวข้างบน ก็จะเป็นการใช้พลังทางสังคมให้ถูกทิศถูกทาง

เธอก็ลองนึกดูสิว่า ถ้าทุกถิ่นฐานของเรามีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติฟื้นคืนมา พลังของธรรมชาติก็จะสะท้อนกลไกของธรรมชาติออกมา กลไกของธรรมชาตินั้นสามารถเหยี่ยวยาตัวมันเองได้ จากที่เคยบุกรุกป่า มนุษย์ก็ค่อยๆถอยร่นออกมา ในขณะที่ถอยก็ซ่อมแซมความสึกหรอให้ธรรมชาติด้วย จัดสรรแบ่งโซนเสียให้เรียนร้อย จุดไหนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จุดไหนเป็นที่ตั้งอุตสาหกรรม จุดไหนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้สมบูรณ์กระชับๆอย่างเป็นระบบ หมายความว่า จัดคนให้เข้าอยู่ในกรอบให้เป็นที่เป็นทาง เลิกสะเปะสะปะทำมือยาวสาวได้สาวเอา ต้องแสดงให้เห็นพลังของประชาธิปไตย จากการเรียนรู้เรื่องสิทธิหน้าที่พลเมืองไทย ผ่านแผนภูมิของการทำหน้าที่ของคนไทย ที่แตกแถวนอกลู่นอกรอยก็ค่อยๆตะล่อมกันเข้ามา ขอให้ตระหนักว่า ..ธรรมชาติคือแหล่งผลิตธรรมมะ เนื้อในแท้ที่เป็นแก่นสารของธรรมชาติก็คือธรรมะนั่นเอง ติดตามดูร่องรอยการเกิดอารยะธรรมและศาสนาต่างๆดูเถิด ทุกแนวคิดล้วนให้ความสำคัญของธรรมชาติ โลกใบนี้เป็นของมวลมนุษยชาติอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนควรเป็นเจ้าภาพร่วมของโลกใบนี้ ทำให้เกิดกระแสวัฒนธรรมประเพณีของชาติ ที่เข้าใจให้ตรงกันว่า..เราเกิดมาใช้ชีวิตมาพักพิงอยู่อาศัยชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากโลกนี้ไปกันทุกคน ซึ่งต่างก็รู้ๆเห็นๆกันอยู่แล้วนี่..ไม่มีใครเอาอะไรจากโลกนี้ไปได้แม้แต่ปีกริ้น แล้วเรายังจะสั่งสอนวิชากอบโกยกันอย่างอึงคะนึงไปทำไมเล่า เกิดมาเสียโอกาสทำดีทดแทนบุญคุณแก่โลก สูญเปล่าความที่น่าจะเป็นของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ทำไม่ไม่เกิดมาเรียนให้รู้ว่าจะดำรงชีพให้มีความสงบอย่างแท้จริงได้อย่างไร เรียนวิชาค้นหาตัวเองให้เจอ เรียนวิชาสัมพันธภาพชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

เ ลิ ก เ รี ย น ท า ง โ ล ภ หั น ม า เ รี ย น ท า ง ทำ

คนยุคนี้มีความรู้ครึ่งเดียว

ยกตัวอย่างซื้อรถมาขับ พอรถเสียไม่มีความรู้พอที่จะซ่อมเอง

เราอ่อนแอจนสระผมตัวเองไม่ได้

หน้าตาตัวเองก็ต้องไปให้ร้านแต่งตัวให้ ..

เรื่องภายในของตนเองแท้ๆก็ต้องพึ่งพาภายนอกมากขึ้นๆ

ระบบการเกษตรที่อิงธรรมชาติและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

เสนอวิธีทำมาหากินที่ไม่ทำลายต้นทุนธรรมชาติ

ถ้าเราเบิ่งตาแลพื้นที่ทำการเกษตรของประเทศ

เราก็จะได้พบเห็นพื้นที่เตียนโล่งยาวสุดลูกหูลูกตา

เห็นภูเขากระดำกระด่าง

เห็นพื้นที่แห้งแล้งดินเลว

เห็นพื้นที่เสื่อมโทรม

เห็นระบบการเกษตรที่ผิดตัวผิดฝาอยู่ทั่วไป

ทุกกรณีที่กระทำกันล้วนเป็นเรื่องคาบลูกคาบดอกทั้งสิ้น

· ทำมาหากินกันวิธีไหนครับ ถึงต้องลงทุนเรื่องปัจจัยการผลิตมากขึ้นๆทุกปี

· ทำมาหากินอย่างไรครับ ต้องซื้อปุ๋ยซื้อยาฆ่าแมลงอยู่ในอันดับต้นๆของโลก

· ทำมาหากินอย่างไรครับ ถึงเกิดความเสี่ยงความไม่แน่นอนตลอดมา

· ทำมาหากินอย่างไรครับ ถึงบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่พออยู่พอกิน

· ทำมาหากินอย่างไรครับ ลูกหลานมันถึงไม่เห็นดีเห็นงามยอมรับงานต่อจากบรรพบุษ

· สอนกันมาอย่างไรครับ วิชาทางด้านการเกษตรจึงตกอยู่ในอันดับบ๊วยของการเลือกศึกษาต่อ

· พัฒนาทางด้านการเกษตรอย่างไรครับ ปัญหามันจึงเป็นวัวพันหลัก

· มีความรู้แค่ไหนครับ ที่จะมาสะสาง/ฟื้นฟูระบบการเกษตรให้ยั่งยืนคืนสภาพเป็นปกติ

พี่น้องครับ เมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรรมโดยพื้นฐาน ถ้าคนไทยตระหนักและเข้าใจถึงศักยภาพประเทศของตนเอง ผืนแผ่นดินไทยไม่แค่เป็นเป็นครัวโลก แต่จะเป็นแผ่นดินธรรมเป็นดินทองที่เป็นตัวอย่างของโลกได้ แต่ก็นั่นแหละ ..วาสนาของประเทศไทย ทำไมคนที่อยู่อาศัยจึงตาบอดใสใจบอดสีก็ไม่ทราบได้ แทนที่จะตระหนักในคุณค่าของจารีตประเพณีและวัฒนาธรรมไทย ที่สะสมความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรมายาวนาน คนยุคใหม่กลับไม่แยแส ทิ้งมรดกที่เป็นหัวใจหลักของชาติ ไปไขว้คว้าอะไรมาทำก็ไม่รู้

ตลอดเวลา30ปีที่ผมเฝ้ามองดูพี่น้องทำมาหากินโดยการเพาะปลูกทำไร่ทำนา เห็นแต่ปัญหาที่สะสมมากขึ้นๆทุกปี พื้นที่ทำกินก็เสื่อมโทรม ปลูกอะไรก็ไม่งาม เกษตรกรต้องเสี่ยงสารพัดอย่าง โรคแมลงรุกราน ปุ๋ยราคาแพง พืชผลราคาตก ถ้าเป็นนักมวยก็คงต่อยไม่ครบยก โบกมือลา ทิ้งคำว่าเกษตรกร ไปเป็นกรรมกร สอนลูกสอนหลาน มึ ง อ ย่ า ม า ทำ ก า ร เ ก ษ ต ร น ะ.. ไปเรียนไปพ้นๆอย่าหวนกลับมาอีก อย่ามาลำบากตกทุกข์ได้ยากเหมือนที่พ่อแม่โดนอยู่นี้ ทำงานกลางแดดกลางลม เ ห นื่ อ ย ส า ย ตั ว แ ท บ ข า ด สิ่งที่ได้รับกลับเป็นหนี้ก้อนโต

ที่มันเกิดวิกฤติในสังคมบ้าๆบอๆ

ความรู้สึกส่วนลึกไม่ได้ศรัทธาไอ้หมาน้อยตัวไหนหรอก

แต่อัดอั้นตันใจ..ที่ถูกเอาเปรียบถูกระทำสารพัดอย่างจากพวกหน้าไหว้หลังหลอก

พวกที่ทำมาหากินบนหลังของชาวไร่ชาวนา

พวกที่กินเล็กกินน้อยในงานส่งเสริมเกษตรกร

และพวกหาเงินทอนคืนจากทุกโครงการของรัฐบาล

ความทุกขเวทนาที่สะสมมานาน

เมื่อมีกระแสรวมตัวกันให้เกิดพลังรากหญ้าขึ้นมา

ขนวนการมันจึงกระเหี้ยนกระหือจนคนนอกยากจะเข้าใจ

พอจะเข้าใจบ้างไหม? ที่พูดมานี้

มันถึงเวลาแล้วที่ชาวไร่ชาวนาหมดความอดทน

ต้องการความชอบธรรมที่คุ้มค่ากับหยาดเหงื่อแรงงานที่ทุ่มลงไป

ไม่ใช้ทำงานแทบเป็นแทบตาย ยังมาถูกโขกสับเรื่องราคาและเงื่อนไขเถื่อนอิงระบบ

การแก้ไข ..ลูบหน้าปะจมูกไปวันๆ เลี้ยงไข้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องเงินกองทุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินห่าเหวอะไรอีกมากมาย แต่หัวใจทั้งหมด มันอยู่ที่เกษตรกรความรู้ไม่พอใช้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบการเกษตรเอาเปรียบจนผู้ผลิตหมดตัว ความรู้ด้านทำมาหากินที่ปลอดภัย กินอิ่มนอนอุ่น มีชีวิตที่เรียบง่าย ปลอดอบาย ไม่ขายผ้าเอาหน้ารอดอยู่ที่ไหน? อยู่กับใคร? ทุกวันนี้ส่งเสริมให้ทำอะไรเลี้ยงชีพ นโยบายที่หวังผลได้มีไหม? ฮ่วย!

อาชีพหดหายไปทีละอย่างสองอย่าง เพราะสภาพแวดล้อมมันติดลบจนไม่คุ้มกับค่าเสี่ยงลงทุน ชีวิตเกษตรกรนั้นแขวนอยู่ด้วยเส้นด้าย หนี้สินสะสมไว้ก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปีไหนเกิดภัยพิบัติก็เท่ากับซ้ำเติมเคราะห์กรรมกระหน่ำจนหงายเก๋ง ทยอยหมดเนื้อหมดตัวไปตามๆกัน

ทุกวันนี้หาคนรุ่นใหม่มาทำไร่ทำนาน้อยลงทุกที

แม้แต่แรงงานในภาคการเกษตรก็หลบเข้าโรงงานหมด

ที่ตื้อเลี้ยงหมูเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ก็ต้องไปสู้ราคากับขาใหญ่ที่ครองระบบการผลิตการตลาด

ระบบอุตสาหกรรมการเกษตรกำลังกลืนกินเกษตรกรรายย่อยใกล้จะสูญพันธุ์

คำว่าเกษตรกรต่อไปนี้ จะมีนิยามใหม่หมายถึงใคร?

ถามว่า คนไทยควรเรียนรู้อย่างไร ก็เรียนอย่างที่พี่น้องชาวFB.กำลังเรียนนี่แหละ ใครมีความรู้ในตัวก็เอามาแชร์กัน ยกตัวอย่างตอนผมเป็นงูสวัด ก็มีพี่น้องห่วงใยส่งคำแนะนำมาให้ ฝากยามาให้ สวนมนต์แผ่พลังจิตให้ ผมได้ความรู้เรื่องโรคนี้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้แต่กำลังจะสร้างหมู่บ้านโลกสร้างอาศรมอยู่ในขณะนี้ ก็มีญาติที่ใจดีค้นคว้าแบบบ้านดีๆแปลกๆมาให้พิจารณา ..สิ่งนี้จะเรียกว่าสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ไหมครับ ผมรู้สึกตัวว่าได้เป็นผู้เรียนตลอดเวลา มีความรู้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น จึงเป็นความโชคดีอย่างมากที่ตกมาอยู่ในวงล้อมของญาติพี่น้องชาวFB.

เรื่องสัมพันธไมตรีคงจะไม่จบลงแต่เพียงนี้ ในเมื่อใจรู้ใจ มีแต่จะถอดใจมาวางเดิมพันลงขันทำอะไรดีๆให้แก่สังคม คนดีนั่งๆนอนๆอึดอัดกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะหย่อนขาไปยืนที่ไหน ไปพูดไปคุยไปร่วมกิจกรรมกับใคร มันถึงจะรู้สึกดีและเป็นไปตามความประสงค์ของเรา ผมเริ่มเห็นสะพานที่จะนำเราไปสู่สังคมอุดมปัญญาบ้างแล้ว แสงเรืองๆที่ปลายอุโมงค์กำลังขยายม่านตาเราแล้ว ถ้าเรามาระดมลงขันความรู้ความคิดให้กันกระชับมากขึ้น คงไม่ต้องใช้ศัพท์กระชับพื้นที่แบบทหารหรอกนะ คนสกุลสวนป่าควรจะใช้คำว่า”กระชับใจ” ดีไหมเล่าเธอ ..

30 ปี มีอะไรเป็นคำตอบ

ตื่นเช้ามา จัดการอาบน้ำให้แปลงผักข้างบ้าน แล้วค่อยมาอาบน้ำแปรงฟัน ระหว่างนั้นก็ทอดสายตาไปดูความเขียวสดใสของต้นผักใบไม้ใบหญ้า ก็จะทราบว่าการใส่ใจต่อสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นเราได้อะไร

เราจะทำหน้าที่อะไรเล่า ที่มีผลดีต่อตัวเอง-สังคม-ประเทศชาติ และของโลก

คงไม่มีสูตรสำเร็จหรอกนะเธอ เพียงแต่เธอควรมีพันธกิจเพื่อชีวิตกับสังคมเพื่อคืนดอกเบี้ยให้กับโลกใบนี้

ใช้อ็อกซิเจนฟรีกันมาทุกคนมิใช่หรือ?

เอาเป็นว่าจะสารภาพบาปว่าภายใน30ปีที่ผ่านมานี้ ได้กระทำอะไรบนผืนพิภพนี้บ้าง ผมเริ่มจากจุดฉุกคิดที่ว่า เราควรจะทำการเกษตรแบบไหน ที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติมากนั้น ให้เราก็อยู่ได้สภาพแวดล้อมก็อยู่ร่วมกันได้ ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว ผมเห็นชาวไร่โค่นป่าดงดิบ จุดไฟเผาสิ่งที่รกเรื้อจากไม้ล้มที่ระเกะระกะ ไฟเข้าที่ไหนที่นั่นก็ราบเรียบเป็นหน้ากลอง เศษที่เหลือก็เอามากองสุมไว้แล้วก็เผาเผาควันโขมงในหน้าแล้ง เพียงไม่กี่ปีพื้นที่ตรงนั้นไม่เหลือแม้แต่ตอไม้ รถแทรกเตอร์ไถพรวนชนซ้ายชนขวาเดี๋ยวก็ตอก็สูญพันธุ์ หลังจากนั้นก็ทำการเพาะปลูกพืชไร่ตามฤดูกาล ทำนานเข้าๆดินก็แข็งกระด้าง แรงงานสัตว์ก็เข้ามาช่วย ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแรงเครื่องยนต์ มีวิทยาการใหม่ๆเข้ามา เช่น เรื่องสายพันธุ์พืช ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ระบบการให้น้ำ ระบบการเพาะปลูก และระบบการเก็บเกี่ยว ทุกอย่างถูกปรับปรุงให้สะดวกและเรียบง่าย

ชาวไร่ชาวนาดูน่าจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ราคาผลผลิตก็ดูดีมีสง่าราศีมีชาติตระกูล

มีเรื่องประกันราคา เรื่องจำนำ เรื่องส่งเสริมเข้ามาเพียบ

แต่สิ่งหนึ่งที่ใครๆต่างก็มองข้ามและไม่แยแส คือต้นทุนทางธรรมชาติที่สูญหายมากขึ้นทุกวัน จนถึงจุดที่ เกษตรกรจะต้องลงทุนทางด้านปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อทำหลายพื้นฐานหลักของการเกษตรจนย่อยยับไปแล้ว

ผมขออนุญาตโม้ได้ไหมครับ ว่าสิ่งที่ผมทำมาได้ตอบคำถามสำคัญๆอยู่หลายประการ เช่น สามารถเรียกความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้คืนมา ได้ปิดจุดอ่อนที่เป็นช่องโหว่ได้อย่างดีขึ้นตามลำดับ ทุกอย่างที่สะสมมาเป็นทุนของสังคมและเป็นทุนของธรรมชาติ เพื่อเราทุกคน และเพื่อเพื่อนร่วมโลกของเรา

การก่อเกิดใบไม้ใบเดียว ก็เป็นจุดก่อหวอดที่เป็นพลังบวกแล้วนะเธอ ..


วินัยแห่งรัก

2 ความคิดเห็น โดย sutthinun เมื่อ 7 มิถุนายน 2012 เวลา 5:38 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 3457

ปีนี้สวนป่่าฟ้าฝนดีเหลือเกินเธอเอ๋ย พระพิรุณส่งลูกน้องมารดน้ำให้ทุกวัน อย่างวันนี้ฝนไม่น่าตกก็ตก ตอนขับรถออกไปซื้อของยังฟ้าแจ้งจ่างป่าง วิ่งกลับมาจวนจะถึงสวนอ้าว! ฝ น ต ก ถ น น ลื่ น .. ต้องค่อยๆคลานไม่งั้นตุปัดตุเป๋เอาได้ สาเหตุมาจากผมเอาดินไปถมทางเข้าหลายร้อยรถ ถมเฉยๆ..ไม่มีรถบดอัด ปล่อยให้ดินเกาะตัวตามยะถากรรม ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรถนนถึงจะอยู่ตัว ถ้าฝนไม่ตกก็เข้าออกสบาย แต่ถ้าฝนตกวันไหนพวกมอเตอร์ไซด์วัดถนนเอาง่ายๆ มีคนบ่นให้ฟังเสมอๆ2-3เรื่อง ก็คือผม..ไม่ติดป้ายเข้า-ออก-บอกกล่าวให้ชัดเจน

ใครมาไม่หลงถือว่าสอบวิชาแกะรอยลูกเสือผ่าน ส่วนมากจะ

”ห ล ง ท า ง เ สี ย เ ว ล า  ห ล ง ภ ร ร ย า บุ ต ร แ ย ะ ”

นอก จากป้ายแล้วก็เรื่องถนนเป็นหลุมเป็นบ่อนี้แหละ ผมนะอยากจะลาดยางหรือทำเป็นถนนคอนกรีต แต่เกรงว่าพี่น้องจะซิ่งเข้ามาแล้วแหกโค้งเข้าป่า จึงรักษาสภาพถนนให้เข้ามาแบบอ้อยอิ่ง จะได้ชมทัศนียภาพ2ข้างทางยังไงละเธอ แต่ก็มีคนแปลควาหมายเป็นอย่างอื่น

เขาบอกว่า..ใครมาหาครูบาสุทธินันท์ ต้ อ ง น อ บ น้ อ ม   ค่ อ ย ๆ ค ล า น เ ข้ า ม า ”

แหม  ก็แหง๋ละสิ ขืนขับรถซิ่งเหมือนทางไฮเวย์ดูสิ มีหวังตกหลุมคอหักตายเสียก่อนจะมาถึงจุดหมาย ผมก็ได้แต่นึกในใจว่า “อย่าบ่นไปเลยคนสวย เธอนานๆมาที พี่เข้าออกทุกวันยังไม่บ่นสักหน่อย”

วันนี้ไปรษณีย์มาส่งพัสดุภัณฑ์กล่องใหญ่

เป็นของฝากจากใจของพระอาจารย์เฮนดี้ แห่งเมืองไชยา

บุรุษไปรษณีย์เลอะเทอะเหมือนลูกหมาตกน้ำ

ถามว่าไปทำอะไรมา

แกกัดฟันตอบว่า..”ก็ ถ น น ส ว น ป่ า นี้ แ ห ล ะ มั น เ ล ะ สิ้ น ดี”

“เ ห วี่ ย ง ผ ม ต ก ถ น น ตั้ ง 2 ที

ครูบาน่ า จ ะ โ ร ย หิ น ห รื อ ล า ด ย า ง ไ ด้ แ ล้ ว

?๓๒๑+**W!HRRR ฮ่วย!

ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เรื่องถนนปลอดฝุ่นไม่ปลอดหลุม ที่คุณชายไปร่วมแสดงฝีมือกับชาวบ้านก็นับว่าฮือฮามากแล้ว ยังจะมีเชื้อติดตามมาถึงสวนป่าอีกรึนี่ เรื่องถนนเป็นความเดือดร้อนกว่าสมัยก่อนมาก.. ยุคที่ขี่เกวียน ถีบจักรยาน ไม่มีใครเขาบ่นเรื่องถนนสักราย สภาพแย่กว่าทุกวันนี้อีก เออหนอ แทนที่จะกลับหลังหันไปขี่เกวียน ก็มายั่วยุให้ผมลาดยาง..

ตอนเย็นผมแวะไปเยี่ยมบ้านคุณชาย เห็นแมลงเม่าไม่รู้กี่ล้านตัวกองอยู่ใต้แสงไฟ  จึงหาถังมากอบใส่ไปเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่.. โยนแมลงเม่าลงไปในบ่อปลา ไม่มีเสียงฮุบแม้แต่น้อย แสดงว่าเมื่อคืนปลาก็คงกินไปแล้วจนท้องคราก คืนนี้แมลงเม่าก็แห่แหนกันมาอีก ผมต้องเปิดไฟล่อระยะไกล-ระยะกลาง-และระยะใกล้ เพื่อจะกระจายแมลงให้ห่างออกจากที่นอนเรา ตอนหัวค่ำจะเปิดไฟพร้อมกัน พอแมลงมาเล่นไฟก็ปิดดวงที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วไล่ปิดไฟตัวกลาง ต้อนให้แมลงไปรวมพลกันที่หลอดไฟระยะไกล

ผ ม แ ป ล ก ใ จ ม า ก ที่ แ ม ล ง เ ม่ า นั บ แ ส น ตั ว บิ น ฉ วั ด เ ฉ วี ย ง

แ ต่ ไ ม่ เ ห็ น ตั ว ไ ห น เ ล ย ที่ ช น กั น ก ล า ง อ า ก า ศ

แ ม ล ง เ ม่ า มั น มี ร ะ บ บ นำ ร่ อ ง อ ย่ า ง ไ รรึ

ถึงมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้

ผ ม นึ ก ไ ป ถึ ง ก า ร จั ด ร ะ บ บ สั ญ จ ร ท า ง อ า ก า ศ ใ ห้ เ ค รื่ อ ง บิ น

จะทำได้ดีเท่าสักปลายเล็บของแมลงเม่าไหมนี่

แค่เครื่องบินขึ้นลงวันละไม่กี่พันลำก็ต้องรอกันจะแย่

แต่ที่เห็นโทนโท่อยู่นี้บินพร้อมกันเป็นหมื่นเป็นแสนตัวยังเฉยเลย

เทคโนโลยีที่มนุษย์คุยโอ้อวดกันนักกันหนา

บางทีก็โม้ไปข้างเดียวไม่ดูตาม้าตาเรือ

ถ้าแมลงเม่ารู้ มั น ค ง หั ว เ ร า ะ จ น เ ยี่ ย ว เ ล็ ด

มีคนเคยถามว่า  ทำ ไ ม แ ม ล ง เ ม่ า ถึ ง ม า เ ล่ น ไ ฟ

อ้าว! ผมจะไปรู้เรอะ

ค น เ ร า ยั ง มี นั ด มี เ ด ท กั น ไ ด้

ทำ ไ ม แ ม ล ง เ ม่ า มั น จ ะ นั ด กั น ม า จั บ คู่ กั น ไ ม่ ไ ด้

มันไม่ได้ทำลับๆล่อๆนะ

ชวนกันมาอย่างสง่าและเปิดเผย

ไหนๆจะร่วมหัวจมท้ายกันแล้วก็ขอดูหน้ากันชัดหน่อย

จะได้รู้เห็นหน้าค่าตากันว่าสวยปิ๊งตามที่ชอบที่ฝันไว้หรือเปล่า

แ ม ล ง เ ม่ า จ ะ ม า เ ล่ น ไ ฟ ต อ น หั ว ค่ำ ถึ ง 2 ทุ่ ม

หลังจากนั้นทุกตัวก็ยุติการบินลงไปกองกันอยู่ที่พื้น

เห็นไหมละเธอ..แ ม ล ง เ ม่ า ยั ง มี วิ นั ย

ไ ม่ ไ ด้ จี บ กั น พ ร่ำ เ พื่ อ แ บ บ ข้ า ม วั น ข้ า ม คื น หรอกนะ

เธอน่าจะเอาเป็นแบบอย่าง..

รัก ชอบ ก็ได้ นะ แต่ ต้ อ ง ภ า ย ใ น เ ว ล า   2  ชั่ ว โ ม ง

จะ ม า ก ะ ลิ้ ม ก ะ เ ลี่ ย เ ล ย เ ส้ น ค อ ร์ ฟิ ว ห า ไ ด้ ไ ม่

นี่ยังไงละที่เขาเรียกว่า..รั ก แ บ บ มี ข อ บ เ ข ต   อิ อิ..



Main: 0.1276478767395 sec
Sidebar: 0.073941946029663 sec