อัดรักลงบล็อกอิฐดินซีเมนต์

อ่าน: 3044

อัดดินให้เป็นบ้าน

มีคนให้นิยามว่า  “บ้านคือวิมานของเรา” มัน ก็อาจจะใช่และไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับบ้านดังกล่าวในลักษณะใด คนที่อยู่ห่างไกลบ้านจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับคำว่าบ้านกันทั้งนั้น สมัยก่อนนักเรียนไทยไปอยู่ต่างประเทศ กว่าที่จดหมายจะส่งไปมาหาสู่กันได้ใช้เวลาครึ่งค่อนปี อ่านจดหมายแล้วน้ำตาเปียกเรี่ยราดเชียวแหละ..  ไม่มีจดหมายผิดซองอย่างในสมัยนี้หรอกนะเธอ

บ้านเป็นอัตลักษณ์ประจำชนชาติ บ้านฝรั่งได้รับการยกย่องว่าออกแบบก่อให้อยู่อาศัยถูกใจมากที่สุด ถ้าฟังผิวเผินก็อาจจะใช่ ที่จริงแล้วขึ้นอยู่กับว่าเราจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไรด้วย อย่างเรือนไทยเราก็มีลักษณะประจำถิ่น เรือนไทยภาคกลางก็อย่างหนึ่ง เรือนไทยอีสาน เรื่องไทยภาคเหนือภาคใต้ ต่างก็มีเอกลักษณ์ที่เป็นจุดพิเศษเฉพาะตัว  แต่มาถึงสมัยนี้เงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อมและจารีตประเพณีเสื่อมมนต์ขลัง เราจึงเห็นเรือนไทยประยุกต์กันดาษดื่น เน้นมาสร้างตึกมากกว่าบ้านไม้ ในเมื่อไม้หายาก ลักลอบตัดกันจนวินาศสันตะโรทั้งประเทศ

วัสดุและเทคโนโลยีจึงเป็นตัวแปรในการกำหนดรูปแบบบ้านใหม่ๆ

ก็เป็นไปตามกฎของการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละเธอ

บางทีบ้านก็ไม่สำคัญมากไปกว่า..เราอยู่กับใครในบ้านหลังนั้น

อยู่กับหวานใจในกระต๊อบ อาจจะมีความสุขกว่าอยู่ในคฤหาสน์กับคนหลายใจก็ได้

คำว่า ป ลู ก เ รื อ น ต า ม ใ จ ผู้ อ ยู่ ไ ม่ พ อ ห ร อ ก

ต้องแถมด้วยคำว่าอยู่กับคนที่เราเห็นว่า ใช่เลย ใช่ไหมละเธอ

แต่ก็นั่นแหละ ยังมีคำว่ากัดก้อนเกลือกิน ให้มาฉุกคิด

คนในยุคหินไม่ต้องสร้างบ้าน เดินไปเจอถ้ำที่ไหนก็เข้าไปจับจองอยู่อาศัย หิวขึ้นมาก็ลากตะบองออกไปวิ่งไล่ทุบหัวสัตว์ แล้วลากเอามาแบ่งปันทำอาหารเลี้ยงดูกัน มนุษย์มีวัฒนาการไม่หยุดนิ่ง เหล็ก/ปูนซีเมนต์/พลาสติกมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง แต่ก็นั่นแหละเธอ..ในโลกนี้ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ในกระต๊อบบ้านดินนับล้านครัวเรือน ถ้ายากเห็นกลุ่มบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย ในถิ่นฐานบ้านช่องของชาวชนบทภารตะ ยังปลูกสร้างบ้านด้วยดิน หลังคามุมด้วยใบอ้อยหรือใบมะพร้าว ผมไปมุดเข้าเยี่ยมยาม ยังประทับใจที่เขาอยู่กันเรียบร้อย ไอ่ที่พูดกันว่า..อยู่ติดดินตัวจริงเสียงจริงมันเป็นยังงี้เอง ที่มุมบ้านจะมีเตาดินเผาไว้ก่อไฟหุงหาอาหาร ควันไฟก็จะลอยฟ่องขึ้นไล่แมลง วัว/แพะแกะก็จะผูกลามอยู่ใกล้ๆ รึบางทีกลิ่นเยี่ยวสัตว์เลี้ยงนี่เองที่ไล่ปลวก

ถ้าเมืองไทยเราปลูกบ้านติดดินอย่างนี้

มีหวังโดนกองทัพปลวกแทะจนเละแน่

เรื่องงานช่างงานก่อสร้างผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่ได้เรียนไม่มีความรู้อะไร เป็นที่ชอบๆตามจริตตัวเอง เมื่อ25ปีมาแล้ว ผมอ่านเจอในหนังสือลงข่าวเรื่องเครื่องอัดดินด้วยบล็อกซีเมนต์ จึงได้ไปเสาะหาแหล่งผลิตเครื่องอัดดินดังกล่าว ไปซื้อมาแล้วก็ทดลองอัดดินเป็นก้อนๆ แล้วเอามาทดลองสร้างบ้าน สร้างตึกหลังใหญ่ แล้วก็ใช้อยู่อาศัยมาเท่าทุกวันนี้

ต่อมารัฐบาลจัดต้องกองทุนซิฟ ให้ผู้นำแต่ละชุมชนเสนอของบประมาณมาพัฒนาการเรียนรู้และการสร้างงานสร้าง อาชีพ ผมจึงเขียนของบประมาณซื้อเครื่องอัดดินซีเมนต์แบบไฮโดรลิค ทำให้ได้อิฐบล็อกซีเมนต์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้พัฒนาและเรียนรู้จนทราบว่า ดินแดงที่เราอาศัยอยู่นั้น ขุดแล้วเอามาบดให้ละเอียดผสมกับซีเมนต์ ในอัตรา ดิน3ส่วน ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน พรมน้ำให้มีความชื้นเล็กน้อย นำไปเข้าเครื่องอัดออกมาเป็นก้อนๆ นำไปเรียงไว้ในร่มผ่านกรรมวิธีบ่มตามแบบคอนกรีตทั่วไป หลังจากนั้นก็นำไปก่อสร้างบ้านเรือนได้อย่างสบาย

ข้อดีคือของบ้านอิฐดินซีเมนต์

  • อิฐพวกนี้ใช้วัสดุจากพื้นที่เราเองในสัดส่วนที่มากกว่าวัสดุอื่น
  • ใช้แรงงานในครัวเรือนช่วยกัน/อัด/ก่อ/สร้าง/จนเรียบร้อย
  • ไม่ต้องวิ่งเอาเงินไปให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง
  • ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ยังสะสมอัดอิฐฯไว้ล่วงหน้าได้
  • ลงแขกช่วยกันสร้างบ้านหมุนเวียนกันได้
  • ประหยัดไปต้องเผา ไม่ต้องฉาบ
  • ลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการสร้างบ้านรูปแบบอื่นถึง3เท่า
  • มั่นคงแข็งแรงแน่นหนา ไม่ต้องกลัวพายุจะมาเขย่าบ้านกระเจิง
  • มีคุณสมบัติพิเศษ หน้าหนาวจะอบอุ่น หน้าร้อนจะเย็นสบาย
  • อธิบายในมิติของการพึ่งตนเองได้อย่างกระชับ
  • ขยายความเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเชิงประจักษ์
  • ไม่มีหนี้สินรุงรังเหมือนการสร้างบ้านแบบเว่อร์ๆ

ตอนนี้คุณชายกำลังสร้างบ้าน ดังที่ท่านเห็นในคริปวีดีโอ ผมก็มีแผนจะสร้างบ้านรูปโดมกลม8เมตร ถ้ า ที่ รั ก ช่ ว ย กั น ซื้ อ ห นั ง สื อโมเดลบุรีรัมย์มากๆ ผ ม ก็ จ ะ มี ทุ น ส ร้ า ง บ้ า น ใ น ฝั น  หนังสือแต่ละเล่มที่ท่านช่วยกันอุดหนุน ร า ย ไ ด้ จ ะ เ ป ลี่ ย น เ ป็ น อิ ฐฯ ล า ย ก้ อ น เ ล ย ล ะ ค รั บ

รึ..ค น ส ว ย จ ะ ม า ช่ ว ย อั ด อิ ฐ ดิ น ซี เ ม น ต์

จะได้อัดความรักความหวานซึ้งลงไปในอิฐแต่ละก่อนด้วย

เมื่อนำไปก่อสร้าง..จะได้นอนมองผนังฝันหวานถึงคนสวยทุกคืน ทุกคืน..ยังไงละครับ!


ไอที และ ไอเลิฟยู***

อ่าน: 1469

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แล้วมีบ้านกัน แต่อาจจะมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ของแต่ละกลุ่ม นกบางตัวทำรังอยู่ในโพรง บางตัวก็ทำรังอยู่กับคาคบไม้ บางตัวก็ทำรังด้วยการสานใบหญ้าเป็นชะลอมแน่นหนาห้อยโตงอยู่ปลายกิ่งไม้ ยังมีนกบางตัวขุดรูอยู่ในดิน นกบางตัวอาศัยอยู่ในกอหญ้าริมบึง หากินอาหารทั้งที่อยู่ในอากาศ ผิวดิน และในน้ำ

นกแต่ละชนิดจะมีทักษะชีวิตแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม

บางตัวยังแอบไปไข่ให้ตัวอื่นฟัก

เออหนอ..แม้แต่ในสัตว์ปีกก็มีระบบอุปถัมภ์

นกก็มีลูกเลี้ยงแม่เลี้ยงเหมือนกันนะเธอ

ยกตัวอย่างนกกระจอกเทศที่อยู่ในธรรมชาติ เมื่อฟักไข่ออกเป็นตัวแล้วคุณแม่ก็จะพาลูกอออกเดินทางต้วมเตี้ยมไปหากิน เดิน....ไปเจอแม่นกอีกตัวหนึ่งที่พาลูกออกมาตระเวนเช่นเดียวกัน แม่นกทั้ง2จะไม่รอช้า.. จะพุ่งเข้าต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย สู้กันจนมีฝ่ายแพ้ชนะ ..ตัวที่ชนะก็จะได้ลูกนกทั้งหมดไปครอบครอง ธ ร ร ม ช า ติ ทำ ก า ร คั ด ก ร อ ง คุณแม่ที่ แ ข็ ง แ ก ร่ ง ที่ สุ ด เ ป็ น ผู้ ดู แ ล ลู ก น ก ทั้ ง ห ม ด ลูกนกได้อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ที่เข้มแข็ง จะช่วยปกป้องภัยที่มาแผ้วพาน

แม่นกตัวที่แพ้ละ..จะทำยังไงในเมื่อลูกถูกพรากไปจากอก

เธออาจจะเดินสะท้อนสะทกไปเจอพระเอกรูปหล่อแล้วก่อรักใหม่ก็ได้

เราไม่อาจล้วงนึกไปถึงกลไกในชาติพันธุ์ของนกชนิดนี้

เรื่องในธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์นัก บางเรื่องเราก็ไม่มีเหตุผลจะมาอธิบายได้ว่า ทำไมไก่ต๊อกจึงมาออกไข่รวมกันเป็นร้อยๆฟอง แล้วให้มีตัวมอบฟักดูแลเพียงตัวเดียว ตัวอื่นๆคอยระแวดระวังอยู่รอบๆ ตัวที่ทำหน้าที่หมอบฟักจะอดทนเอาปีกเอาตัวคลุมไข่ทั้งหมดไว้ เห็นแล้วก็พิสดารมาก ไข่ที่ซ้อนกันอยู่จำนวนมากจะได้รับความร้อนทั่วถึงได้อย่างไร อนึ่ง รังที่ทำก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะรอดพ้นจากน้ำฝนได้ แต่ละรอบฟัก..ไข่ของไก่ต๊อกจึงเน่าเสียหายจำนวนมาก คาดว่าจะประสบผลสำเร็จไม่ถึง5%

ที่แปลกใจก็คือปัญหานี้คงมีมายาวนานตั้งแต่ก่อเกิดไก่ประเภทนี้แล้ว

ทำไม?..ไม่มีการพัฒนาการเทคนิควิชามาแก้ไข

รึ..ในกลุ่มสัตว์ปีกบางประเภท..ความรู้ถูกคุมกำเนิด

ไม่สามารถพัฒนาการเรียนรู้ใหม่ๆได้

คงอยู่กับความรู้เดิมๆ อยู่กับความสามารถและทักษะที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ปัญหาเหล่านี้โยงมาถึงตัวช่วย ถ้าเราอยากจะขยายพันธุ์ไก่ต๊อก เราจะต้องไปเอาไข่มาช่วยฟัก เช่น เอาไปฝากแม่ไก่บ้านฟัก หรือซื้อเครื่องมาฟัก ถึงจะได้ลูกไก่ต๊อกจำนวนมากกว่าที่รอคุณลูกจากคุณแม่ไก่โดยธรรมชาติ

เรื่องนิสัยใจคอของสัตว์แต่ละประเภทน่าสนใจนัก ตอนนี้ผมมีแม่ห่านอยู่ตัวหนึ่ง ห่านต้องการเพื่อนนะครับ แต่ห่านไปเข้ากับสัตว์ปีกกลุ่มไหนก็มีใครนับพวกด้วย จึงอยู่อย่างหงอยเหงา เดินเล็มยอดหญ้าและใบไม้กินอย่างเดียวดาย ถึงเวลาตั้งไข่เธอก็จะไปเสาะหาพื้นที่ทำรัง ไซ้ขนอ่อนและหาเศษหญ้ามารองรัง แล้วก็เบ่งไข่ออกมา8-10ฟอง หลังจากนั้นก็หมอบฟักอย่างอดทน โดยหารู้ไม่ว่าไข่ของเธอไม่มีเชื้อ.. ถ้าเราไม่เก็บมารับประทาน ไข่เธอก็เน่าเสีย เธอเองก็เสียเวลาหมอบอยู่อย่างนั้น

ราไม่มีทางสื่อสารกับแม่ห่านได้ จะบอกยังไงละครับว่า..คุ ณ ค อ ย า ว จ๋ า ..ไ ข่ ที่ เ ธ อ ห ม อ บ ไ ม่ มี ลู ก ห ร อ ก . .อ ย่ า ท ร ม า น เ ล ย

รึ..บางทีคุณคอยาวเธอต้องการทำหน้าที่แม่ตามวิสัยของธรรมชาติ

เมื่อเบ่งไข่ออกมาแล้วต้องทำตามขั้นตอน

คือหมอบไข่..หมอบนิ่งๆนานๆ..เรื่องอื่นไม่สนใจ

น่าแปลกตรงที่เธอคงทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

แต่ละครั้งก็ยังไม่เคยมีลูกเจี๊ยบออกมาเลี้ยงสมใจ

ห่านไม่สามารถช่วยตัวเองผสมเทียม ฝากย้ายตัวอ่อน หรืออุ้มบุญ

ประเด็นของห่าน ทำให้ผมยี่ยักยี่หย่อนที่จะเลี้ยงห่านกินไข่

คือจะเลี้ยงเฉพาะห่านตัวเมียสักฝูงหนึ่ง

ถ้าเลี้ยง20ตัว ก็น่าจะได้ไข่ประมาณ 150 ฟอง/รอบ

ปีหนึ่งๆจะได้เก็บไข่มาต้มยางมะตูมประมาณ 300-365ฟอง

ถัวเฉลี่ยแล้วเราจะมีไข่ห่านทำอาหารวันละ 1 ฟอง

นอกจากนี้ถ้าเราเลี้ยงไก่ต๊อกไก่แจ้ผสมเข้าไปอีก เราก็จะมีไข่สมทบ เมื่อก่อนผมเคยเลี้ยงขยายไก่ต๊อกได้เป็นร้อยตัว ยังมีไก่บ้านไก่แจ้อีกเป็นฝูง ทั้งวันจะได้ยินเสียงไก่เซ็งแซ่ เดินไปไหนก็จะเจอประชากรสัตว์ปีกมากมาย อะไรที่มากไปก็เป็นปัญหา ..สัตว์เหล่านี้ไปคุ้ยเขี่ยแปลงผัก ขี้เรี่ยราด บางทีก็มาเข้าแถวตะเบ็งร้องจนหูแทบแตก

ไก่ต๊อกนี่นะเธอ..ถ้าเข้าแถวสัก20ตัว ร้องขออาหารพร้อมๆกัน

เธอเคยเห็นไก่ต๊อกร้องแบบเอาเป็นเอาตายไหม?

โห..มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

ถ้าเคยให้อาหารประจำ

เขาจะจำไว้..ถึงเวลาก็จะมาเข้าแถวร้องเพลงชาติไก่ต๊อกจนลั่นป่า

ปัจจุบันผมเลี้ยงสัตว์ปีกพวกนี้แบบบุฟเฟ่ต์ ปล่อยให้คุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเอง สร้างรังเอง เลือกนอนตามคาคบไม้ ช่วงพลบค่ำ..มาคอยดูเถิด ไก่พวกนี้จะ พาลูกๆไต่ขึ้นต้นไม้ไปเกาะกิ่งที่เคยนอนประจำ ที่น่าประทับใจก็ตอนที่ลูกเล็กๆอายุ7-8วัน ยังไม่มีขนปีกยังไม่กล้าขายังไม่แข็ง แม่ไก่จะมีวิธีฝึกลูกน้อยให้ไต่ไปนอนบนต้นไม้ได้อย่างไร?

แสดงว่าในสรรพสิ่งทั้งปวงต่างก็มีชุดวิชาความรู้ของตนเอง

วิชาความรู้ในธรรมชาตินั้นลึกซึ้งนัก

ลึกเสียยิ่งกว่าตำราที่มนุษย์เขียนและร่ำเรียนกันเสียอีก

เรื่องพวกนี้ยากที่จะอธิบายให้คนที่ไม่ใส่ใจธรรมชาติให้เข้าใจ โดยเฉพาะพวกที่คิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ล้วนเป็นเรื่องโมเมชั่นคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น สัตว์ที่มีกิเลศเกาะกุมสันดานซับซ้อน จะเป็นสัตว์ประเสริฐตรงไหนกัน !

สิ่งประเสริฐตัวจริงอยู่ในธรรมชาติ

ธรรมชาติคือธรรมะ

ธรรมะคือความจริงแท้แน่นอนไม่แคลนคลอนและแปรผัน

เธอเคยเห็นใคร..ปลูกมะม่วงแล้วออกผลมาเป็นมาม่าไหมเล่า!

ปลูกอย่างไร ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

คนไม่เคยคอมเมนท์..จะรู้ลึกซึ้งถึงอานุภาพของคอมเมนท์ได้อย่างไร?

อย่างเก่งก็ดาดๆผิวเผินไปวันๆ

ไม่ได้เข้าไปถึงกระบวนการเชื่อมโยงความรู้กับใครเขาได้หรอก

นอกจากตาบอดสี ใจยังบอดใบ้อีก

ถ้าเป็นไปได้ก็ลองซื้อหนังสือเจ้าเป็นไผไปอ่านดูเถิด

เธอจะเห็นการเกาะเกี่ยวสัมพันธภาพของคนที่เป็นเพื่อนเป็นญาติสนิทกัน

ค ว า ม รั ก นั้ น ห า ไ ด้ ไ ม่ ย า ก ห ร อ ก

ถ้าเธอรู้จักคอมเมนท์เสียบ้าง

คนที่ไม่ยอมคอมเมนท์..

คือคนที่เป็นหม้ายกระบวนการพัฒนาวิธีเรียนรู้ผ่านออนไลน์

พวกเราล้วนตกอยู่ในยุคของมนุษย์สายพันธุ์ไอที

เธอจะไอเลิฟยู..ให้กันบ้าง มันลำบากใจนักรึ

โธ่ๆๆๆ..



Main: 0.82238101959229 sec
Sidebar: 0.085837125778198 sec