คำนิยม

อ่าน: 1615

ผมรู้จักครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ผู้เขียน “โมเดลบุรีรัมย์” เล่มนี้มานานหลายปีแล้ว ผมรู้สึกประทับใจในความละเอียดอ่อนของท่านที่มีต่อสภาพสิ่งแวดล้อม และความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ได้แพร่ขยายในสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครูบาสุทธินันท์ ได้เปิดบ้านให้เป็นโรงเรียนเรียกว่า “มหาชีวาลัยอีสาน” เพื่ออธิบายองค์ความรู้ที่สะสมมาและถอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้อื่น บ้านจึงเป็นเสมือนสถานที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่หาความรู้

“โมเดลบุรีรัมย์”เล่มนี้ เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ส่วนหนึ่งของครูบาสุทธินันท์ในการทำการเกษตร เพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพที่แข็งแรงและพึ่งตนเองได้ โดยให้ความรู้ในเรื่องการประกอบอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ยืนต้นและการเลี้ยงปศุสัตว์ให้มีคุณภาพดี ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้มาจากการปฏิบัติจริง

ผมมีความเห็นว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน ทั้งจากเนื้อหาและวิธีในการเขียนที่ได้อรรถรสชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านควรจะได้หาอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ต่อไป

(ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล)

หมายเหตุ ฝากถึงป้าหวาน งานที่ป้ากรุณาสำเร็จดั่งใจหมาย แล้วละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

คำนิยมหลักจากพระอาจารย์ใหญ่ ดร.สุเมธ ตันนิเวชกุล ได้เมตตามอบมาให้แล้ว ถ้าตีความคำว่า “คำนิยม” ผมก็ไม่ทราบว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เมื่อก่อนจะมีสมุดเยี่ยมให้ท่านที่มาเยือนเขียนเป็นที่ระลึกไว้ แต่ถ้อยคำในสมุดเยี่ยมมันก่อเกิดกำลังใจให้แก่เจ้าสำนักเท่านั้น ไม่สามารถออกไปเปิดเผยภายนอกได้

ผมมองอย่างนี้ครับ>>

การมีส่วนร่วมมือร่วมใจระหว่างชาวเฮนั้น สามารถที่จะออกแบบให้บรรเจิดอย่างไรก็ได้ เพราะคุณสมบัติในตัวตนแต่ละท่านนั้นธรรมดาที่ไหนเล่า ยิ่งกว่าผมมีห่านออกไข่เป็นทองคำเสียอีก ปัญหาอยู่ที่ทำอย่างไรหนอ ห่านถึงจะเบ่งไข่ให้ ผมจะได้ถือตะกร้าเดินไปเก็บทุกๆเช้า

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

หนังสือโมเดลบุรีรัมย์ ที่จริงชื่อนี้ออกจะเฝือไปแล้ว แต่ทำไงได้ ในเมื่อกำหนดลงไปแล้ว
เราทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ผมก็จะเขียนตามควานนึกคิดเท่าที่จะมีน้ำยา
..เหลียวหลังบ้าง มองไปข้างหน้าบ้าง..ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมืองอย่างนี้ มีประเด็นชวนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย จะชนตรงๆก็คงไม่เหมาะ กองขี้หมาเอาเท้าไปเตะก็เหม็นเปล่าๆ เอาแค่เขียนให้มั่นไส้พอหอมปากหอมคอ ซึ่งอาจจะหกคะเมนเค้เก้ได้ เพื่อไม่เป็นการประมาท ผมถึงชวนให้ญาติโกเขียนอะไรมาร่วมขบวนแห่กันหลอนที่ชื่อ “โมเดลอีสาน” ไงละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับิ>>

เท่าที่ตามอ่านเรื่องในลานปัญญา ผมเห็นสไตล์ของแต่ละท่านบรรเจิดนัก ล้วนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดผ่านร้อนผ่านหนาวจนผะผ่าว ลองพิจารณาเส้นอักษรของแต่ละท่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเสียดาย ทำยังไงความพิเศษเหล่านี้จะกระโดดออกมาจากหน้ากระดาษได้ ผมไม่รู้นะครับ ท่านจะเขียนทิ้งเขียนขว้างไปทำไม ขอให้รู้เถิดว่า ผมอ่านด้วยความชื่นชม เที่ยวเอาไปโม้เป็นบ้าเป็นหลัง ว่าตนเองมีจอมยุทธยืนอยู่รอบข้าง จะรู้จะเรียนอะไรละ ขอร้องได้ ถามได้ อยากจะบอกว่า ..เจ้าเป็นไผ ได้ไปแสดงอภินิหารอยู่ในที่ต่างๆทั่วประเทศ บางท่านอ่านแล้วเอาไปขยายผลกับนักศึกษา บางท่านเอาไปอ้างอิง

บางท่านเจอหน้าบอกว่า

ผมอ่านแล้ว 3 รอบ

ฮ้า ! ยังงั้นเลยหรือครับ

ด้วยเหตุผลนี้ละครับพี่น้อง >>

โปรดช่วยทำให้คนขี้โม้ได้โม้สะบัดช่อขึ้นไปอีกได้ไหมครับ

ขอสั้นๆ ท่านละ 1 หน้า แล้วท่านจะรู้ว่า

ท่านน่ารักน่ากอดที่สุดในโลก

:: ยกตัวอย่างที่ส่งมาแล้ว

อุ้ย ละเมียดละไมให้ความรู้เรื่องสุขภาพใจควบคู่กับสุขภาพกายได้อย่างเฉิดฉาย

อาว์เปลี่ยน กะเทาะวิถีชีวิตในลาวมาให้เราออนซอนหลาย

บางทราย ผมขออนุญาตคัดเอาตอน : ที่ว่างของชาวบ้าน

มุมคลิกของผู้ที่คร่ำหวอดงานติดดินเท่านั้นที่จะกระแซะแก่นออกมาได้

เบิร์ด เขียนเรื่องทิ้งหมัดเข้ามุม สะเด็ดสะเด่าเหลือกำลัง

เป็นไปได้ไง..ผู้หญิงตัวเล็กๆหวานๆจะทิ้งน้ำหนักอักษรแบบโป้งเดียวจอดเยี่ยงนี้

คิดเรื่องนี้แล้วสนุกครับ

ถ้ามีท่านอุปการข้อเขียนกันมามากๆ

ผมจะขยายเป็นโมเด็ลเล่มที่ 2

อาจจะใช้ชื่ออื่นที่ไม่โหลแบบเล่มแรก

ไม่ได้คิดเอาสนุกนะครับ

คิดเบาๆ แต่เอาจริงนะเธอ

ได้ขอคำนิยมท่านอาจารย์ เกษม วัฒนชัย ไว้แล้ว


เข้าขบวนแห่น้ำท่วม

อ่าน: 1697

(ทำเลที่ตั้งนิทรรศการวิสัยทัศน์ควายแห่งชาติ)

เรื่องนี้ตรงกับคำที่ว่า

ถ้าเธอไม่จัดการความรู้ ความไม่รู้ก็จะจัดการเธอนะสิ

คนไทยไม่ใช่ไม่มีความรู้นะครับ แต่ไม่ใส่ใจที่จะใช้ความรู้อย่างเป็นแบบแผน องค์ความรู้ในนักวิชาการ ในหน่วยงานที่ดูแลด้านต่างๆ ชุดวิชาที่สอนกันอยู่ในสถาบัน รวมทั้งความรู้ดั่งเดิมที่แฝงอยู่ในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมมีเป็นกะตั๊ก แต่ถ้าประมวลดูที่ไปที่มาทั้งหมดก็จะเห็นว่า ประเทศนี้จะทำจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง ไม่ได้มีการศึกษาใคร่ครวญถึงความพอเหมาะพอควรอย่างแท้จริง เอาความสะดวก ความมักง่ายเป็นตัวตั้ง ลองมองย้อนไปในอดีตสิคริบ น้ำเหนือหลากมาแต่ละทีนั้นเป็นคุณมากกว่าจะเป็นโทษ กองทัพพม่ายกโยธามารุกรานกรุงศรีอยุธยา ทุกครั้งต้องเร่งการยุทธอย่างดุดัน เพื่อให้ได้ชัยชนะท่วงทันก่อนที่น้ำเหนือจะลากท่วมทุ่งมหาราช น้ำที่ว่านี้ก็จะสร้างความยากลำบากในการทำศึก เพราะไม่อาจที่จะลอยคอไปต่อกรกับคนที่ตั้งรับในค่ายคูพระนครได้

น้ำหลากจึงเป็นยุทธปัจจัยในการสู้รบที่กำหนดการแพ้ชนะที่แน่นอนที่สุด

ถ้าดูตามสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ในการที่จะวางโครงสร้างผังเมือง หรือการวางแผนกิจการพัฒนาใดๆ จุดแรกเลยจะไม่มาดูพื้นฐานที่เป็นปัจจัยหลักของประเทศเลยหรือครับ ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ นี่ใช่เลย ใครจะศึกษาอะไรมาอย่างไรอั๊วะไม่เกี่ยว อั๊วมีเงิน อั๊วมีอิทธิพล ทุกคนจะต้องตามใจอั๊วะ ติดขัดตรงไหนไปแก้มาให้ตรงกับใจอั๊วะ เซ่อแบบนี้ละครับมันถึงฉิบหายกันทั้งประเทศ

ถอยหลังไปก่อนหน้าที่อุตสาหกรรมจะทะลักเข้ามายึดครองแผ่นดินสยาม วิถีชีวิตไทยปกติสุขเป็นบรรทัดฐานจนยกขึ้นเป็นจารีตประเพณีของแต่ละพื้นถิ่น ซึ่งแต่ละแห่งมีความรู้สำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะถิ่นของเขาเอง การสัญจรทางน้ำ สร้างบ้านเรือนไทยใต้ถุนโล่ง ทำมาหากินโดยอิงศักยภาพของพื้นถิ่น ที่ลุ่มก็ปลูกข้าวลอย ที่ดอนก็ปลูกข้าวไวแสง สามารถทอดระยะการเก็บเกี่ยวได้ด้วยสายพันธุ์ข้าวที่สุกไม่พร้อมกัน มีพันธุ์เกี่ยวช้า เกี่ยวระยะกลาง และเกี่ยวระยะสุดท้าย ขึ้นอยู่กับแรงงานและอุปกรณ์ในการทำนา ซึ่งแตกต่างจากยุคใช้เครื่องจักรเครื่องกล ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดหหรอก ถ้าคนใช้เครื่องจักรกลมีมันสมองจัดการวางแผนการผลิตให้สอดรับกับสภาพธรรมชาติ

เครื่องจักรมันไม่สามารถดำน้ำเกี่ยวข้าวได้

ถ้าจะบ้าใช้เครื่องจักรล้วนๆมันควรจะออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ นะเบิ๊อก !

เมื่อก่อนเราเคยเห็นคนภาคกลางเดือดร้อนยามน้ำหลากรุนแรงอย่างนี้ไหมครับ จากการที่คิดใคร่ครวญที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในที่ลุ่ม ชาวบ้านเอกซเรย์จนเห็นจุดดีจุดด้อยทะลุปรุโปร่ง ศึกษาจนรู้ว่าธรรมชาติในพื้นถิ่นของตนเองอยู่อาศัยมีสภาพในแต่ละช่วงฤดูอย่างไรได้ใช้สติปัญญาหาทางป้องกันล่วงหน้าไว้ทั้งระบบ น้ำท่วมมาพากันหาปูหาปลามาไว้เป็นเสบียง ผักผิวน้ำ ผักยืนต้น ผักที่เกิดในน้ำ สารพัดที่จะนำมาเข้ากับการดำรงชีพได้อย่างกลมกลืน  นอกจากสะดวกสบายแล้วยังสนุกเฮฮาจากการร้องเพลง หนุ่มสาวลงเรือไปเก็บดอกบัวมาถวายพระ บางคู่ก็ถือโอกาสเอาพระประธานเป็นพะยานหัวใจ ว่างๆก็ชวนกันร้องเพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ เพลงเต้นรำกำเคียว จัดงานประเพณีที่วัดในเทศกาลต่างๆ เคยฟังกองยาวโห่แห่ไหมละเธอ

ม๊องเท่งม๊องม๊ง..เท่งม๊งๆๆ  โห้ยยยย ฮิ โฮฮฮฮฮ ฮิ้ววววววว..

ใ ค ร มี ม ะ ก รู ด ม า แ ล ก ม ะ น า ว   ใ ค ร มี ลู ก ส า ว ม า แ ล ก ลู ก เ ข ย

อยู่กันอย่างเอื้ออาทร อยู่กันอย่างแบ่งปัน

ทั้งๆที่เขาไม่ได้พูดกันสักคำ..การมีส่วนร่วม การบูรณาการ จิตสาธารณะ

ไทยในอดีตลงมือกระทำ ไม่ได้เอาแต่พูด เอาแต่อบรม แล้วไม่ทำอะไร

การที่ไม่มองหน้าแลหลัง ทำให้การพัฒนาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ไล่มาจากแม่ฮ่องสอนถึงอ่าวไทย อาการลำบากยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำเสียอีก พอสะสมปัญหาเข้ามากๆ เกิดวิกฤติถึงจะทะลึ่งตึงตังขึ้นมาแก้ไข  เห็นความเป็นไปคงมนุษย์ที่ไม่จัดการความรู้อย่างเป็นระบบไหมครับ

มันจะแก้ยังไงละเมื่อผูกชะเนาะจนตึงเปรี๊ยะออกอย่างนั้น ถามว่าจะแก้ยังไง ผมคิดว่าในบ้านเมืองเรามีผู้รู้จริงอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสที่จะขยายความคิดให้นำไปสู่การวางรากฐานของนโยบายระดับชาติได้ ปัญหาของประเทศอยู่ที่ยากจะฝ่าด่านเจ้าพวกคุณพ่อรู้ดีที่ก๋าๆเกลื่อนกราดเต็มประเทศได้ ทำได้ก็ด้วยการบันทึกลงในนิตยสารต่างๆ ซึ่งผมต้องขอบคุณหลายท่านที่ได้กรุณาเผื่อแผ่ความรู้ให้สาธารณะชน  ขออนุญาตยกตัวอย่างมาสักหนึ่งท่านนะครับ

บทสัมภาษณ์ คุณกฤตภาส วงศ์กรวุฒิ

หาอ่านฉบับเต็มได้ในหนังสือ ฅ คน ฉบับเดือนกันยายน 2554


” บางทีตลอดแนวชายฝั่งด้านในสุดของอ่าวไทย ที่สัณฐานเหมือนพยัญชนะตัวแรกของอักษรไทย ทอดยาวร้อยกิโลเมตรที่เคยเรืองสว่างด้วยมีปากน้ำ5สาย พาดินตะกอนธาตุอาหารมาให้นั้นค่อยๆกำลังทำให้ถูกดับลงเหมือนตะเกียงลาเชื้อ ที่ละดวง  ที่ละดวง เขาบอกว่า ไม่ใช่แม่น้ำและความอุดมสมบูรณ์หรอกที่เรากำลังสูญสิ้นไป หากแต่เป็นความองอาจอันอิสระของผู้คน ผู้ได้สั่งสม และใช้ความรู้ต่างหาก”

มีการอภิปรายกันตอนประชุมร่วมรัฐสภา มันไปเขียนอำพรางว่าจะทำเขื่อนและเกาะ เพื่อป้องกันทะเลหนุนสูง ทีแรกก็บอกว่าจะสร้างเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทีนี้พูดออกมาแล้วเรียกแขกได้เยอะ เครือข่ายอ่าว ก.ไก่ อะไรต่อมิอะไรก็ออกมาด่ากันขรม มันเลยเปลี่ยนใหม่..น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯต้นทุนมาจากน้ำหลาก80% น้ำทะเลหนุนมันแค่ 20% ทีนี้มีคำถามว่า เมืองที่น้ำขึ้นสูงที่สุดคือเมืองแม่กลอง แล้วเหตุไฉนน้ำมันถึงไม่ท่วมละ ทีนี้พอพอจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำก็ต้องบินไปถามบิดาคุณที่เนเธอแลนด์โน่นว่าทำยังไง แต่โคตรเหง้าคุณเองเขาทำดีอยู่แล้ว กลับไม่รู้จัก มันเป็นเสียอย่างนี้ ก็เลยเสียเงินเสียทอง บ้า ๆ บอ ๆ แบบโครงการแหลมผักเบี้ยนะเห็นไหม ใช้ไป 300 กว่าล้าน ทิ้งน้ำไปเลย เฮ้อ

มันบอกว่าจะถมกึ่งกลางอ่าว ก. ไก่ กว้าง 10 กม. ยาว 10 กม. ห่างฝั่ง 10 กม. อ่าว ก.ไก่ ก็ 100 กม.แต่ละด้านใช่ไหม นี่มันจะสร้างระหว่างปากแม่น้ำท่าจีนกับปากแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างเป็นเกาะ นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า จะสร้างอะไรลงไปในทะเล ไปสร้างยานอวกาศง่ายกว่า เพราะทะเลมันแต่งตัวทุกวินาที แล้วเรามีบทเรียนเยอะ  เรามีปัญหากัดเซาะแบบวิกฤติอยู่6-7 ร้อย กม. จากชายฝั่งทั้งหมด 2,600 กม. ทีนี้เขาคงคิดว่าทะเลบ้านเราเหมือนกับเดอะปาล์มดูไบละมั๊ง ขืนสร้างอย่างนี้ปุ๊บ การกัดเซาะมันจะเปลี่ยนทันที ไปดูหากแสงจันทร์ วินาศสันตะโรหมดเลย เพราะการใช้โครงสร้างแข็งจะไปเพิ่มความรุนแรงของการกัดเซาะนั่นเอง

เคยเห็นไหมที่ปากน้ำตะกอนฟุ้ง นี่คือการฟุ้งการกระจายตัวของแพลงก์ตอน เพราะอะไร นี่แม่น้ำ5สาย บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง  แล้วก๋แม่น้ำเพชรฯไม่มีหาดทรายเลย มีแต่หากเลนทั้งนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะแม่น้ำพ่นตะกอนออกมา ก็คือแร่ธาตุสารอาหารทั้งหมด เมื่อสารอาหารมาปะทะน้ำทะเลเกิดการตกตะกอน ห่วงโซ่อาหารก็เริ่มตรงนี้เลย ก็คือแลงก์ตอน แล้วปลาเล็กปลาน้อยเป็นห่วงโซ่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มันถึงได้เขียวไปหมด พูดง่ายๆเลยว่า หลังน้ำหลาก อ่าว ก.ไก่ ก็คือทุ่งหญ้าระบัดสำหรับสัตว์น้ำ เหมือนทุ่งหญ้าสำหรับวัวกระทิงอย่างนั้น

..เราอยู่ในเขตมรสุม เราต้องอยู่กับน้ำท่วมให้ได้

เราจะไปเป็นโรคกลัวน้ำได้อย่างไร?

อ่าว ก.ไก่ นี่คืออ่าวสุดยอด 1 ใน 17 อ่าวอุดมสมบูรณ์ที่สุดของโลก

ถ้าไม่ทำเกษตรเคมี ไม่มีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม น้ำจะเป็นสารอาหารใช่สารพิษ

คนบางกอกจะปลูกบ้านที ไปขนดินราชบุรี นครปฐม มาถมพร้อมกับขนรังปลวกมา

ปลูกเสร็จปลวกขึ้นบ้าน ต้องไปจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาอัดน้ำยาลงดิน

มันต้องโง่ 3 ครั้งนะ จะปลูกบ้านแต่ละที

ถ้าน้ำไม่ท่วมดินจะดีได้อย่างไร?

คนแม่กลองเขาจะปลูกบ้านใต้ถุนสูง ทำการเกษตรแบบครึ่งดินครึ่งน้ำ ทุกสวนเขาจะจัดขนานยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บ้านจะปลูกอยู่ตรงชายคลอง สองข้างบ้านมีลำปะโดงร้อยขึ้นไปเป็นฉาก พอน้ำขึ้นจากทะเลหนุนเข้าแม่น้ำเข้าคลองก็เข้าลำปะโดงรอบสวน น้ำเข้ามาเต็มร่องนี้มาพร้อมกับสารอาหารด้วย ขาลงน้ำแห้งขอดทิ้งตะกอนไว้ในนี้ ปุ๋ยไม่ต้องใส่ น้ำหมุนเวียนเข้าออกดีเสียอีกน้ำจะไม่เน่าเสีย

น้ำท่วมกรุงเทพฯเพราะอะไร จริงๆแล้วมันมีปัจจัยประกอบกัน เหนืออ่าว ก.ไก่ ขึ้นมา ถ้าเราเอาโครงข่ายคมนาคมซ้อนเข้าไป ก็จะเห็นถนนเป็นตาข่ายยิ่งกว่าคลองอีก ที่เป็นคลองพี่แกถมหมด ถมแล้วไปใส่ท่อกลม 60ซม. ลำประโดงเลวๆทรามๆปากมันกว้าง2-3เมตร  แม่กล่องวันนี้เป็นอย่างไร กรุงเทพเมื่อก่อนก็เป็นแบบเดียวกันแหละ คนมาเที่ยวอัมพวาบ่อยๆ โอ้โฮ เมืองนี้มันโรแมนติกโว้ย ก็เริ่มมากวาดซื้อที่ ซื้อแล้วก็ทำโง่ๆๆๆ

คนกรุงเทพซื้อปุ๊บถมที่เลย

ถมปุ๊บป่าชายน้ำก็ตายหมด

พอตายหมดทำไง สร้างเขื่อนแข็ง คลื่นก็ซัดโครมๆ

ที่นี้ขโมยก็เข้ามาทุกทิศเลย

ก็ไปหาหมาฝรั่งหน้าโง่มาเลี้ยงแข่งกับเจ้าของ  เอ๋ง เอ๋ง เฮ้อ..

ถามว่า  สู้น้ำท่วมอย่างที่ทำๆอยู่นี้ชนะไหม?

สภาวะแบบนี้จริงๆแล้วเป็นภาวะชั่วคราว

เราอยู่ในประเทศมรสุม พอถึงเดือนอย่างนี้มันก็ต้องเจออย่างนี้ใช่ไหม

แต่ว่าเมื่อก่อน มัน เ ป็ น น้ำ ท่ ว ม ผ่ า น ไม่ ใช่ น้ำ ท่วม ขัง

บ้าๆแท้ๆเลย.. ไ ม่ ช อ บ น้ำ ท่ ว  ม แ ต่ พ า กั น ทำ แ ต่ วิ ธี ขั ง น้ำ

มีสตางค์มันไม่ได้บอกว่า ฉลาด หรอกนะ

ทะลึ่งแห่ไปตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในที่ลุ่มอยุธยานับพันโรง

ท่วมให้เจ๊งบ้างก็สมควรแล้ว

พระสยามเทวาธิราชต้องการให้ที่ลุ่มภาคกลางเป็นแหล่งผลิตอาหาร

ยังทะลึ่งไม่พอนะ นี่จะไปสร้างบ่อนที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีก

มันคิดแต่เรื่องห่วยแตกทั้งนั้น

พวกสมองหมาปัญญากระบือ อิ อิ


ดินหล่ม

อ่าน: 1973

ดินหล่ม

ไม่ทราบว่าจะเป็นศัพท์ใหม่ขึ้นมาสมทบกับกรณีน้ำหลากกับเขาหรือเปล่านะครับ ฝนที่สวนป่ามันตกแบบตั้งหน้าตั้งตาตกมา3เดือนแล้วละครับ บางวันที่อื่นไม่ตก ฝนก็ยังมาเทลงที่นี่ ไม่มากก็น้อย ดินอุ้มน้ำอิ่มน้ำเต็มที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่ม เป็นปีที่ต้นไม้เจริญพรวดพราด บางต้นติดดอกออกผล บางต้นก็แตกกิ่งแผ่สาขา ดูแล้วก็เจริญหูเจริญตาว่างั้นเถอะ ตอนสายวันนี้ นั่งอยู่ดีๆก็มีเสียง โคร้ม! อย่างแรงมากจากรอบบ้าน ผมก็นึกไม่ออกว่าน่าจะเป็นอะไร

ใครวะ บังอาจมาล้วงคองูเขียว

เผ่นออกไปดู

ต้นกระสังหน้าบ้านโค่นเอนมาทับชายคา

โอ้ยโย้ !  ฝนก็ไม่ได้ตก

ทำไมต้นไม้ถึงลงมานอนลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ถ้าล้มลงตอนลมฝนก็ไปอีกอย่าง เดินๆไป..

อ้าว มะละกอต้นใหญ่ข้างครัวล้มพับลงกับดินลูกกระจายเกลื่อน

มันบ้าอะไรนะนี่

จู่ๆต้นไม้มันก็นัดกันง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาดื้อๆ

ที่อื่นๆมันจะเป็นจะไดพ้อง เดินฉับๆไปดูหน้าบ้าน กระสัง3ต้น นัดกันเอน50 องศา พิจารณาดูแล้วต้นมันสูง กิ่งเยอะ ออกลูกเต็มต้น น้ำหนักคงจะมาก ยืนมานานแล้ว หาเรื่องนอนเล่นเสียบ้าง เดินไปสวนมะละกอ เจ้าประคุณเอ่ย มะละกอ 20 ต้น หักพับแบกะดิน ลูกกระจายเต็มพื้น ให้คนงานเอารถไสไปเก็บมาทั้งลุูกอ่อนลูกแก่ได้ 2 คันรถ จะเอามาทำยังไงละนี่ จะตำส้มตำรึ ได้สัก 2,000 ครกละมัง เอาไปสับเลี้ยงวัวก็แล้วกัน เลือกลูกห่ามๆไว้กินสุก ต่อไปนี้หน้าคงเป็นมะละกอ จะเอาไปแกงส้มก็..แปลกนะคนเรา อะไรที่มีมากๆมันรู้สึกเฉยๆเสียยังงั้นแหละ

เสียดายไม่ได้อยู่ภาคกลาง ไม่งั้นจะขนมะละกอไปฝากพี่น้องน้ำท่วม

ใครอย่าหลงมาเยี่ยมในช่วงนี้ก็แล้วกัน

มีหวังเจอเมนูมะละกอจนคอย่น..

การที่ดินอุ้มน้ำมากๆ

ทำให้ต้นไม้โตเร็วแบกน้ำหนักเยอะ

ถ้าระบบรากไม่ดีก็จะโค่นลงง่ายๆ

ไม้ใหญ่ไม่ควรปลูกข้างบ้าน

ถึงไม่โค่นระบบรากก็จะมาไชฐานรากบ้านได้

ตอนปลูกต้นเล็กๆเรามักจะกะไม่ถูก

แต่พอต้นโตๆๆๆบางต้นต้องการพื้นที่ถึง100ตารางเมตร

ไม้แต่ละชนิดระบบรากไม่เหมือนกัน

ไม้บางชนิดกิ่งเปราะเจอลมหน่อยหักผั๊วะผะเอาง่ายๆ

ไม้ยางพารากิ่งเรือนยอดไปกระจุกแบกน้ำหนักอยู่ข้างบน

ถ้าฝนดีลมดี..ต้นยางพาราพากันนอนง่ายเหมือนกัน

แต่ยังไงๆก็เชียร์ให้ปลูกต้นไม้  โดยเฉพาะฝนดีอย่างปีนี้ด้วยแล้ว ใครปลูกต้นไม้จะเห็นผลทันใจ ฝนเทมาเท่าไหร่ต้นไม้ก็จะอุ้มน้ำไว้ แถมยังช่วยชะลอไม่ให้น้ำไหลผ่านไปเร็ว ที่น้ำท่วมทั่วประเทศพรวดพราดเพราะไม่มีป่าไม้ช่วยชะลอน้ำ ไม่มีต้นไม้ซับน้ำไว้ เทมาเท่าไหร่ก็ไหลลงที่ราบหมด ยังไม่ถึงเดือนยี่น้ำก็รี่ไหลหลง แม่คิ้วโก่งคงลอยกระทงสบาย บางหมู่บ้านน้ำไม่ท่วมรึไง เห็นแข่งเรือยาวกันเป็นบ้าเป็นหลัง

ถ้าใครมีเวลาบ้างก็ช่วยๆกันปลูกต้นไม้นะครับ

บางคนอาจจะไม่รู้จะทำยังไง

ขอเสนอว่าให้มาปลูกที่สวนป่า

จะเตรียมต้นไม้ไว้ให้

แม่คิ้วโก่งถาม..จะให้ปลูกต้นอะไรคะ

ก็ปลูกต้นรักสิเธอ

ทำไมต้องปลูกต้นนี้ละค่ะ

อ้าว..ค น น่ า รั ก ก็ ต้ อ ง ป ลู ก ต้ น รั ก น ะ สิ

แคว๊กๆๆ


ว่าที่ดอกเตอร์หัวใจเสริมใยเหล็ก

อ่าน: 2071

มหาชีวาลัยอีสานได้ต้อนรับนักศึกษาที่ข้ามฟากมาจากทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีดร.ศักดิ์พงศ์ หอมหวน แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม พาลูกศิษย์รุ่นสุกรไม่กลัวน้ำร้อนมาจัดโสเหล่ให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตวิชานวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

หลักสูตรดังกล่าวมีเสน่ห์มหาระรวยอย่างไรผมไม่ทราบได้

มีอาจารย์ดอกเตอร์และรองศาสตราจารย์มาสมัครเรียน2ท่าน

มีพระสงฆ์นักพัฒนาชั้นแนวหน้ามาสมัครเรียน3รูป

มีข้าราชการจากหลายหน่วยงานอีกจำนวนหนึ่ง

สถาบันราชภัฏทั่วประเทศประกาศเจตนารมณ์มานาน ในการที่จะเป็นสถาบันเพื่อพัฒนาท้องถิ่น นอกจากจะเป็นแหล่งให้การศึกษาลูกหลานที่อยู่ในภูมิภาคแล้ว บางครั้งยังมีโครงการร่วมกับหน่วยราชการในเรื่องสำคัญๆและทำการวิจัยอีกด้วย มาบัดนี้เจตนารมณ์ดังกล่าวเริ่มขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หลังจากที่ไปทำMOU.กับมูลนิธิชัยพัฒนา โดยมีมหาชีวาลัยอีสานเป็นกองเชียร์ คอยหิ้วปีกเข้ามุม และยื่นยาหม่องยาดมให้ในยามที่ระโหยโรยแรง

รายการพบปะกันแบบปิดประตูตีแมวเริ่มขึ้นเมื่อนักศึกษาวางข้าวของ แล้วทยอยเข้ามานั่งล้อมวง ผมกล่าวต้อนรับตามธรรมเนียม พร้อมกับเล่าย้อนไปถึงกระบวนการพัฒนาอาจารย์และนักศึกษาตามโครงการกาญจนาภิเษก ที่เคยยกทีมมาที่นี่เมื่อ4-5ปีที่แล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศึกษาและวิจัย ต้องการจะเห็นรูปแบบและกระบวนการศึกษาที่เอาวิถีชนบทเป็นตัวตั้ง แต่ก็นั่นแหละเธอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการช้างเผือกหรืออื่นๆขยับไม่ออก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเงื่อนไขหรือพลังแฝงต่างๆยังไม่ทะลุทะลวงพอ

(ลุ้น ดูลายมือแล้วทายว่าจะเป็นจะได๋พ้อง)

จนกระทั้งมาถึงปีนี้ ปีประวัติศาสตร์ของวงการพัฒนาการศึกษาต้องจับตามอง ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามสวมหัวใจสิงห์สร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมา โดยเอาหลักพุทธธรรมมาเป็นหลักการ โดยเอาไปตีแตกในวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา โดยมีข้อฉุกคิดว่า..หลังจากที่เราพึ่งพาตำราวิชาการต่างด้าวทั้งดุ้นมานานแล้ว โรคทางสังคมก็ยังไม่ดีขึ้น หลักสูตรนี้จึงมีลูกฮึดจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ..คำสั่งสอนของพุทธองค์สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่นักศึกษาจะต้องค้นหากระบวนการที่จะทำให้เรื่องนั้นๆมีธรรม

“พุทธศาสนาอาจมีส่วนส่งเสริมอย่างแน่นอนสำหรับจุดประสงค์อันสร้างสรรค์ทางการศึกษาและวัฒนธรรมเช่นว่านี้ แต่ในเรื่องนี้มีประเด็นหนึ่งที่จะต้องให้กระจ่างชัดกันในฐานะเป็นศาสตร์ของการดำรงชีวิต พุทธศาสนามุ่งอยู่เสมอที่จะแสดงสัจธรรมสากลเกี่ยวกับชีวิตและการดำรงอยู่ และปัญหาของมนุษย์”

“ การเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐานในระบบการศึกษาปัจจุบันเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เด็กๆมีความรับผิดชอบยิ่งๆขึ้นต่ออนาคต เพื่อจุดมุ่งหมายในข้อนี้ เราขอเรียกร้องว่าการศึกษานั้นควรตั้งอยู่บนคุณค่าที่แท้จริง ซึ่งเน้นศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ การเคารพต่อชีวิตและธรรมชาติ และการพึ่งพาอาศัยกันของสรรพสิ่งทั้งปวง คุณค่าของศาสนาควรได้รับการบรรจุในการสอนในส่วนที่จะเป็นไปได้ “

เสน่ห์ จามริก

ช่วงที่ชวนคุย..ผมสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นไปในโลกนี้ ที่เริ่มสั่นคลอนอ่อนไหวอ่อนแอไปทุกหัวระแหง เกิดปัญหาซับซ้อนทับถมจนทำให้คุณภาพสังคมชำรุด เราใช้ทฤษฏีอะไรบ้างมาพัฒนาสังคมไทย แล้วผลเป็นอย่างไร?

ถามว่า มีทฤษฏีตะวันตกฉบับไหนบ้าง

ที่ช่วยการพัฒนาชาติไทยให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากได้

การที่หลักสูตรนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

จะยึดเอาบารมีพุทธศาสนามาบ่มเพาะสติปัญญาจึงน่าสมใจใช่ไหมละครับ

ผมเริ่มใช้ปากเปิดประเด็น ตามวิชาหัวใจนักปราชญ์ เรียงลำดับ สุ จิ ปุ ลิ ก็เดินเรียงตามลำดับไหล่ไงครับ รายการล้วงความคิดความคัน.. ช่วยบอกหน่อยเถอะ คิดจะทำเรื่องไหนอย่างไร นักศึกษาทุกท่านเปิดเผยความในใจ บ้างก็มองหัวข้อไว้แล้ว บ้างก็ซักถามความเห็น จนกระทั้งถึงช่วงบ่าย จึงให้ปูเสื่อแจกหมอนให้นอนคุยกัน

ใคร่ใคร่ฟังๆ ใครใคร่นอนๆ ใครใครยิ้มๆ อิ อิ

ช่วงแดร่มลมตกชวนเดิน ไปชมนกชมไม้ ยืดเส้นสายสอดส่องดูว่าที่นี่มีอะไรทำ ทำอย่างไร สงสัยว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาใจ จึงไม่มีใครซักถามสักเท่าไหร่ จึงพาเดินในวงเล็กๆแล้วกลับมาอาบน้ำ แต่งตัวทางแป้ง รับประทานอาหารเย็น

มาตะลุมบอลต่อในช่วงกลางคืน นักศึกษาใจร้อนพยายามซักถามเรื่องหัวข้อวิทยานิพนธ์ โธ่! ใครจะตอบแทนได้ละครับ ขอให้กลับไปถามตัวเอง ว่าเกิดมามีความต้องการที่จะศึกษาและวิจัยเรื่องใดมากที่สุด ..เป็นช่วงบรรยากาศเอาจริงมาก พยายามเค้นหัวข้อให้หลุดโพละออกมาให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด ..

จนย่ำรุ่งจึงแยกย้ายกันไปนอน

นอนไหนก็นอนได้ อย่านอนใกล้คนหลายใจก็แล้วกัน อิ อิ

ฝนพรำทั้งคืน ตื่นเช้ามายังฉ่ำเย็น ดร.ศักพงศ์ ชวนย้ำคิดย้ำทำ ให้ตระหนักถึงการทำหน้าที่นักศึกษา ผมค้นหนังสือมาแจก หยอดต่อด้วยวิธีเรียน ตั้งข้อสังเกตเครื่องมือในการเก็บข้อมูล การจดบันทึก การเป็นตัวคูณของกันและกัน ทำให้19ชีวิตเป็น19อรหันต์ทองคำให้ได้ ทำการบ้านให้มาก อย่ารีรอเพราะไม่มีเหตุผลที่จะชักช้า เดินหน้า ทุ่มสุดตัว

สนทนาเรื่องราวและภาพของอนาคตของเราก็เผยกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ล่วงมาถึงทุกวันนี้ด้วยการดูดายผืนพิภพที่ชีวิตต้องพึ่งพา เราได้ทำให้โลกอันล้ำค่า
บ้านของเรา มีสภาพร้างไร้ไม่เหมาะที่จะพำนักอาศัย
บัดนี้ด้วยความรุนแรงที่แสนสลับซับซ้อน

ถามว่า..เราจะเอาตัวเราเองไปวางไว้ตรงไหนของสังคม

เราจะทำอะไรได้บ้าง

สิ่งที่เลือก สิ่งที่คิด ทำไมถึงเลือกสิ่งนั้น เหตุผล ….อะไร

ควรแนะนำชื่อหนังสือให้นักศึกษาแต่ละคนอ่าน

พานักศึกษาไปพบปะผู้สันทัดกรณี

จัดให้มีการสนทนาแบบสภากาแฟเท่าที่โอกาสอำนวย

พานักศึกษาเข้าร่วมประชุมสัมมนาที่สำคัญๆ

นำนักศึกษาไปร่วมกิจกรรมชุมชน/ภาครัฐและเอกชนฯลฯ

วางระบบการเชื่อมโยงสารสนเทศกลุ่มแม่ข่ายและลูกข่าย

จัดให้ใกล้เคียงกับหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข สถาบันพระปกเกล้าเลยละครับ

ไ ม่ มี บั น ไ ด เ ลื่ อ น สำ ห รั บ ค ว า ม สำ เ ร็ จ

จะต้องไต่เต้าไปทีละขั้นๆ ละขั้นๆ

ด้วยความมุ่งมั่นและทระนง

เวลาถูกลองของจะได้ไม่ร้องโอดครวญ อิ อิ


คนสกุลเฮ

อ่าน: 1798

ถ้าไม่ลำบาก..ฝากเก็บแววตาาา นั้นไว้  อย่าเพิ่งใช้ไปมองใคร เก็บไว้มองฉันก็พออออ

ถ้าไม่ลำบาก..ฝากเก็บสองมืออออ นั้นไว้ อย่าเพิ่งใช้กุมมือใคร เก็บไว้มือฉันอุ่นก็พอออ

ถ้าไม่ลำบาก..ฝากเก็บฉันคนนี้ไว้ ในหัวใจเธอได้ไหมมม แค่ตลอดไปก็พออออ

นะ นะ นะ ขอเธอได้ไหม

วันฟ้าหม่น ฝนโปรยปรอยคอยต้อนเราไว้ไม่ให้ออกไปไหน นั่งทำงานฟังเพลงลูกทุ่งที่มีเนื้อร้องที่คัดย่อไว้ข้างบนนั้น  ดนตรีบรรเลงด้วยเมาท์ออกแกน เสียงพริ้วไหวเข้ากับเสียงออดอ้อนของนักร้องที่ชื่อหนูจั๊กจั่น วันวิสา “เมื่อถูกความรักหาเจอ” เป็นเพลงที่บันทึกมากับไอโฟน4 ระบบเสียง ดนตรี คำร้อง สอดพ้องต้องกันอย่างลงตัว นึกต่อไปว่า..เราไม่เคย..ถ้าไม่ลำบาก เพราะตั้งแต่มีพี่ป้าน้าอามาเป็นเครือญาติสายลานปัญญา มีมิตรไมตรีที่ไม่ต้องออดอ้อนใดๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนทำอะไรล้วนได้รับสิ่งที่ดีพิเศษสุดยากจะหาจากที่อื่นได้ ผมดูจะเป็นคนที่ได้รับความห่วงหาอาทรมากกว่าใคร เพราะตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ถึงกระนั้นก็ยังโลดโผนโจนทะยานมิได้ดูแลสังขารตัวเองเท่าที่ควร ทั้งๆที่มีโรคประจำตัวเกาะกุมอย่างแน่นเหนียว มันทำท่าจะวอแวกับผมมากขึ้นๆ

คิดว่า..ยังไงก็ได้ ตัวเชื้อโรคมาอาศัยอยู่ด้วยก็อยู่ๆกันไป

ถ้าถึงคราที่มันจะชนะก็ไม่เป็นไร

อยู่มาก็นานจนเกินควรแล้ว

อายุมากทำอะไรไม่ได้ อยู่ไปก็เกะกะโลกเปล่าๆ

จึงไม่ลำบากที่จะไปจะมายังแดนอันไกลโพ้น

ซึ่งพวกเราทุกคนก็ต้องไปกันอยู่แล้ว

เพียงแต่ผมไปก่อน..ก็จะไปเตรียมการไว้รอ

เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ..

ถึงเวลาพร้อมหน้าไม่ว่าอยู่แดนไหนก็คงจะเฮฮากันเหมือนเดิมนั่นแหละ  อิ  อิ..

ผมพบความวิไลในชีวิตอย่างอิ่มเอิบ นั่งทวนกระเทาะเรื่องราวเมื่อคราวเราจัดงานเฮฮาศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ นับตั้งแต่ดงหลวง กระบี่ เชียงราย ภูเก็ต หรือแม้แต่สวนป่า ทุกสถานที่เต็มไปด้วยตำนานของหมู่เฮาที่ยากจะเว้าวอนได้หมดจด เด็กๆตัวเล็กที่ไปร่วมงานทำให้พี่ป้าน้าอาสนุกสนานแบบสุดเหวี่ยง นึกถึงภาพขี่ม้าส่งเมือง เด็กๆร้องๆเต้นๆ ผู้ใหญ่ล้อมวงกอดสามัคคี พระอาจารย์เฮ็นดี้วิ่งไปเปิดเพลงให้อย่างทันท่วงที หรือแม้แต่รายการกอดแบบกดปุ่ม มีที่นี่ที่เดียว ขอบอก

สังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างยากที่จะกะเกณฑ์อะไรได้ การที่ได้รู้จักมักจี่เป็นญาติกันก็คุ้มกับการเกิดมาในชาตินี้ ยกให้เป็นเรื่องทึ่งแห่งศตรวรรษได้เลยละครับ เท่าที่ร่วมสังฆกรรมกันมา เป็นอิสระไมตรีที่อยู่นอกเหนือสาระบบใดๆ เอาใจเป็นที่ตั้ง จึงไม่มียังงั้นยังงี้ อะไรดีที่สุดก็จัดสรรให้เครือญาติของตน ผมนึกไม่ออกว่ามีกลุ่มสังคมแห่งยุคนี้ที่ไหนบ้างที่เป็นอย่างของเรา สายญาติที่เป็นหมอนอกจากจะเขียนเล่าวิชาความรู้ให้อ่านกันแล้ว ยังช่วยอ่านรายงานการตรวจวัดโลหิตให้ด้วย ส่วนท่านที่สันทัดกรณีด้านการเจาะโลหิต ก็บริการชนิดที่โรงพยาบาลไหนก็บริการไม่ได้ ยังมีผู้อุปการะคุณคอยแสวงหายาดีๆมาให้อีกเป็นกะตั๊ก อีกทั้งพาไปพบปะแพทย์ที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะโรค เป็นความห่วงใยที่แม้แต่ไรก็ไม่ให้ไต่ให้ตอม

บางคนไม่รู้จะทำอะไร

ซื้อวิตตามินมาให้ขวดใหญ่

ชนิดที่กินยังไงก็ไม่หมด

เหมาะที่จะวางขายทั้งปีนั่นแหละ

ในวาระที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง จึงส่งข่าวไปถึงหมู่เฮา ขอเรื่องเล่าดีๆมาช่วยมะรุมมะตุ้มกัน ก็มีมามีให้อย่างทันอกทันใจ ดังนั้นเรื่องที่ท่านอ่านในแต่ละบทต่อไปนี้ ดูจะเป็นกองเชียร์ที่มากด้วยน้ำใจ บรรเจิดอำไพเหลือประมาณ ลองอ่านแล้วจะรู้เองละว่า สังคมคนแซ่เฮนั้นไม่ใช่เอาไหนเอาด้วย แต่ช่วยด้วยใจเต็มร้อย ชนิดที่ไม่ต้องทอนเสียด้วย อย่าว่าแต่ ขอแววตา ขอกุมมือ ขอหัวใจ กลุ่มเรามีให้กันได้ไม่อั้น แบบไม่ต้องมาร้องวิงวอนอ้อนออดเหมือนเพลงข้างบน

ลองอ่านดูนะครับ

ถ้าชอบใจก็ยิ้มได้เลยไม่ต้องขออนุญาติ อิ อิ..

คนไข้บอกจิตแพทย์ว่า “หมอครับ ผมสงสัยว่าตัวเองจะเป็นบ้า”

“จริงหรือ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะผมเริ่มเขียนจดหมายถึงตัวเองน่ะสิ”

“คุณเขียนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

“เมื่อวานนี้ครับ หมอ”

“จดหมายเขียนว่าไง”

“จะไปรู้ได้ไง ผมยังไม่ได้รับเลย”



Main: 0.19549989700317 sec
Sidebar: 0.16951704025269 sec