คนตกงานพักบ้านนี้

อ่าน: 2359

คนตกงานพักบ้านนี้

สถานการณ์ตอนนี้มีคนพูดเรื่อง ขาขึ้น ขาลง

และพูดเรื่องถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้

มีหลายสิ่งครับ

โดยเฉพาะความรัก

รักแท้ ๆ นะ ไม่ใช่รักแบบเย้ว ๆ

ถ้าเงินซื้อได้ คงมีคนซื้อกลุ่มเสื้อเหลืองไปทำบะช่อแล้ว

บางอย่างก็ไม่มีขาย

อย่างเช่นช่วงที่ท้องฟ้ามีพระจันทร์ยิ้ม

หลายอย่างอยู่นอกเหนือเงินตรา

หลายเรื่องถ้าเอาเงินมากำหนดจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วทันที

นั่นแสดงว่าเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจเงินนั้นมากเหลือคณานับ

เงินซื้อความจริงใจได้หรือ

ในเมื่อความจริงใจไม่มีขาย

เรื่องที่ไม่ขายอย่าพยายามซื้อ

นั่นก็หมายความว่า

ต้องเรียนรู้เรื่องที่อยู่นอกเหนือเงิน ๆ ทอง ๆ บ้างนะต๋อย

ช่วงเศรษฐกิจขาลง

มหาเศรษฐีโลกระดับต้น ๆ ชาวเยอรมันและอเมริกาฆ่าตัวตาย

ทั้ง ๆ ที่ยังมีเงินหลายแสนล้าน

อีตาชาวอเมริกาถอดใจ ใช้ไข้โป้งแก้ปัญหา

ส่วนอีตาเศรษฐีเยอรมันให้รถไฟชน คงคิดว่าสมราคากับฐานะกระมัง

ใครสนใจว่าเป็นนายอะไร คิดยังไง ไปหาค้นอ่านเอง

เพราะอาจจะเจอเรื่องพิลึกกว่านี้ก็เป็นได้

ช่วงนี้มีคนตกงานมาก

รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาปัญหาคนว่างงาน

จะอบรมอาชีพให้กับคนตกงาน

โจทย์ข้อนี้ตีแตกยากเหลือเกิน

มันลอยฟุ้ง ๆ ยังไงไม่รู้นะ

แต่เมื่อมีผู้ใหญ่ชวนคิดชวนคุยเรื่องนี้

ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร

ช่วยเคาะกะโหลกผมหน่อยเถิด

คนไทยปีนขึ้นบนอะไร

ทำไมถึงตกลงมา

เรื่องนี้จะมีการสัมมนากันที่กรุงเทพวันที่ 20

ช่วยผมคิดหน่อยได้ไหมครับ

หางอึ่งอย่างผมคิดเรื่องพวกนี้ไม่ออกจริง ๆ

จะอบรมอะไร จะฝึกฝนอะไร

จึงจะเป็นการเป็นงาน เป็นผู้เป็นคน

ถ้าราชการไม่เลี้ยงดู ถ้าบริษัทไม่จ้างงาน

เราจะเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างไร

มันชักจะเข้าเค้า..ถ้าความรู้พอเพียง..

ชีวิตจะไม่เสี่ยงกับความไม่รู้

ต้องรู้แค่ไหนจึงจะพออยู่พออาศัยเป็นปกติได้บนโลกใบนี้

สู่รู้กันหน่อยดีไหม?

วันนี้..เราอยู่กับความรู้อะไร?

เรื่องนี้สำคัญนะครับ

ถ้าคนตกงานมาก ๆ รัฐบาลก็ตกกระป๋องได้

ถ้าสงสารรูปหล่อ..อย่ารอช้า

สละปัญญาช่วยด้วย! ด่วนด้วย !!

« « Prev : กระแซะดารา

Next : ม.ราชภัฏมหาสารคามบุกมหาชีวาลัยอีสาน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 สร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 10:35

    คิดว่าจะช่วยคิดได้ไม่มากนักค่ะ

    แต่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังค่ะ ว่าเช้านี้คิดอะไร

    วันนี้ขับรถมาธุระในเมือง
    เจอเรื่องประหลาดใจนิดหน่อย เพราะเป็นรถจำนวนหนึ่งจอดข้างบึงริมทาง
    บึงนี้เดิมเป็นทางน้ำสาธารณะสำหรับชักน้ำเข้านา
    แต่พอถูกถมที่ทำบ้านจัดสรร
    ทางน้ำก็ถูกกั้นกลายเป็นบึงริมทางรถไฟ

    ระยะหนึ่งมีหญ้าขึ้นรกริมบึง
    นานๆจะเห็นคนลงไปดักปลา
    นานๆจะเห็นคนลงไปเก็บดอกบัว

    แต่เช้านี้ รถหลากชนิดจอดริมบึง
    มีคนตัดหญ้าใส่กระสอบจนริมบึงโล่ง

    มีคนจากรถเก๋งคันโก้ลงไปดักปลา
    มีคนพายเรือไปเก็บดอกบัว

    ภาพอย่างนี้อาจจะยังได้เห็นสักพัก..จนกว่าบัวหมด จนกว่ามีคนมาดักปลามากขึ้น
    และคงมีคนมากางกระต๊อบย่างปลาขายริมบึง
    อาจจะมีการขยายพื้นที่ลงในบึง

    ล้วนเพราะต้องการหารายได้

    ปรากฏการณ์เมื่อเช้าทำให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนไทยอับจนวิธีคิดหางานหารายได้หรือ
    คงไม่ใช่เสียทีเดียวค่ะ
    เพราะยังสามารถสร้างงานบนฐานธรรมชาติ
    แต่ส่วนมากมักไปตามมีตามเกิด

    จนสิ่งที่จะหาได้หมดเป็นแหล่งๆไป

    ถ้าหากว่าจะมีทั่นผู้นำ หยุดดูวิถีแบบนี้สักนิด
    ก็อยากให้ลองคิดว่า จะสนับสนุนให้คนไทยสามารถสร้างแหล่งธรรมชาติที่มีผลผลิตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวให้อย่างไร…จะดีไหม

    ไม่ช่วยคิดแต่ชวนคิดค่ะครูบา

  • #2 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 11:05

    สวัสดีค่ะ ขอให้ข้อคิดเล็กๆ  แค่สะท้อน การพัฒนาที่ขาดฐานราก สิ่งที่สำคัญคือจุดเล็กที่สุดของสังคม คือครอบครัว โดยเฉพาะภาคอิสาน ที่ถูกยัดเยีอดในความขาดแคลนในทุกๆ เรื่อง แต่หารู้ไหมว่าเป็นดินแดน อารยธรรมความเจริญที่มีมายาวนาน การขาดความรู้จักตัวตนของตนเอง ละเลยของดีที่มีอยู่ หน้าแล้งมาขายแรงงานเป็นคนที่ไปสร้างความร่ำรวย ให้ภาคเศรษบกิจของไทยมาช้านาน  ตลอดจนไปขายแรงงานในต่างประเทศ ชาวอิสานมีความกตัญญูต่อบุพการีสูงมาก น่ายกย่องอย่างยิ่ง เรามาช่วยกันค้นหาสิ่งดีและข้อจำกัดของโครงสร้างทาง ธรณี ที่ราบสูงภาคอิสานพื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินทราย อัตราการระเหยสูงมาก ปริมาณฝนก็แตกต่างไปตามตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละพื้นที่ มีตั้งแต่มีความชุ่มชื้นไม่แพ้ภาคใต้ จนถึงแห้งแล้งแบบทุ่งหญ้า หากศึกษาอย่างแท้จริงจะพบว่า คนโบราณเขาใช้พื้นที่ดินในแต่ที่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติ อยู่อย่างสงบสุข จนเป็นแหล่งที่มีพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติมากมาย มาช้านาน
    แต่อนิจาการพัฒนาประเทศที่ขาดความรู้ความเข้าใจในแต่ละพื้นที่ ยิ่งพัฒนาคนยิ่งยากจนจน หนี่สินล้นพ้นตัวยิ่งแก้ก็ยิ่งสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ คนอิสานส่วนมากไม่น้อยที่จำยอมตกเป็นเครื่องมือ ของกลุ่มคนที่ฉลาดที่ขี้โกง  ผลจึงเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ วิธีแก้มีอยู่หลายวิธี อย่าสุกเอาเผากิน ต้องลงมือทำจริงๆ เลิกเสียที่จะมองหาแต่ปัญหาปัญหา
    หันมาค้นหาสิ่งที่ดีๆ ของแต่ท้องที่ ของอิสานที่เป็นหนึ่งเดียวของตำบลหมู่บ้าน ของประเทศ จนถึงของโลก หันมาพัฒนาคนให้คนรู้จักตัวเองรากเง้าของตัวเอง ท้องถิ่นของตัวเอง แล้วกลับมาช่วยให้เขากลับมาช่วยพัฒนาตนเองเอง รักและภูมิใจในท้องถิ่น ให้เขาได้เป็นเจ้าของพื้นดินท้องถิ่น เขาก็จะรักท้องถิ่นพื้นแผ่นดินเกิด ประวัติศสตร์ชาติไทย มีชาวอิสานเป็นส่วนหนึ่งที่ปกป้องแผ่นดินถิ่นอิสาน ไม่แพ้ภาคอื่นๆ ทำไมคนอิสานจึงต้องเดินในเส้นทางที่ทางที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ   เงินอย่างเดียวไม่สามารถพัฒนาคนอิสานได้ หากละเลยการการพัฒนาให้คนอิสานสามารถดำรงชีพได้อย่างพอเพียงเสียก่อน

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 12:32

    ที่คนตกงานนะมีหลายมุมมองค่ะพ่อครู หนึ่งตกงานเพราะทำเป็นแต่เลือกงานทำ หนึ่งตกงานเพราะทำเป็นแต่ไม่มีงานให้ทำ หนึ่งตกงานเพราะอยากทำแต่ทำไม่เป็น  หนึ่งตกงานเพราะทำไม่เป็น แล้วก็ไม่อยากทำ

    แล้วที่รัฐอบรมอาชีพให้นะ รัฐดูแลคนพวกไหนกันนะพ่อ ที่เคยไปนะถึงพวกไหนเท่าไรรู้บ้างมั๊ยนะ ช่วยเหลือแบบสะเปะสะปะ แก้ไปร้อยปีมันก็ปัญหาเดิมๆ

    เข้าใจค่ะว่าเป็นเรื่องด่วน แต่มองเห็นว่า ทำแบบสุกเอาเผากินซะมากกว่า

    ที่กระบี่นะมีปัญหาตรงที่ มีงานให้ทำแต่คนไม่อยากทำ มีงานให้ทำแต่คนให้ทำเลือกรับคนเก่งเท่านั้น  มีงานให้ทำแต่คนทำไม่เป็นคนให้ทำจึงรับไว้ไม่ได้ 

    โจทย์ที่ตั้งขึ้นเรื่อง ฝึกอาชีพอะไร มันปลายเหตุมากๆ  รัฐตั้งโจทย์ผิดรึเปล่าค่ะนี่ สำหรับหน้าที่แลประชาชน

    โจทย์ที่ตั้งมา เป็นการพัฒนาคนเป็นระยะสั้นสำหรับภาวะฉุกเฉิน ที่ใช้แบบเหมาโหล สุกเอาเผากินไปหน่อยนะพ่อครู  การช่วยแบบนี้จึงหวือหวาเหมือนแฟชั่น ที่ให้ผลแบบปล่อยโคมลอยที่เชียงราย ปล่อยแล้วถือว่าจบกัน โคมจะลอยไปถึงไหนก็ช่างมัน

    สำหรับการช่วยเหลือฉุกเฉิน เสนอให้สำรวจอาชีพที่มีงานทำแต่ขาดคนทำงานก่อนซิค่ะพ่อครู  ส่วนตัวเชื่อว่าทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐ ยังมีงานที่ต้องการคนทำอยู่ ซึ่งถูกซ่อนอยู่โดยรัฐไม่รู้ 

    หากจะช่วยให้มีอาชีพจริง  รัฐควรจะมีมาตรการเสริมเรื่องจัดตลาดหางานให้ทำไปด้วยเลย มันก็จะสมน้ำสมเนื้อกับทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายทำงานและฝ่ายอยากได้คนทำงาน อบรมแล้วปล่อยไปตามยถากรรมแบบเดิมๆ  คนที่ตกงาน 4 กลุ่มข้างบนก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ลดกลุ่มใดลงก็ไม่ได้เลยสักกะกลุ่ม  อบรมแล้วควรสามารถลดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งลงไปได้ ถึงแม้ไม่หมดก็ยังดีกว่าเพิ่มขึ้น

    ยิ่งถ้านำแนวคิดของพี่หลิน ฮุ่ย น้องสร้อย ไปเติมใส่ด้วย ยิ่งแจ๋วเลยพ่อกับการจัดกลุ่มผู้ขอมีอาชีพ

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 12:42

    จัดกลุ่มพวกขอมีอาชีพได้แล้ว คำตอบจะออกมาเองว่า หลักสูตรอบรมนะน่าจะมีอะไรบ้าง แนวคิดของพี่หลิน กับน้องสร้อย จะนำไปใช้ได้กับการสร้างอาชีพใหม่ ที่คนทำงานกับคนให้งานทำเป็นคนๆเดียวกัน สวนป่าจะมีโอกาสดึงคนอีสานกลับบ้านเกิดคราวนี้แหละค่ะ  

    กระบี่เป็นถิ่นเกษตรเหมือนทางอีสาน คนหลายคนที่ตกงาน วิ่งกลับมาบ้านแล้วไม่กลับไป กลับมาสร้างอาชีพใหม่ มาเริ่มทำอะไรกับที่ดินที่พ่อแม่สร้างไว้พอสมควร 

    และเช่นเดียวกัน ตลาดแรงงานที่นี่ก็ดึงดูดให้มีคนจำนวนมากอพยพมาเพื่อหางานทำแบบชั่วคราวเยอะไปหมด  เห็นด้วยกับพี่หลินในเรื่องที่ต้องพัฒนาคนให้รู้จักตัวเองไปด้วย ไม่ใช่เอาแต่หลักสูตรอบรมอาชีพ เพราะว่า บางคนเลือกงานง่ายๆ ทำงานไม่สุจริตผิดกฎหมายกันไปเลย พัวพันกันไปหมด จึงต้องตั้งหลักให้เหมาะควรและมองยาวๆไว้ค่ะ ไม่ใช่สุกเอาเผากินทำแล้วไม่ดูผลอย่างที่ทำๆกัน

  • #5 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 16:16

    ผมคิดว่ามีเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนสองเรื่องครับ คือ (1) ทำอย่างไรจึงทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ แม้จะไม่เถิดเทิงเหมือนกับตอนที่มีเงินจับจ่ายใช้สอย และ (2) การจัดการกับหนี้สิน และทุนรอนสำหรับสร้างอนาคต รวมถึงหลักประกันสุขภาพ การศึกษา การลงทุนสำหรับอนาคต ฯลฯ

    ในเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเข้าใจอยู่ว่าจะให้ทุกอย่างเหมือนเดิม กลับไปเป็นอย่างเดิมนั้น ไม่ได้หรอกครับ; สิ่งที่เคยทำมาก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ยั่งยืน พึ่งตนเองไม่ได้ แค่โดนเลิกจ้างชีวิตเหมือนจะแตกสลาย

    ชีวิตเกิดจากดิน ดำเนินไปเพื่อรอเวลากลับสู่ดิน ในระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตนั้น บางทีเราอาจจะขอยืมวัตถุดิบของชีวิตจากลูกหลานเหลนโหลน แล้วคืนให้เขาก่อนเราจากไป โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้ดีกว่าที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันได้ ไม่ปล่อยให้พื้นดินรกร้างว่างเปล่า ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่

    บันทึกและความคิดเห็นในเรื่องข้าน้อยขอสนองรับสั่ง… ของพี่บางทราย น่าจะเป็นแนวทางที่จะช่วยหาทางออกให้กับเรื่องเร่งด่วนทั้งสองได้ดีครับ

    ผมใช้คำว่าแนวทาง เพราะว่าปัญหาที่ไม่เหมือนกัน จะใช้คำตอบเดียวกันไปแก้ไข มักจะใช้ไม่ได้ครับ ดังนั้นในส่วนของการอบรม จึงน่าจะให้แง่คิดเพื่อที่แต่ละคนนำไปปรับใช้ มากกว่าการบอกว่าทำอย่างนี้อย่างนั้น

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 20:54

    แถมหน่อยครับ น่าจะเคยเอามาให้ดูแล้ว แต่ว่า ชีวิตมีทางออกเสมอ…ถ้าอยากจะหาทางออก

  • #7 น้องจิ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 มกราคม 2009 เวลา 19:57

    ตกงานไม่เท่าไหร่ ….ตกในห้วงกิเลสแห่งหัวใจนี่สิน่ากลัวค่ะพ่อ

  • #8 โปรแกรมบัญชี ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มกราคม 2009 เวลา 1:56

    ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.057690143585205 sec
Sidebar: 0.063630819320679 sec