จุดไต้ไม่ตำตอ
อ่าน: 3966(เมืองหาดใหญ่อยู่ลิบๆเบื้องล่าง)
ล่องใต้คราวนี้ มีเรื่องสนุกจนเหนื่อยหมดแรง ไม่ได้เขียนบล็อกไปหลายวันเพราะติดลูกพัวพันกับงานรับใช้หลวงพี่ติ๊ก ผมกราบเชิญท่านทีไรท่านไม่เคยขัดข้อง ยากแค่ไหนหลวงพี่ก็มาให้ทั้งๆที่ระดับท่านนั้นธรรมดาที่ไหนละ มีงานล้นย่ามตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อท่านเชิญมาผมรีบสนอง เป็นงานอบรมพระธรรมฑูต5จังหวัดชายแดนภาคใต้รุ่นที่1โครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนา หลักสูตร“วิทยากรกระบวนการ พัฒนางานกระบวนธรรม” กลุ่มพัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่ดีงาม fa for d (facilitator for developmant of decency) ณ วัดโคกสมานคุณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
(ประธานบริษัทสยามแฮนด์บรรยายธรรมด้วยฝีมือและลีลามืออาชีพชั้นครู)
งานนี้รอดตัวกลับมาได้เพราะมีคุณอัมรา พวงชมพู เจ้าของบริษัทสยามแฮนด์ ที่ผลิตเสื้อแตงโมอันลือลั่นร่วมเป็นวิทยากร หลวงพี่จัดงานไม่ธรรมดาเลยนะครับ มีวิทยากรระดับบิ๊กๆมาทั่วภาคใต้ มีท่านเจ้าคุณ-เจ้าคณะภาค-พระผู้ใหญ่มาร่วมด้วยช่วยกัน งานถวายความรู้พระสงฆ์ผมไม่ถนัดเสียด้วย จ้องแต่จะเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ หลังจากจบการบรรยาย หลวงพี่ติ๊ิกชวนพระทั้งหลายให้ศีลให้พร พร้อมกับให้ลงความเห็น ว่าควรจะเชิญ2คนนี้มาอีกหรือเปล่า ถามกันต่อหน้า..ท่านใดละครับจะกล้าบอกว่าไม่ต้องการ เป็นการมัดมือชกที่แยบยลมาก สาธุ จึงตกลงรับอาสาว่าจะมาอีกในวันที่ 2 มิถุนายน 2553
(แอมเปร์ที่อยากเจอ เป็นเด็กร่าเริง สนใจเรียน เสียงเสน่ห์เวลาพูดสำเนียงใต้)
พันธกิจผมเรียนร้อยในช่วงเช้า ช่วงบ่ายคุณแม่หนูแอมแปร์กับแป๊ดและ2หลานสาวมารับไปเที่ยว แป๊ดเองก็ติดงานแต่ไม่รู้ใช้คาถาไหนเบี้ยวออกมาพาพ่อเที่ยวได้ ก่อนจะลุยก็พาไปเติมพลังเสียก่อน เป็นร้านอาหารเมนูใต้ล้วนๆที่ทำให้คนชิมเป็นชาวใต้ได้อย่างไม่ยากเย็น คนที่นี่แปลก ชอบรับประทานขนมจีนกับไข่ต้ม แป๊ดสั่งอาหารและขนมแปลกๆอร่อยๆมาให้ชิม เติมน้ำมะพร้าวลงไปอีกลูกหนึ่ง อิ่มจนอืดเลยละขอรับ ..เราขับรถข้ามสะพานไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่เกาะยอ หลังจากที่เคยมาเมื่อ30กว่าปีมาแล้ว เกาะยอวันนี้จำแทบไม่ได้ ในอ่าวมีการเลี้ยงปลาในกระชัง ตัวพิพิทธภัณฑ์สะท้อนตัวตนและวัฒนธรรมพื้นถิ่นได้อย่างครบครัน เราเดินห้องนี้เข้าห้องโน้นขึ้นๆลงๆตามห้องแสดง ที่จัดไว้ลดหลั่นตามสภาพของไหล่เขา อันดับแรก ไปเจอรูปหล่อโลหะกลุ่มการแสดงมโนราห์ก็คุ้มแล้วละครับ เจ้าน้องฟ้าชวนพ่อรำแสดงท่าตามอย่างสนุก ส่วนน้องแอมเปร์เป็นเด็กร่าเริงคุยเก่งขนตางอนเช้ง..เด็กๆสนุกคุณแม่ก็ชมเพลิน เพราะเพิ่งมาครั้งแรกเหมือนกัน ห้องที่รวบรวมผ้าทอพื้นถิ่นมาแสดงอย่างหลากหลาย ผมไปเจอผ้าที่ทอป็นตัวอักษรมีข้อความยาวๆ ไม่ทราบว่าทำได้ยังไง นับเป็นเรื่องภูมิปัญญาชั้นสูงระดับมหัศจรรย์เลยละครับ ท่านใดไปชมอย่าลืมสังเกตเรื่องนี้
(พี่ป้าน้าอา ดูเจ้าตัวเล็กชวนพ่อรำมโนราห์สิครับ จ๊าบบบบบบบส์ จริงๆขอบอก)
กว่าจะลงจากเกาะยอได้ก็บ่ายคล้อยแล้ว ขับรถลงแพขนานยนต์ ข้ามไปยังฝั่งเมืองสงขลา ตรงไปยังวัดบ่อยาง ตั้งใจไว้นานแล้วจะไปกราบหลวงพี่ชัยวุธ มาคราวนี้สมใจนึกแล้วครับ อิ่มบุญอิ่มใจตั้งแต่โผล่เข้าไปก็เจอท่านนั่งรออยู่ใต้ร่มต้นมะขามขนาดใหญ่หลายคนโอบ ท่านเมตตาพาเดินชมวัด ผมชอบส่ายตาหาต้นไม้ใหญ่ในวัด และแล้วก็เจอเรื่องที่คาดไม่ถึง วัดบ่อยางแห่งนี้จะมีขุมทรัพย์ชั้นยอดที่หาเปรียบไม่ได้ หลังวัดมีต้นจันท์นขนาดยักษ์อายุหลายร้อยปี คงปลูกตั้งแต่สมัยที่มีผู้คนมาตั้งรกรากที่เมืองสงขลาโน่นแหละ ต้นที่ศาลากลางจังหวัดลำพูนใหญ่แล้ว ต้นจันท์นที่วัดบ่อยางใหญ่กว่ามากนัก มองไกลๆเหมือนต้นก้ามปูขนาดยักษ์ กำลังออกดอกช่อเล็กๆ หลวงพี่บอกว่าเป็นพันธุ์ลูกสีเหลือง มีร่องรอยคนไปจุดธูปขอหวยแล้วทำไฟไหม้ ยังดีที่ดับได้ทำให้ต้นไม้รอดตายมาจนถึงเท่าทุกวันนี้ จัดบริเวณให้ร่มรื่น เป็นที่ให้คนมาศึกษาและชื่นชมกับต้นจันท์นที่ประมาณอายุประมาณคุณค่าไม่ได้ อายุคงเท่ากับเมืองสงขลากระมัง ทำป้ายบอกไว้ ..นักท่องเที่ยวคงจะอยากมาชม “ต้นไม้ใหญ่หนึ่งเดียวในประเทศ” เท่าที่มีการค้นพบ ต้นพิกุล ต้นลั่นทม ต้นมะขามยักษ์ ล้วนแต่มีอายุนับร้อยปีขึ้นไป ต้นไม้เก่าแก่ระดับก๋งเรียกพี่นอกจากเป็นหน้าตาให้แล้ว ยังเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่น่าทะนุบำรุงรักษาไว้รอการชื่นชมต่อๆๆไป ไม่แน่นะครับ วัดบ่อยาง อาจจะเป็นวัดบ่อทอง ก็ได้
(ใครอยากวาสนาดี เชิญมากราบหลวงพี่ชัยวุธ)
หลวงพี่พาไปกราบพระในโบส์ถ ได้ไปดูต้นมะม่วงที่ท่านเขียนถึงในบล็อก ได้ของฝากเป็นไข่ครอบที่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก นับเป็นภูมิปัญญาทางด้านการถนอมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์พื้นถิ่น ท่านฝากมาถึงชาวเฮด้วย ผมหิ้วมารอแล้วนะครับ ยังไม่ชิมเกรงว่าจะหมดก่อน..ใครไม่มาถือว่าสละสิทธิ์ ส่วนใครมาช้าอาจจะได้แค่ล้างจาน หลวงพี่เล่าว่า ..วันแรกที่ท่านมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ผึ้งหลวงรังขนาดใหญ่ก็ย้ายตามมาเกาะที่ต้นมะขาม สวรรค์มีตาจัดส่งมาแสดงความยินดีและคอยปกปักรักษาวัดแห่งนี้ เรามาจัดงานเฮฮาศาสตร์ที่นี่ก็ดีนะครับ ที่นอนที่กลิ้งมีเยอะ ท่านบอกว่าทำอะไรก็สะดวก จึงขอบอกญาติโยมทั้งหลาย มาใต้ไม่ได้แวะวัดบ่อทองก็เหมือนมาไม่ถึง วาสนาจะพิการอย่างน่าเสียดายเชียวแหละ เพราะขุมพลังปัญญาอยู่ที่ท่านหลวงพี่นี่แหละ คุยกันสั้นๆแต่ได้การบ้านมาคิดต่อไปอีกยาว
(ลูกหลานเมืองใต้ สดชื่น สนุกสนาน มีความสุข เป็นคนเก่ง คนดี)
ออกจากวัดขับรถผ่านย่านธุรกิจไปหน่อยเดียว ก็ถึงชายทะเลที่จัดไว้เป็นสวนสาธารณะของเมือง เป็นที่พักผ่อน-ออกกำลังกาย ได้ไปเจอพญานาคตัวใหญ่ที่สุดในโลกกำลังพ่นน้ำลงหน้าอ่าวท่าเรือสงขลา พญานาคที่ว่านี้ตัวยาวนับกิโลเมตร กลางคืนสวยงามมาก ช่วงตะวันตกดินบรรยากาศก็คงงดงามเช่นกัน เรียกว่ามาที่นี่ถ่ายรูปกันเพลินเลยละครับ ใกล้ๆกันเป็นพื้นที่แสดงอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้คนมาเที่ยวกันขวักไขว้ ใครไปใครมาอย่างลืมแวะเน้อ เข้าวัดบ่อยางแล้วย่างเดินทอดน่องทอดใจไปในทะเลสงขลา แป๊ดพาแวะร้านอาหารอีกแล้ว ตั้งอยู่ริมชายหาดฟังเสียงคลื่นซัดสาดแกล้มเมนูเด็ด ขนาดว่าอิ่มแล้วก็ยังบรรจุลงไปอีก แบบนี้..ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่?..ก็ไม่รู้ มื้อนี้แอมเปร์เป็นเจ้าภาพ บอกได้คำเดี๋ยวว่าประทับไว้ในใจ..
(โรงแรมที่พัก-กับฝนฉ่ำสุวรรณภูมิ)
ดึกแล้วคุณขา แยกย้ายกันกลับเคหา
แป๊ดพามาพักที่โรงแรมแห่งเดิมที่เคยนอนกับหลวงพี่เม้งเมื่อเจอกันครั้งแรก
เป็นที่พักที่สุดยอดด้านการออกแบบ สวย สงบ สะอาด
คอมฯเดี้ยงเหนื่อยด้วยจึงนอนป๊อกเดียวถึงเช้า
แป๊ดมาถึงพร้อมกับของฝากอีก 1 กระเป๋า กับ 1 กระสอบ
เอามาฝากน้าอึ่งให้หนำใจ
ลาก่อนหาดใหญ่น้ำใจงาม..
เจ้านกยักษ์บินฝ่าเมฆฝนเรื่อยมา ดูคล้ายกับเราไปชวนฝนกลับบ้านด้วย ช่วงที่ร่อนทะลุพายุฝนถ่ายรูปไว้หลายฉับ พอถึงสุวรรณภูมิฝนก็เทลงมาไม่ลืมหูลืมตา รีบจับแท๊กซี่ไปบริษัทนครชัยแอร์ ระหว่างทางเจอรถอุบัติเหตุ เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง นึกว่าจะตกรถเที่ยวนี้เสียแล้ว สุดท้ายก็หลุดคำว่าแห้วมาได้อย่างใจหายใจคว่ำ ใกล้เที่ยงพนักงานเอาข้าวกล่องมาแจก ผมงัดเอาหมูย่างของฝากน้าอึ่งมาทดสอบ พบว่าของเขาอร่อยจริงๆด้วย ถ้าไม่เกรงใจคนฝากคงล่อเกลี้ยงไปหลายกล่อง ถึงบุรีรัมย์เข้าตลาดไปสำรวจผักพื้นเมือง ไปเจอคนขายอึ่ง (แสดงว่าฝนตกหนักจนอึ่งออกมาให้จับ) นึกได้ว่าวันเกิดน้าอึ่งเพิ่งจะผ่านไป แห้วศรีซื้ออึ่งอ่างมาครึ่งกิโล ราคา90บาท เอามาปล่อยหลังบ้านเป็นการกุศลให้น้าอึ่ง ขอให้สวย ขอให้สวย เหมือนอึ่ง คิ คิ
(ท่าเมาหมูย่าง-แมลงเม่าเมื่อคืน-ของฝาก-อึ่ง-ที่ซื้อมาปล่อย)
ที่สวนฝนตกหนักก่อนเรามาถึง
อากาศเย็นสบาย
แต่กลางคืนหลังฝนหมาดๆเช่นนี้
แมลงเม่าไม่รู้กี่ล้านตัวมาเล่นไฟ
ปลาในบ่อออกมาดินเนอร์แมลงจนท้องกาง
เราช่วยกันทำกับข้าวเมนูพิศดาร
อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันนิทรา
พรุ่งนี้ก็จะตั้งท่ารับเครือญาติระลอกแรก
พระอาจารย์JJ ส่งรายชื่อนักรังสีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ขอนแก่นมาแล้ว
ล้วนเป็นนายแพทย์ผู้ใหญ่จะมากินข้าวมื้อเที่ยงวันที่ 5 ด้วย 15-20 ท่าน
ท่านใดทราบข่าวนี้ รีบยื่นวีซ่าแล้วตามมาแสดงฝีมือให้ปรากฎ
ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมอิ่มอกอิ่มใจ
มาไวเท่าไหร่ได้กำไรเท่านั้น ขอบอก
ใครไม่ได้มาก็คอยอ่านเอาเรื่องก็แล้วกัน
ขออนุโมทนาสาธุกับทริปนี้
ขอให้บังเกิดความยินดีทั่วหน้าด้วยกันทุกท่านเทอญ
แคว๊กๆ..
« « Prev : วิถีชนบทไทยทำยังไงถึงไม่เจ๊ง
Next : สัปดาห์จิตวิทยาในสวนป่า » »
3 ความคิดเห็น
คอยด้วยใจจดจ่อ ใคร่จะอ่านบันทึกคุณโยมครูบาที่มีส่วนร่วมด้วย (………..) น้องจากเมืองนอกถามว่าคุยอะไรกันบ้าง ก็บอกว่าคุยโน้นคุยนี่นิดๆหน่อยๆ มัวแต่ปลื้ม….
ญาติโยมกลับกันแล้ว แต่ไฟยังค้างอยู่ ตรึกว่าครูบาอาจสงสัยหรือถูกถามว่าทำไมชื่อ “ไข่ครอบ” ?
อันที่จริง สมัยก่อนจะจะมีเปลือกไข่อีกฟองหนึ่งครอบไว้เป็นฝา มองดูคล้ายๆ ไข่แฝดลูกใหญ่ แต่ตอนหลังอาจเป็นเพราะทำขายจำนวนมากและไม่สะดวกบางอย่าง ไข่ครอบจึงไม่มีฝาครอบ ไม่ว่าของเจ้าใด แต่ยังคงชื่อว่าไข่ครอบเหมือนเดิม…
เจริญพร
นมัสการหลวงพี่
ถ้าเขาคงฝาครอบไว้ จะมีความพิเศษกว่านี้
แต่ได้ทราบที่ไปที่มาก็จะอธิยายต่อ
เย็นนี้เราจะเอาออกมาชิม ชุดแรก ขอรับ
ผมประทับใจวัดบ่อยางมาก จะชวนใครๆมาเที่ยวบ่อยๆ
สาธุ
โชดดีอีกขั้นหนึ่ง ได้พบครูฌองกับลูกชายด้วย
เสียดายมีเวลาน้อยมาก
เรื่องที่อยากจะคุยขอติดไว้ก่อน อิอิ