โครงการไทยเข้มแต่ไม่แข็ง

อ่าน: 2680

วันนี้มีตัวแทนชุมชนฝั่งทุ่งกุลาร้องไห้มาเยี่ยม พร้อมกับเอาข้าวหอมมะลิใหม่มาฝากหลายถุง เป็นกลุ่มที่เคยมาอบรมที่สวนป่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็กลับไปสร้างเครือข่ายทำข้าวอินทรีย์ รวมกลุ่มกันทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ละเลิกปุ๋ยและสารเคมี 100% คุยว่าข้าวสารที่เอามาฝากมีกลิ่นหอมนิ่มอร่อย ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะทดลองหุงและทำเป็นข้าวต้มพิสูจน์ ผู้นำเล่าว่าตั้งใจจะมาเล่าความเป็นไปให้ฟัง และอยากจะขอเชิญให้ไปเยี่ยมและนอนคุยกับชาวบ้าน 1 คืน ช่วงนี้ก็ไม่ว่างเสียด้วยสิครับ จึงขอเลื่อนรายการลุยทุ่งไปก่อน   พร้อมเมื่่อไหร่จะไปนอนทุ่งกุลาร้องไห้

กลุ่มบ้านเก่าน้อยป่าโนนซาดโนนเพ็กพัฒนา อยู่ที่หมู่2 ตำบลหนองบัวแก้ว อำเภอพยัคษฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อยู่ในพื้นที่บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเกษตรอำเภอและสำนักงานเกษตรจังหวัดมหาสารคาม ได้รับเงินทุนหมุนเวียน พันธุ์ข้าว และด้านวิชาการผลิตข้าวอินทรีย์ ในกลุ่มทำนาดำทั้งหมด ใช้แรงงานคนเกี่ยวข้าว ปีนี้ฝนดีและเก็บเกี่ยวทันฤดูกาล เมล็ดข้าวที่ได้จึงสมบูรณ์ดี ในกลุ่มมีโรงสีเป็นของตนเอง สีข้าวบริการกันเอง และส่วนหนึ่งสีเป็นข้าวกล้องจำหน่าย ถุงละ 5 ก.ก. ราคาประมาณ 200 บาท ปีนี้พัฒนายกระดับถึงขั้นผลิตพันธุ์ข้าวหอมมะลิจำหน่ายในราคา ก.ก.ละ 22-28 บาท

ข้าวที่เอามาฝาก มีทั้งข้าวขัดขาวและข้าวกล้อง

ผมถามว่า..ในหมู่บ้านกินข้าวกล้องกันไหม?

ชาวบ้านบอกว่า..บ่ได้กิน เขานิยมกินข้าวเหนียว

อ้าว! ข้าวอินทรีย์คุณภาพดีที่คุย ๆ นี่นะ ..ไม่มีครอบครัวไหนเปิบกันเลย

โธ่ๆๆๆ..อุตส่าห์ผลิตอาหารได้คุณภาพดี

แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการบำรุงสุขภาพในครัวเรือนตนเอง

คุยกันหลายเรื่อง โยงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับการดูแลสุขภาพในชุมชน ชาวบ้านยังนิยมซื้ออาหารจากรถพุ่มพวงและร้านค้า ใครปลูกผักหญ้ากินเองถือว่าด้อยหน้าตา ถ้าเป็นอย่างนี้ แผนการพัฒนาชุมชนมีปัญหาแล้วละครับ ชาวบ้านยังอยู่ในกระแสเถื่อนที่ล้างสมองให้ดำเนินชีวิตแบบหัวมงกุฎท้ายมังกร งบไทยเข้มแข็ง งบกองทุนหมู่บ้าน การแก้ไขหนี้นอกระบบ การประกันราคาสินค้า เงินยืมบ้า ๆ บอ ๆ อีกเป็นกะตั๊ก ไม่ได้มีส่วนสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่เจาะลึก ดูแต่รายงาน ก็จะเห็นภาพลวงตา และโชว์ตัวเลขที่สวยหรู แบบนี้พัฒนาให้ตายก็กลับมาอีหรอบเดิม “ไทยเข้มแต่ไม่แข็ง”

แม่หวีเอาน้ำเสาวรสมาเลี้ยง

เอาน้ำสมุนไพรปั่นมาให้ชิม

ฝากฟักทองกลับบ้าน

ฝากต้นสมุนไพรให้ไปปลูก

ชวนปลูกข้าวมะลิแดง

และนัดกันว่าผมจะกินข้าวด้วย

แต่มื้อพิเศษนั้นขอให้ข้าวบ้านลืมปั้นข้าวเหนียวสักมื้อหนึ่ง

ทุกครัวเรือนหุงข้าวกล้องมะลิที่แช่ข้ามคืนให้เป็นข้าวงอก

แล้วเราจะลองกินข้าวกล้องพร้อมเพรียงกัน

เรื่องการยกระดับวิถีชีวิตไปสู่การสร้างวิถีชีวิตและเสริมสุขภาพดี

ไม่ง่ายเลยอย่างที่ท่านบางทรายฝ่าฟันอุปสรรคมายาวนาน

แม้แต่การกินข้าวให้ได้ประโยชน์ต่อตัวชาวนาเองก็ต้องมีกุศโลบาย

คนที่ทำนามาตลอดชีวิต..วันนี้จะต้องมาเรียนรู้วิธีกินข้าว

โธ่ๆๆ เรื่องสุขภาวะชุมชนนี่มันเป็นเส้นผมบังภูเขาจริง ๆ นะครับ

แคว๊กๆๆ

« « Prev : ความทุกข์-สุข ต้นปี2553

Next : คนเพี้ยนโลกพัง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 มกราคม 2010 เวลา 23:40

    หะ แรกดีใจที่พ่อครูเล่าว่าพี่น้องทุ่งกุลาเอาข้าวอินทรีย์มาให้
    แต่เมื่อพ่อครูถามว่ากินอะไร กลับไปกินข้าวเหนียว…อือ…
    ผมย้อนไปนึกถึงสมัยแรกๆที่ผมทำงานพัฒนาที่สะเมิง เชียงใหม่
    ชชาวบ้านที่มาช่วยงาน ให้ทำอะไรทำหมด นิสัยใจคอก็เป็นชาวบ้านธรรมดา
    แต่เมื่อพวกเราไปขอชาวบ้านสีข้าวกล้องมาหุงกินนั้น
    ชาวบ้านที่มาช่วยงานเรากลับแอบไปหุงข้าวขาวกิน…????

    อ้าว…มันเรื่องอะไรกัน คนนอกหาข้าวกล้องกิน คนใน(ชุมชน) กินข้าวขาว
    เรื่องนี้น่าจะมีรายละเอียดถึงเหตุถึงผลของเขา  แต่อย่างไรก็ตาม
    การเปลี่ยนโลกทัศน์ ค่านิยมของคนนั้นเป็นงานใหญ่
    ——-

    เรื่องที่พ่อครูที่เล่าให้ฟังนั้น เป็นประเด็นใหญ่ของงานพัฒนา
    ….คุยกันหลายเรื่อง โยงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับการดูแลสุขภาพในชุมชน ชาวบ้านยังนิยมซื้ออาหารจากรถพุ่มพวงและร้านค้า ใครปลูกผักหญ้ากินเองถือว่าด้อยหน้าตา ถ้าเป็นอย่างนี้ แผนการพัฒนาชุมชนมีปัญหาแล้วละครับ ชาวบ้านยังอยู่ในกระแสเถื่อนที่ล้างสมองให้ดำเนินชีวิตแบบหัวมงกุฎท้ายมังกร งบไทยเข้มแข็ง งบกองทุนหมู่บ้าน การแก้ไขหนี้นอกระบบ การประกันราคาสินค้า เงินยืมบ้าๆบอๆอีกเป็นกะตั๊ก ไม่ได้มีส่วนสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่เจาะลึก ดูแต่รายงาน ก็จะเห็นภาพลวงตา และโชว์ตัวเลขที่สวยหรู แบบนี้พัฒนาให้ตายก็กลับมาอีหรอบเดิม “ไทยเข้มแต่ไม่แข็ง” …..

    งานพัฒนาโดยรัฐนั้น ทำเป็นชิ้นๆ เหมือนระบบผู้ชำนาญการ เหมือนหมอเฉพาะทาง ใครทำงานดิน ก็เอาแต่ดินๆๆๆๆๆ ใครทำเรื่องข้าวก็ข้าวววววว ฯลฯ แต่ชีวิตนั้นมันทั้งหมดไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อเอาทุกอย่างมาบูรณาการกัน นั้น การบูรณาการของครอบครัวนาย ก ก็ไม่เหมือนการบูรณาการของนาย ข เพราะเงื่อนไขของครอบครัวต่างกัน เช่นที่ดิน แรงงาน ทุน ความรู้ ความเข้าใจ ความถนัด ความชอบ โลกทัศน์ ชีวทัศน์  นี่แหละคืองานพัฒนาโดยรัฐที่หน่วยงานเป็นผู้ชำนาญการเฉพาะด้านไป ไม่ใช่ความผิดของข้าราชการนะครับ แต่ประเทศไหนๆก็เป็นแบบนี้

    ถามว่าแล้วจะทำอย่างไรถึงจะดีกว่านี้  เราต้องการผู้บริหารที่เห็นการบูรณาการเป็นเรื่องจริงจัง เราต้องการชาวบ้านที่เห็นความสำคัญของการลดการพึ่งพาข้างนอก ขณะเดียวกันเราต้องการเห็นชาวบ้านพึ่งพากันและกันด้วยทุนทางสังคมเป็นรากฐาน  ซึ่งไม่ง่ายเหมือนแม่ครัวฝีมือเอกที่ต้มแกงได้รสถูกปาก แต่การพัฒนาคน พัฒนาชุมชน นั้นเราไม่สามารถปรุงอะไรได้ด้วยตัวเราเอง สังคมซับซ้อนมากกว่าการปรุงเครื่องแกง  สังคมซับซ้อนมากกว่าการยึดหลักการตรงไปตรงมา

    ยิ่งร้ายไป คือ เราไปสร้างชาวบ้านที่มีครอบครัว ในชุมชน กว่าจะได้มาแต่ละคน แต่ละครอบครัว ก็ยากเย็น ใช้เวลาเป็นปีปี  แต่เจ้าเด็กวัยรุ่นที่โตขึ้นมานั้น มันวิ่งไปตามกระแสบริโภคมากกว่าจะหาความรู้แท้จริง สุดที่เราจะวิ่งไปสกัดกั้นไว้ให้ได้หมด  ดูซิครับ เดี๋ยวนี้รถมอเตอร์ไซด์ มันล่อให้ดาวน์เพียง 1 บาท (หนึ่งบาท)เด็กในชุมชนมีหรือจะไม่วิ่งไปเอาออกมาขี่เล่น  งานพัฒนาคน พัฒนาชุมชนมันมากมายทำกันไม่หมดไม่สิ้นครับ  แตะตรงไหนเป็นงานไปหมด

  • #2 handyman ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 2:04

       และแล้วมันคงไม่พ้นที่จะต้องกล่าวซ้ำอีกว่า ” การศึกษามันผิดพลาด ” พลาดไปหมดตั้งแต่การศึกษาจากพ่อแม่ในครอบครัว และการศึกษาในระบบโรงเรียน  ไม่ต้องดูอะไรมากครับ อบรมเลี้ยงดู สั่งสอนกันอีท่าไหนเล่าถึงได้ผลผลิตออกมา มีความอ่อนด้อยไปเสียแทบทุกด้าน ที่เห็นเด่นชัดสัก 2-3 รายการ ได้แก่

    1. เรียนรู้แต่เรื่องไกลตัว  เรียนจนไม่รู้จักตัวเอง
    2. ดูถูกตัวเอง พ่อแม่ ดูถูก “เหงื่อ” และการใช้แรงงาน
    3. ยิ่งเรียนยิ่งวิ่งหนีธรรมชาติ  เห็นการปรุงแต่งทุกชนิดว่าคือ ความเจริญ หรือการพัฒนา
    4. ฯลฯ

                นั่นคือต้นตอ ที่มาของการ “ไปไม่ถึงไหน” ของพัฒนาในทุกๆเรื่อง  
        ทางแก้หรือผ่อนหนักเป็นเบาน่าจะได้แก่

    1. จัดการใหม่ให้การศึกษาในโรงเรียน เน้นการเรียนรู้ที่เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัว และเรียนรู้อย่างมีความหมาย ให้รักธรรมชาติ รักถิ่นฐาน รักการงาน หนักเอาเบาสู้ .. ทำอย่างไรให้ไปคิดกันดู
    2. วิทยุ หนังสือพิมพ์ สื่อมวลชน ต้องมีรายการที่ตอกย้ำสำนึกที่ถูกต้องอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขความหลงผิด ดึงผู้คนที่ผ่านระบบการศึกษาแบบผิดๆมาแล้ว ออกมาเสียจากกระแสแห่งความเป็นทาสทุกรูปแบบ .. แต่ทำได้แค่ไหนพอใจเท่าที่ได้ เพราะงานนี้ยากและหนักแน่นอน .. ก็คนส่วนมากมันเคยชินต่อ “การรอเสวยผล โดยไม่ต้องสร้างเหตุ” มายาวนาน เป็น “นิสัยถาวร” เสียแล้วเป็นส่วนใหญ่
    3. ฯลฯ

       อิ อิ อิ .. แคว้ก ๆๆ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 5:28

    การบ้านของเมืองไทยและคนไทย
    จุดเล็กๆแต่แผลใหญ่มาก กำลังขยายไปเรื่อยท่ามกลางความวิตกกังวลของคนที่ใกล้ชิดอย่างเราๆ
    กระบวนการเป็นปัญหา วิธีการก็สับสน
    น่าสงสารคนไทย มีพร้อมทุกอย่างแต่ทำอะไรไม่ได้เท่าที่ควร
    เรื่องนี้จะไปฝากความหวังไว้ที่ใครก็คงจะยาก
    เรากลับมาทำจากตัวเราเองดีกว่า
    ค่อยๆคิด ค่อยๆปลูก ค่อยๆทำ ค่อยๆยั่ว ค่อยโม้ๆๆและโม้

  • #4 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 7:19

    รับทราบปฏิบัติ

    ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ตัวเองได้รับคำตอบของการกระทำอยู่อย่างหนึ่งค่ะว่า ต้องเริ่มที่ตัวเองจริงๆเลยค่ะ ตอนนี้คนรอบข้างอาจจะมองไม่เห็นในสิ่งที่เราเห็นแต่อย่างน้อยเขาก็เห็นสิ่งที่เราทำ ส่วนการที่เขาทั้งหลายจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรก็สุดวิสัยจะไปอภิปราย……
    เพราะเวลามีน้อยเกินกว่าจะทำอย่างนั้น…เอาเวลามาปฏิบัติให้มาก สร้างแรงจูงใจด้วยตัวเองและมีกัลยาณมิตรที่เข้าใจสิ่งที่เราทำเป็นแรงเสริมกำลังใจให้คิดทำต่อๆไป นี่คือปณิธานที่มุ่งเลยค่ะครูบา…

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 8:08

    อุ้ยสร้อย เข้าใจตรงกันอยู่เสมอ แคว๊กๆ

  • #6 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 12:43

    สนับสนุนอุ๊ยสร้อย

  • #7 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 18:28

    แหม พ่อขาบันทึกนี้อาดเอี๋ยว นึกถึงท่านสส.หญิงประท้วงท่านประธานสภาชะมัดเลยค่ะ ดิฉันขอประท้วงท่านประธาน”ไม่แข็ง” 55555555555555

  • #8 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มกราคม 2010 เวลา 20:22

    จ๊ากสสสสส  แคว๊กๆๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.098318099975586 sec
Sidebar: 0.053048849105835 sec