จดหมายรักถึงลุงเอก

อ่าน: 1990

(ศูนย์บริบาลแห้วแห่งชาติใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว)

ถามจริงๆเถอะ

รู้ไม่ได้หรือคิดไม่ออกเลยเชียวหรือ?

รัก กับ โกรธเกลียด กันนั้นมีผลลัพธ์ผลกระทบต่างกันอย่างไร?

จะดึงดันเอาความทุกข์เข้าตัว หรือจะโอบกอดความสุขมาหล่อเลี้ยงหัวใจ

ลุงเอกชวนให้ไปขึ้นเวทีสมัชชาสุขภาพด้วยกันพรุ่งนี้ ตามกำหนดเดิมผมต้องเดินทางไปร่วมงานตั้งแต่วันนี้แล้ว บังเอิญมีเรื่องแทรกซ้อนมากระทบแผนการเดินทาง คิดว่าจะนั่งรถตู้เข้ากรุงคืนนี้ แต่รถตู้ก็ติดหลวงพ่อจะไปด้วยคืนวันที่17ตอนกลางคืน ผมคิดว่าไหนๆก็ไหนแล้วไปเยี่ยมงานเขาวันสุดท้ายก็ยังดี แต่พอลุงเอกมาชวนก็เกิดใจแตกกะทันหัน บอกว่า..เปิดไฟเขียวให้คนหลายใจ..แหมรู้ใจกันขนาดนี้จะไม่เจ้นไปไฉนได้ ผมรีบปรับคลื่นหัวใจอย่างแรง หักเลี้ยว360องศาแถมยังยกล้ออีกต่างหาก เล่นเอาเบรคไหม้ควันโขมงเลยละครับ ได้ข้อสรุปว่ารถตู้เปลี่ยนเวลาไม่ได้ จะมารับพรุ่งนี้6โมงเย็น ผมก็คงไปไม่ทันอยู่ดี จึงเตรียมทำการบ้านผ่านBlog

และแล้วฟ้าก็เป็นใจ

อีกทั้งDNA.ผมไม่มีเชื้อแห้วอยู่แล้ว

พรุ่งนี้นกแอร์จะออกจากสนามบินสตึกเวลา 10.30น.

ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 11.40น.

ทันขึ้นเวทีกับลุงเอกเวลา 12.30-14.00น.

ส่วนแม่บ้านให้ตามไปทีหลังกับรถตู้ตาม กำหนดการเดิม เอาเสื้อผ้าของฝากไปถึงประมาณตี2 ก็ยังดีใช่ไหมครับ เที่ยวนี้จะเด็ดอ่อมแซบไปทดลองให้ร้านสกายไฮผัดให้..ป้าจุ๋มชิม ตอนแรกจะไปนอนที่โบ้เบ้ตามที่เขาจองโรงแรมไว้ให้ ผมเปลี่ยนมาที่เดิมอย่างเดิมดีกว่า นอนใกล้ๆคนเสื้อแดงอบอุ่นใจดี แถมยังได้ดูไฟเฉลิมถนนราชดำเนิน และกินข้าวต้มที่สกายไฮสะดวกอีกต่างหาก ถ้าหมอภาคภูมิมีเวลาให้ก็เดินทางไปนวดไม่ไกล

ร้างลาโรงแรมรัตนโกสินทร์ไปนาน

เมื่อวานโทรไปจองห้อง

บังเอิญเขาจำเสียงได้

ประชาสัมพันธ์ดีใจยังกับได้กินแห้วเมืองสุพรรณฯ

บอกมาเลย..สำหรับครูบายินดีต้องรับเข้าสู่อ้อมกอดเสมอ

แห้วไม่แห้วมันต่างกันตรงนี้ละครับคนเรา

ส่วนเรื่องประเด็นเสวนาพรุ่งนี้:

ที่ฝ่ายจัดงานส่งข้อหัวข้อมา “ทำอย่างไรให้สังคมเกิดความสันติสุข” เป็นหัวข้อเดียวกันกับที่สำนักสันติวิธีรับผิดชอบใช่ไหมครับ ส่วนจะให้เป๋ไปหาความขัดแย้งอย่างไรนั้นสบายอยู่แล้ว หลังจากเรียนจบหลักสูตรการสร้างเสริมสังคมสันที่สุข ผมก็ได้ไปช่วยบริหารความอิหลักอิเหลื่อให้อาจารย์มหาวิทยาลัยให้พบช่องทาง หายใจโล่ง มองตามองใจกันสะดวกมากขึ้น ปลายเดือนนี้ก็จะไปคลำหัวใจกันอีกที ว่ายังใจเต้นจังหวะผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้วหรือยัง ในส่วนของภาคสังคมชาวเฮ ผมชวนเครือญาติไปเยี่ยมฤๅษีหนุ่มแห่งลำปลายมาศ พาไปสถานที่แห่งนี้เพราะชื่นชมวิธีใช้ดุลยภาพชีวิตได้อย่างราบรื่น ปราศจากข้อขัดแย้งระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติและสังคมที่อยู่รอบ ข้าง การนำเสนอกรณีตัวอย่างที่เห็นกระบวนการคิดและทำจนเกิดผลลัพธ์ในปัจจุบันย่อม สร้างความตระหนักให้กับผู้ที่ยังแสวงหาคำตอบ ว่าจะวางบทบาทตัวเองในสังคมที่ผิดปกตินี้อย่างไร

คนไทย ควรมี2หน้าที่

1 หน้าที่ต่อตนเอง

2 หน้าที่สังคม

ถ้าคนในชาติช่วยกันทำหน้าที่ครบทุกส่วน สังคมไทยก็จะมีภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าต่างคนต่างคิดธุระไม่ใช่ โยนกลองให้คนโน้นคนนี้ทำ ไม่มีสำนึกรวมของคนในชาติ ก็เท่ากับต่างคนต่างลอยเพสังคม แบ่งค่ายแบ่งขั้วตอแยเอาชนะกัน ไม่เอาชาติเป็นศูนย์กลาง ไม่เอาสถาบันหลักเป็นเสาเอกในแต่ละมิติ ถามว่า..แล้วเราจะเอาอะไร อยากได้อะไรที่ดีกว่านี้ วัฒนธรรมไทยในอดีตมีความเอื้ออาทรกันโดยสายเลือดอยู่แล้ว “ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง” ศาสนาให้บ่มเพาะขัดเขลาให้กับสังคมไทยมานาน ทำหน้าที่เป็นวินัยให้แก่สังคม จารีตประเพณีเรื่องลงแขกช่วยกันทำงานงานต่างๆให้ลุล่วง ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งความสามัคคีโดยธรรมชาติ

แต่มาบัดนี้

คนไทยมีความคิดเกี่ยวกับมิติทางสังคมเปลี่ยนไป

มีผู้วิเคราะห์ว่า ..การที่สังคมไทยปั่นป่วนเป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจล่มจม

แต่..สังคมบ้านเราก็มีการชูธงเรื่องแนวคิดด้านเศรษฐกิจพอเพียง ใช่ไหมละครับ

2 แนวทางนี้มันไม่พอไปวัดไปวากันได้หรืออย่างไร?

แสดงว่าประชาคมไทยยังต้องแสวงหาคำตอบ และเรียนรู้ร่วมกันอีกต่อๆไป

เรื่องความไม่ตระหนักถึงความสามัคคี ที่นำไปสู่ความสงบเรียบร้อยของชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดว่าเล็กๆนะครับ เล็กๆอย่างพริกขี้หนูนี่แหละที่ทำเอาแสบเอาร้อนดีนัก คนไทยต่างได้รับผลกระทบในเรื่องนี้โดยทั่วหน้ากัน กลุ่มทำธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ แม้แต่คนที่อยู่หางแถวก็ยังเดือดร้อนที่จะยืนอยู่ข้างไหน ทั้งๆที่เมื่อก่อนยืนตรงไหนก็สบายใจ เราต้องการยืนแบบสะดวกใจสบายใจยิ้มให้กันเหมือนเดิมไหมละครับ ถ้าต้องการให้สันติสุขของคนไทยชาติเกิดขึ้น จะต้องรอให้ใครมาโปรด มาช่วย มาสงเคราะห์อย่างนั้นหรือ ปากก็มี มือก็มี ขาก็มี ใจก็มี ความรู้สึกนึกคิดดีงามก็มี วัตถุประสงค์ก็ชัดเจน ..ทำไมไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง ทำให้กันเองละครับ

บางคนบอกคนส่วนใหญ่เป็นพลังเงียบ

อยู่ไหนละครับ??

ทำไมเงียบฉี่ออกปานนั้น!

ระวังผีจะหลอกนะขอรับ

เรามาให้ความสำคัญความสงบสุขในชาติกันเถิด

มาเป็นคนดีถวายในหลวง

คิดดีแล้วทำดีให้ประจักษ์

การไปลงชื่อถวายพระพรเป็นสิ่งดีงาม

แต่ถ้าเราแสดงพลังความดีให้ปรากฎอีกหน่อย

พูดเสียงเดียวกัน..ว่าเราต้องการความสงบสุขในชาติบ้านเมือง

เรื่องนอกกติกาควรยุติได้แล้ว มันอายบ้านอายเมืองอื่นเขา

เศรษฐกิจก็พังพาบ ยังจะมาพังใจกันอยู่ทุกค่ำเช้าอีกทำไมเล่า

อ่อนเพลียจนมองไม่เห็นวิธีทำตัวให้ปกติเหมือนคนปกติเลยเชียวหรือ?

ปัญหามันอยู่ที่คนไทยส่วนใหญ่อมพะนำไปพูดออกมาดังๆนี่แหละ

..วันนี้เราตระหนักในเรื่องความสงบสุขส่วนตัวและสังคมกันประมาณไหน ทุกความผิดปกตินำมาซึ่งความเครียด ความเครียดนำไปสู่ความผันผวนของร่างกายและจิตใจ ทำให้สภาพและระบบอ่อนแอ โรคภัยต่างๆกำเริบอาละวาดมากขึ้น ถ้าร่างกายเราอ่อนแอเท่าใด โรคร้ายจะแข็งแรงทวีคูณ การดูแลรักษา การพยาบาล ล้วนเป็นภาระติดตามมา ที่สำคัญอย่าให้เรื่องโกรธง่ายหายช้าบ่มเพาะอยู่ในจิตใจนานนักนะครับ ควรเรียนวิชากำจัดข้อขุ่นข้องหมองใจให้หายเร็วๆ เรื่องโกรธนิดเกลียดหน่อยเราก็มีกันทุกคน ทำอย่างไรจะให้มันปิ๊งแว๊บ ลบหายไปจากความนึกคิดเหมือนกดปุ่ม Del ละครับ

ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก มนุษย์ มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ สมัยพุทธกาลก็มีความขัดแย้งกันจนมีผู้สร้างพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ตราบใดที่มนุษย์มีกิเลศ ความขัดแย้งเสมือนเงาที่เฝ้าติดตามแบบหายใจรดต้นคอ เหมือนเหรียญ2ด้าน เหมือนกลางวันกลางคืน เหมือนสุขกับทุกข์ ถ้าทุกข์มากก็สุขน้อย ถ้าสุขน้อยก็ทุกข์มาก สิ่งเหล่านี้มีสถานะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เหมือนน้ำขึ้นน้ำลง นานๆครั้งจะเกิดคลื่นสินามิ หรือเกิดสงครามใหญ่โตขยายไปทั่วโลก ดังที่ปรากฏมาแล้ว2ครั้ง ปัญหาสังคมอยู่ที่ว่า ถ้าเราช่วยกันกำกับดูแลให้มันเกิดช้าๆแต่หายเร็วๆได้ก็จะดีมาก

คนเราเกิดมาไม่มีใครอยู่ถึง1,000ปี ไม่ทราบว่าจะอะไรกันนักกันหนา มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่เม็ดทรายเดียว อำนาจวาสนาทรัพย์สมบัติต่างสมมุติขึ้นมา แล้วก็พากันตั้งหน้าตั้งตาแก่งแย่งชิงกัน ถ้าปรับแนวคิดมาแย่งกันทำดี มองมาที่ตัวเองอย่างลึกซึ้ง เชื่อว่าเราจะรู้ลึกตื้นหนาบางบ่อเกิดแห่งกรรมของแต่ละคน ถ้าระดับสูงก็จะบอกว่าให้เอียงแก้มให้เขาตบอีกข้างหนึ่งสิจ๊ะ..

อาจารย์โสรัซ์ โพธิแก้ว แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอการจัดการความขัดแย้งไว้อย่างน่าสนใจ ..เชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยขัดแย้งกับคนที่อยู่รอบข้าง ใน การโต้เถียง การทะเลาะ ความไม่ลงรอยทางความคิด เป็นลักษณะต่างๆของความขัดแย้งทั้งสิ้น ความขัดแย้งมักจะทิ้งร่องรอยความบาดหมาง เป็นแผลเล็กๆน้อยๆในหัวใจของคนที่เกิดความขัดแย้งเสมอ

อย่าง ไรก็ตามถ้าเรามองความขัดแย้งด้วยสายตาเป็นมิตร เพื่อที่จะได้ประโยชน์จากมันบ้างไม่มากก็น้อย แรกสุด เราต้องเห็นผลการทำลายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งที่ปราศจากการยับยั้ง

ใน ระดับครอบครัวทำให้เกิดความสูญเสียข้าวของเครื่องใช้ อันเกิดจากการออกแรงเพื่อเอาชนะกัน ทำให้เกิดบาดแผลในสัมพันธภาพ นำให้เกิดความเสียใจ กินแหนงแคลงใจกัน ทำให้ขาดความอบอุ่น และมีผลกระทบต่อจิตใจทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ในระดับชุมชนและประเทศ ความขัดแย้งก่อให้เกิดสงคราม ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างใหญ่หลวง หากท่านค่อยๆพิจารณาจะเห็นด้วยถึงผลเสียอันเกิดจากความขัดแย้งอย่างมากมาย

รากลึกของความขัดแย้งอยู่ที่ความ ปรารถนาให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจของตน หากบุคคลใดมีรากลึกเช่นนี้หยั่งอยู่ในใจ การเรียกร้องให้สิ่งแวดล้อมเป็นไปตามใจตนก็เกิดขึ้น มักจะเสียงดังชอบบงการ ยัดเหยียดความหวังดี หรือกำหนดให้ผู้อื่นเป็นไปตามใจของตนเสมอ ทำให้เกิดการต่อต้าน นำให้เกิดความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ยุติการกระทำซึ่งเกิดจากรากลึกอันเห็นแก่ตัวนี้ให้จงได้ พลังแห่งการทำลายล้างกันและกันจึงเกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่นและหยุดยั้งยาก

การขุดรากความเห็นแก่ตัวออกเสีย เพื่อให้จิตใจสะอาดและกว้างขวาง จนเข้าใจธรรมชาติที่ดำรงอยู่อย่างเกื้อกูลกัน แต่ให้อิสระกัน อุปถัมภ์ค้ำจุนกัน และไม่ก้าวก่ายกัน จะนำให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น ความขัดแย้งก็จะถูกลบออกจากระบบจิตใจ และการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ก็จะเกิดขึ้นอย่างน่าอิ่มเอิบใจ

ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในจิตใจที่อิ่มเอิบและดื่มด่ำกับสัมพันธภาพ ที่แฝงเร้น ซ่อนลึกเกิดกว่าที่สายตาธรรมดาจะมองเห็น แต่เมื่อผู้คนสามารถ”เห็น”สัมพันธ ภาพที่โยงใย เชื่อมสรรพสิ่งเข้าเป็นส่วนสำคัญของกันและกัน ความขัดแย้งก็จะถูกขจัดให้สลายเหมือนเมฆหมอกที่ถูกลมพัดให้กระจายสลายไปใน ยามเช้าที่แจ่มใสนั้น

รถยังมีเกียร์ถอย

คนเราถ้ารู้จักถอยก็จะไม่ตกหล่มลึก

เหมือนเพลงที่ร้อง..ถอยดีกว่า ไม่อาววววดีกว่า..

ไม่ควรร้องเพลง..ที่รัก เรารักกันไม่ได้ ..

ถ้าเราเป็นสก๊อตไบร๊ท์ให้สังคม ช่วยกันชะล้างขัดถูทุกอย่างจะสะอาดขึ้น

ถ้าเราเป็นไบก้อนฉีดไล่แมลงให้สังคม สิ่งน่ารำคราญจะบรรเทาเบาบาง

ถ้าเราเป็นโช็คอัพให้สังคม ความเขียดขึงก็จะผ่อนหนักเป็นเบา

ถ้าเราเป็นโซ่ข้อกลางช่วยยึดเหนี่ยวสังคม สันติสุขคนในชาติจะไปไหนเสีย

ถ้าเราเป็นยาหม่องยาดมยามสังคมอ่อนล้า ความเอื้ออาทรในสังคมจะกลับคืนมา

ถ้าเรารักประเทศไทย จะบาดหมางใจกันไปทำไมละครับ

เพลงชาติไทยไม่ได้มีไว้ให้แรงงานอพยพร้องเพื่อพิสูจน์สัญญาชาติเท่านั้น

เราควรจะร้องเพลงชาติไทยให้ตัวเองฟังบ่อยๆ

ระวังจะถามหา..เพลงชาติไทยหายไปไหน?

..ขอจบบทนี้ด้วยเพลง..

ถ้าน้องเป็นไข้ใจ ไม่มีใครจะรักษา ขอเชิญมาที่

ห้องประชุม2 ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ

ลุงสุดหล่อจะรอจะแจกรอยยิ้มหวานชื่น เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขงงง..

Key Word

จะแย้งจะขัดจุดระเบิดอยู่ที่ใจ

จะยุติ ยุติธรรม เปิด-ปิด ที่ปลักใจตนเอง

กำแพงเบอลินก็พังแล้ว

กำแพงเมืองจีนก็เปิดแล้ว

เหลือแต่กำแพงใจเหี่ยวๆกรุงสยามนี่แหละที่ยังลักปิดลักกะเปิด

แคว๊กๆๆ

« « Prev : ตอบหมอเจ๊ เรื่องสืบเนื่องอ่อมจนแซบจริงๆนะ

Next : สุขภาพทางสังคม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

12 ความคิดเห็น

  • #1 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ธันวาคม 2009 เวลา 14:33

    พ่อมีอะไรข้องใจแห้ว เอ๊ย ข้องใจหนูป่าวเนี่ยะ พรุ่งนี้เจอกันตัวต่อตัวก็ได้นะ เผื่อจะมีวาสนาได้ชิมอ่อมแซ่บโตยอ่ะ ฮี่ๆ  :P

  • #2 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ธันวาคม 2009 เวลา 17:08

    แฮ่ๆ…ขออย่าเป็นเหมือนกันในเวลาเดียวกันได้ไหมคะ ..เช่นอย่าเป็นไบก้อนพร้อมกัน …อย่าเป็นสก๊อตไบร์ทพร้อมกัน …อิอิ
    อยากให้ทุกคนทำตามหน้าที่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เพราะทุกสิ่งมีความสำคัญหมด …ไม่มีโซ่ข้อแรกและโซ่ข้อสุดท้ายก็จะไม่มีโซ่ข้อกลางนะคะ …แค๊วกๆ

  • #3 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ธันวาคม 2009 เวลา 17:36

    อิอิ  เจอกันงานนี้  เวลาเดียวกันด้วยครับ  แต่คนละเวทีครับ  อิอิ

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ธันวาคม 2009 เวลา 17:39

    อุ้ยน่าจะมางานนี้เน๊าะ จะได้มาช่วยให้ความเห็นเพิ่มเติมในห้อง อิอิ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ธันวาคม 2009 เวลา 17:40

    ถ้าเจอเวทีเดียวกันก็ยุ่งสิหมอ แคว๊กๆ

  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 2:55

    จะเปิดศูนย์บริบาลแห้ว ยังขาดประธานเปิดงาน แห้วจะรับไหมละ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 4:50

    โห ลุงเอก จะเอาเรื่องนี้ไปพิมพ์แจกในงานเลยหรือครับ
    ข้าน้อยอาย เขียนตะกุกตะกัก แถมยังพิมพ์ผิดปะเลอะปะเตอ
    เจ้าตาหวานที่คอยแก้คำผิดก็เป็นลมเป็นแล้งไปกับงานหนัก
    ..ว่าแต่หมอจอมป่วนจะนัดดวลกันที่ไหนดีละครับ
    แคว๊กๆๆ
    ตอนเที่ยงเจอกันนะครับ

  • #8 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 4:52

    เอ ป้าจุ๋ม หายไปไหนหว่า
    วันนี้จะเจอกันที่ห้องเบอร์ 2 ไหมหนา แคว๊กๆๆ

  • #9 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 4:56

    โปรดติดตามการ การนัดดวล “อ่อมแซบ” จานร้อน ในลำดับต่อไป เร็วๆนี้
    สำหรับคนที่มีDNA แห้ว ก็น่าเห็นใจ แต่จะทำยังไงได้ละ

  • #10 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 15:30

    จบรายการขึ้นเวทีแล้วครับ เจอหมอจอมป่วน เจอๆๆๆ
    กล้องหมดแบ๊ตเลยไม่ได้ถ่ายรูป
    โธ่ๆๆๆมีแต่คนอื่นมาถ่ายเรา
    แคว๊กๆ

  • #11 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ธันวาคม 2009 เวลา 11:06

    หมู่นี้ป้าจุ๋มมีภาระกิจรัดตัวนิดหน่อย ตั้งใจจะไปเชียร์ทั้งครูบาและลุงเอกแต่ทำเวลาไม่ได้ค่ะแหม! เสียดายจังค่ะ  เคยคิดว่าเกษียณแล้วจะว่างและสบายคงจะมีเวลามากมายพอเอาเข้าจริง บางครั้งเหนื่อยและยุ่งกว่าเดิมอีกเพราะคนคิดว่าเราว่างเลยระดมสั่งงานมาวานให้คนว่างงานทำ…แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำค่ะ…และก็สุขสบายดีเช่นเคยค่ะ…อิอิ

  • #12 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ธันวาคม 2009 เวลา 12:12

    แ หม..ว่าจะชวนป้าจุ๋มมาดวล อ่อมแซบ เย็นนี้หน่อย ก็ทำท่าไม่ว่างอีกแล้ว โธ่ๆๆๆของเหลือแย่


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.94004487991333 sec
Sidebar: 0.11559295654297 sec