บ้านผมโดนระเบิดตกใส่

โดย sutthinun เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 4:10 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 2932

สืบเนื่องจากที่ได้ออกไปคุยกับพ่อค้าแม่ค้า ที่ตระเวนไปขายของตามงานเทศกาลประจำปีในที่ต่างๆทั่วภาคอีสาน พวกยิปซีขาจรเหล่านี้จะไปติดต่อจับจองสถานที่เพื่อจัดวางสินค้าโชว์ ในรายที่ขายของชิ้นใหญ่ๆเช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ ฟูก เครื่องนอน บ้านน็อคดาวน์ ชิงช้าสวรรค์ ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาทต่องาน พวกจัดปาเป้า สอยดาว หรือขายของเล็กๆน้อยๆคงไม่เท่าไหร่

· เล่าให้ฟังว่า..ปีนี้ย่ำแย่เหลือเกิน

ขาดทุนมาหลายงานแล้ว

อย่างงานงิ้วประจำปีที่นี่

คนในตลาดไม่มีใครออกจากบ้าน

มีแต่ชาวบ้านที่อยู่นอกๆมาเที่ยว

ทำไมหรือครับ?

· เด็กวัยรุ่นนะสิ

ไม่รู้ไปเลียนแบบมาจากใคร

เขม่นกันง่ายเหลือเกิน

เมื่อคืนเอาระเบิดปากัน

บาดเจ็บ ตาย หามกันกระร่องกระแร่งชุลมุน

เสียงรถหว๋อ เสียงร้องไห้ เอะอะมะเทิ่ง

มันไม่ใช่บรรยากาศของงานรื่นเริงดังเช่นสมัยก่อน

ผู้สันทันกรณีที่ไปทุกงาน เล่าว่าไม่มีงานไหนที่เด็กวัยรุ่นไม่ปาระเบิดเมื่อก่อนอย่างมากก็ตีรันฟันแทงหัวร้างข้างแตก หรือไม่ก็ใช้หมัดลุ่นๆกระแทกเบ้าตากัน แต่วันนี้วิธีการหวาดเสียวเหลือเกิน ไม่มีงานให้ทะเลาะกัน ก็ไปฝึกซ้อมปาก้อนหินใส่รถที่เดินทางตามค่ำคืน เรื่องนี้เกิดบ่อยมากจนเบื่อที่จะเป็นข่าว เป็นที่รู้กันว่ามันเหลือบ่ากว่าแรงไปซะแล้ว

วิธีแก้ ! ..เจ้าหน้าที่บอกพวกวงดนตรี หมอลำ งิ้ว เริ่มแสดงตอน 3 ทุ่ม เลิก 6 ทุ่ม จะได้แยกๆกันไปเพราะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้ แต่แล้วก็ไม่วาย ตูม ตูม ตูม! จนได้ ต่อไปใครจะจัดงาน ใครจะเที่ยวงาน คงเข็ดขยาดไปตามๆกัน เมื่อเป็นอันรู้กัน ก็มาดูสิว่าประชาคมในพื้นที่จะบริหารระเบิดกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ไม่เฉพาะที่ภาคใต้ หรือที่เกิดกับม็อบเสื้อสีช้ำเลือดช้ำหนองต่างๆ วิกฤติการณ์ในสังคมติดลบทางด้านความยั้งคิด

ไอ่-พวกต้นแบบจะคิด และสำนึกรักบ้านเกิดบ้างไหมหนอ?

ผมไม่เที่ยวงานประจำปีหรืองานเทศกาลต่างๆมาหลายสิบปีแล้ว อาจจะเป็นเพราะในวัยกะเต๊าะเที่ยวมากซะจนอิ่ม ประกอบกับการจัดงานเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ที่ไหนๆจัดก็ซ้ำๆไม่มีเอกลักษณ์พิเศษน่าสนใจ นอนดูทีวีอยู่บ้านดีกว่า ติดจานดาวเทียมเสียค่าดำเนินการเดือนละ400บาท แถมยังโทรศัพท์ได้ด้วย ดูรายการสารคดีและรายการอื่นๆได้40ช่อง ภาพ-เสียง-สดใสไฉไลดั่งใจ ไม่อันตรายแถมยังปลอดภัยกว่า

· ท่านรู้จักลูกโม่งไหมครับ?

อัยการชาวเกาะบอกผมเอง..

คนใต้เรียกก้านดอกสะตอและดอกเหรียงที่หล่นลงมา

ผมปลูกไว้ข้างบ้านต้นสูงใหญ่

ปีนี้ฝนดีติดดอกเต็มต้น

จะเห็นหล่นตุบหล่นตับทั้งกลางวันกลางคืน

แข่งกับลูกมะสังที่ตุบตับเป็นครั้งคราว

ถ้าโดนลูกโม่งพอไหว แต่ถ้าเจอลูกมะสังหัวโนครับผม

· กลางคืนเงียบๆ ..

ลูกโม่งจากต้นไม้เหล่านี้หล่นมากระแทกหลังคา

ปลุกเราตื่นขึ้นมาดูฝนดาวตก

ถึงไม่มีใครมาเป็นเพื่อนชม

ยังมีเจ้าลูกโม่งมาทักทายก็ยังดี

โม่งเอ๋ยโม่ง

มาจรรโลงคนยากยามเงียบเหงา

ทั่วท้องฟ้าดูท่ามีสองเรา

ช่วยกันเฝ้าราตรีที่เฉียบเย็น

« « Prev : ฝนดาวใกล้ตก

Next : หัวโม่งเพื่อชีวิตและสังคม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

9 ความคิดเห็น

  • #1 BM.chaiwut ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 6:41

    “ลูกโม่ง” หรือ “หัวโม่ง” นี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นโม่งเหรียงหรือโม่งตอ ใช้เป็นผักสดกินกับน้ำพริกหรือแกงส้มแกงเผ็ดก็ได้ ดีนักแล…

    ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็มี “สะตอป่า” (บางคนว่า่ เหรียง) ขึ้นอยู่ในวัดต้นหนึ่ง ลำต้นราว๑-๒ คนโอบ สูงราวน่าจะถึงสิบเมตร ก็เป็นลูกโม่งตลอดเกือบทั้งปี ตกเกะกะโดนหลังคาบ้าง คูน้ำบ้าง ถนนบ้าง…

    มีน้องเณรชาวนครรูปหนึ่ง บอกว่า “กินได้” และหลายคนก็ยืนยันว่ากินได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเก็บไปกิน… วันหนึ่ง มีแกงเผ็ดแต่ไม่มีผัก น้องเณรจึงไปเก็บลูกโม่งมาล้าง ใส่จานถวายเป็นผักเหนาะ เป็นที่ถูกใจของพระคุณเจ้า เหลือจากพระคุณเจ้าแล้ว พวกเด็กวัดซึ่งเป็นชาวใต้ทั้งหมด ทดลองแล้วก็ชอบใจจึงไปเก็บมาเพิ่ม…

    รดชาตของลูกโม่ง คล้ายๆ กินสะตอทั้งเปลือก ฝาดๆ  กรอบๆ และมีกลิ่นของสะตอหรือเหรียง ยามไม่มีผัก สามารถแก้ขัดได้ ทำให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น… และตั้งแต่นั้นมา ลูกโม่งต้นนี้ ก็ไม่ค่อยจะได้หล่นถึงหลังคาหรือคูน้ำ เพราะมีคนคอยช่วยเก็บช่วยสอยตลอด…

    เจริญพร

  • #2 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 7:42

    ที่ตลาดสดขอนแก่น สะตอเป็นของหายากค่ะ มีขายเหมือนกันแต่ไม่ทั่วไปและราคานั้น..เฮ้อ…
    ขีดละ 20 บาท ค่ะ ถ้าผัดสะตอ 1 จานอิ่ม  ค่าสะตออย่างเดียว 40 บาท แพ้ของแพงคร้าบบบบ…..

    วันก่อนได้คุยกับญาติของเพื่อน  กำลังมีปัญหาเรื่องลูกชาย ที่ยืนยันว่าจะไม่ไปโรงเรียนอีกแล้วนอกจากจะย้ายโรงเรียนให้  โถ..ลูกเอ๋ย..ร.ร.ดีๆนั้นกว่าจะเข้าได้..พ่อแม่จำยอมเอาออกไปเข้าร.รในหมู่บ้านแทน แล้ว
    กิจกรรมพิเศษของลูกคือ ขโมยรถมอเตอร์ไซด์ ไปต่างอำเภอ…ลูกชายหนอลูกชาย…พ่อแม่มาขอให้เพื่อนช่วยแก้ปัญหา  แล้วเพื่อนมาขอให้ช่วยคิดอีกต่อ…คิดได้  บอกได้ แต่จะทำได้ไหม…แฮ่ๆๆ ฮี่ๆ คิคิ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 8:36

    สาธุ..พระคุณเจ้า
    ข้าน้อยไร้เดียงสา
    ตื่นเช้ามาก็เดินไปถ่ายรูปเก็บไว้
    เพราะเมื่อคืนนี้หล่นโดนหลังคาหลายโป๊ก!
    ..เมื่อทราบว่ารับประทานได้
    ก็จะเจ้นไปเก็บมาล้างใส่จานเมื่้อเช้านี้ละครับ
    ได้ผลประการใดจะกราบเรียนอีกรอบนะขอรับ

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 8:38

    ป้าหวานคะร๊าบบบบบบบบบบ ถ้าอยากชิมลูกโม่ง
    28-29-30-31มีเมนูลูกโม่งแน่นอน อิอิ

  • #5 rattiya ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 9:29

    ถือว่าได้ตื่นเต้น ก่อนถึงวันฝนดาวตก
    อิอิ

  • #6 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 10:54

    ห้า ห้า ห้า พ่อครูบา ที่บ้านผมก็มีลูกโม่ง..ก็เจ้าสาเกต้นเบ่อเริ่มน่ะซี ลูกมันหล่นลงพื้นบ้านดังตุ๊บตับบ่อบๆ จนเจ้าคุ๊กกี้ หมาผมจะประสาทกิน มันตกใจนึกว่าฟ้าถล่มน่ะซี เจ้าหมาขี้กลัวตาขาวนี่มันไม่ชอบอะไรเสียงดังๆ วิ่งหนีหางจุกตูด มันก็อ้วนแข่งกับเจ้าของบ้าน  อิอิ

    เฮ่อ เจ้าลูกโม่ง แม่ที่อ่างทองก็บอกวิธีเชื่อมลูกสาเก แต่คนข้างกายเธอเป็นนักวิชาการ ตะลอนไปทั่วประเทศ ไม่ได้เชื่อมสักกะที ปล่อยเป็นลูกโม่ง ตุ๊บตั๊บเหมือนกันครับ  อิอิ

  • #7 สุวรรณา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 11:51

    สวัสดีค่ะพ่อครูอยากเห็นลูกโม่งของสะตอจังคะ หาในเน็ตก็ไม่พบ รสชาติเป็นงัยหน้อ  น่าสนใจสาเกพี่บางทรายด้วยนะคะ พันธุ์ข้าวเหนียวจะเชื่อมได้อร่อย ค่ะ เชื่อมให้ลูกทานทุกปี ที่ใน ม. มีต้นค่ะ แช่น้ำปูนใสก่อนเชื่อมนะคะ  พอใกล้งวดเต็มที่ ชอบให้สาเกที่เชื่อมใหม้ติดหม้อนิดหน่อย แหม…หอมไปเลยค่ะ เมื่อคืนดูรายการทีวีแชมเปี้ยน เค้าทำขนมญี่ปุ่น ใช้สาแกเผาไฟทั้งลูก ยีเนื้อสาเกผสมกับมันสัมปะหลังต้ม ปั้นเป็นก้อนใส่แยมชมพู ห่อด้วยวุ้นอีกครั้ง น่าทานมากค่ะ น่าจะหอมตรงสาเกเผานะคะ  พูดแล้วมันมือจังค่ะ อิอิ

  • #8 BM.chaiwut ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:58

    หัวโม่งเหรียงหรือโม่งสะตอ ก็คือดอกของมัน บางดอกยังไม่ติดฝักก็หล่นลงมา หรือบางต้นไม่ติดฝักก็แก่ไปตามสภาพก่อนจะหล่นลงมา… ทั้งโม่งแก่และอ่อนนั้นกินเป็นผักได้ เพียงแต่โม่งอ่อนๆ ก็มันๆ ขมๆ  ส่วนโม้งแก่ๆ ก็ฝาดๆ ขมๆ ส่วนกลิ่นและรสชาดอื่นๆ ก็เหมือนกับสะตอหรือเหรียงนั้นแหละ…

    ครูบา จะนำเสนอเมนูลูกโม่ง ได้ความคิดต่อยอดว่า นำโม่งมาฝานเป็นแว่นๆ นำมาผัดกุ้งหรือหมูใส่น้ำมันหอยก็น่าจะอร่อย (……..) เสียดายวัดยางทองอยู่กลางเมือง หาหัวโม่งพวกนี้ไม่ได้ คราวใดมีโอกาสไปพักวัดนอกๆ ที่มีสวนสะตออยู่ จะลองเอามาให้ใครทดลองผัดให้ชิมสักครั้ง…

    เจริญพร

  • #9 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:56

    สูตรอร่อยคือ  ผัดใส่กะปิ เจ้าค่ะ  ใช้น้ำมันน้อยๆ กะปิประมาณ 1/2 ข้อนโตํะ ลงไปคลุกกับน้ำมันร้อนๆสักครู่ แล้วเติมพริกสด หั่นบางๆตามยาว (แช่้น้ำสักหน่อยเอาเม็ดออกค่ะ )กะให้เผ็ดปานกลาง จะใส่กระเทียมทุบ หรือไม่ใส่ก็ได้  ผัดเร็วๆ ไฟปานกลาง จนหอม เติมสะตอที่ฝานแล้ว ไม่ให้บางมากค่ะ  ลงไปผัดสักครู่ เติมน้ำเล็กน้อยปิดฝาสักครู่  เปิดออกเติมกุ้ง หรือหมู ผัดต่อ ชิม เติมน้ำปลา น้ำตาลนิดเดียวแทนผงชูรส เสร็จแล้วใส่ใบโหระพา  เคล้าให้ทั่ว เสริฟร้อนๆค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.63272285461426 sec
Sidebar: 0.45383214950562 sec