สู้ดี สู้ร้าย

อ่าน: 1056

ชีวิตของคนเราประกอบด้วยสิ่งดี สิ่งร้าย

แล้วแต่เราจะเลือกที่จะเดินทางไปในวิถีใด

หลาย ๆ ครั้ง “เราต้องดับด้วยการปิดตา  และหลาย ๆ คราเราต้องดับด้วยการเปิดใจ”

 

โอกาสดีดี และมักได้มองเห็นสิ่งดี ๆ จากการอ่าน จึงเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้

ในการดำเนินชีวิตของตัวเองนั้น การรู้กาละเทศะ รู้จักผุ้อื่น รู้จักจังหวะในการใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่ตัวเองได้ดำเนินตามแนวนั้นมาตลอด แต่บางครั้งก็ด้วยพร่องใน”ทำ” อาการ”สู้ดี สู้ร้าย” จึงย่างกรายเข้ามาให้เห็น”ธรรม”

วันนี้ได้มีโอกาสได้เข้าใจถึงหลัก สัปปุริสธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของตนเอง และพยายามดำเนินตามและรู้ตัวของตนตามหลักนั้น

 

สัปปุริสธรรมทั้ง 7 นั้น อย่างง่าย ๆ

1) ธมฺมญฺญุตา  รู้จักเหตุ

2) อตฺถญฺญุตา  รู้จักผลของเหตุ

3) อตฺตญฺญุตา  รู้จักตนเอง

4) มตฺตญฺญุตา  รุ้จักประมาณตนเข้าใจการปฏิบัติ

5) ปริสญฺญุตา  รู้จักชุมชนนั้น การพูดอย่าขัดกับเขา

6) ปุคฺคลญฺญุตา  รู้จักบุคคลนั้นว่าเขาทำงานอะไร อยู่อย่างไร เข้าใจในการคบคน รู้จักคนดีคนไม่ดี ควรคบไม่คบ

7) กาลญฺญุตา  รู้จักกาลเทศะในการคบหาสมาคมว่าบุคคลชั้นใดวารรณไหนต่ำสู่อย่างไร ให้เข้าใจ

 

เรียนรู้ได้ก็สบายเป็นที่สุด  หายใจเข้าก็สบาย หายใจออกก็สบาย

ติดขัดบ้างก็ช่วยกันให้สบาย

ทุกอย่างเมื่อ “ทำ” เราจะเห็น “ธรรม”

พร่องในการ”ทำ”เมื่อไร “ธรรม” ย่อมโบยบิน

สิ่งดี สิ่งร้าย เราเลือกได้เองค่ะ

 

ข้อมุลสัปปุริสธรรม จากวิกิพีเดีย

 

Post to Facebook


ความไม่ถึงพร้อม

7 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 16, 2010 เวลา 16:50 ในหมวดหมู่ การจัดการความไม่รู้, ตามจริต, บ่น, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1225

เพราะฉันบริหารไม่เป็น
หรือคนที่ฉันบริหารไม่เข้าใจ
หรืองานบริหารไม่เหมาะกับฉัน
ควรที่จะเป็นหรือไม่เป็น
ต้องตัดสินใจ
………
วันนี้สิ่งที่วิเคราะห์ “คือการบริหารที่ล้มเหลว”
ขอบคุณลูกน้องทุกคนที่เป็นผู้ให้เห็นธรรม

 

วันนี้ได้ post ข้อความนี้บน Facebook ด้วยที่ตัวเองสอบตกวิชาการพิจารณาตัวเองแต่เช้า

ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกจากบ้านทุกวัน จะอ่านและเตือนตัวเองเสมอถึงการปฏิบัติให้ถึงพร้อม ซึ่งการมีสติในการใช้ชีวิต โดยให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันของเรา  แต่ท้ายที่สุดแล้ว อะไรกระทบ และเรารู้ไม่เท่าทัน มันก็เกิดอาการอย่างที่เป็นอย่างนี้

 

เห็นทีชาตินี้จะเป็น”โจรกลับใจ”ยากซะแล้ว (ก็ไม่รู้)

อิอิอิ

Post to Facebook


สละเวลายิ้มวันละนิด

6 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 10, 2010 เวลา 19:34 ในหมวดหมู่ Uncategorized, ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1119

หามุมให้เบิกบาน…..จากสิ่งนอกตัว

ดูหนังเมื่อวันหยุด
มีเรื่องให้เห็นมุมมองที่น่ารัก ๆ เขาว่าไว้
“พระจันทร์เวลาขึ้นดวงมันจะโต
พออยู่บนท้องฟ้ามันจะเล็ก
ความจริง มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
….
ถ้าเราหลี่ตา 1 ข้างแล้วยกนิ้วหัวแม่โป้งเทียบพระจันทร์
เราจะเห็นว่า หัวแม่โป้งเราปิดดวงจันทร์มิด
….

วันนี้ฝนที่นี่ตก ก็เลยไม่ได้ออกไปปิดดวงจันทร์

Post to Facebook


ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

อ่าน: 1202

เมื่อวานอ่านหนังสือ 9 พุทธ 9 เต๋า 9 เซ็น
อ่านเรื่องนี้ถูกใจจึงอยากเล่า เป็นเรื่องที่ 7ของเต๋า จากหนังสือดังกล่าว
“ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน”

เมื่อจัดลำดับเท่าเทียมกันหมด
ความแตกต่างก็ไม่มี
เมื่อสภาพเท่าเทียมกัน
เอกภาพก็ไม่มี
เมื่อประชาชนทั้งหมดเท่าเทียมกัน
ความเป็นระเบียบก็ไม่มี
ฟ้าและดินยังมีอยู่ตราบใด
ตราบนั้นย่อมต้องมีสูงมีต่ำอยู่
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเสมือนต้นน้ำ
ถ้าต้นน้ำใสสะอาด กระแสน้ำก็ใสสะอาด
ถ้าต้นน้ำเน่า กระแสน้ำก็เน่า
ผู้ใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนจานใส่น้ำ
ถ้าเป็นจานกลม น้ำในจานก็กลม
ถ้าจานสี่เหลี่ยม น้ำในจานก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนลม
ประชาชนเปรียบเหมือนหญ้า
หญ้าต้องลู่ไปตามลม
และดูลมไหวที่ยอดหญ้า
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนเรือ
ประชาชนเปรียบเหมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้
และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน

 

อ่านเรื่องนี้สะท้อนให้คิดว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ

ตำแหน่งหน้าที่การงานคือหัวโขน

ทุกคนคือปถุชน ธรรมดา มีศักดิ์และศรี เท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์

ให้ใช้ความเป็นมนุษย์ในการดำรงหน้าที่ด้วยอริยบทอันเบิกบาน

“บอกตัวเองค่ะ”

Post to Facebook


เรื่องของแม่เมื่อคืน

9 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 8, 2010 เวลา 18:33 ในหมวดหมู่ ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1485

ไม่ใช่เป็นเรื่องดัดจริตที่ทำให้ต้องมาคิดถึง และฝันถึงแม่เหมือนบันทึกของน้อง freemind นะ (จะบอกไว้) อิอิอิ

เมื่อคืนฝันถึงแม่  และเคยฝันลักษณะนี้มาหลายครั้ง  เคยคิดเหมือนกันว่า เวลาเราเจอเหตุการณ์ใด แล้วไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากเหตุการณ์นั้นได้  และมักจะคิด และฝันซ้ำ ๆ กันในลักษณะนี้ และยังนึกถึงต่อไปว่า ที่เราเคยว่าพวกฝรั่ง อะไรนิดหน่อยก็ต้องปรึกษาจิตแพทย์ ทำไมมันไม่คิดเอง และหาเหตุผลกับสิ่งที่เกิดว่าเป็นอย่างไร  และเคยคิดไปว่า ทำไมต้องไปหจิตแพทย์เพื่อบำบัด ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ และพาเราออกจากเหตุการณ์นั้น  เพื่อไม่ให้เจอ/พบ ในสิ่งที่เราฝังใจในเหตุการณ์นั้น ๆ

…….

วันที่แม่จากไปนั้น เป็นช่วงเช้า ก่อนจะไปทำงาน และก่อนที่จะเตรียมอะไรให้ตอนเช้า ก็จะเข้าไปดูแม่ก่อน แต่เหตุต้องไปพบว่าแม่นอนเฉย ๆ ในท่าที่ไม่น่าจะอยู่ในลักษณะนั้นได้นาน จึงพังประตูเข้าไป จับตัวเแม่ยังนิ่มอยู่ พยายามปั๊มหัวใจ และเป่าลมที่ปาก ทำทุกวิธีที่จะสามารถทำได้ แม่ตัวใหญ่ ก็ขึ้นคร่อมปั๋ม ๆ เท่าที่จะทำได้  แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงฝังใจตัวเองมาเรื่อย ๆ และเห็นภาพแม่ทุกวัน ๆ ๆ ก่อนวันจะเผา เราก็เห็นร่างแม่นอนหลับตาพริ้ม ผิวเป็นสีชมพูสวยงาม ภาพที่โลงค่อยเลื่อนลงสู่เมรุเพื่อเตรียมเผา อยู่ในความทรงจำมาเสมอ…..

และหลายครั้งที่ฝันถึงแม่ในลักษณะนี้ ฝันว่าแม่ตาย แจะฝันเห็นแต่สิ่งสวยงามของแม่เสมอ ไม่เคยเจอแม่ทุกข์สักครั้ง ถึงแม้ว่าแม่จะตาย แต่ภาพของแม่ก็เป็นการตายที่มีความสุข

คิดเหมือนกันนะ ว่าต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อปรึกษาและลบภาพนี้ออกไปจากความทรงจำหรือเปล่า  แต่มาคิดอีกที  เราคิดถึงแม่ก็ไม่เห็นทำให้เราทุกข์เลยนี่  เพียงแต่บางครั้งมันอาจจะทรมานนิด ๆ  เหมือนว่าเราทำอะไรในการช่วยท่านไม่ได้ ก็เท่านั้่นเอง

ช่วงนี้อาจจะเป็นเพราะว่าคิดถึงแม่มากไปหน่อย(ก็เท่านั้นเอง) แต่จริง ๆ แล้วก็เหมือนกับที่น้องบอกว่า เราไม่เคยไม่คิดถึงแม่เลย เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

เช้านี้จึงเล่าให้พี่คนโตฟัง และชวนกันไปตลาด (แต่ไม่ทันตักบาตร..อิอิ) และซื้ออาหารไปถวายวัด พร้อมกับถวายปัจจัยค่าน้ำที่แม่ได้ตั้งใจถวายให้วัดทุกเดือน และเราลูก ๆ ก็ทำตามเจตนารมย์ของแม่มาตลอด  ทำบุญให้แม่ พ่อ และพี่ชาย 2 คน เราก็สุขใจแล้ว…..

ขอให้แม่และพ่อ พร้อมพี่ชาย มีสุขในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้านะจ๊ะ

……….

อยากบอกว่า พวกเรา รักแม่ พ่อ และพี่ ๆ ทั้งสองเหมือนเดิมนะ

………

รักแม่ รักพ่อ รักพี่น้อง ก็อย่าลืมใส่ใจกันบ้างนะจ๊ะ ถึงจะมีโกรธมีเคืองกันบ้างก็เป็นธรรมดาของชีวิต

“อย่ารอให้ถึงวันนั้น” นะจ๊ะ

……..

อยู่ดีมีสุขจ้า

8 สค.53

Post to Facebook


เรื่องบ้า ๆ ของวันที่ไม่น่าจะบ้า

4 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 7, 2010 เวลา 18:11 ในหมวดหมู่ ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1949

คนเรามักทำอะไรตามจริตตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้หันมองสิ่งรอบข้าง หวังเพียงทำในสิ่งที่ต้องเองปรารถนาและต้องการเท่านั้น

วันนี้ได้ลองถอดบทเรียนในวันหยุดของตัวเองว่า ได้อะไร และมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

…..

วันนี้วันหยุด

ฝนตกตั้งแต่กลางคืนที่ผ่านมา ใกล้รุ่งสางกระหน่ำตกแบบประมาณว่าได้ระดมน้ำมาหมดโลกแล้ว

จึงแอบคิดต่อไปว่า   เอ…แล้วถ้าน้ำท่วมโลกจะเป็นอย่างไร

นี่เป็นความิดในช่วงตีสี่ของวันที่แอบละเมอตื่นขึ้นมา

มันเป็นความบ้าของความคิด….เป็นแว๊บแรกของการคิดที่ดึงเอา สัญญา และการปรุงมาจากความเดิม ๆ ทั้งนั้น แล้วมันก็ฟุ้ง ๆ ๆ ไปจนงีบหลับไปอีกครา  สะดุ้งอีกที “ตายละหว่า” ลูกฉัน เมืื่อวานป้านายมา ไม่ได้เอาลูกเข้ามานอนในห้องด้วย ไม่รู้จะเปียกมะล่อกมะแล่กซะหรือเปล่าก็ไม่รู้ กระโดดเด้งขึ้นจากเตียงรีบออกมาดู  อ้าว…คุณชายนอนสบายอุราบนผ้าห่มหน้าประตู  (อิอิ) แสดงว่าป้านายเปิดประตูให้เข้ามานอน ….. เหลือบดูนาฬิกา ตีห้ากว่า….. กลับเข้าไปนอนซุกใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ฟังเสียงฝนตก(หนัก ๆ )และหลับไปอีกครา

..@#^%## …เสียงโทรศัพทย์ปลุกตอนเช้า(6.30 น.) งัวเงียรับพร้อมกับคำถามมาตามสายว่า “วันนี้บ้าตื่นมาตี่สี่หรือเปล่า” (5555555) บอกไปว่าไม่ได้ตื่น วันนี้ฝนตก นอนสบาย ไม่รู้จะทำอะไร นอนอนอนดีกว่า  แต่มาคิดได้ตอนนี้ว่า อืม …. ก็ตื่นนี่หว่า….

จึงตื่นมาและอ่านหนังสือ แบบงัวเงีย และเคลิ้มไปบ้าง และคิดต่อว่าวันนี้ฉันจะทำอะไร  หอบงานสัญญามาตรวจแต่ชาติที่แล้ว ก็ไม่เสร็จ (เป็นเรื่องบ้าอีกเรื่องที่อยากจะว่าคนอื่นไม่ช่วย…แต่ก็ไม่น่าจะไปโทษคนอื่น  เพราะคนอื่นว่ามันคือหน้าที่เรา เราก็ต้องทำ ไม่เป็นไร น้ำใจมีไว้ให้คนอื่นเท่านั้น…อิอิอิ)

แล้วอาการบ้าทางความคิด ก็พาตัวเองเตลิดไปเรื่องเปื่อย ถึงเรื่องงาน ถึงเรื่องส่วนตัวที่ต้องทำ ทั้งเรื่องที่ผ่านมาและมาไม่ถึง มันวน ๆ  เข้ามาในระบบความคิด  เป็นที่สังเกตุว่า  เรื่องดังกล่าวเหล่าที่ จะระดมเข้ามาในวันหยุดที่เราได้มีเวลาคิด และมีเวลาทบทวนตัวเอง  หลาย ๆ ครั้งที่ใช้บทเรียนในวันหยุดนี้ มาเป็นแบบในการที่จะบริหารจัดการเรื่องการทำงานให้เป็นระบบ แต่มันก็ไม่สม่ำเสมอเลย  แต่สิ่งที่ได้ทำเสมอคือ  ถ้าต้องไปราชการ หรือลา จะต้องตรวจงานค้าง และเขียนเป็นข้อ ๆ พร้อมจัดแฟ้มบนโต๊ะที่มองหาง่าย เมื่อเจ้านายต้องการ  และจะมอบงานให้น้อง ๆ ทำ และตรวจเช็คงานที่ค้่างไว้เสมอ  และสิ่งสำคัญคือต้องจัดระบบเอกสารที่ต้องเก็บเข้าแฟ้มให้เป็นที่เรียบร้อย  และในวันก่อนวันหยุดก็จะเคียร์โต๊ะทำงานเช่นกัน ในเช้าวันนี้ความคิดมันก็วน ๆ เรื่องงานไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะไปทำงาน  แต่ปัจจุบัน วันหยุดก็ให้โอกาสและร่างกายในการทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง จะได้ผ่อยคลายกายให้สบาย ๆ ด้วย

…@#^%#%$#%….เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และมีคำถามว่า ที่ที่จะขายนั้นอยู่ตรงไหน ตอนนี้ยืนอยู่ไม่รู้ว่ามันคือจุดไหน

มองนาฬิกาน่าจะเก้าโมงกว่า ๆ จึงบอกไปว่า อยู่ตรงนั้นแหละจะซิ่งไปเดี๋ยวนี้

(งานนี้ถ้าที่(ป้านาย) ได้ขายอาจจะเป็นโชคดีของหลาย ๆ คน อิอิอิ)  จึงไม่เกี่ยงงอนที่จะตื่น และรีบไปในทันใด

สรุปว่า  เรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องไม่บ้าเรื่องเดียว

เรื่องอื่นที่กล่าวมาคือเรื่องที่ว่า “บ้า” และอยากเล่า

ก็(แค่อยาก)เท่านั้นเอง

อ่านจบแล้วก็ขอบคุณที่มาบ้าร่วมกันค่ะ

Post to Facebook


กฎ กติกา และมารยาท

อ่าน: 1168

กระบวนการจัดการความรู้ของคณะเภสัชศาสตร์ในปีนี้ ดำเนินการโดยผ่านทีมกระบวนกรหัดขับ(เคลื่อน)

และเนื่องจากในปีนี้ได้มีการเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ ทำให้การทำงานเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง  จึงได้มีปรับกระบวนการการจัดการความรู้ เป็นการถอดบทเรียนโดยทีมกระบวนกรได้เข้าไปเยี่ยมในแต่ละงาน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมโดยการเล่าเรื่องการทำงาน  และถอดบทเรียนในงานที่ตนเองเห็นว่ามีการพัฒนา และสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานอื่นได้

วันนี้ได้โอกาสในการเข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสายงานบริการการศึกษา มีผู้เข้าร่วม 12 คน เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้เล่าในงานของตัวเอง  บรรยากาศเป็นกันเอง  แรก ๆ ก็อาจจะมีประหม่า และดูเหมือนว่าจะเล่าดีไม่เล่าดี  ในงานบริการการศึกษาได้มีน้องกระบวนกรอยู่ร่วมด้วย และเป็นน้องใหม่  เห็นบรรยากาศเงียบ จึงเป็นผู้อาสาเล่าเรื่องเป็นคนแรก  (น้องยะ เป็นกระบวนกรฝึกหัดที่มีโอกาสได้ร่วมเรียนรู้กับพี่ ๆ กระบวนกร  จึงมีวิทยายุทธที่จะเรียนรู้ว่า ช่วงเวลาใดที่จะเสริบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงได้เปิดประเด็นก่อน) น้องได้เล่าถึงกระบวนการทำงานของตัวเอง และการนำ IT เข้ามาปรับใช้ในงาน เพื่อให้ค้นหาข้อมูลได้ง่าย และใช้ประโยชน์ของ IT ได้อย่างเต็มที่

หลังจากนั้น น้อง ๆ แต่ละคน ได้เปลี่ยนกันเล่าเรื่องงานที่ตัวเองทำ และมีงานเด่น ๆ ที่ได้มีการพัฒนา หรือกรณีมีปัญหา ได้ใช้กระบวนการในการแก้ไขอย่างไร  ทำให้มองเห็น มุมมอง และการเสริมจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ 

ประเด็นที่ได้คุยของแต่ละคน จะพบว่าจากเรื่องราวที่เป็นความสำเร็จ หรือประเด็นปัญหา  หนีไม่พ้นเรื่อง กฎ ระเบียบ และกติตกาต่าง ๆ ที่เราได้ตกลงร่วมกัน  แต่ในการปฏิบัตินั้น ไม่เป็นไปตาม กฎ ระเบียบ และกติกาที่ตั้งไว้  ตัวอย่างเช่น  การขอข้อมูล และระบุว่าขอให้ส่งภายในวันที่ …..  เพื่อจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป  ซึ่งงานดังกล่าว เป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้  เพื่อให้งานดำเนินเป็นไปตามแผน  แต่เมื่อไม่ได้ข้อมูล  แผนการทำงานก็กระทบไปกับงานอื่น ๆ จึงทำให้เกิดการทำงานล่าช้า  บางครั้งถึงกับต้องเสียสิทธิ์ในงานนั้น ๆ ไป  จึงได้มีประเด็นตามมาว่า ถ้าคนเราทุกคน รู้จัก กฎ กติกา แต่ไม่มีมารยาทในการใช้ร่วมกัน กฎ กติกานั้นก็ไม่สร้างประโยชน์ที่จะใช้ร่วมกันได้ (อันนี้ตัวเองเป็นคนชูประเด็นเอง)  ทุกคนจึง ฮา ๆ ๆ และพูดพร้อม ๆ กันว่า น่าจะจริง  จึงถามต่อไปว่าแล้วทำอย่างไร (นอกจากทำใจ)  หัวหน้าได้ตอบแทนว่า นอกจากทำใจ แล้ว ยังต้อง ธรรมะด้วย  ดังนั้น ทุกวันนี้เราจึงอยู่ปฏิบัติงานด้วยหน้าที่ การทำใจ และใช้ธรรมะในการครองงานในภาระกิจของทุกคน

 

สรุปว่าวันนี้จึงเป็นวันนี้ที่ได้ย้อนมามองตัวเองว่า  เราได้ปฏิบัติงานทุกวันนี้ตามกฎ กติกา  แล้วเรายังมีมารยาทที่จะทำตามกฎ กติกานั้นด้วยหรือไม่  ก็เป็นประเด็นที่ต้องกลับมาย้อนมองตัวเอง

เป็นอีกวันหนึงที่สุขใจ หลังจากได้ทำความสะอาด Big Cleaning Day เมื่อเช้านี้

สบายใจวันหยุดนะคะ

Post to Facebook


วันนี้ใจฉันเต้นเป็นปกติ?

อ่าน: 1304

เช้านี้เกิดอาการ “อืม….” อีกครั้ง

ด้วยได้รับการสกิดใจจากน้อง freemind ทักทายจากบันทึกของเธอว่า วันนี้ใจคงเต้นเป็นปกติดีนะคะ”

ทำให้ไดมีโอกาสคิดว่า การเจริญสติของเรานั้นเป็นอย่างไร

อ่านหนังสือครูบาอาจารย์ก็ได้เรียนรู้ว่าการเจริญสตินั้นแล้วแต่อารมณ์ที่เราถนัด

สำหรับตัวเองนั้น ในแต่ละวันได้ใช้กายใจทำงานอย่างไม่ทะนุถนอม ปล่อยให้สภาวะอารมณ์เกิดขึ้นตามสิ่งเร้ารอบกาย ปล่อยให้ทุกอย่างกระทบอย่างไม่ปลง ไม่วาง และปล่อยกาย ปล่อยจิต ให้ไปสัมผัสอย่างประมาณว่า ถ้าเกิดอะไรก็ตายกันไปข้างหนึ่ง  แต่ในความเป็นจริงสิ  ถ้าเจอแล้วตาย ก็ดีไป แต่ประเภทต้อง แขนหัก ขาหัก ซี่โครงเดี้ยง ม้ามแตก ปอดฉีก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราจะเยียวยามันได้อย่างไร

จึงได้มีโอกาสได้กลับมาเรียนรู้สภาวะตัวเองว่า สิ่งใดที่เหมาะที่จะทำให้เราได้เจริญสติในทางที่ถนัดนั้น

วิธีใช้มองกาย อาจจะไม่ถนัด เพราะวิเคราะห์ตัวเองว่าไฮเปอร์ แล้วการดำเนินชีวิตในทุกวัน มันโลดแล่นไปกับร่องอารมณ์เสนอ จึงใช้วิธีดูที่จิต จิตมันจะเจอสภาวะอารมณ์ใด ก็ปล่อยมันไป เรียนรู้่ไปทีละก้าว ทีละขั้น ทีละตอน และหลอมให้มันเป็นเรา  จิตมันจะสุข ทุกข์ คุ้มดี คุ้มร้าย หดหู่ ฟุ้งซ่าน กังวล ชื่นชม ยินดี ปรีดา จิ๊ด ๆ มันเป็นอย่างนี้ได้ในทุก ๆ วัน  เราก็ตามดูมันไป  เมื่อเรียนรู้ในอารมณ์ขณะนั้น ก็มีโอกาสได้กลับมาดูกายตัวเอง  ขณะที่จิ๊ด ๆ ใจเป็นอย่างไร เต้นแรงไหม มือสั่นหรือเปล่า  หรือว่าเท้ามันอยากจะนำไปประจันบานแล้ว หรือแฟ้มบินซะแล้ว(55555) ฯลฯ เราก็เรียนรู้สภาวะที่เกิดขึ้น ก็ปฏิบัติมา ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เรียนรู้กันไป เพราะสิ่งที่เราได้ มันรู้อยู่ในใจ เราไม่ต้องไปบอกใครก็ได้ ใครเขาคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรา  “สัญญา” เก่าที่เขามีกับเรา ก็เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่เรารู้ว่าเราเป็นอย่างไร ก็ดีใจ เรียนรู้ที่จะไม่เอาจิตออกจากกายไปตัดสินคนอื่นเขา “มันก็เบา ที่ตัวเราเอง”

 

ย้อนกลับมาที่ประโยคของน้อง freemind ที่ทำให้คิดต่ออีกว่า  ในวันหยุด เราใจเต้นเป็นปกติ  แล้วทำไมในวันทำงาน เราไม่ทำให้เต้นเป็นปกติอย่างวันหยุดบ้าง (เหมือนที่หมอป่วนบอกเสมอ “ต้องรอให้ถึงวันนั้นหรือ” “หัวใจดวงเดียวกันหรือเปล่า” )

คำตอบคือ : ก็พยายามและถือปฏิบัติอยู่ค่ะ อิอิอิอิ

 

ซึมซับ และได้เรียนรู้ตัวเองจากประโยคสะกิดน้อง freemind แต่เช้า

ขอบคุณมิตรที่ดีอีกคน นะคะ 

Post to Facebook


คุณอ่านได้ไหม….

อ่าน: 1184

เรื่องดีดีมีมาจากเพื่อนเสมอ

ได้รับเมลฉบับ หนึ่ง หัวข้อก็คือ “คุณอ่านได้มั้ย”

พออ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ว่า….เอ้ !! แปลกจังเลย นี่เราก็ยังอ่านมันได้นี่หน่า แม้เหมือนจะงง ไม่เข้าใจ

แล้วทำให้เกิดข้อคิดบางอย่างขึ้นมา ท่ามการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่ดูสับสนอลหม่านวุ่นวายในยุคปัจจุบันนี้

ไม่ รู้ว่าคุณเคยอ่านหรือยัง แต่เอาล่ะ เราไปอ่านกันดู ดูสิว่าคุณอ่านมันได้มั้ย แล้วค่อยมาคุยกันต่อ

คณุ อาน่ได้มยั้

ถ้า คณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้ หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้

ฉนั ไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเป น็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า

มนัไม่ สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา

ที่ เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัห อน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ…ใช่เลย
แต่ ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ


ฉะนั้น ความสับสันวุ่นวายไม่ได้เป็นเหตุทำให้เราไปต่อไม่ได้ และเราไม่ควรจะวิตกจริตกับสิ่งต่างๆที่ประดังประดาถ่าโถมเข้ามาในชีวิตจน เกินเหตุ

จงเผชิญกับมันเถิด แล้วคุณจะรู้ว่า

คุณสามารถอ่าน ปัญหาที่ดูงงงวยได้ไม่ยาก และสามารถเผชิญหน้ามันต่อไปได้ และไปจนถึงความสำเร็จ

ใช่….. คุณยังไหว…..และคุณอ่านมันได้

 

โอว…แม่เจ้า ทุกอย่างมีทางออกของมันเสมอจริง ๆ

Post to Facebook


ทะเลาะกันไปทำไม

5 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ มิถุนายน 24, 2010 เวลา 23:09 ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, การจัดการความไม่รู้, ตามจริต, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1131

หลาย ๆ ครั้งที่ประเด็นในการทำงานร่วมกันของความเป็นหัวหน้ากับลูกน้อง กับเพื่อนร่วมงานย่อมหลีกหนีความไม่เข้าใจ นำไปสู่การทะเลาะกันในการงานก็เป็นได้  ประเด็นที่จะกล่าวถึงไม่ใช่มองหาประเด็นว่า มันเกิดขึ้น เพราะอะไร แล้วจะแก้ไขอย่างไร  แต่วันนี้จะขอเล่าเรื่องการกลับเข้ามาดูในใจตัวเองทุกครั้งที่มีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้น

การวางอารมณ์ไว้ภายนอกกายและใจ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติยาก  แต่มันก็เป็นเรื่องที่พยายามที่จะเรียนรู้ทุกครั้ง เมื่อเกิดภาวะนี้ เพียงเราเริ่มต้นที่เมื่อมีเหตุเกิด มันเกิดจากความเข้าใจ ความต้องการของบุคคลนั้น ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเข้าใจกับความต้องการของเรา  ซึ่งถามว่าผิดไหม จริง ๆ มันไม่มีผิด ไม่มีถูก  เพราะสิ่งที่เรามองนั้นเป้าหมายมันต่างกัน  จึงพยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจ  และถ้ามีโอกาส ก็จะรับฟังและถ้าต้องการคำอธิบายก็จะลองแลกประเด็นกัน  แต่ถ้าใจแต่ละคนไม่เปิด ที่จะยอมรับฟังกัน  สิ่งที่จะก่อประโยชน์ก็จะไม่เกิดขึ้น  บางครั้งอาจต้องการเวลา และโอกาส ซึ่งรวมถึงพื้นที่ปลอดภัย ที่จะร่วมเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

จึงเริ่มเข้าใจว่า แล้วเราจะทะเลาะกันไปทำไม

เรียนรู้เป็นเด็กอนุบาลอีกคนตาม อ.สร้อยค่ะ

 

รูปนี้ยืมน้องบ้านมกรามาค่ะ

Post to Facebook



Main: 0.16233897209167 sec
Sidebar: 0.036278009414673 sec