ชีวิตที่งดงาม

โดย ป้าหวาน เมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 9:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต #
อ่าน: 2135

เมื่อมองชีวิต พิจารณา ชีวิตที่น่าสรรเสริญ คนคนหนึ่งสามารถทำอย่างไรกับชีวิตตนได้บ้าง สร้างให้เกิดประโยชน์ได้ตั้งแต่ต่อตนเอง ออกไปสู่ภายนอก ระดับเล็กๆคือครอบครัว จนกระทั่ง  เพิ่มขึ้น ๆๆ ในสังคมแวดวงเล็กๆ ระดับชุมชน ระดับจังหวัด จนถึงในระดับประเทศ ในระดับโลก

เพราะคนเรามีเวลาจำกัด หนึ่งชีวิตนั้นสั้นนัก บ้างใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตนเอง  สนองความคิด ความต้องการของตนเองโดยมีคนอื่นๆและสิ่งรอบๆตัวเป็นส่วนประกอบ  บ้างใช้เวลานั้นเพื่อครอบครัว  เพื่อลูก เพื่อครอบครัวตัวเอง สร้างฐานะ สร้าง และ สะสม มุ่งหวังความเจริญของครอบครัวเป็นหลัก บ้างใช้เวลานั้นเพื่ออะไรบางอย่างที่ตนยึดถือ เช่น งานบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นงานเล็กๆมีความหมายเล็กๆเพียงเพื่อความสุขในใจ  อาจเป็นงานระดับกว้างขึ้นๆ จนถึงระดับกลุ่ม  ระดับชาติ ระดับโลก อย่างไรก็ตามโลกนี้ไม่ได้เป็นของใคร ใครเป็นเจ้าของ ท้องฟ้า สายลม แสงแดด เราล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เราก็หลงมากมาย หวังมากมาย

โดยทั่วไปน่าจะเริ่มจากภายในสู่ภายนอก น่าจะเริ่มจากเล็กไปใหญ่ แต่ความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นเสมอตั้งแต่ในใจจนออกมาสู่ภายนอก ลำดับที่น่าจะเป็นก็อาจจะไม่เป็น ตอนเด็กๆไม่ได้เล่นเพราะต้องถูกบังคับให้เรียน  ตอนเรียนไม่ได้ตั้งใจเรียน เพราะโลกมันยั่วยวนให้ใจออกไปสนใจในโลกกว้างใหญ่ ตอนเริ่มทำงานไม่ได้ตั้งใจทำงาน เพราะเพิ่งมีอิสระแล้วอยากทำตามความต้องการวัยเด็ก  (อ้าว…) ที่ตอนนั้นยังไม่ได้ทำ จึงอาจใช้เงินตอบสนอง จึงอาจเริ่มเกิดปัญหาเรื่องงาน มีครอบครัวแต่ไปสนใจนอกครอบครัวเพราะ…ในครอบครัวใกล้เกินไปจึงมองข้าม (อ้าว..) นอกครอบครัวมีเรื่องมากมายที่น่าสนใจ  อาจเริ่มเกิดปัญหาแต่ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนทำให้เกิดเพราะไม่ได้ทำพื้นฐานมาก่อน กลับไปเพ่งมองสื่งอื่นๆมากกว่าว่าทำให้เกิดต่อตน  เด็กคิดว่าพ่อแม่ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนี้ นักศึกษาคิดว่า อาจารย์ไม่.. คนทำงานคิดว่าอะไรๆรอบๆตัวไม่…

มาถึงวันที่ชีวิตง่ายหรือยาก…ตอนเด็กๆ ใครๆก็รู้ว่าให้ทำชีวิตง่ายๆสมกับวัยเด็ก..ทั้งๆที่ตอนนั้นหรือเปล่าคือจุดเริ่มต้น  คือเวลาสร้างโปรแกรมคือการลงพื้นฐานของชีวิต และแล้วเด็กก็โต  ผ่านวันเวลาที่ควรสะสมจิตวิญญาณ  ความรู้พื้นฐานของจิตใจ เติบโตมากับความว่างเปล่า อ้างว้างในใจ จึงไขว่ขว้าเอาสิ่งต่างๆภายนอกอย่างหิวกระหาย  มีส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เติบโตอย่างช้าๆ สะสมเติมเต็มภายในใจออกมาสู่ภายนอก  มองโลกในสายตาอีกแบบหนึ่ง

Benji
Benji เป็นภาพยนตร์ในปี 1974 ที่ช่วงนั้นมีการสอนอะไรๆให้เด็กในหลายๆสื่อ Benji มีชีวิตที่น่ารักมีเวลาส่วนตัวเล่น เหมือนหมาทั่วไป แต่ อยากให้สังเกต ตอนที่ Benji ย้อนกลับมาเอาหนังสือพิมพ์ มีหน้าที่ หยุดทักทายคนคุ้นเคย มีความรัก ต่อสังคม และ รอข้ามถนนค่ะ มีวินัย ทำไมจึงสอดแทรกสิ่งต่างๆที่น่าจะมีในชีวิตของเด็กธรรมดาได้นะคะ ความงดงามของชีวิตในใจของเด็กๆถูกปลูกฝังถ่ายทอดโดยตัวอย่างที่ดีจากสื่อ

 

Post to Twitter Post to Facebook

No related posts.

« « Prev : ยังมีพรุ่งนี้

Next : ที่จริงแล้ว… » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 9:33 (เช้า)

    ตามมาอ่านครับ  เห็นเรื่องเบ็นจี้  เลยเอาเรื่องหมาๆมาฝาก  อิอิ

  • #2 kanda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 10:14 (เช้า)

    เห็นด้วยค่ะป้าหวานว่า ชีวิตที่งดงามคือชีวิตที่ทำเพื่อผู้อื่น

  • #3 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 11:00 (เช้า)

    คุณกานดาค่ะ พื้นฐานชีวิตเริ่มต้นที่ครอบครัวอย่างธรรมชาตินั้นเป็นสัจธรรมค่ะ ครอบครัวคือจุดเริ่มต้นของสังคมค่ะ ครอบครัวสงบสุขย่อมส่งผลต่อสังคมโดยรวม พี่อาจจะโชคดีค่ะ ที่มีคุณพ่อได้ปูพื้นฐานชีวิตทีดี มีชีวิตวัยเด็กที่งดงามตามธรรมชาติ และแทรกด้วยคุณธรรมจริยธรรมโดยการปฏิบัติให้เห็น ปฏิบัติให้เป็นตามธรรมชาติทำให้ได้รับกรรมดีติดตัวมา และถ่ายทอดไปสู่ลูกๆ  และเผื่อแผ่เพื่อนๆ รอบข้างที่ศรัทธาในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย แต่ใส่ใจในรายละเอียดทุกช่วงวัยของชีวิต พี่เคยบอกกล่าวเล่าเตือนคนที่เขาอยากรู้อยากฟังเรื่องพื้นฐานชีวิต ว่าวัยเด็กมันสั้นนัก ยิ่งวัยทารกสั้นที่สุด ตามด้วยวัยเด็กเด็ก เด็กโต แล้วก็เริ่มเข้าวัยรุ่น รวมแล้ว ๒๐ ปี  นับตั้งแต่ วัยทารกถึง ๖ ขวบแรก ของชีวิต คือวัยที่ต้องรู้ให้ได้ ว่าเทวดาที่สวรรค์ประทานให้มา เป็นนางฟ้า เทวดาผู้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ติติดตัวมาเป็นพิเศษแตกต่งกันไปตามกรรมดีที่สะสมมา จึงต้องเฝ้าถนอมกล่อมเลี้ยงสังเกตุค้นหาให้เจอ แล้วให้เทวดา นางฟ้ารู้จักตัวตนของตัวเอง ส่งเสริมพัฒนาให้ตรงกับพรสวรรค์ที่ติดตัวมาเด็กๆ จะมีความสุข และทำได้ดีและจะเป็นธรรมชาติ อย่ายัดสิ่งที่พ่อแม่อยากเป็น พ่อแม่อยากได้ อันตรายที่สุด เป็นการทำลายลูกตัวเองอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่รู้ตัว อย่าเปรียบเทียมลูกกับเด็กคนอื่นเด็ดขาด หากจะเปรียบเทียบให้เปรียบเทียบกับตัวเขาเอง หรือกับพ่อแม่ในอายุเท่านี้หนูทำอย่างนี้ได้ เก่งกว่าแม่ ตอนอายุเท่าหนู หนูอายุแค่นี้หนูทำอย่างนี้ได้ หนูมีพรสวรรค์ด้านนี้นะ  พยายามชี้แนะให้เขาเห็นความสามารถ หรือพรสวรรค์ของเขา อย่างต่อเนื่องจนเป็นเรื่องปกติและให้เป็นธรรมชาติ
    สอนให้มีจิตอาษา จิตแบ่งปัน ด้วยการทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สมเหตุสมผล พี่จะให้แม้กระทั้งเปลอู่นอนของลูกๆ เสื้อผ้าของใช้ เมื่อเพื่อนอาจารย์มีลูกใหม่ทีจำเป็นต้องใช้ ในช่วงวัยทารก จากนั้นก็ให้เวียนกันใช้ พอพี่มีลูกคนใหม่ เขาก็จะมาคืนให้ใช้พอเลยวัยทารก  พอดีมีคนอื่นมีลูกเราเอาไปให้ใช้อีก เวียนกัน สามสิบกว่าชีวิตที่เกิดใหม่ได้ใช้อู่ของลูกค่ะ ตอนนี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งถึงขั้นจะทำประวัติอู้เปลนอนของพี่ค่ะ พี่ยังขำในใจเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าเปลอู่นอนของพี่อันนี้ อยู่กับใครค่ะ นอกจากนั้นถ้ามีอะไรมากกว่าก็แบ่งปันกันเสมอ ทั้งในหมู่เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน และเจ้าหน้าที่จนเป็นเรื่องธรรมดาจนจำไม่ได้ ว่าให้อะไรใครค่ะ มีแต่ผู้รับเท่านั้นเป็นคนบอก บางคนได้ทั้งเสื้อคลุมท้อง เสื้อผ้าที่ใส่ทำงาน ผ้าอ้อมลูกขวดนม แม้กระทั่งกระโถน เสื้อกันหนาวทั้งแม่ลูก กระทั้งกระเป๋สรองเท้า มีอีกเรื่องทีกลุ่มเล็กๆ ของเราสร้างใครมีปัญหาอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว เอามาคุยที่โต๊ะอาหารเพื่อช่วยกันแก้ไข ซึ่งได้ผลมากค่ะ เกือบลืมเรื่องความทุกข์ใ ครเกิดทุกข์จากจากสูญเสียคนที่รัก กลุ่มเราจะเข้าไช่วยเหลือให้คลายทุกข์ แม้แต่เสื้อผ้าไว้ทุกข์ก็จัดหาแบ่งปันมาให้  และหมุนเวียนกันทำหน้าที่ใครพร้อมก็อาษาทันที่ค่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตตอนที่อยู่เชียงใหม่ค่ะ คุณกานดา

  • #4 กานดา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2009 เวลา 2:57 (เย็น)

    #1 ขอบพระคุณพี่หมอจอมป่วนค่ะ  ขอบพระคุณเรื่องหมาๆด้วยค่ะ  อิอิ  ตามไปอ่านแล้วค่ะ  ได้ใจค่ะแม้แต่หมาก็เสียศูนย์ได้เน้อะ  เสียความเป็นหมา จนต้องบำบัด  ได้อย่างเสียอย่าง จะให้ได้ 2อย่างต้องปรับให้พอเหมาะ  ขอบคุณค่ะ
    #2 ขอบคุณคุณ kandaค่ะ เย้ๆ กานดาพบกานดาเนาะ..อิอิ กลายเป็น กานดายกกำลังสอง… 
    #3 ขอบพระคุณพี่หลินฮุ่ยค่ะ  กานดาหมายถึงอยากให้เด็กได้รับจิตวิญญาณในเรื่องพื้นฐานของชีวิตน่ะค่ะ  ส่วนเรื่องความเก่งนั้น กานดาเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะในการค้นหา และส่งเสริมพรสวรรค์ ของเด็ก  เรื่องนี้ กานดามีตัวอย่างเด็กที่น่าสงสาร  เด็กคนนี้สอบเข้าแพทย์ได้แล้วมาร้องไห้ขอสละสิทธิ์ เพราะที่ทำมาทั้งหมดคือทำเพื่อพ่อแม่ค่ะ กานดาไม่เข้าใจพ่อแม่ของเด็กเลย ทุกหนทางมีหลายมุมนะคะ โชคดีของกานดาที่ได้พบการแบ่งปันที่นี่ ขอบพระคุณค่ะ

  • #5 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 เมษายน 2009 เวลา 11:08 (เช้า)

    ชอบการเขียนของป้าหวานนะคะ

    ทุกคนบนลานฯโปรดเชื่อว่าอย่างน้อยมี 2 คนที่ตามอ่านทุกบันทึกที่โพสต์ขึ้นมา แต่อาจไม่แสดงตัว หนึ่งในนั้นคือเบิร์ด อิอิอิ

    ชีวิตคืออะไร? เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบถ้าไม่ชัดเจนในเป้าหมาย  และกินความได้กว้างไกล …คำถามว่าใช้ชีวิตอย่างไรดูจะมีคำตอบได้ง่ายดายกว่าแต่ไม่ลุ่มลึกเพียงพอ เนี่องจากอาจเป็นได้แค่การจำตามๆกันมาเท่านั้น

    ขอบคุณบันทึกนี้ที่ทำให้เบิร์ดคิดถึงเบนจี้ขึ้นมาได้อีกครั้งค่ะ(ยังทันนะคะเนี่ย 555)

  • #6 กานดา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 เมษายน 2009 เวลา 6:36 (เช้า)
    #5 ขอบคุณน้องเบริ์ดนะคะ  ชีวิตคนเราถูกเล่าขานต่อๆกันมา เป็นเรื่องสอนใจ ก่อนจะมีทฤษฎีหรือเปล่าไม่ทราบนะคะ..อิอิ  ป้าหวานก็ชอบการเขียนน้องเบริ์ดค่ะ  มีข้อมูล มีวิชาการ และ มีความหมาย..ป้าหวานคงยังต้องฝึกและเรียนรู้อีกมากนะคะ  เชื่อว่าที่นี่มีอะไรดีๆอีกมากที่ป้าหวานจะได้เรียนนอกโรงเรียน…             
        ทัน Benji ด้วยหรือคะ…จริงเปล่า..อิอิ 
  • #7 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 พฤษภาคม 2009 เวลา 4:49 (เย็น)

    น้องครูปูขอมาแอบฝึกเรียนรู้จากป้าหวานด้วยคนนะคะ
    องค์ความรู้ที่มีอยู่ในตัวทุกผู้ทุกคนล้วนทรงคุณค่า
    ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ มากประสบการณ์จากวานวันที่พานพบ
    น้องครูปูหล่ะชอบนอนฟัง นั่งฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่เล่าเป็นที่สุด
    บางทีเนื้อหาไม่น่าสนใจ แต่ได้จ้องมองแววตา ลีลาท่าทางก็บอกอะไรได้เยอะเลยค่ะ
    ว่าแต่เมื่อไหร่จะได้นอนฟังป้าหวานเล่าเรื่องนู่นนี่ซะทีคะ
    ^_^

  • #8 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2009 เวลา 5:17 (เช้า)
     น้องครูปู..สงสัยจะเจอเนื้อคู่   คนหนึ่งชอบเล่า คนหนึ่งชอบฟัง  มาแถวๆนี้ป้าหวานคงเล่าอะไรๆ
    ให้ฟังบ่อยๆค่ะ  แน่ะ..เนื้อหาไม่สนใจ  จะมาหลอกเหน็บกันละซีนี่…ก็จะหาเนื้อมาอยู่ละนา..ไม่ให้น้ำท่วมทุ่ง  ผักบุ้งโหรงเหรง มากนัก…ฮาๆๆๆ จะพยายามค่ะ
    เรื่องมานอนมองตากันเนี่ย..( วาบหวิว ฮ้า..) ป้าหวานขอจองตัวไว้ก่อนเลยนะคะ  เราเจอกันเมื่อไรละก้อ..
    แน่ใจรึว่าจะมีคนฟัง..เรื่องของเรื่องคือ กำลังทำถนน ทำสะพาน อยู่ค่ะ  ต้องคิดๆๆๆ  เพราะอยากให้ทางมั่นคง ทางไปเฮฮาศาสตร์ไง  ต้องใช้เวลา ใช้เทคนิค เทคโน ทุกประการ เพื่อให้ไม่ถูกปิดทาง  นะถ้าต้นทาง ปลายทาง สะดวกจะได้มาได้บ่อยๆ  ไม่โดนปิดทาง ระงับวีซ่า..อดซ่า…อิอิอิ
  • #9 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2009 เวลา 8:34 (เช้า)

    จ๊ากกกกกกกกก….
    บ่ได้บังอาจเหน็บป้าหวานเน่อ เพียงแต่คิดถึงบรรยากาศเวลานอนฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องนู๊นเรื่องนี่ ที่เราอาจทำความเข้าใจไม่หมด ไม่รู้เรื่องไม่เก็ท เลยไม่สนใจฟังเท่าไหร่ เผลอ ๆ บางทีเป็นเรื่องวัยหวานส่วนตัวของผู้ใหญ่ ๆ ที่เรางง ๆ เข้าไปอีก หรือบางทีก็แหย่กันเล่นไปมาพอได้ฮากร๊าก ฮากร๊าก
    แต่สำคัญคือบรรยากาศค่ะ
    เฮ้อ…
    คึดฮอดฟามหลังข่าหนาด :)

  • #10 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2009 เวลา 4:18 (เย็น)

    ฮาๆๆ ..คือ ป้าหวานก็เคยคิดว่า คิดถึงบ้าน นะคะ ลูกๆบอกว่า นี่ไง บ้านของแม่ ที่จริงก็ใช่..
    แต่ไม่ใช่สิ่งที่คิด  It’s my home. นั่นคือ การหวนหาชีวิตวัยเด็กค่ะ  บ้านที่คิดถึงนั้นอยู่ในใจที่แท้คือ
    วัน เวลา อันแสนสุข ในวัยเด็กนั่นเอง  แม้วันนี้จะกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อีก แต่เรากลับไปในอดีต
    ไม่ได้อีกแล้ว  ได้แต่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ  คึดฮอดฟามหลังข่าหนาด ..เอิ้กๆๆๆเดี๋ยวเค้าก็รู้หรอกว่า สว.


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.22458791732788 sec
Sidebar: 0.062885046005249 sec