พระพยอมเทศน์ เวอร์ชั่นมันส์ๆ…ขำกลิ้งอีกสักครั้ง

โดย ป้าหวาน เมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 10:24 (เช้า) ในหมวดหมู่ ข้อคิด ชีวิต, ทั่วไป, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 4961

จาก FW mail ค่ะ  ขอขอบคุณ ผู้ส่งต่อๆมา

พระพยอมเทศน์ เวอร์ชั่นมันส์ๆ…ขำกลิ้งอีกสักครั้ง

ของแปลก

แท๊กซี่บางคน อาตมานั่งไปด้วยแล้วรำคาญ มันขี้โมโห หงุดหงิดทั้งวัน
วันนั้นนั่งจากหมอชิต ไปโรงพยาบาลศิริราช มันด่าคนไปตลอดทาง
ไอ้คนนั้นขับไม่ดี
ไอ้คนนี้เฮงซวยขับช้า ไอ้บ้านี่ตัดหน้า
ไอ้เปรตนี้หยุดไม่เปิดไฟเลี้ยว
มันพูดแต่ว่าแปลกจริง…..แปลกจริง……
แปลกจริงทางม้าลายมีไม่ข้าม…แปลกจริง เวลาจะเลี้ยวทำไมไม่เปิดไฟเลี้ยว..

แปลกจริง ที่ห้ามจอดดันทะลึ่งจอด
อาตมาทนรำคาญไม่ไหว ใกล้ถึงศิริราชแล้ว อาตมาถามว่า
คุณขับรถมากี่ปีแล้ว…หลายปีแล้วครับ
ปีหนึ่งๆมีคนมายั่วทำให้โกรธอย่างนี้บ่อยไหมครับ…….
บ่อยครับ..วันหนึ่งหลายสิบครั้ง…
อาตมาก็เลยบอกว่า มันมีบ่อยๆวันละหลายสิบครั้ง….มันจะแปลกยังไง
ของแปลกมันต้องนานๆเกิดครั้งหนึ่ง
วันนี้เกิดบ่อยๆยังตวาดอยู่ได้ว่าแปลกจริง…แปลกจริง..อยู่นั่นแหละ
มันน่าจะบอกว่า เออ….ธรรมดาจริง..บ่อยจริงมากกว่า

เทศน์ช้าไปหน่อย

วันก่อนอาตมาไปเทศน์ในคุก…..

อาตมาบอกว่า..พวกเราที่มาติดอยู่ในคุกเนี่ย…เราไม่ได้ติดคนเดียวนะ..เราเอา

พ่อเอาแม่มาติดด้วย พ่อแม่ต้องลำบากตรากตรำ หาเงินมาซื้อข้าวปลาอาหาร

ข้าวของเครื่องใช้และค่ารถค่าเดินทางที่จะมาเยี่ยมเราทุกอาทิตย์…
และเรายังทำร้ายจิตใจท่านให้ต้องทุกข์ทรมานตลอดเวลาจนกว่าเราจะพ้นโทษ

นักโทษคนหนึ่งมันสำนึกบาป ร้องไห้โฮ อย่างไม่อายใคร
ท่านทำไมเพิ่งจะมาเทศน์ตอนนี้

ทำไมท่านไม่เทศน์ก่อนที่ผมจะทำชั่ว

ไอ้พวกนี้..เวลามันทำชั่ว
ทำอะไรไม่ดี มันโยนให้พระหมด
อาตมาเทศน์มาตั้งนานแล้ว
โยมไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ไม่มาฟังเอง…..

คิดก่อนจึงทำ

การขยันให้ทาน…ตถาคตไม่สรรเสริญ…แต่ตถาคตสรรเสริญ

..คนที่คิดใคร่ครวญ ดีแล้วจึงให้..
เพราะเมื่อใคร่ครวญแล้ว จะไม่มีใครเดือดร้อนจากการให้…

ที่สุพรรณบุรี…มีอยู่ช่วงหนึ่ง
พระพุทธรูปในวัดหายเป็นจำนวนมาก..หลายวัด…
เสี่ยเจ้าของโรงสี..อดรนทนไม่ได้บอก..

“หลวงพ่อครับ..ขโมยมันรบกวนพระเหลือเกิน…ผมสงสารท่าน….

ผมขอถวายปืนให้ท่านกระบอกหนึ่ง ”
มันโง่จริงๆ ไม่รู้เลยว่าอะไรควรถวายอะไรไม่ควรถวาย….ตัวมันน่ะไม่เดือดร้อน
แต่พระน่ะ..ติดคุก

พระไม่เข้าใจ

วันก่อนเทศน์ให้เด็กอนุบาลฟัง….100 กว่าคนตัวนิดเดียว…แต่พอฟังรู้เรื่องแล้ว..

อาตมาบรรยายธรรม..พร้อมมีภาพสไลด์ประกอบ…

เราสอนว่า..คนเราจะประสบความสำเร็จ..มันต้องตั้งใจจริง..ทำอะไรก็ต้องทำจริงๆ..

ตั้งใจให้แน่วแน่….เหมือนคนตำน้ำพริก..ตาจ้องดูที่ครก ตำจริงๆ
ไม่ใช่ตำเป๊กเดียว..แล้วเอามากิน..ต้องตำบ่อยๆ..หลายๆครั้ง…น้ำพริกถึงจะอร่อย..
คนเราทำอะไรให้สำเร็จ..มันต้องทำบ่อยๆ

ทันใดนั้น เหตุการณ์เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น…..
เด็กผู้ชายตัวเล็ก ห้าขวบ..มันลุกขึ้นยืน..แล้วพูดว่า
พระ..พระ..พระรู้ไหม…ว่าเด็กก็ชอบดูพระพูดบ่อยๆ..

แต่พระอย่าพูดธรรมะเยอะนักซิ…..เด็กมันเซ็งระเบิดเลย….

พระเอารูปให้ดูเยอะๆหน่อย

โสเภณีที่รัก

วันหนึ่งมีคนมานิมนต์ให้ไปเทศน์ให้โสเภณีฟัง
ตั้งแต่บวชมา..เพิ่งจะเจอครั้งนี้แหละ…มันเทศน์ยากพิลึก
พอไปถึงทุกคนมองพระเหมือนตัวประหลาด …เข้ามาทำไมวะเนี่ย
พอนั่งปุ๊บ..มองไปรอบๆ..ไม่มีใครสนใจสักคน…. คิดในใจว่า..

จะเอาสูตรไหนมาเทศน์สู้กับมันดีวะเนี่ย …..
ทำใจดีสู้เสือ..เริ่มต้นคำแรกว่า….

“สวัสดีน้องหญิงผู้มีวาสนาสูง..”….
ได้ผลแฮะ…ได้ผลดีเกินคาด ทุกคนหันมามอง
ตั้งใจฟังหูผึ่งว่าพระจะพูดอะไรต่อ….ได้โอกาส..พระเลยปล่อยไม้เด็ดเลย
สวัสดีน้องหญิงผู้มีวาสนาสูง..ผู้ขายของเก่ากินโดยไม่ต้องลงทุน
เมื่อน้องหญิงอยู่ที่บ้าน….คนทั่วไปจะเรียกน้องหญิงอย่างยกย่องว่า..
กุลสตรี…ยกย่องว่าเป็น เพศแม่
แต่พอน้องหญิงมาอยู่ในสถานที่อย่างนี้

ความเป็นกุลสตรีความสูงส่งของเพศแม่มันถูกทำลายไป
เขาเรียกน้องหญิงว่า…อีตัว….(อันนี้เซ็นเซอร์หรือเปล่าอ่ะ)
เวลาเขาจะหาความสุขจากเรือนร่างเธอ..เขามารับเธอไป..เขาไม่ได้พูดให้เกียรติเธอเลย…
แทนที่เขาจะบอกว่า..มาเชิญเธอไป..เขากลับใช้คำว่า..หิ้วไป

ใช้คำว่า..หิ้ว…เห็นเราเหมือนเป็ดเหมือนไก่..ไม่ให้เกียรติเราเลย…

เราน่าจะกลับไปอยู่บ้าน…ใช้ชีวิตทำมาหากินเหมือนเดิม..

ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยแต่เราก็อยู่อย่างมีเกียรติ…
ทุกคนนั่งนิ่ง..ทำตาแดงๆ

เป็นโอกาสดีของพระแล้วที่จะดึงเธอมาเป็นพวก..

จึงสนทนาสอบถามเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
น้องหญิงหลายคนสักตุ๊กแกไว้ที่ต้นแขน..สักทำไมหรือ..

อ๋อ..เวลาผู้ชายมาใช้บริการ..จะได้จับผู้ชายให้ติด…

เพราะตุ๊กแกขามันเหนียวเกาะแน่น แกะไม่หลุด
โอ..หลักการดี..อาตมาเลยแกล้งหยอกไปว่า…

ตุ๊กแกมันเกาะแต่ผู้ชายอย่างเดียวหรือ…มันเกาะเอาซุปเปอร์โกโนเรียมาด้วยหรือเปล่า……
ทุกคนเงียบกริบ รอยยิ้มเริ่มหายไป…บรรยากาศชักไม่น่าลงทุนแล้ว….
อาตมาเลยถามต่อ….

อ้าว..แล้วบางคนที่สักขอกับเคียวไว้ที่ต้นแขนล่ะ….มีความหมายว่าอย่างไร
ก็เอาไว้เกี่ยวสตางค์จากกระเป๋าคนมาเที่ยวไง…….

เออ..คนเรานี่มันโง่ดี..ถ้าสักขอกับเคียวแล้วมันเกี่ยวสตางค์ได้จริง…

คนไทยทั้งประเทศไม่ต้องมัวเหนื่อยไปทำมาหากินหรอก…สักขอกับเคียวไห้เต็มตัวก็รวยแล้ว

ล้างแค้น…

มือปืนเมืองเพชร…เมาแอ๋เข้ามาหาพระมันชูปืนขึ้น..แล้วเดินเป๋เข้ามา
หลวงพี่ก็เลยโดดหลบเข้าข้างเสา เพราะพระก็เสียวเป็นเหมือนกัน…
มันบอกว่า..หลวงพี่ต้องเป็นพยานให้ผมด้วย…

ไอ้แคล้วมันฆ่าพ่อผมตาย..ผมขอสาบานต่อหน้าพระว่า..

ผมจะต้องล้างแค้นให้พ่อผมให้ได้…ถ้าผมฆ่าไอ้แคล้วไม่ได้..ชีวิตนี้นอนตาไม่หลับ

หลวงพี่โผล่ออกมาจากเสา..แล้วบอกว่า..สาธุ..ขออนุโมทนาบุญกับโยมด้วยที่คิดจะล้างแค้น
คนทั้งศาลาหันมามองหน้าพระเป็นตาเดียว…
โธ่…ก็มันถือปืนส่ายอยู่อย่างนั้นจะให้พระทำยังไง…น่าจะเห็นใจพระบ้างนะ….
อาตมาก็พูดกับมือปืนต่อว่า…. ล้าง..หมายถึง..ทำให้สะอาด
การล้างแค้นเป็นเรื่องดี เรามีความแค้น…แสดงว่า..ความแค้นมันมาเปื้อนจิตใจเรา..
การล้างแค้น…คือล้างที่จิตใจของเราให้สะอาด..ให้ความแค้นมันหมดไปจากใจเรา…
การไปยิงเขาตายอีก…เป็นการเพิ่มความแค้น….ลูกหลานเขาก็ตามจะมายิงมาฆ่าเราอีก..

วนเวียนอย่างนี้ไม่จบสิ้น การล้างแค้น..จึงเป็นการอโหสิกรรม..หมดเวรหมดกรรม
อาตมาจึงขออนุโมทนาบุญกับโยมด้วย…
พูดเสร็จพระก็หลบไปยืนบังเสาไว้ พระไม่กลัวมันหรอก..แต่พระไม่ประมาท

ใส่บาตรวันเกิด

เหล้ากินเข้าไปแล้วก็ขาดสติ…มีเรื่องเล่าว่า
วันเกิดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
กลางคืนเลี้ยงฉลองร่ำสุรากันเต็มที่..เมาแประ..รุ่งเช้าอยากใส่บาตรทำบุญเอาฤกษ์

ขณะตักข้าวจะใส่บาตร ด้วยความเมาทำข้าวหก
หมาก็วิ่งกรูกันเข้ามาแย่งกันกินข้าว กัดกันเจี๊ยวจ้าวพันแข้งพันขาจนเดินไม่ได้..
ด้วยความโมโห..เงื้อเท้าเตะหมาเต็มแรง…หมามันก็หลบทัน แต่พระหลบไม่ทัน
โดนหน้าแข้งเต็มๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ร่วมแย่งข้าวด้วยสักหน่อย
ขณะใส่บาตร..รู้สึกว่ากับข้าวที่เตรียมไว้ ไม่พอดีกับพระ
แกตะโกนเรียกหลานลั่นเลย….
“อีหนู เอาปลาทูมาอีกสององค์ วันนี้พระมาสี่ตัว…”
เหล้ามันทำให้คนกิน..ไม่เป็นผู้เป็นคน..พูดผิด..คิดผิด ทำผิด
แล้วยังจะกินมันอยู่อีกหรือ…….
.


เทศน์รอบดึก

มีอยู่รายการหนึ่ง เขาจัดงานหารายได้เข้ามัสยิด…
นิมนต์พระพยอมมาช่วยเทศน์ดึงคนให้หน่อย..เพราะช่วงที่กำลังดังนี้

เทศน์ทีมีคนฟังเป็นหมื่น..พอประกาศชื่อพระพยอมคนสนใจมาก
เขาจัดโปรมแกรมให้พระพูดตอนดึก 5 ทุ่ม
พระก็อยากพูดเร็วๆ พูดเสร็จจะได้รีบกลับ…
เขาบอกว่า..ไม่ได้..ถ้าท่านกลับ..คนก็กลับกันหมด..
หอยทอด โรตี..ไก่ย่าง..ยังขายไม่หมดเลย..
เดี๋ยวท่านรอให้ขาย หอยทอด โรตี ไก่ย่างหมดก่อน..ค่อยขึ้นเทศน์
กรรมของพระ…ไม่ควรดังเลยเรา….

เจ๊กหมดทุนเจ๊กหมดทุน…..

มีชายคนหนึ่งอยู่สุไหงโกลก..ชื่ออาฮัง..
อาฮังหรือ..เจ๊กฮัง..ค้าขายขาดทุนปีเดียวสามสี่แสนบาท….

ไม่เป็นอันทำมาหากินเลย..พอขาดทุนสี่แสนก็มานั่งทำท่าเหมือนลิงป่วย…..
หมดแรง..หมดอาลัยตายอยาก….
พูดพร่ำอยู่คำเดียวทั้งวัน…อั๊วขาดทุนหมดแล้ว..อั๊วขาดทุนหมดแล้ว
จนญาติๆระอา…ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหามมาส่งที่วัดสวนโมกข์…

อาตมาอยู่สวนโมกข์ได้ 7 ปีพอดี ปรากฏว่า..มันก็มานั่งที่ตรงหินโค้ง…

นั่งเป็นทุกข์ในท่าเจ๊กหมดทุนท่าเดิม…

นั่งบ่น..อั๊วเจ๊งหมดแล้ว..อั๊วขาดทุนหมดแล้ว……..
อาจารย์พุทธทาสก็เลยเข้าไปถามว่า….
ฮัง…ลื้อขาดทุนแน่หรือ….
แน่ซิครับ…สี่แสนปีเดียวหมดเกลี้ยง..ผมขาดทุนย่อยยับหมดเลย….
คิดให้ดี…ขาดทุนจริงๆนะเหรอ….
จริงซิครับ…อย่ามาถามยั่วโทสะผมนะ……
อาจารย์พุทธทาสก็เลยถามต่อว่า…โยมอาฮัง…
ที่ลื้อบ่นขาดทุน..ขาดทุนนี่..ลื้อเกิดมาลื้อมีทุนติดตัวมาเท่าไร…….
วันที่ลื้อเกิดมานะ

อาฮังนั่งคิดอยู่พักหนึ่ง..เอ๊ะ..ใครมันจะไปดึงทุนออกมาจากท้องแม่ได้ในวันเกิดนะ

พระนี่ถามอะไรแปลกๆ…
อาฮังตอบว่า ..ไม่มี..
อาจารย์พุทธทาสท่านก็ถามต่อ…เดี๋ยวนี้หม้อหุงข้าวลื้อมีไหม…
หม้อหุงข้าวมี..
เสื้อผัามีใส่ไหม…
มี…
บ้านมีอยู่ไหม……
มี…
ถามอะไรต่อมิอะไร..มันก็ตอบว่า..มีๆๆ…
อาจารย์พุทธทาสท่านจึงบอกว่า ..อาฮัง…ลื้อไม่ได้ขาดทุนหรอก
เพียงแต่กำไรมันลดลงไปนิดหน่อยเท่านั้น.

“คุณพระช่วย”

พวกเราชอบอ้อนวอน..ชอบบนบานศาลกล่าวกันจนเคย….

โดยเฉพาะผู้หญิงขอให้พระช่วยจนติดปาก
เกิดมีอะไรขึ้น..หรือตกใจอะไร..จะต้องร้องว่า
“คุณพระช่วย”..ทุกครั้ง…

วันหนึ่ง..อาซิ้มนั่งขายของอยู่ในร้าน…หน้าร้านมีคนมาทำความสะอาดท่อ..

แล้วเปิดฝาท่อทิ้งไว้
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินตกท่อ..แล้วตะโกนว่า “ว้ายคุณพระช่วย”
อาซิ้มหัวเราะตัวงอ..แล้วเดินออกมาหาหญิงผู้เคราะห์ร้าย

พระช่วยลื้อไม่ล่ายหรอก..เพราะเมื่อเช้านี้พระก็ตกเหมือนกัน……..

Post to Twitter Post to Facebook

No related posts.

« « Prev : Stand By Me | Playing For Change | Song Around the World

Next : รำบายศรีสู่ขวัญ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

11 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 10:39 (เช้า)

    ก๊ากส์ๆๆๆๆๆ กั๊กๆๆๆๆๆๆ เอิ๊กส์

  • #2 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 11:06 (เช้า)
    ห้า ห้า ห้า ยิ่งหัวเราะ ยิ่งมันส์ ไม่เชื่อลองหัวเราะดังๆดูสิคะ : ) อิอิ ในคำขัน มีคำสอน ในคำสอน มีคำขัน ในโลกเครียดๆนี้ ไม่สมควรมีเสียงหัวเราะ บ้างหรืออย่างไร… ต้องถามหมอเบิร์ดว่า เวลาหัวเราะ ความดันในสมองลดลงด้วย ชิมิ… ♥+♥ แต่หัวเราะทั้งวันมิดี เดี๋ยวคนไข้ของหมอเบริ์ดจะเพิ่มขึ้น
  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 2:48 (เย็น)

    ระวังอย่าอ่านคนเดียว
    เดี๋ยวหัวเราะ งอหายขึ้นมาคนเดียว อันตราย อิอิ

  • #4 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 2:58 (เย็น)

    อ่านไปขำไปค่ะ และขอเข้ามาชวนป้าหวานไปศูนย์วิจัยสะแกราชวันที่ 13-14ด้วย งานนี้จิ๊กไม่ว่าง แม่ใหญ่ไปคนเดียวให้คนรถขับไปค่ะ ออกแต่ตีสี่ เพราะต้องไปถึงก่อนสิบโมงเช้า ถ้าสนใจโทรมาบอกด้วยนะคะ

  • #5 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 3:09 (เย็น)

    เคยฟังท่านตอนท่านเดินสายมาเชียงใหม่….ท่านหยิบยกเหตุการณ์ของวันที่ท่านมาเทศน์มาเล่า มาสอนได้เตือนสติ ดีแท้ๆ เลยค่ะ

    เวลาพระพยอมมา ท่านจะมีคาราวานมารับบริจาคของด้วย คนมาฟังธรรมะจากท่านก็เข้าไปถวายเงิน และเอาพวกเครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่รอการซ่อมบ้างมาบริจาคเป็นรถสิบล้อ ศิษย์ท่านที่มาด้วยนิสัยดีมากค่ะ กิริยามารยาทเรียบร้อย เป็นที่ชื่นชมของคนฟัง

    ขอบคุณป้าหวานนะคะ อ่านแล้วหัวเราะคนเดียวซะ…อิอิ

  • #6 creamygipsy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 3:10 (เย็น)

    ชอบเรื่อง เจ๊กหมดทุน ที่สุดเลยค่ะ :D

  • #7 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 3:30 (เย็น)
    ขอบพระคุณพี่บางทรายค่ะ : ) ส่งความคิดถึงและปรารถนาดีมา 3 กระบุงค่ะ : )

    ขอบพระคุณแม่ใหญ่ค่ะ ป้าหวานสนใจค่ะ แต่ไม่ตรงกับ เสาร์อาทิตย์ ยังติดตรงนี้ ไว้รอถ้าพ่อครู มีมีทติ้งกับ อ.ฤาษี อาจจะได้ไป เพราะป้าหวานก็สนใจท่าน อ.ฤาษี ศรัทธาทั้ง อ.นฤมลด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาส พบปะท่าน เรียนรู้อีกบทใหญ่ๆ ถือเป็นวาสนา ข้าน้อย ยิ่งนัก

    ขอบพระคุณอุ๊ยค่ะ ท่านมีวิธีของท่านที่โดนใจอีกแบบเน้อะ ง่ายๆตรงๆ สอนคน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านก็ทำให้ง่ายได้ สาธุ แม้คนที่ไม่ชอบวิธีของท่านก็คงมี แต่ป้าหวานมองว่า เป็นความแตกต่างที่เป็นคุณ คิดถึงอุ้ยเน้อ…

    ขอบพระคุณ คุณ creamygipsy ค่ะ ป้าหวานก็ชอบค่ะ จริงของหลวงปู่เน้อะ.. เรามามือเปล่าแท้ๆ ..

  • #8 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2011 เวลา 9:21 (เย็น)

    พระสอนตลก คนติด พระก็ยิ่งต้องตลกมากขึ้นเรื่อยๆ

    บางคนสวดเพราะมาก เสียงทุ้ม ลากเสียงยาว เอื้อนอ้อยสร้อย โยมก็ติด พระก็หลง

    พระสิทธัตถะ ไม่เคยมีการสอนที่ตลก มีแต่ด่า ศิษย์เอกท่าน เช่น ท่านพุทธทาส ก็ไม่มีตลก

    พระไครส์ โมฮํมเหม็ด ไม่เคยเห็นมีตลก

    ธรรมะตลกนี้ ต้องยกให้พระพยอม ว่าน่าจะเป็นต้นแบบคนแรกในสังคมไทย อ้างว่าเพื่อเอาใจคนบางกลุ่ม ก็โอนะผมว่า เสียแต่ว่าตัวพระเองน่ะแหละ ที่เอาเวลาไปนึกหาแต่มุกตลกเสียจนลืมการพัฒนาตนของตนไป จนน่าเสียดายโอกาสแทน

    ครูอาจารย์หลายคนก็ติดตลก หลงไหลอยู่กับเสียงฮาของลูกศิษย์ แต่แล้ว วิชาการก็ถดถอยลงเรื่อยๆ

    โลกนี้คือละคร มีเศร้า โศรก ตลก บู๊ โป๊ เป็นของธรรม(ดา)

  • #9 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 มิถุนายน 2011 เวลา 7:48 (เย็น)

    ผมว่าการเทศน์ตลกบางที่ก็ดีนะครับ แต่ควรเป็น ตลกนิ่ม มากกว่าตลกแข็ง

    ตลกนิ่มคือ มันตลกในบริบท เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจ ส่วนตลกแข็งคือผู้เทศน์ตั้งใจเค้นออกมา

    ท่านชัยสาโรภิกขุ (พระฝรั่ง) เป็นคนหนึ่งที่เทศน์ได้ตลกนิ่ม เนียนจริงๆ

    ผมเคยเจอท่านบนเครื่องบินกลับจากเชียงใหม่ ไปทักท่านว่าเป็น ท่านสันติกะโร(จากสวนโมกข์) หน้าแตกท่านบอกว่าท่าน คือ ชัยสาโรจากอุบล ความจำผมช่วงนี้มันใกล้อาลไซเมอร์แล้ว สงสัยต้องปลีกวิเวกสักพัก

  • #10 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มิถุนายน 2011 เวลา 8:03 (เย็น)

    มองในมุมกลับ พระผู้เทศน์เอง ก่อนที่จะมาเทศให้ตลก ก็คงคิดมุกต่างๆ แล้วถามตัวเองว่า ที่จะเทศน์นี้มันตลกหรือไม่ตลก ก็ต้องหามุกให้ตลกให้มากๆที่สุด …ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าน่าเข้าขั้นอาบัติเอาด้วยซ้ำนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าพระมีอาการแบบนั้นจริง ๆ ต้องผิดศีลข้อใดใน 227 ข้อเป็นแน่ (แต่ผิดแล้วจะเลวหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง)

    คนเราเวลาสังคมสรรเสริญในเรื่องอะไร ก็มักจะเกิดแรงกดดัน ที่จะต้องรักษาระดับแห่งการสรรเสริญไว้เรื่อยๆ เป็นของธรรมดาแหละครับ ผมว่า ..โรคจิตชนิดหนึ่ง

  • #11 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มิถุนายน 2011 เวลา 3:42 (เช้า)
    ขอบพระคุณ พี่ อจ.จอหงวน ค่ะ

    การถ่ายทอดความในใจที่คิดว่าเป็นประโยชน์
    ยังมาติดตรงที่ประโยชน์ในใจของคนแต่ละคนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    อย่างไรก็ตามการวางเป้าหมายของการให้อาจจำเป็นทางรูปธรรม
    เราอาจต้องการสัมผัสได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อยืนยันการสัมผัส
    แต่การสัมผัสได้ด้วยใจนั้นยิ่งใหญ่กว่า
    ถ้าไม่มองข้ามคงเกิดผลดีมากขึ้น
    ผู้ให้และผู้รับ สลับที่กัน ตลอดเวลา

    ………………………

    ทุกครั้งที่เราผ่านเรื่องราวเฉพาะหน้า สิ่งที่เรารับ สิ่งที่เราให้
    มี หลายมุมเสมอ มุมที่เราเห็น มุมที่คนอื่นๆเห็น
    และมุมรวม ที่นำมาประกอบกัน
    ทุกสิ่งมีใจเป็นประธาน
    ……………………….

    สิ่งหนึ่งที่คิด ที่พบ คือ ความเร็ว
    ใครที่ตระหนัก ค้นพบ และปรับสมดุลย์ได้เร็ว
    ทักษะนั้นจะมีค่าบวกต่อตนและต่อกลุ่ม ดังนั้นสิ่งที่เรารับจะมาแบบไหน
    เราจะเอ๊ะ จะเอ๊าะ จะอึ้ง เป็นเรื่องธรรมดา เราจะชอบไม่ชอบ เป็นธรรมดา
    แต่ที่พิเศษ ทำธรรมดาให้พิเศษ คือ พัฒนาการของเราต่อสิ่งนั้นๆ
    ………………………..

    ไม่ใช่ขี้เกียจ แต่ไปอ่านบันทึกเก่า ที่
    บทเรียนจากสวนป่า 5-7 พ.ค 2553
    http://lanpanya.com/skk222/?p=49
    ก็เลยเอามาใช้ค่ะ 555 เปล่าเลียนแบบ แต่เอาอย่างเฉยๆ…

    มีอีกบันทึกหนึ่งที่ พูดถึง
    สุกไม่พร้อมกัน http://lanpanya.com/skk222/?p=41
    และ อีกบันทึกหนึ่ง
    การหมุนวนกลับสู่ธรรมชาติ http://lanpanya.com/skk222/?p=56
    “เราเรียนรู้ ส่วนหนึ่งจากสิ่งไม่รู้จบ มันจึงได้วุ่นวายถ้าหากไปหาจุดจบ ที่เป็นจุดจบตามต้องการ ”

    ในกรณีนี้ ป้าหวานมิบังอาจสรุป ความคิดเห็น แต่มองเห็นมุมที่แตกต่างค่ะ
    ขอยกเอาหลวงปู่พุทธทาส และ หลวงพ่อชาเป็นที่พึ่ง ยามพิจารณา ความแตกต่าง


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.77506589889526 sec
Sidebar: 0.087469100952148 sec