อำนวย เขาเป็นเพชรแท้ที่ผมค้นพบ
ผมพบอำนวยเมื่อปีก่อนที่บ้านห้วยเยอ หมู่บ้านชาวขะมุที่ห่างไกลจากตัวเมืองหงสาระยะทางค่อนวัน วันนั้นผมไปหาข้อมูลเพื่อจะขอแบ่งดินแบ่งป่ามาให้ชาวบ้านของผมที่จะต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่ละแวกนี้ วันนั้นสายตาของอำนวยมองผมแบบ “คนต่างขั้ว” เพราะผมไปรถโครงการแถมมีคณะนำจากเมืองพาไป เขาเข้ามาปกป้องผืนดินของบ้านห้วยเยอไว้อย่างสุดกำลังน้อยๆ ของพนักงานอาสาที่เพิ่งจบชั้น ปวส. มาฝังตัวทำงานพัฒนาชุมชนกับพี่น้อง เขาต่อสู้กับข้าราชการผู้ใหญ่ของเมืองอย่างไร้ความเกรงกลัว
วันนั้นผมตัดสินใจบอกทางเมืองไปว่าผืนดินบ้านห้วยเยอ ไม่เหมาะที่จะมาขอแบ่งปัน เพราะไม่คุ้มทุนกับการสร้างทางหลายสิบกม. เพราะไม่เหมาะกับพี่น้องชาวลื้อชาวลาวลุ่มของผม อำนวยได้ฟังก็แสดงความโล่งใจ ยอมมาร่วมวงพาข้าวกลางวันสามัคคีกับคณะของเรา แต่แววตายังฉายแววคลางแคลงใจ และไว้ตัวแยกตัวจากกลุ่มคนแปลกหน้าที่มาเยี่ยมยามอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยอมญาติดีกับผมพอที่จะเล่าให้ฟังว่า เขากับเมียเป็นคนเมืองไชยะบุรีพอเรียนจบก็แต่งงานกันแล้วมารับงานเป็นพนักงานพื้นฐานพัฒนาชุมชนซอกหลีกห่างไกลอยู่ที่นี่ มาทำงานหกเดือนแรกได้เงินอัตราจ้างจากโครงการช่วยเหลือของฝรั่งเดือนละพันกว่าบาท แต่หลังจากหกเดือนแล้วงบประมาณช่วยเหลือหมด อำนวยกับเมียยังไม่อยากจากพี่น้องเลยต้องโอนมาเป็นพนักงานอาสาของเมือง พนักงานอาสาที่ไม่มีเงินเดือนจากรัฐ พี่น้องชาวบ้านช่วยกันปลูกกระต๊อบให้ เรี่ยไรข้าวมาใส่ยุ้งฉางให้ มาสร้างครกตำข้าวให้ เรี่ยไรเงินมาให้ใช้สอยซื้อเกลือซื้อน้ำปลา บ้านห้วยเยอมีเพียงสี่สิบหลังคาเรือนเดือนหนึ่งๆได้เงินจากพี่น้องไม่เกินสามร้อยบาท
บ้านห้วยเยอในวันนั้น ทุกบ้านมีแปลงผักสวนครัว มีส้วมซึม มีตระกร้าขยะ หนทางเดินสะอาดเรียบร้อย มีป้ายเขียนข้อความคำขวัญต่างๆ ติดตามต้นไม้ ที่บ้านนายบ้านมีกระดาษเขียนแผนพัฒนาหมู่บ้านแปะติดไว้เต็มผนัง ผมนึกชื่นชมผลงานของอำนวยอย่างเงียบๆ เดินไปทางท้ายหมู่บ้านเห็นเด็กน้อยนั่งล้อมวงเรียนหนังสือกับเมียของอำนวย ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อก่อนเด็กๆต้องเดินลัดป่าไปโรงเรียนบ้านนาปุงหนทางไกลร่วมเจ็ดกม. ใช่เป็นเส้นทางที่ผมเคยฝ่าดงทากไปเยือนบ้านห้วยเยอกับอ้ายบุญธงเมื่อสิบปีที่แล้วนั่นเอง ตั้งแต่ครอบครัวของอำนวยมาอยู่ที่นี่เด็กน้อยประถมหนึ่งถึงสามไม่ต้องเดินไปเรียนที่นาปุง วันนั้นผมกับอำนวยลาจากกันอย่างคนแปลกหน้า
ระหว่างสองสัปดาห์มานี้ผมพบกับอำนวยอีกครั้งที่บ้านนาปุงและบ้านน้ำแก่น คราวนี้ผมไปชวนชาวบ้านปลูกป่ารักษาต้นน้ำ ไปสอนชาวบ้านทำปุ๋ยหมัก ทำน้ำหมักชีวภาพ ปลูกงาและทำแปลงสาธิตการปลูกหมากเยา อำนวยมาช่วยผมปลุกระดมความคิดชาวบ้าน เขาเป็นคนลาวที่พูดภาษาขะมุได้คล่องแคล่ว เขาเล่าให้ฟังว่าทางเมืองให้ครอบครัวเขาย้ายออกมาจากป่าลึกบ้านห้วยเยอมาอยู่ที่สำนักงานพัฒนากลุ่มบ้านนาปุง ได้เลื่อนเป็นพนักงานสัญญาจ้างเงินเดือนประมาณห้าร้อยบาทต่อเดือน เดี๋ยวนี้ได้รับผิดชอบหมู่บ้านน้ำแก่นมีโจทย์หนักรอให้แก้ไขคือสร้างความสัมพันธ์ให้กับพี่น้องชาวขะมุเจ้าถิ่นเดิม กับชาวลั๊วะที่ย้ายมาอยู่ใหม่ให้บ้านน้ำแก่นเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมให้ได้ หากทำได้เจ้าเมืองจะบรรจุเป็นพนักงานสมบูรณ์ ส่วนเมียเขาได้ดูแลชาวลาวลุ่มบ้านนาปุงตอนนี้ลาไปคลอดลูกที่บ้านแม่ยายที่ไชยะบุรี
ผมยังชื่นชมอำนวยกับการที่เขาทำตัวกลมกลืนเข้ากับพี่น้องชาวบ้าน กับการใฝ่รู้ในเรื่องการพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้อง กับอุดมการณ์ในการพัฒนาชุมชนของเขา หากมีเวลาว่างช่วงพักผมก็พยายามพูดคุยแลกเปลี่ยนแนะนำเขาเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่เคยที่จะหยิบยื่นเงินทองสิ่งของใดๆให้เขาเพราะรู้ดีว่าคนอย่างเขาอิ่มได้ด้วยศักดิ์ศรีและอุดมการณ์ พบกันหนหลังๆดูเหมือนอำนวยจะยอมรับผมเข้าเป็นพวกมากขึ้น เขาดูกระตือรือร้นหูตาเป็นประกายหากผมมีข้อเสนอหรือคำแนะนำเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องโดยเฉพาะเรื่องนิเวศวัฒนธรรม วันนี้อำนวยมาแบบแปลกหลังการประชุมวางแผนกับชาวบ้านเรื่องปลูกป่า พูดคุยกันระหว่างที่ชวนกันเดินจากบ้านน้ำแก่นมาบ้านนาปุง เขาแทนตัวเองว่าลูกทำอย่างนั้นลูกทำอย่างนี้ แล้วเปลี่ยนคำเรียกตัวผมจากอาจารย์มาเรียกว่าพ่ออีกด้วย ได้ฟังแล้วขนลุก แม้นว่าจะจิตตกที่ว่าตูนี้หนอดูสูงวัยเป็นคราวพ่อเขาไปแล้วหรือ แต่ก็ดีใจที่ได้มีหน่อเนื้อผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าหากเมียเจ้าอำนวยพาลูกมาจากบ้านเห็นทีจะต้องหาวิธีรับขวัญหลานน้อยเสียแล้วเรา จะได้เป็นปู่แล้วคร๊าบ
« « Prev : เล่าเรื่องเมืองหงสา: ศิลป์ของการทำไร่
Next : (กะ)ปูไท » »
3 ความคิดเห็น
ใจมันสื่อกันได้ มันมีพลังดึงดูดเข้าหากัน ด้วยจิตที่มีความมุ่งมั่นที่เป็นธรรมค่ะ เ
จอเพชรสักเม็ดมันมีค่ามหาศาล ดีกว่าได้กรวดหินดินทรายเป็นภูเขาๆค่ะ ขึ้นอยู่กับการเจียรนัย และนำไปวางไว้เพื่อใช้งานที่สูงค่า
หากพ่อครูบาฯ มาอ่านก็ต้องว่า เอาอีก เอาอีก ชอบ ชอบ
นี่คือบทเรียนอีกบทหนึ่งของคนที่จะเข้าชาวบ้านแล้วให้ชาวบ้านยอมรับ
หากมีเวลา พ่อเปลี่ยนลองบันทึกมุมมอง ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ คนในมองคนนอก คนท้องถิ่นมองคนแปลกหน้า ของอำนวย “ช่วงเปลี่ยนผ่านจากวันแรกที่พบกันจนมาถึงวันที่เขาเรียกพ่อ..” น่าสนใจมุมมองของเขา บันทึกออกมาจะเป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียน แก่เด็กรุ่นใหม่ที่อยากทำงานชนบท…
ภาควิชาพัฒนาชุมชนของมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องเอาบทเรียนเหล่านี้ไปศึกษาและฝึกฝนภาคปฏิบัติ…
อ่านแล้วยิ้ม และแอบก๊ากเล็ฏๆกับภาวะจิตตกของพี่เปลี่ยน ฮี่ฮี่ฮี่
ชอบค่ะ และชื่นชมด้วยดีใจที่มีคนอย่างนี้ และดีใจมากๆที่พี่เปลี่ยนมีโอกาสถ่ายทอดภูมิรู้ที่มีให้กับคนที่ตั้งใจจริงแบบนี้
เพื่อนเอ๋ยถึงเรื่องหนึ่งว่า เวลานี้เราขาดคน ที่จะยอมตนเป็นอิฐก้อนแรกที่ทิ้งลงไป
และก็จมอยู่ที่นั้น เพื่อให้ก้อนอื่นๆ ถมทับตนอยู่ที่นั่น และเสร็จแล้วเจ้าก้อนที่จะปรากฏ
เป็นผู้รู้จักของสังคมก็คือก้อนที่อยู่เหนือก้อนอื่นสุด ส่วนก้อนแรกนั้นก็จมดินอยู่นั้นเอง”
“หินก้อน แรกร่วง ลงพื้น ก้อนอื่น ร่วงตาม ทับถม
กลบมิด ก้อนเก่า เจ้าจม สะสม เป็นทาง ให้เดิน”
คำคมของครูโกมล คีมทองค่ะ