ผู้ช่วยตกปลา

8 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 4 พฤษภาคม 2012 เวลา 8:12 (เย็น) ในหมวดหมู่ แปลสนุกๆ #
อ่าน: 1477

เมื่อเช้าผมไปตกปลา แต่ไม่ได้สักตัว ไส้เดือนที่ผมใช้เป็นเหยื่อก็หมดถังซะก่อน
ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปหาเหยื่อจากที่ไหนมาเพิ่ม ผมก็แลเห็นงูสีน้ำตาลไหม้ตัวมะเมื่อมตัวหนึ่ง..
ในปากงูตัวนั้นมีกบตัวหนึ่งคาอยู่
ได้การล่ะ!
ผมรู้ว่าเจ้างูตัวนี้มันกัดผมไม่ได้แน่เพราะปากมันไม่ว่าง
ผมจึงตรงเข้าจับหัวมันทางด้านหลัง แล้วดึงกบตัวนั้นออกมาจากปากของมันและหย่อนลงในถังเหยื่อของผม
ทีนี้ก็ถึงตอนสำคัญ ว่าผมจะปล่อยเจ้างูตัวนี้ยังไงโดยที่ผมไม่โดนมันฉกเอา?

ผมตัดสินใจคว้าขวดแจ็คแดนเนี่ยลที่วางอยู่ข้างๆแล้วกรอกใส่ปากมัน..
มันกลอกตาคว้างเชียว แสดงว่ามันเมาแระ..
ผมก็จึงปล่อยมันเลื้อยลงทะเลสาปจากไปอย่างช้าๆ
จากนั้นก็หันมาตกปลาของผมต่อ

เวลาผ่านไปไม่นาน ผมรู้สึกมีอะไรมาสะกิดที่เท้าผม..
เมื่อผมก้มลงมองดู ปรากฏว่าเป็นเจ้างูตัวเดิม..

ในปากมันคาบกบมาด้วย 2 ตัว!


สะอึก

3 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 20 มีนาคม 2012 เวลา 3:11 (เย็น) ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1705

วันนี้ได้พบอาจารย์สาวโสดจากเวียดนามอีกครั้ง

ดูเหมือนเรากำลังจะทำสถิติพบกันปีละครั้งอย่างไรพิกลอยูู่

อาจารย์ท่านนี้มีความขยันหมั่นเพียรมากกกกกก… มากกว่าปกติของคนทั่วไป มาก

ปีก่อนอาจารย์ค่อยๆเล่าว่าทำไมจึงอดทนทำงานสอนในมหาวิทยาลัยไปด้วยและเรียนไปด้วย

อาจารย์อพยพตัวเองมาจากเวียดนามอย่างกล้าบ้าบิ่น

อาศัยที่เป็นคนหัวดีในแถบบ้านชนบท

สู้อดทนสอบจนได้ทุนเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยจนถึงขั้นปริญญาเอก

เรียนก็หนักอยู่แล้ว แต่อาจารย์ยังรับทำงานพิเศษคือเป็นติวเตอร์ให้กับนักศึกษาในภาควิชาเดียวกันอีก
และไม่ใช่เพียงวิชาเดียว… แต่ตั้งหลายวิชาในหนึ่งเทอม

ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุนที่ได้รับไม่พอ

หากแต่ที่บ้านอาจารย์ยังมีพ่อแม่พี่น้องอีกสิบกว่าชีวิตที่แทบจะไม่มีอะไรกิน

รายได้พิเศษของอาจารย์จึงเป็นความหวัง… เป็นรายได้ของครอบครัวที่เวียดนาม

และเมื่อปีที่แล้วอาจารย์ก็เพิ่งเข็นตัวเองสำเร็จปริญญาเอกจนได้ พร้อมกันก็ได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยทันที

อาจารย์ดีใจสุดๆเพราะนั่นหมายถึงรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่าเงินทุนบวกค่าแรงติวเตอร์ที่เคยได้รับ

และมองเห็นรำไรว่าทุกชีวิตในครอบครัวที่เวียดนามจะมีความเป็นอยู่สะดวกสบายเสียที

อาจารย์ไม่ยอมแต่งงานเพราะไม่ต้องการภาระหรือเป็นภาระของใคร… ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้โอกาสใครรวมถึงตัวอาจารย์เอง

แต่แล้ว…

มาปีนี้ อาจารย์กลับบอกว่า ตอนนี้ต้องประหยัดกว่าเมื่อก่อนอีก

รายได้เงินทองที่มีไม่กล้าใช้… ตัวเองไม่สบาย ไม่เป็นไร… ทน และไม่รักษา!

..ก็อดไม่ได้อีกที่จะต้องถามว่า ทำไม?

อาจารย์บอกว่า เพราะตอนนี้แม่กำลังเป็นอัมพาตครึ่งตัว พ่อก็เพิ่งตรวจพบมะเร็งถึงสองแห่ง

ข้าพเจ้า ฟังแล้วสะอึก… สะท้อนใจว่าทำไมชีวิตของอาจารย์ท่านนี้จึงเป็นเช่นนี้


พระพุทธเจ้า

2 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 7 มีนาคม 2012 เวลา 12:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2040
Photobucket
บุพกรรมของพระพุทธองค์ครั้งยังดำรงอยู่ในอัตภาพของพระโพธิสัตว์ (ขุททกนิกาย อปทาน พุทธาปาทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้ต้องทรงใช้ระยะเวลานานกว่าจะบรรลุพระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณได้นั้นกล่าวไว้ดังนี้
ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ทราบว่าพระกัสสปะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวว่าการตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายเป็นเวลานาน แม้ในภพสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้ ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระองค์ยังต้องหลงเดินทางผิด บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระองค์เองด้วยวิธีต่างๆ อันเป็นวัตรของเดียรถีย์ มีการอดอาหารเป็นต้น จนสรีระผอมเหลือแต่กระดูก ได้รับทุกขเวทนาอันเกิดจากความเพียรเป็นเวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
(จากหนังสือ พระพุทธประวัติ ของสุรีย์ มีผลกิจ และวิเชียร มีผลกิจ)
~~
คำเรียก พระพุทธเจ้า นั้นก็ด้วยเหตุที่ท่านเป็นเจ้า เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าของพระ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ พระที่เป็นเจ้า เป็นขัตติยวงศ์
ในระยะอันใกล้ที่ได้ล่วงมาแล้วได้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ๒๕ พระองค์ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งอายุ ความสูง ตระกูล ปธาน (ระยะเวลาบำเพ็ญเพียร) รัศมี ยานพาหนะที่ใช้ออกผนวช ต้นไม้ตรัสรู้ และบัลลังก์ (มาในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาขุททนิกาย พุทธวงศ์)
Photobucket
และแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ล่วงมาแล้วมีเป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนพระองค์โดยไม่นับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าและเหล่าพระพุทธสาวก และยังมีที่จะตรัสรู้ในระยะเวลาอันใกล้นี้อีก ๑๐ พระองค์ด้วยกัน
ถ้าจะกล่าวถึงประเภทของพระพุทธเจ้า ท่านได้จัดไว้เป็นสามประเภท คือ ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ
ในบทเจริญพระพุทธมนต์ก็มีการกล่าวถึงเช่นกัน ดังที่ปรากฏในบทสัมพุทเธ มีเนื้อหาว่า
สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก
ปญฺจสตสหสสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทแรกนี้จะหมายถึง พระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้ปัญญาเป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
สมฺพุทฺเธ ปญฺจปญฺญาสญฺจ จตุวีสติสหสฺสเก
ทสสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๑,๒๔,๐๕๕ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทที่สองนี้จะหมายถึงพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้ศรัทธาเป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเต อฏฺฐจตฺตาฬีสสหสฺสเก
วีสติสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๒,๗๔๘,๑๐๙ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทสุดท้ายนี้จะหมายถึงพระพุทธเจ้าประเภทวีริยาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้วิริยะ ความเพียร เป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
จากบทเจริญพุทธมนต์ดังกล่าวสรุปได้ว่า
ในอดีตกาลอันยาวนานมา พระพุทธเจ้าที่ใช้วิริยะความเพียรเป็นตัวนำในการบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมมาพุทธเจ้า มีมากกว่า พระพุทธเจ้าที่ใช้ความศรัทธา ความเชื่อมั่นเป็นตัวนำสองเท่า และมากกว่า พระพุทธเจ้าที่ใช้ปัญญาเป็นตัวนำสี่เท่า
*** กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาวิเศษ ปญฺญาชิโร (ผศ.) ปธ.๙, ศษ.บ, ศน.ม. ***


ทำซุปฝรั่ง

104 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 11 กุมภาพันธ 2012 เวลา 5:20 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2902

PhotobucketPhotobucket

 

ช่วงคริสมาสต์ที่ผ่านมา

มีซุปฝรั่งที่กินแล้วติดใจรสชาติจนต้องกลับมาขวนขวายหาส่วนผสมเพื่อทดลองทำเอง

หลังจากนั้นก็ทำติดตู้เย็นไว้ เพื่อที่หิวเมื่อไหร่ก็กินเมื่อนั้นกับขนมปังปิ้งกรอบทาเนย

ซุปที่ว่านี้เรียก ซุปแคพสิคั่ม

ภาษาไทยก็น่าจะประมาณซุปพริกหวานอ่ะนะ

 

ส่วนผสมก็มี…

มะเขือเทศ 1.5 กิโลกรัม

พริกหวานหัวยักษ์สีสวยหลากสี 1 กิโลกรัม

กระเทียม 1 หัว

น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันพืช

นมสด 2 ถ้วย

น้ำสะอาด 3 ถ้วย

ใบoregano (เราเรียกใบส้มอิตาลี) 0.5 ถ้วย

น้ำส้ม Balsamic (กลิ่นและรสชาติเหมือนซอสเปรี้ยวจิ๊กโฉ่-น่าจะใช้แทนกันได้) 2 ชต. (ถ้าชอบเปรี้ยวก็เพิ่มได้อีกตามชอบ)

** และเพราะเราเห็นว่าไม่มีรสเผ็ด ก็เลยเติม พริกไทยชนิดป่นหยาบๆ ลงไปด้วยพอประมาณ

 

 

วิธีทำ…

  • 1. ความตั้งใจและสามัญสำนึกในการประกอบอาหาร
  • 2. ล้างและหั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อนำไปต้มทำน้ำซุปมะเขือเทศ
  • 3. ระหว่างรอมะเขือเทศเละจนได้ที่ ก็ย่างพริกหวานหรือจะอบก็ได้ สังเกตพอได้กลิ่นเปลือกพริกไหม้ก็แสดงว่าใช้ได้
  • 4. พักพริกหวานที่ย่างจนอ่อนระทวยแล้วให้เย็นลง หันไปสับกระเทียมให้ละเอียด
  • 5. เสร็จแล้วสับพริกหวานย่างที่เย็นแล้วเป็นชิ้นเล็กๆ
  • 6. เจียวกระเทียมใช้น้ำมันพอประมาณ (ถ้าชอบมันก็ใช้น้ำมันมากหน่อย)
  • 7. เมื่อกระเทียมเจียวเริ่มเหลืองส่งกลิ่นจรุงใจ ก็ใส่พริกหวานที่สับไว้แล้วลงผัด
  • 8. ผัดพริกหวานกับกระเทียมจนเข้ากันดีแล้วจึงตักใส่ลงไปในน้ำซุปมะเขือเทศ(ที่กำลังเดือดพลั่กๆ)
  • 9. คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แล้วใส่เฮิร์บส์คือ ออริกาโน่ พริกไทย ตามด้วยน้ำ 3 ถ้วยนั้น
  • 10. คนอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดฝา ตุ๋นจนกระทั่งสสารในหม้อทุกส่วนแทบละลายเป็นเนื้อเดียวกัน(แปลว่าเละหมด)
  • 11. เสร็จแล้วเติมน้ำส้ม Balsamic และ นมสดลงไป
  • 12. ตุ๋นต่อไปอีกประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าอร่อยแล้วแน่ๆ ก็เป็นอันเสร็จพร้อมรับประทานได้

 

 

หมายเหตุ…

การรับประทานคู่กับขนมปังปิ้ง เป็นการค้นพบที่เข้าทีที่สุด ด้วยรสชาติหอมขนมปังปิ้งกรอบๆทาเนยเค็มๆมันๆ คู่กับ รสชาติออกเปรี้ยวๆของซุปพริกหวานที่ส่งกลิ่นหอม อันชวนให้คิดว่าเหมือนอะไรตั้งนาน…

ที่แท้ก็ กลิ่นน้ำพริกหนุ่ม เมืองเหนือน่ะเอง    ฮา..

 

 

 

 


สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕

180 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 3 มกราคม 2012 เวลา 9:05 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3266

Photobucket

 

 

ก่อนอื่น ขออนุญาตอวยพรปีใหม่แด่ทุกท่านค่ะ…

ปีนี้ขอให้ได้หัวเราะกันมากขึ้นตาม 3 ตัวเลขหลังพ.ศ.นะคะ ….     2555  :D

 

Photobucket

 

คริสต์มาสปีใหม่ที่ผ่านมา บังเอิญมีโอกาสได้แสดงฝืมือเก็บลูกหม่อนมาทำแยม

 

Photobucket

 

แล้วก็ตัดสินใจอบเค้กหลังจากที่ไม่ได้ทำมานานนนมาก เหตุเพราะเห็นแยมออกมาสีสวยยังกะเม็ดพลอยทับทิม

 

 

Photobucket

 

โดยบริเวณที่ไปเก็บลูกหม่อนนี้เคยเป็นตลาดของชาวเมลเบิร์นเมื่อสักราวๆปี 1850

 มีต้นหม่อนขึ้นเองตามธรรมชาติหลายต้น

 

Photobucket

 

วันที่ไปเก็บอากาศร้อนมาก ลูกหม่อนสวยๆก็สูงสุดเอื้อม

แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ก็ยอมปีนกันหน่อยล่ะ…

 

“  ไม่ต้องปีนให้สูงอย่างใครเขา    
จงปีนเอาเท่าที่เราจะปีนไหว   
ท่าที่ปีนไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร   
แค่ปีนไปให้ถึงมันเท่านั้นพอ   ” 

 

ลูกหม่อนสวยๆที่ได้มา มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทุกลูกมีรสชาติเปรี้ยวเข็ดฟันหมด

ก็จึงเป็นที่มาของความคิด “เสียดายเอามาทำแยมแจกและเก็บไว้ดีกว่า”

 

แล้วพอได้แยมออกมา ฮ่าฮ่า เออเนาะ ดูๆมันก็สวยแดงงงงงยังกะเม็ดทับทิม

น่าจะเอาไปประดับบนเค้ก

 

กึก! เลย

เสร็จก็ต้องหันไปคว้าองค์ประกอบทำเค้กออกมาอีก

 

Photobucket

 

 

สรุป ทุกงานนี้เป็นความบังเอิญอย่างยาว แต่ก็สนุกมาก

และยิ่งสนุกขึ้นไปอีก เมื่อได้รับคำชม

ว่าทั้งเค้กทั้งแยมอร่อย คนไทยก็ทำเป็นด้วยเหรอ

 

555555…..

 

 

 


พระอัจฉริยภาพเจ้าฟ้าหญิงน้อย

107 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 7:48 (เย็น) ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1970

 

 

คงเป็นตัวการ์ตูนต่างๆและตุ๊กตุ่นตุ๊กตาที่ล้อมรอบตัว ทำให้สนใจสิงสาราสัตว์ รวมทั้งชีวิตยามเด็กที่มีโอกาสอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ วังสวนจิตรลดาฯกว้างถึง ๑ ตารางกิโลเมตร ไม่ได้เต็มไปด้วยผู้คนและอาคารเหมือนทุกวันนี้ แต่เป็นที่ที่มีต้นไม้สมบูรณ์ มีอีกามาก(ยังมากมาจนถึงทุกวันนี้) ข้าพเจ้าพายเรือไปไหนๆตามคลองกับเด็กๆเพื่อนเล่นได้โดยอิสระ ยิ่งเวลาไปอยู่เชียงใหม่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ล้อมรอบด้วยป่า เป็นแหล่งสร้างจินตนาการ เมฆหมอกที่ปกคลุม ต้นไม้ใหญ่ๆ น้ำตก นกหลากสี รวมทั้งผีเสื้อ ตัวแมลงแปลกๆรูปร่างเหมือนกิ่งไม้ ใบไม้ บางตัวก็มี “ตาดุ” เหมือนตาผีคอยจ้องเรา

ตอนนั้นข้าพเจ้าป่วยบ่อยไปหน่อย เลยต้องอยู่นิ่งๆ อันเป็นผลให้ได้อ่านหนังสือเยอะแยะเท่าที่จะมีได้ในตอนนั้น รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับป่าซึ่งคุณหมอบุญส่งแต่ง เล่มที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นเรื่อง “ชีวิตของฉัน-ลูกกระทิง” เป็นเรื่องของลูกกระทิงตัวน้อยๆที่เที่ยวไปในป่า เที่ยวคุยกับสัตว์ต่างๆชนิดที่อยู่ในป่านั้น ทำให้รู้วิถีชีวิตของสัตว์เหล่านั้น บางอย่างก็อ่านไม่เข้าใจ เพราะข้าพเจ้าอายุแค่แปดขวบ

เผอิญเกิดไปเจอคุณหมอบุญส่งเข้าที่โรงเรียนจิตรลดา คุณหมอจะไปทำไมที่นั่น ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้แล้ว ก็เลยไปถามที่ไม่เข้าใจ คุณหมอบุญส่งชอบใจมาก ก็เลยรับที่จะพาข้าพเจ้าดูนกในสวนจิตรฯนั่นเอง วิธีการดูคือใช้กล้องสองตาส่องดูตามต้นไม้ เห็นนกอะไรก็ดูเทียบกับหนังสือนก เราก็จะทราบชื่อสามัญของนก ชื่อวิทยาศาสตร์ ข้อมูลเกี่ยวกับนกชนิดนั้น และจะจดเอาไว้ว่าวันที่ดูนกเป็นวันที่และเวลาใด ที่ไหน ลักษณะของสถานที่ บางที่ก็จะถ่ายภาพนกเอาไว้ เช่นรูปนกฮูก น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าหาที่จดเอาไว้ไม่พบเลย ที่สวนจิตรฯมีต้นไม้มาก น่าจะมีนกมาก แต่ก็ไม่มีมากเท่าที่ควร เพราะว่ามีอีกาแยะ คอยรังแกนกเล็กๆ

เวลาไปเชียงใหม่ คุณหมอบุญส่งไปด้วยเป็นบางครั้ง และพาดูนกบริเวณพระตำหนักภูพิงค์ฯ คุณหมอแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักคุณกิตติ ทองลงยา นักวิจัยของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ตอนนั้นดูเหมือนจะเรียกว่าสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์) คุณกิตติท่านนี้เป็นคนพบ “นกเจ้าฟ้าสิรินธร” ที่บึงบอระเพ็ดและตั้งชื่อนกตามชื่อข้าพเจ้า เจอค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลกที่เรียกว่า “ค้างคาวกิตติ” และเจอตัวอะไรต่างๆอีกหลายอย่าง ตอนนั้นคุณกิตติกางเต็นท์อยู่แถวๆดอยปุย เช้าขึ้นพวกเราเด็กๆก็ไปหาคุณกิตติ ที่ข้างเต้นท์มีตาข่าย ทุกวันมีนกมาติดตาข่าย เขาจะแกะนกจากตาข่ายมาดู ทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนก ใส่ห่วงที่ข้อเท้านกเพื่อศึกษาว่านกไปไหนบ้าง ข้าพเจ้าชอบไปช่วย(ยุ่ง)

คุณหมอบุญส่งมีนกชนิดต่างๆที่สตั๊ฟฟ์ไว้มาก ก็ได้เอามาศึกษาดูด้วย

เมื่อวันก่อนจะทูลลากลับจากเชียงใหม่ สมเด็จแม่ประทับทรงงานอยู่ มองออกไปข้างนอกเห็นนกตัวเล็กๆสีแดงและสีเหลืองเกาะอยู่ที่ต้นสน ข้าพเจ้าก็เลยกราบทูลว่านี้คงเป็นนกพญาไฟ ตัวผู้สีแดง ตัวเมียและลูกนกสีเหลือง(แต่ก่อนเคยเห็นมันบินเป็นฝูงใหญ่มาบ่อยๆ) ความรู้เก่าไม่ทราบว่าผิดหรือถูก ที่สวนจิตรฯมีนกขมิ้น(ไม่เห็นตั้งนานแล้ว) ตัวผู้สีเหลืองอ่อน ตัวเมียสีออกเขียว

นอกจากนกแล้ว คุณหมอบุญส่งก็ยังสอนเรื่องสัตว์อื่นๆด้วย แถมเอาตัวจริงๆมาให้ดู เช่นตัวหมาหริ่ง บอกว่าจะให้ขอยืมเอาไว้เล่นสักสองสามวัน เล่นเอาพี่เลี้ยงร้องเสียงหลงไม่ให้เลี้ยง หรือบอกว่าให้ดูค้างคาวบินไปมาน่ารัก มีหนังสือให้ด้วยทั้งสมุดระบายสีสำหรับเด็ก หนังสือเรื่องสัตว์ส่วนมากเป็นหนังสือฝรั่ง หนังสือที่คุณหมอแต่งเอง ส่วนมากจะเซ็นให้ด้วย ยังอยู่ในห้องหนังสือข้าพเจ้าทุกวันนี้

ตอนอยู่ป.๔ ข้าพเจ้าหัดแต่งกลอนกับครูกำชัย แต่งแล้วเอามาอวดคุณหมอ ได้รับคำชมว่าแต่งยังกับเจ้าฟ้ากุ้ง ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอกว่าเจ้าฟ้ากุ้งแต่งอย่างไร คุณหมอก็ชมไปอย่างนั้นเอง

เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือตอนอยู่ป.๔ นี่เอง ที่นักเรียนชั้นพี่หญิง(อยู่ม.ศ.๑) ชั้นพี่ชาย(ป.๗) และชั้นข้าพเจ้าได้ไปเที่ยว(ทัศนศึกษา)น้ำตกสามหลั่นที่สระบุรี ข้าพเจ้ารีบไปจองเป้ ซึ่งโตกว่าที่เขาให้เด็กใช้(เพราะอยากใส่ขนมมากๆ) มีกระติกน้ำ ในกระเป๋ามีขนมเต็มไปหมด มีสมุดที่ครูบอกให้ไปจดความรู้ต่างๆ

จำได้แต่ว่ามีน้ำตกอยู่ใกล้ๆกันหลายแห่ง มีหินดาด โตนเกือกม้า โตนอะไรอีกอย่าง(จะชื่อต้นไทรหรือรากไทรอะไรก็จำไม่ถนัดแล้ว) ที่จำอะไรไม่ค่อยได้เห็นจะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ฟังใครเลย(แต่ก็ยังจำได้ว่าครูกำชัยเป็นลม ต้องขี่คอครูสำเริงไป และครูโยมูระไล่ตักผีเสื้อ) มิไยคุณหมอบุญส่งพยายามอธิบายต้นไม้ข้างทางว่า “นี่เรียกว่ากูดงอดแงดพะยะค่ะ” แล้วต่อว่า “อ้าว! ไปไหนแล้ว…”(ตรงนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบ เพราะวิ่งไปแล้ว ผู้ใหญ่เล่าข้าพเจ้าดูแต่กูดงอดแงด เมื่อดูเห็นแล้วก็วิ่งต่อไปเลย)

ตอนที่น้ำหมด จะเอาน้ำในน้ำตกมาดื่มก็ไม่ได้ เพราะน้ำไหลผ่านหินปูน ขุ่นขาว คิดกันว่าต้องไปเอาที่ต้นน้ำ ข้าพเจ้าก็ปีนขึ้นไปกับเด็กผู้ชาย(ที่โตกว่า) ต้องมีผู้ใหญ่ขึ้นไปตามวุ่นวายไปหมด ตกน้ำตกท่าเปียกไปหมด

ขากลับหมดแรง นอนหลับหนุนตักครูสุนามันตลอดทาง

ข้าพเจ้าถูกผู้ใหญ่ทูลฟ้องว่าซนมากที่สุดในขบวน ความรู้อะไรก็ไม่เห็นได้มา ที่ให้จดก็ไม่ได้จด แถมสมุดตกน้ำเปียก สมเด็จแม่ไม่กริ้วเลย ขำไปเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคุณหมอบุญส่งกับต้นกูดงอดแงด แต่ก็ไม่ให้ไปไหนอีก ทั้งๆที่คนที่ไม่เข็ดเลยก็คือคุณหมอบุญส่ง และพยายามจะขอพาข้าพเจ้าไปแก่งคอยอีก ซึ่งขอไม่สำเร็จ

ภายหลังข้าพเจ้าเรียนหนังสืออย่างอื่น ก็เลยอดดูนกเที่ยวป่า เจอคุณหมอบุญส่งน้อยลง คุณหมอยังให้หนังสืออยู่บ้าง

เมื่อข้าพเจ้าโต เรียนจบ ทำงาน คุณหมอบุญส่งป่วย ก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้าพเจ้าอยากไปเยี่ยม แต่ก็ไม่กล้ารบกวน เลยไม่ได้พบกันอีก ได้เพียงแต่รำลึกในโอกาสนี้ว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ให้คุณค่าแก่ชีวิตวัยเยาว์ของข้าพเจ้า เป็นความสุข สร้างความรู้ความคิด ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการก้าวต่อไปในชีวิตในโลกกว้างแห่งนี้

 

~~~

ข้างต้นเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี พระราชทานเป็นสิริมงคลแด่หนังสือของนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล “ชีวิตของฉัน ลูกกระทิง” เนื่องในโอกาสที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการบรรจุเป็นหนังสืออ่านเล่นนอกเวลาเรียน(จากคำนำลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๔) ที่เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเป็นครั้งแรก

ให้นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดจึงไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์หนังสือดีๆอย่างนี้มาก่อน

ไหนจะสำนวนเล่าง่ายๆอ่านแล้วเพลิดเพลินราวกับกำลังเดินป่าท่องไพรที่ไหนสักแห่งด้วยตัวเองของคุณหมอบุญส่ง…ที่เล่าเรื่องราวของชีวิตสัตว์ป่านานาชนิดผ่านการเจริญเติบโตเรียนรู้ชีวิตอื่นๆในป่าของตัวเอกซึ่งเป็นเจ้ากระทิงเกิดใหม่

แล้วไหนจะพระราชนิพนธ์อันหาค่ามิได้ของเจ้าฟ้าหญิงน้อยข้างต้นนี้อีก

ช่างน่าเสียดายที่หนังสืออันทรงคุณค่าอย่างนี้ได้หายไปจากวงการศึกษาไทย

 

 


ค้างคาว pteropus alecto : พาหะโรคติดต่อจากม้าสู่คน

2 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 14 สิงหาคม 2011 เวลา 5:55 (เย็น) ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1727

 

หลายปีหลังมานี้ ที่นี่มีไวรัสตัวหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งคนทั้งม้า  

ซึ่งถ้าหากไม่มีการคุกคามถึงขั้นเสียชีวิตของสัตวแพทย์ที่ดูแลม้าเกิดขึ้น

เรื่องราวก็คงไม่ลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้  

เรื่องของเรื่องก็สืบเนื่องมาจากตัวพาหะอย่างดีเช่นค้างคาวชนิดกินพืช pteropus alecto 

ที่เมื่อกินผลไม้คือเคี้ยวแปรรูปน้ำตาลในผลไม้ให้เป็นพลังงานเสร็จแล้วก็คายกากทิ้ง(เพื่อที่ตัวมันเองจะได้มีน้ำหนักเบาไม่เป็นอุปสรรคต่อการบิน)   

จากนั้นม้า(ที่เข้าใจว่าได้รับอาหารไม่เพียงพอ)ก็กินกากนั้นต่อ

นั่นหมายถึงมันต้องกินไวรัส Hendra ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำลายค้างคาวที่ตกค้างเข้าไปด้วย  

แล้วต่อมาผู้ที่ต้องคลุกคลีกับม้าเหล่านั้นเช่นคนเลี้ยงม้า หรือ สัตวแพทย์ ก็ได้รับไวรัสเข้าสู่ร่างกายเต็มๆเพราะปราศจากการสวมใส่เครื่องป้องกัน

และ กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว    

งานนี้มีรายงานการค้นคว้าออกมาอยู่เนืองๆหากยังไม่ประสบผลสำเร็จในแง่การควบคุมได้เด็ดขาดเพราะยังไม่ทราบว่า ทำไมหรืออะไรที่ช่วยให้ตัวพาหะอย่างค้างคาวไม่ได้รับอันตรายจากไวรัสชนิดนี้เลย              

ดังนั้นความหวาดผวาวิตกจริตก็จึงยังคงเขย่าขวัญผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจที่เกี่ยวกับม้าๆอันมีมูลค่ามหาศาลต่อไป   

แต่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องก็ไม่ยอมจำนนต่อปัญหาง่ายๆ

เพราะปีหน้าบรรดาม้าในอาณาบริเวณที่มีค้างคาวเจ้าปัญหาเหล่านั้นจะได้รับการฉีดวัคซีนแก้ไวรัสชนิดนี้ทุกตัว(ตอนนี้กำลังเร่งผลิตวัคซีนกันอยู่)       

โชคดีบ้านเราที่ไม่มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น  

 

 

 


แม่มดเจ้าเสน่ห์

117 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 8 สิงหาคม 2011 เวลา 6:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2072

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อาเธอร์ถูกตัดสินประหารชีวิต

แต่กษัตริย์ทรงชี้แนะด้วยเมตตาว่าเขาจะเป็นอิสระถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาแสนยากข้อหนึ่งได้… 

“สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆคืออะไร”

 

เขานำปัญหานี้ไปปรึกษากับนางแม่มดคนหนึ่ง

และโดยมีข้อแม้ว่าเขาต้องยอมแต่งงานกับเธอก่อน

หลังจากที่เขายอมตกลง นางแม่มดก็เฉลยคำตอบว่า…

“สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง”

 

ปรากฏว่าอาเธอร์รอดพ้นจากโทษประหาร

 

ตกค่ำของวันส่งตัว…

หญิงสาวแสนสวยนางหนึ่งก็เย้ายวนอาเธอร์อยู่เบื้องหน้า

ตอนหนึ่งเธอเอ่ยว่า…

เพราะอาเธอร์ช่างแสนดีกับเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจ ครึ่งหนึ่งของวันเธอจะอยู่ในสภาพที่น่ารังเกียจ และในอีกครึ่งหนึ่งของวันเธอจะอยู่ในเรือนร่างที่แสนสวยนี้

หากปัญหาก็มีว่า เวลาไหนเธอควรอยู่ในสภาพใด

เธอให้อาเธอร์เป็นคนตัดสินใจ
              

ช่างเป็นปัญหาที่โหดร้ายยิ่งนักสำหรับอาเธอร์ เขาจะตัดสินใจอย่างไรดี…

? หญิงสาวแสนสวยตอนกลางวันเพื่ออวดเพื่อนฝูงได้ หากแต่ตอนกลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสองก็เป็นแม่มด

หรือ

? เขาควรจะเลือกให้เธอเป็นแม่มดตอนกลางวัน เพื่อที่จะได้มีสาวสวยเป็นเพื่อนเริงระบำในยามค่ำคืน 
              

ในที่สุด หลังจากที่ต้องคิดหนัก เขาก็จึงตัดสินใจไม่ตัดสินใจโดยบอกเธอว่า…

“ก็แล้วแต่คุณ ขอให้คุณเป็นผู้ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

 

สาวแสนสวยเมื่อได้ยินดังนั้น ก็จึงประกาศว่า…

เธอจะสวยตลอดเวลา เพราะอาเธอร์ได้ให้ความเคารพในการตัดสินใจของเธอและปล่อยให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

 

(รอดตัวไปนะอาเธอร์ ;D)

 

 


นึกว่าจะใจดี

121 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 10 กรกฏาคม 2011 เวลา 6:36 (เย็น) ในหมวดหมู่ แปลสนุกๆ #
อ่าน: 2376

“ความโง่จะไม่ฆ่าท่าน แต่ทำให้ท่านเหงื่อแตกได้” [สุภาษิตอังกฤษ]

 

~~~

 

มีทาส ๔๐ คนทำหน้าที่แจวเรือยาวลำหนึ่ง

วันหนึ่งผู้คุมทาสได้กล่าวขึ้นว่า…

 

“วันนี้มีข่าวมาบอก ๒ เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก…”

 

ทาสทั้งหมดเงียบกริบ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ 

 

“พวกเจ้าเก็บไม้พายได้แล้ว วันนี้พวกเจ้าจะได้กินอาหารเที่ยงอย่างเต็มที่ 

และที่สำคัญตลอดทั้งวันพวกเจ้าได้รับอนุญาตให้ขอเหล้าดื่มได้ตลอดเวลา” 

 

บรรดาทาสต่างพากันส่งเสียง เฮ ลั่นด้วยความยินดี.. 

 

“เรื่องที่สอง…” เงียบกริบกันทันควัน.. 

 

 

แล้วผู้คุมก็กล่าวต่อ…

  

 

 

.

  

.

  

 

 

“เสร็จอาหารเที่ยงแล้ว ท่านจะเล่นสกี”

 

!!!

 


Deal

12 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 30 มิถุนายน 2011 เวลา 4:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ แปลสนุกๆ #
อ่าน: 1892

 

เช้าวันหนึ่ง ชาวนาชื่อ “ซิด” กำลังพาฝูงปศุสัตว์ออกตระเวนไปตามทุ่งกว้างในยอร์กเชียร์เหนือ

แล้วเขาก็เห็น BMW รุ่นใหม่ล่าสุดคันหนึ่ง วิ่งฝ่าฝุ่นตลบตรงมาหาเขา

หนุ่มคนขับอยู่ในชุดสูท Brioni รองเท้า Gucci แว่นตา Ray Ban ผูกไท YSL ชะโงกหน้าออกมาจากรถด้วยมาดพระเอก แล้วถามซิดว่า

 ” ถ้าผมสามารถบอกจำนวนวัวและลูกวัวทั้งฝูงได้ถูกต้อง..น้าจะยอมให้ลูกวัวผมหนึ่งตัวไหม ?”

 

 ซิดพินิจหนุ่มยัปปี้นั้นครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองฝูงสัตว์ของเขาที่กำลังและเล็มหญ้าอย่างสงบสุข

 แล้วก็ตอบออกไปเรียบๆว่า “ทำไมจะไม่ได้ ถ้าทำได้จริงก็เอาไปเลย”

 

 ยัปปี้หนุ่มยิ้มกระหยิ่มใจ จอดรถเข้าร่ม คว้าโน้ตบุ๊กของ Del ขึ้นมาเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือ

 RAZRV3 ของตน แล้วเปิดอินเทอร์เน็ตต่อเข้ากับเว็บไซต์ของ NASA แล้วได้สัญญาณตรงไปยัง

 ดาวเทียม GPS แล้วก็ได้พิกัดแน่นอนของตนเอง ซึ่งเขาก็ส่งต่อไปยังดาวเทียมอีกดวงหนึ่ง

 ให้ถ่ายทอดพื้นโลกในพิกัดนี้ออกมาเป็นข้อมูลภาพถ่ายที่ละเอียดยิบส่งมายังคอมพ์ของเขาได้ในที่สุด

 

 เมื่อได้มา หนุ่มสมองใสรายนี้ก็ส่งข้อมูลภาพดิจิตอลนี้เข้าสู่ระบบจัดการภาพ Adobe ให้ส่งเป็น

 ข้อมูลต่อไปยังบริการแปลงข้อมูลภาพดาวเทียม ที่ฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนีในทันที ภายในวินาที

 เดียว Palm Pilot ของเขาก็รายงานว่า ภาพดิจิตอลได้ถูกจัดการเรียบร้อยพร้อมพิมพ์ได้แล้ว

 ดังข้อมูลที่ส่งมาด้วยแล้วนี้

 

 ยัปปี้ไฮเทคทำหน้าตาฉลาด ใช้การเชื่อมต่อกับ ODBC ด้วยอี-เมล์ใน Blackberry ของตน

 กระโจนเข้าสู่ฐานข้อมูล MS-SQL ทันที แล้วก็ได้รับบริการข้อมูลตอบกลับมาในไม่กี่วินาที

 ด้วยข้อมูลนี้ เขาจัดการใช้เลเซอร์ปรินเตอร์ชนิดพกพา พิมพ์ออกมาเป็นภาพสีคมชัด พร้อมทั้ง

 รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลอีกหนึ่งปึก

 

 ชายหนุ่มเดินตรงมา ยื่น เอกสารทั้งปวงให้ซิด ยืนถูมืออย่างสะใจแล้วพูดว่า

“นี่คือหลักฐาน ว่าน้ามีวัวและลูกวัวเป็นๆอยู่ทั้งหมด ๑,๕๘๖ ตัว”

 

 ”ถูกต้อง…ข้าว่าเอ็งคงได้ลูกวัวหนึ่งตัวแล้วล่ะ” ซิดตอบ

เขายืนมองชายหนุ่มเลือกเอาสัตว์ของเขาไปหนึ่งตัว แล้วมีสีหน้าเพลิดเพลินใจมากเมื่อชายหนุ่มแบกมันกลับไปที่รถ

 ”นี่ไอ้หลานชาย..ถ้าข้าบอกได้ว่าเอ็งทำงานอะไร..เอ็งจะคืนลูกวัวให้ข้าไหม?” ซิดถาม

 

 หนุ่มหัวใสเลิกคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะน้า”

 

 ซิดตอบกลับทันทีว่า “เอ็งต้องเป็น ส.ส.แน่ๆเลย”

 

 ”โอ๊ย….ถูกเผงเลย…นี่น้าเดาออกได้ยังไงกันนี่” ไอ้หนุ่มโวยวาย

 

 ”ไม่ ต้องดงต้องเดาให้ลำบากเลย..ของมันชัดมาก

 

 ข้อแรก  เอ็ง ชอบเสือก เสือกโผล่มานี่ โดยไม่มีใครเชื้อเชิญ

 ข้อสอง  เอ็ง ขี้งก..เอ็งจะเอาค่าตอบแทนจากการให้คำตอบที่ข้ารู้อยู่แล้ว สำหรับคำถามที่ข้าไม่ได้ถามเลย

 ข้อสาม เอ็ง ขี้โอ่ เอ็งใช้เครื่องมือราคาเป็นล้านเพื่อโชว์ว่าเอ็งเก่งกว่าข้า

 ข้อสุดท้าย..เอ็งชอบอ้างว่าเป็นตัวแทนผู้คน..แต่กลับโง่เง่า ไม่รู้เลยว่าผู้คนเขาทำมาหากินกันอย่างไร

 ไม่รู้จักกระทั่งวัว เห็นฝูงแกะของข้าเอ็งกลับนึกว่าฝูงวัว

 และที่แบกมาไว้ในรถนั่นก็ไม่ใช่ลูกวัวเ. ยี้..อะไรที่ไหน…

 

 มาๆ ไอ้ ส.ส.เอ๊ย….

 

 เลิกทำหน้าตาฉลาด…. แล้วส่งหมาของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!”

 

 

 



Main: 1.5643048286438 sec
Sidebar: 0.00020408630371094 sec