ลานซักซ้อมจินตนาการ

12 พฤศจิกายน 2008

น้ำตาร่วง…โรงเรียนพ่อแม่ นครสวรรค์;วันที่สอง…(1)

Filed under: บ่มเพาะความทรงจำ — Iem @ 2:20 (เย็น)
  • วันที่สอง (7 พฤศจิกายน 2551)
  • o เช้าวันนี้ เด็ก ๆ ทักทายเราด้วยรอยยิ้ม และแบบไทย ๆ คือสวัสดี…อืมม..รู้สึกดีกว่าเมื่อวานนะ
  • o ช่วงที่ 1 พี่สุ เริ่มด้วยการนำเล่นเกม วิวัฒนาการของชีวิตมนุษย์ ซึ่งทุกคนเริ่มจากการเป็นแมงหวี่ เมื่อเป่ายิงฉุบ ชนะ ก็จะกลายเป็นเป็ด แล้วให้ไปหาสายพันธ์เดียวกัน เป่ายิงฉุบ หากเป็ดด้วยกันชนะ ก็จะกลายเป็นลิง และจากลิง เมื่อเป่ายิงฉุบชนะ ก็จะกลายเป็นคน…สำหรับเรา..เป็นแมงหวี่ไม่เลิกเลย…
  • o พี่น้อง มาเล่าต่อในเรื่อง คนเราไม่เหมือนกัน มันมีความแตกต่าง แว่นที่ตา มันเชื่อมโยงกับตัวตนภายใน หากตัวตนภายในแคบ แว่นที่มีก็จะแคบ และเรามักใช้แว่นนี้วัดคนอื่น ซึ่งเมื่อแว่นที่มองเราแคบ มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด หากมันกว้างเกินไป บางทีเราอาจจะรู้สึกอ้างว้าง ช่างไม่พอดีเอาเสียเลย ความรู้สึกที่ไม่พอดี เรามักจะหาคนมาเติมเต็ม เมื่ออยู่ในช่วงฮันนีมูน เราจะรู้สึกว่าคนนี้ใช่เลย และทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาของการฮันนีมูน บางทีเราอาจจะรู้สึกได้ว่า มันจืดจาง ส่วนที่เราคิดว่านำมาเติมเต็มกลับ กลายเป็นส่วนเกิน แต่…เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในได้…..เหมือนกับสามเหลี่ยมที่พยายามกลิ้งตัวเอง…ซึ่งตอนแรกอาจจะลำบาก..แต่เมื่อเหลี่ยมค่อยๆ ลบ ไป ก็เริ่มกลิ้งได้อย่างคล่องตัว…สามารถนำพาตนเองไปได้…
  • o พี่น้อง…ต่อด้วย Voice dialogue …ตัวตนภายใน…เปรียบเทียบกับคนเราเกิดมาทุกคนมีไพ่ 52 ใบเท่ากันหมด แต่เพศ การเลี้ยงดู ชีวิตในแต่ละช่วงวัย สังคม ครอบครัว การศึกษา การคบเพื่อน พื้นที่เกิด ประสบการณ์ ความรัก ฯลฯ ทำให้แต่ละคน ค่อย ๆ ทิ้งไพ่หรือตัวตนภายใน ทีละใบ เพื่อปกป้องตนเอง เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ …เราทิ้งไพ่ จนเหลือในมือไม่มากนัก…และเริ่มกำจำนวนที่เหลือจนแน่น…เพราะมันทำให้เราเติบโต มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้ และคิดว่ามันเป็นทั้งหมดของชีวิต…แต่แท้ที่จริงแล้ว…เราเก็บความอยากไว้ตลอด….
  • o เมื่อตัวตนภายเปลี่ยน…จะรู้สึกว่าต้องการจะเก็บไพ่เพิ่ม…ซึ่งไพ่และตัวตนต่าง ๆ ที่เรามี เราไม่ได้ทิ้งมันไป แต่เราแค่วางซ่อนไว้…เราสามารถเก็บมันขึ้นมา…เหมือนกับสามเหลี่ยม ที่พยายามกลิ้งด้วยตัวเอง…พี่น้องบอกกับเด็ก ๆ ว่า…ชีวิตต้องมีการเริ่มต้น….ไม่จำเป็นต้องเก็บมาทีเดียวทั้งหมด…ค่อย ๆ เติมเต็ม เก็บขึ้นมาทีละใบ เหมือนสามเหลี่ยม ที่ค่อย ๆ ลบเหลี่ยมของตนเอง…..หากเราไม่เริ่มต้น…เราก็จะมีไพ่ในมืออย่างจำกัด ในการเลือกเล่น ทำให้รู้สึกตีบตัน…ไปไม่รอด…..”สนใจจะเก็บไพ่ของตนเองไหม”….พี่น้องถาม…ไม่มีใครตอบ..สักครู่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตอบมาว่า… “ไม่สนใจ มันกร่อย”….อืมม…เรื่องที่พี่น้องเล่า…เด็กได้ฟังไหมนะ..ถ้าฟัง..แล้วเข้าใจไหมนะ…มันยากที่จะเข้าใจสำหรับเด็กหรือเปล่านะ….
  • o พักเบรก… เราเข้ามาต่อ Voice dialogue … การทิ้งไพ่ เริ่มด้วยการแบ่งกระดาษ เอสี่ เป็น 4 ช่อง คือ 1 2 3 4 ตามลำดับ แต่ให้เริ่มเขียนที่ช่องที่ 2 ก่อนว่า คุณลักษณะของบุคคลใกล้ตัว ที่ทำให้เรารู้สึกจี๊ด โกรธ โมโห… แล้วมาเขียนที่ช่องที่ 3 ด้านดีของเรา ที่ตรงกันข้ามกับช่อง 2 … หลังจากนั้น ก็รวมกลุ่ม Home base กัน… อ่านช่องที่ 2 ให้สมาชิกในกลุ่มฟัง แล้วให้เพื่อน สะท้อนด้านดี ของช่องที่ 2 แล้วเขียนลง ช่องที่ 1 ต่อจากนั้น….ให้อ่านช่องที่ 3 ซึ่งเป็นด้านดีของเราให้เพื่อนฟัง….แล้วให้เพื่อนช่วยกันสะท้อนด้านลบสุด ๆ ของช่องที่ 3 แล้วเขียนลงในช่องที่ 4
  • o พักรับประทานอาหารกลางวัน

10 พฤศจิกายน 2008

น้ำตาร่วง…โรงเรียนพ่อแม่ นครสวรรค์; วันแรก…

Filed under: บ่มเพาะความทรงจำ — Iem @ 11:48 (เช้า)

 ในระหว่างวันที่ 6 9 พฤศจิกายน  2551 ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ “โรงเรียนพ่อแม่” ตามโครงการสร้างทางชีวิตใหม่ ให้ครอบครัวอบอุ่น รุ่นที่ 3   ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนภาคเหนือ จ.นครสวรรค์ จัดโดย  องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับศาลเยาวชนและครอบครัว จ.นครสวรรค์  จำนวนผู้เข้ารับการอบรม         30  ครอบครัว

 

·       เยาวชน(ลูก) จำนวน  31  คน (ชาย  27  หญิง 3 คน บอกว่าเป็นหญิงอีก 1 คน)

·       ผู้ปกครอง(พ่อแม่) จำนวน  31  คน

กระบวนกร  จากสถาบันขวัญเมือง  มูลนิธิสังคมวิวัฒน์

·       ห้องเยาวชน(ห้องของลูก)จำนวน    5  คน (มีเยาวชนรุ่นที่ 2 มาช่วยงาน  2 คน)  รวมเป็น 7 คน

·       ห้องผู้ปกครอง(พ่อแม่)   จำนวน   5  คน

 มีการแบ่งออกเป็น 2 ห้อง คือ ห้องพ่อแม่ และห้องของลูกo      พักรับประทานอาหารกลางวัน….

ในครั้งนี้ นักการอิ่มเข้า ห้องของลูก

แว่บแรก ที่เห็นเด็ก ๆ ถึงกับน้ำตาคลอ… ลำคอตีบตัน…เกิดอะไรขึ้นหนอ….

 ·       วันที่แรก (6 พฤศจิกายน 2551)

o      ช่วงที่  1 เริ่มต้นด้วยพิธีเปิดของหน่วยงานผู้จัด

o      เวลา 10.30  แยกย้ายพ่อแม่ และลูก  อยู่คนละห้อง ในครั้งนี้ สมัครใจ อยู่ห้องของลูก เพราะว่า ยังไม่เคยเป็นแม่

o      ใน ห้องของลูก กระบวนกรเริ่มต้นได้ในเวลา 11.00 น. พี่น้อง ทำหน้าที่กระบวนกรคนแรก ได้เชื้อเชิญให้เด็ก ๆ เข้ามาใกล้ๆ พี่น้องที่สุด เท่าที่ จะใกล้ได้  และขอให้น้อง ๆ ไว้วางใจ  กระบวนกร ได้แสดงให้เห็นว่า ยืนอยู่ข้างเด็ก ไม่ขอให้เด็ก ๆ เปลี่ยนแปลง

o      ต่อจากนั้น ได้มีการแนะนำ น้อง ๆ เยาวชนรุ่นที่ 2 จำนวน 2 คน ที่มาช่วยงาน คือน้องมิ้น กับน้องอ๋อ และแนะนำทีมกระบวนกร คือ พี่น้อง  พี่เอก พี่สุ พี่อ้อ และพี่นุช

o      พี่สุได้มีการบอกกติกาการอยู่ร่วมกัน และ นำเล่นเกม เพื่อเป็นการ Ice breaking ในครั้งนี้ใช้เกม เป่า ยิง ฉุบ แต่ท่าทีของเด็ก ๆ ยังเกร็ง ๆ อยู่ กระบวนกรเลยให้มีการจัดกลุ่ม Home base จำนวน 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน และมีพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม หลังจากนั้นก็ได้มีการทำกิจกรรม Ice breaking อีกครั้ง โดยใช้เกม มังกรคาบหาง…เกมนี้เด็ก ๆ รู้สึกสนุกขึ้น แต่พี่เลี้ยงแย่ไปตาม ๆ กัน เพราะเป็นเกมที่จะต้องใช้ความเร็ว ในการวิ่งหนี และวิ่งไล่

o      ต่อจากนั้น กระบวนกรให้เด็ก ๆ แยกย้ายเข้า Home base และเขียนชื่อเล่นตัวเอง ลงในป้ายชื่อ พร้อมกับให้แต่งสีสันตามใจชอบ พี่เลี้ยง ทำหน้าที่ในการชวนเด็ก ๆ คุย ถึงความรู้สึก ความกังวลใจ และเรื่องราวของตนเอง เพื่อให้สนิทสนมกัน แต่กิจกรรมนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก เด็ก ๆ ยังไม่ไว้วางใจพอที่จะพูดคุย

o      กระบวนกรให้โจทย์ต่อ โดยให้การตั้งชื่อกลุ่ม Home base ไม่เกิน 3 พยางค์  แต่ละกลุ่มได้ชื่อดังนี้   S&T (มาจากซอยตัน), Freedomครับ, รักกันครับ, คิกขุจัง, S&P และอาโนเนะ

 

 o      ช่วงที่ 2  เด็ก ๆ เข้าห้องกันค่อนข้างจะตรงเวลา กระบวนกรเริ่มต้นด้วยกิจกรรม ผ่อนพักตระหนักรู้ ให้เด็ก ได้พักผ่อน ประมาณ 40 นาที … พอตื่นขึ้นมา เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ ยังทำหน้าเหมือนยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย กระบวนกร เลยพาออกกำลังกายเล็ก ๆ

o      กระบวนกร นำให้เข้าสู่ กลุ่ม Home base  และให้เด็ก ๆ แต่ละคน อยู่กับตัวเอง รำลึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา  โดยให้มีการฉีกกระดาษ หรือทำอะไรกับกระดาษเอสี่ ที่แจกไป ตามอารมณ์ ความรู้สึกในแต่ละช่วงเวลาที่รำลึกถึง หลังจากนั้นให้เด็ก ๆ ในกลุ่ม Home base เล่าให้เพื่อนฟัง

o      กระบวนกรต่อด้วยการให้ เด็ก ๆ เดินอย่างไร้ทิศทาง ใคร่ครวญ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปล่อยตัวเอง อยู่ในห้วงคำนึง ท่ามกลางแสงสลัว และบทเพลงบรรเลงที่บางเบา  สักครู่ก็ให้เด็ก ๆ จับคู่กันพูดคุย เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทำให้เข้ามา ณ ที่นี่  และเพิ่มเป็น 4 คนช่วงนี้ เริ่มเห็นน้ำตามที่ไหลริน…จากใบหน้าน้องชุ สาวอายุ 18 และน้องเฟิร์น สาวน้อยอายุ 15น้องชุบอกว่า ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนที่นครสวรรค์ ติดเพื่อน ส่วนพ่อแม่อยู่กรุงเทพฯ พ่อแม่ไม่ใคร่ชอบกลุ่มเพื่อนของน้องชุนัก บอกว่าเป็นคนไม่ดี สักวันชุจะต้องเสียเพราะเพื่อน..แล้วก็เป็นจริง ชุ เริ่มอยากลองยา เป็นครั้งแรก…รับมาแล้ว..ยังไม่ทันลอง..ก็มาถูกจับเสียก่อน…เพื่อนหายไปหมด ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลย… ส่วนน้องเฟิร์น เป็นฝาแฝด กับน้องเฟิร์ส..เข้ามาด้วยเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกับเพื่อน… 

o      ช่วงที่ 3 กระบวนกร ถ่ายทอด แนวคิดของชนเผ่า ในเรื่อง ผู้นำสี่ทิศ และให้เด็ก ๆ ไปนั่ง ณ ทิศ ที่คิดว่าแสดงถึงความเป็นตัวเค้ามากที่สุด และถ่ายทอดให้เพื่อน ๆ ฟังว่า ทำไมเค้าถึงคิดว่า ทิศนี้ คือ ใช่เลยสำหรับเค้า

o      หลังจากนั้น ก็กลับมาที่กลุ่ม Home base กระบวนกรแจกกระดาษเอสี่ ให้โจทย์ว่าให้ใช้สีเป็นสัญลักษณ์ แทนแต่ละทิศ สีแดง คือกระทิง  สีดำ คือหนู สีเขียวคือหมี และสีฟ้า คืออินทรี  แล้วแบ่งดูว่า ภายในพื้นที่วงกลมวงหนึ่ง ที่สมมติว่า เป็นตนเอง ตัวเองมีความเป็นสัตว์ในแต่ละทิศมากน้อยแค่ไหน โดยการระบายสีลงในวงกลมนั้น ๆ และวาดวงกลม เพิ่มขึ้นอีกเท่ากับจำนวน บุคคลในครอบครัว แล้วเขียนชื่อของเจ้าของวงกลม แต่ละวง เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วให้แบ่งว่าแต่ละคนในครอบครัว มีทิศแต่ละทิศมากน้อยแค่ไหน  

o      สะท้อนวันแรก…เด็ก ๆ ยังไม่เปิดเผยตัวเองมากนัก…แววตาดูเหมือนยังไม่ไว้วางใจ…

….หนักหนาแนวเขิน เนินไศล คือทางที่เราก้าวไป…ก้าวไกลเกินฝัน..วันวาน

 

 

20 ตุลาคม 2008

KM :วิถีสู่องค์กรที่มีชีวิต ณ ห้องนั่งเล่น จังหวัดเชียงราย

Filed under: บ่มเพาะความทรงจำ — Iem @ 2:24 (เย็น)

ระว่างวันที่  15 - 18 ตุลาคม 2551 เทศบาลนครพิษณุโลกได้ส่งบุคลากรจำนวน 3 คน คือ ผู้ช่วยน้อง  พี่หนิง และเรา..นักการอิ่ม  เข้ารับการฝึกอบรมเรื่อง KM: วิถีสู่องค์กรที่มีชีวิต  ณ ห้องนั่งเล่น สถาบันขวัญเมือง จังหวัดเชียงราย 

ในครั้งนี้ เราได้รู้จักกับสมาชิกใหม่ ที่เป็นบุคคลภายนอก..มาจากกรุงเทพมหานคร คือ ไก่  และสมาชิกวงน้ำชา คือ  น้ำ เป็ด แอน เก่ง ใหม่  ร่วมด้วยสมาชิกวงน้ำชาที่เคยรู้จักแล้ว เมื่อครั้งที่เคยมาเยือนวงน้ำชา คือ อาใหญ่ หรืออาจารย์วิศิษฐ์ และผึ้ง  พร้อมกับการให้บริการเรื่องอาหาร จากแอม ปอน นิด และลูกตาล ซึ่งได้เข้ามาร่วมแจมในบางวัน 

ในวันที่ 18 ตุลาคม 2551 ก่อนการร่ำลา ได้มีการจัดทำกิจกรรม ที่เรียนกว่า ธาราลิขิต โดยให้แต่ละคนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ “เพชร” ที่เก็บได้จากการเรียนรู้ทั้ง  4 วันที่อยู่ร่วมกัน ในกิจกรรมนี้ มีสมาชิกร่วมเก็บเพชรอยู่ 7 คน คือ อิ่ม แอน ผึ้ง เป็ด ไก่ หนิง และผู้ช่วยน้อง แต่นักการอิ่มขโมย มา 3 เม็ด เพื่อระลึกถึง….

                  เพชรของแอน

                   ฉันเริ่มมองเห็นว่า ตัวฉันไม่ค่อยมีความมุ่งมั่นเอาเสียเลย ต้องมาเก็บไพ่ความมุ่งมั่นมาไว้ในเนื้อตัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นกระทิงอย่างไร ที่ไม่ค่อยมีความมุ่งมั่น รู้สึกขอบคุณในการตัดสินใจมาอยู่ในชุมชนนี้ ทำให้เห็นตัวตนมากขึ้น และอยากเห็นตัวตนให้มากกว่านี้ การเข้า KM ในครั้งนี้ ได้ความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นกับคนในชุมชน รู้สึกเป็นลมหายใจเดียวกันมากขึ้น รู้สึกห่วงและอยากดูแลผู้คนมากขึ้น ได้รู้ว่าการดูแลตัวเองเท่ากับดูแลคนอื่นไปด้วย นึกออกแล้วว่า ความมุ่งมั่นของเราหายไปไหน มันหายไปตอนที่เรามีความคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง แล้วบอกให้ผู้ใหญ่ฟัง(อันนี้ก็พ่อเราเองล่ะ) แล้วเขาบอกว่าไร้สาระ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉันจะเริ่มใหม่ สี่วันของ KM ฉันได้เรียนรู้เยอะมาก ๆ อันนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่เก็บได้หรือเปล่านะ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองได้อะไรบ้างมันเยอะไปหมด เอาเป็นว่าขอบคุณทุก ๆ คน ที่เป็นกระจำที่ส่องให้เห็นตัวตน ขอบคุณ และขอบคุณ

 

 

 

 

 

 

 

30 กันยายน 2008

เรื่องเล็ก ๆ ที่ชวนให้ใจอบอุ่น

Filed under: บ่มเพาะความทรงจำ — Iem @ 1:44 (เย็น)

นานมาแล้ว… ได้รับ e-mail จากเพื่อน ๆ เกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ ที่ชวนให้ใจอบอุ่น เวียนอ่านกี่ครั้ง กี่ครั้ง ก็รู้สึกดีทุกครั้ง….ดีแบบดี ดี และเก็บเอาไว้ในความทรงจำตลอดเวลา…. เรื่องมีอยู่ว่า

หลายปีก่อนที่ Seattle Special Olympics ผู้เข้าแข่งขัน 9 คน ที่ล้วนพิการอย่างใดอย่างหนึ่ง มารวมตัวกันที่จุดเริ่มต้น การแข่งวิ่ง 100 หลา

เมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น ทุกคนก็ออกวิ่ง ไม่ใช่แค่วิ่งเพื่อแข่งกันเข้าสู่เส้นชัยเท่านั้น แต่พวกเค้าวิ่งอย่างสนุกสนาน อย่างร่าเริง

ยกเว้น…เด็กชายคนหนึ่งที่สะดุดล้มลงบนลู่ยางมะตอย ล้มแล้วล้มอีก เค้าเริ่มร้องไห้….

อีก 8 คน ได้ยินเสียงร้องไห้นั้น พวกเค้าชลอฝีเท้าลง แล้วหันไปมองที่มาแห่งเสียงนั้น….

…แล้ว ทั้งหมดก็หันหลังกลับ….

เด็กหญิงผู้พิการทางสมองคนหนึ่ง…คุกเข่าลงจูบเด็กชาย  พร้อมกับพูดว่า…..นี่จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นนะ….  ทั้งหมดเดินคล้องแขนกัน…เดินไปสู่เส้นชัยพร้อม ๆ กัน…

…..ทุกคนบนสเตเดี้ยมลุกขึ้นยืน….ส่งเสียงเชียร์เป็นเวลานานหลายนาที….

นี่หมายความว่าอะไร

ในส่วนลึกแล้ว…เราต่างก็รู้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ได้อยู่ที่การได้ชัยชนะ หากแต่เป็นการช่วยให้ผู้อื่นได้รับชัยชนะ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เราต้องช้าลง หรือบางที ถึงกับต้องเปลี่ยนเส้นทางของเราก็ตาม

ตัวเทียนนั้นไม่ได้ต้องเสียอะไรเลยมิใช่หรือ  ถ้าจะเอามาต่อเทียนอีกเล่มให้สุกสว่างขึ้นมา”…..

 

« บันทึกเก่ากว่า

Powered by WordPress