ได้เจอคนใจดี (อีกแล้ว)

4 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 1 กรกฏาคม 2011 เวลา 5:14 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1545

วันนี้ไปรับเมล็ดพันธุ์ข้าวชนิดดีที่คัดแล้ว  จากศูนย์วิจัยข้าวขอนแก่น  โดยอาจารย์ พิศาล  กองหาโคตร  นักวิชาการเกษตร ชำนาญพิเศษ   ได้เตรียมเอาไว้ให้ 3 กิโลกรัม  จริงๆตั้งใจจะไปซื้อ แต่อาจารย์ไม่ยอมรับเงิน  บอกพันธุ์นี้ ไม่ใช่ของหลวง ไม่ขาย    เป็นข้าวหอมชนิดดี  ของอาจารย์เอง  และมอบให้แม่ใหญ่เอาไปทดลองที่โรงเรียน พร้อมทั้งสอนวิธีการเตรียมปลูกกล้าลงกระบะพลาสติคมาด้วย

อาจารย์พิศาล บอกว่า ข้าวชนิดนี้ คัดแล้ว ไม่ต้องแช่น้ำ แล้วนำไปห่อค้างคืนอีก  แบบที่ชาวบ้านเขาทำกัน  สามารถเอาเมล็ดแห้งๆนี้  ไปโรยใส่ถาดปลูกได้เลย  โรยเสร็จ  เอาดินกลบ  ฉีดน้ำฝอยๆให้ชุ่ม   แล้วก็เอาผ้าหรือกระสอบคลุม      สามวันพอเห็นต้นงอกออกมาจากเมล็ดแล้ว ก็เอาที่คลุมออก รดน้ำฝอยๆเช้าเย็น (ห้ามใช้สายยางฉีด เดี๋ยวเมล็ดข้าวกระเด็นออกหมด)  เพียงสิบห้าวัน   ต้นข้าวก็จะโตพร้อมที่จะนำเอาไปโยนได้เลย  ดังนั้นช่วงกลางเดือน   เด็กๆคงได้ไปโยนกล้ากันแน่ๆ

แม่ใหญ่ก็เลยกลับมาวางแผนกับคณะครู ว่า วันจันทร์ ที่ 4 นี้  แม่ใหญ่จะแบ่งถาดพลาสติค เตรียมใส่ดินก้นหลุมมาให้  แล้วแจกถาดไปให้แต่ละห้องสักห้องละ 3 ถาด  แล้วให้เด็ก ช่วยกันเอาเมล็ดข้าวมาโรยใส่หลุม หลุมละ 3 เมล็ด  ใช้เวลาไม่นาน  ก็คงโรยข้าวได้ครบทั้งสามถาด  เด็กโตก็จะให้ตักดินกลบเมล็ดข้าวเอง   แต่เด็กสามขวบ  อาจต้องให้ครูช่วยทำต่อจนเสร็จ  แล้วก็ให้ติดชื่อแต่ละห้องไว้ที่ก้นถาด  ให้รับผิดชอบรดน้ำดูแลถาดใครถาดมัน  ตลอดทั้ง 15 วันต่อจากวันที่ปลูกเป็นต้นไป 

โรงเรียนเราทั้งสองโรง   มี นักเรียน 21 ห้อง    ก็จะได้กล้า 63 ถาด   ซึ่งเมื่อต้นข้าวงอกเต็มที่แล้ว  ก็เอาไปโยนได้ 1 ไร่พอดี 

เมล็ดพันธ์ที่เหลือ ส่วนหนึ่ง  จะแบ่งเอาไปให้ลุงโก้ (ช่างไม้) รับผิดชอบ เพราะมอบให้แกอ่านกรรมวิธีเรื่องเจาะรูกระดาน แล้วเอาเมล็ดข้าวคลุกกับดินหยอดลงรูบนไม้กระดาน   แล้วก็นำไปหล่นลงในนา แบบที่อาจารย์ทวิชแนะนำ  ไว้ในเรื่องการทำนาแบบหยอดหล่นแล้ว  แกว่าแกเข้าใจ  แม่ใหญ่จะลงไปร่วมหยอดหล่นกับแกด้วย  เพราะคิดว่า  ไม่น่าจะทำยากสักเท่าไหร่   ส่วนนี้ กะว่าจะทำสักครึ่งไร่ 

ส่วนสุดท้าย อีกครึ่งไร่  จะเอาไปให้คนงาน  เตรียมปลูกกล้าในกระบะ   แต่จะทำทีหลังเพื่อให้กล้าโตทัน  วันที่จะเชิญชวน คณะครูและพนักงาน ที่สมัครใจ     รวมทั้งญาติๆที่จะมาจากกรุงเทพ เพื่อทำบุญครบรอบวันตาย คุณยายจ๋า  วันที่ 30 กรกฎาคม ก็จะได้มาร่วม “ลงแขก” กัน  ในช่วงบ่ายหลังจากทำบุญแล้ว

เฉพาะพันธุ์ข้าวพระราชทานที่ป้าจุ๋มส่งมาให้  แม่ใหญ่จะลงมือปลูกกล้าเอง  เพราะมีอยู่แค่ห้าซอง  ไม่กี่เมล็ด  ลองดูสิว่าจะปลูกสู้พวกเด็กๆ ได้หรือเปล่า  และเมื่อกล้าขึ้นดีแล้ว จะเตรียมแปลง เอาไว้ต่างหากตรง หัวนา   และก็จะ(พยายาม)  ดำเองให้ได้ครบทุกต้น  (พูดแบบนี้ ลูกๆมาอ่าน โดนโห่แน่ๆ) สำเร็จหรือไม่ค่อยว่ากัน ของอย่างนี้ ไม่ลอง ก็ไม่รู้

ก็ขอส่งข่าวมายัง ออต  ป้าจุ๋ม  คุณบางทราย  ป้าหวาน  และท่านอื่นๆ ที่ว่างๆ และนึกสนุก  จะมาร่วมดำนาด้วยกัน  หรือถ้า อาจารย์ทวิชนึกสนุกจะมาหยอดหล่น   ก็จะเลื่อนนาหยอดหล่นไปไว้ในวันเดียวกันกับนาดำ    กำหนดการนี้ คงจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว   เชิญทุกๆคนไว้เลยนะคะ

 


ออกจาก “แดนฝัน”

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 30 มิถุนายน 2011 เวลา 12:04 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 2136

ไปเข้ากิจกรรมจิตตปัญญา ตั้งแต่วันที่ 25 จนถึงวันที่ 29 เป็นเวลา 5 วัน  เข้าไปวันแรก พอตอนเย็นกลับมาบ้าน   ก็นำเอา  สิ่งที่ได้รับมาเขียนลงในลานในทันทีทันควัน   เป็นความรู้แบบ เนื้อหา และทฤษฎีมากกว่าความรู้สึก   แต่พอวันหลังๆ  รู้สึกว่า ชักจะหลงเข้าไปในแดนฝันบ้างแล้ว  ไอ้ที่จดยิกๆ ก็น้อยลง เอาเวลาไปสดับตรับฟังความเป็นมาและเป็นไป ของคนรอบข้าง  มากกว่า จะจดจำทฤษฎี  เพราะคงจะค่อยๆหลงเข้าไปในแดนฝันแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว

เมื่อวานตอน เที่ยง  ออกมาจาก”แดนฝัน”กลับมาใคร่ครวญถึงสิ่งที่ได้รับ รวมทั้งเอารูปที่ถ่ายแผ่นชาร์ตบทสรุปของการบรรยาย  และการแสดงออกของผู้เข้ากิจกรรม   และเข้าไปเปิดอ่าน  เวป วงน้ำชา ซ้ำ เพื่อเก็บเกี่ยวรายละเอียดเพิ่มเติมที่พอจะจำได้  คัดลอกข้อความบางอย่างจาก วงน้ำชา ที่เขาทำไว้เป็นบทสรุปแล้ว นำมาสรุปเองอีกครั้ง แล้วก็คิดว่า เราจะนำอะไรมาประยุกต์  มาถ่ายทอดให้กับครูในโรงเรียนของเราได้บ้าง  เพราะไม่ว่าจะไปรับอะไรที่ไหน ก็อดนึกถึงครูในโรงเรียนไม่ได้เสียที

 

เรื่องแรก  เคยได้ฟังมาหลายครั้งแล้ว คือเรื่อง “ สัตว์สี่ทิศ”  เรื่องนี้ นำมาใช้ในโรงเรียน  ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังคิดว่าคงจะใช้ได้ต่อไปเรื่อยๆ  เพราะเป็นบทเรียนที่ให้เรากลับมาดูตัวเอง และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้ดี และชัดเจน

เรื่องต่อมาคือเรื่อง ศักดิ์ ( rank) ต่างๆของมนุษยชาติ ที่เขียนลงไปใน บล็อกที่แล้ว  แต่คราวนี้ ขอเอาแผ่นชาร์ตสรุป จากการเข้ากิจกรรมมาลงไว้ให้ดูด้วย เพราะเขาสรุปเนื้อหาได้ละเอียดกว่า

 

 เรื่องที่สองถ้าอ่านจากตรงนี้ อาจเข้าใจไม่ทะลุนัก เขาพูดถึงแนวคิดของมินเดลในส่วนที่แตกต่างจาก คาร์ล ยุง คือ มินเดลมีความเห็นค้านจาก  ยุง  ที่ว่า  จิตไร้สำนึกนั้น น่ากลัว และเข้าไปแตะต้องไม่ได้    แต่มินเดลบอกไม่น่ากลัว   ดังนั้น เขาจึงชักชวนให้คนเข้าไปใน แดนฝันหรือ dreamland นี้ได้ตลอดเวลา เพื่อค้นหา แก่น หรือ ราก  ของความรู้สึกภายในที่แท้จริง  และนำเข้ามาใช้ในโลกสมมุติได้

ส่วนบนสุดที่เรียกว่า  โลกสมมุติ  คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นปัจเจก  ต่างคนต่างอยู่ พูดกัน แต่ไม่ฟังกัน หรือพูดออกมาแบบไม่ตรงกับใจ เมื่อใดที่เราลงไปในแดนฝัน  เรายังลงไปได้ในสองระดับคือในระดับจิตวิทยา และต่อไปจนถึงระดับจิตวิญญาณ  ตรงระดับจิตวิญญาณนี่แหละที่ การสัมนาครั้งนี้ โดยอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู พยายามนำพาพวกเราให้เข้าถึง  เพราะอาจารย์มีความเชื่อว่า สมุหะกับปัจเจกแยกจากกันไม่ได้

ช่วงนี้ขอยกข้อความของคุณ  maythawe   มาประกอบสักเล็กน้อย  ถ้าใครอยากอ่านเต็มๆให้เข้าไปที่ เวป วงน้ำชาได้ด้วยตัวเอง ในนั้นจะมีเรื่องจิตตปัญญา (แบบหนักๆ) ให้ติดตามอย่างมากมาย

“ระบอบประชาธิปไตยเสนอให้ทุกคนเท่าเทียมกันและจะต้องมีตัวแทนที่เท่าเทียมกันด้วย  ขณะที่มินเดลบอกว่าเขาแบ่งระดับจิตออกเป็นสามระดับ ขณะที่ทุกระดับก็ยังมีคุณค่าและความเท่าเทียมอยู่
o   สามระดับที่ว่าคือ
1. ความเป็นจริงพื้นฐานประจำวัน CR (consensus reality) ระดับนี้ความสัมพันธ์จะต้องมีสองคนขึ้นไป มีคำกล่าว และมีประเด็น
2. แดนฝัน (dreamland) เป็นระดับที่ดูเหมือนไร้ความสำคัญ ซึ่งจะมีการสัมผัสสัญญาณทางกาย ความฝัน และ
3. ระดับ essence ซึ่งเป็นรากฐานเป็นแก่นแท้ อันจะมีสนามกระบวนการจิต (processmind field) และสนามนี้ในเชิงความสัมพันธ์ก็คือบ้านที่แท้จริง เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ และเป็น common ground

การที่เราจะ มี eldership (สภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง)   ได้นั้น  เราต้องผ่าน แดนฝัน มีกายฝัน  ไปสู่ บรมธรรม  หรือ essence  ให้จงได้     กระบวนกร  (ซึ่งมีทั้งตัวจริงและผู้ช่วย ได้ร่วมกันในคำจำกัดความของสภาวะ   ผู้ใหญ่ที่แท้จริง ไว้ตาม ชาร์ตที่จะได้นำมาลงในช่วงต่อไปนี้)

 

กระบวนการทั้งห้าวัน  ส่วนใหญ่ จะใช้ voice dialogue หรือ สุนทรียสนทนา เข้ามาเป็นกระบวนการเดินเรื่อง  คือพอพูดทฤษฎีเสร็จ ก็ให้ ผู้เข้าร่วม รวมกลุ่มย่อยบ้าง  จับคู่บ้าง  พูดถึงทฤษฎีนั้นๆโดยดึงเข้าหาความจริงที่ตัวเอง หรือคนในกลุ่มมีและเป็น   แล้วก็มีกระบวนการ เดินสมาธิ (เรียกเอง  เขาอาจมีชื่ออื่นๆ ) คือเดินนิ่งๆเงียบๆ คิดใครครวญ เปิดเพลงเบา ไฟสลัวๆเป็นการสร้างบรรยากาศ ให้เกิดความเคลิบเคลิ้ม  เพื่อจะหลุดเข้าแดนฝันได้  (จริงๆเรื่องนี้ต้องพูดกันยาว เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องการทำให้สมองอยู่ในคลื่นเบต้า )  ก่อนทำกิจกรรมตอนบ่ายก็ให้นอนหลังอาหารกลางวัน  ฟังเพลง  ทำ บอดี้แสกน มีคนเสียงหวานๆพูดนำให้เราเดินเข้าไปสวนบ้าง  ในป่าบ้าง แล้วก็ลึกเข้าไปๆๆๆ จนเคลิ้มหลับไปเลย    แรกๆแม่ใหญ่ก็ชอบหรอก แต่ตอนหลังเราหนีไปดูสวนในช่วงนี้   เพราะไม่ชอบตอนเขาเรียกตื่น   ไม่อยากตื่นขึ้นมาจากการหลับกำลังสบายนั่นเอง

เรื่องสุดท้ายที่คุณน้ำฟ้าและปรายดาวชอบในบล็อคที่แล้ว  ก็คือเรื่องการเปลี่ยนแปลง    แบบที่ต้องรักการเปลี่ยนอย่างมาก   แต่ไม่ได้ เกลี่ยดหรือนึกรังเกียจ  ในสิ่งที่เป็นอยู่เดิม  เรื่องนี้ต้องสารภาพว่าด้วยปัญญาอันน้อยนิด  คิดแบบโลกสมมุติ  แบบรูปธรรม เข้าไม่ถึงนามธรรม   ว่ายังเข้าใจไม่ทะลุ  ไม่เข้าใจในส่วนที่สองที่ว่า  “อยากเปลี่ยนแต่ไม่รังเกียจสิ่งที่เป็นอยู่เดิม” อาจารย์ยกตัวอย่าง  อยากเลิกบุหรี่ ทั้งๆที่ติดบุหรี่   ก็ให้นึกสงสัยว่า ถ้าไม่รังเกียจการติดบุหรี่ แล้วจะอยากเลิกทำไม  สงสัยแต่ไม่ได้ถาม เพราะอาจารย์บรรยายติดพัน   พูดต่อเนื่อง จนไม่มีโอกาสได้ถาม   วันหลังมีโอกาสคุยกับกระบวนกรตัวต่อตัวจะซักเรื่องนี้ให้ทะลุอีกสักที    แต่ก้ขอนำเอาชาร์ตที่เขาสรุปไว้มาให้ดูให้งงกันเล่นๆ

แผ่นชาร์ตทั้งสี่แผ่นหลังนี้   เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง  คนที่เคยเข้าจิตตปัญญา รุ่นลึกๆ  คงพอเข้าใจได้ดีกว่า    ส่วนตัวเอง  เป็นเรื่องที่จะเอาไว้ศึกษาต่อไป

 


จิตตปัญญาศึกษา-ปลูกต้นไม้

4 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 26 มิถุนายน 2011 เวลา 8:15 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1561

ช่วงวันที่ 25-29 เทศบาลนครขอนแก่น เชิญไปเข้าร่วมกิจกรรม   จิตตปัญญาศึกษา นำโดยกระบวนกร  วิศิษฐ์ วังวิญญู   ในหัวข้อเรื่อง  กระบวนการในแดนฝัน  เป็นภาคภาษาไทยของ Gill Emslie  ซึ่งเป็นกระบวนกรชื่อดังศิษย์เอกของArnold Mindell  ที่ได้เคยมาจัดกิจกรรมในกรุงเทพ  มาก่อนแล้ว 

 เรื่องดังกล่าวนี้   ตั้งอยู่บนฐาน ของจิตวิทยาสายคาร์ล ยุง “  กิจกรรมครั้งนี้   เป็นเรื่องเกี่ยวกับ   งานกระบวนการ “”Process Work”   ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ  แม้บางตอนจะเข้าใจยากสักหน่อย  เป็นทฤษฎีที่มีกลิ่นนมเนยค่อนข้างมาก   แต่ที่น่าสนใจเพราะเมื่อโยงมาเข้ากับศาสนาพุทธของเราแล้ว  หลายเรื่องเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกัน 

 ได้มีการพูดกันถึง เรื่อง rank  ของคนทุกคนในสังคม  ที่อาจารย์แปลเป็นไทยว่า “ศักดิ์”  ว่ามันมี rank 4  ประเภทด้วยกันคือ

  • Social rank  ( ศักดิ์ทางสังคม)
  • Psychologial rank (ศักดิ์ทางจิตวิทยา)
  • Spiritual rank (ศักดิ์ทางจิตวิญญาณ)
  • Contextual rank (ศักดิ์ตามบริบทและสถานการณ์)

อาจารย์ให้จับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 4-5 คน  ทำความเข้าใจกับ rank ชนิดต่างๆ   และให้มองดูตัวเองและเพื่อนในกลุ่ม  ว่าได้เคยอยู่ใน rank ไหนบ้าง  และเคยใช้อภิสิทธิ์ของ rank นั้นๆ  อย่างรู้ตัวไหม เท่าทันไหม  ใช้เพื่ออะไร  เพื่อเกี้อกูลตนเอง หรือมนุษยชาติ  หลังจาก สุนทรียสนนากลุ่มย่อย กันพอประมาณแล้ว  ก็มาหลอมรวมความคิดกันในกลุ่มใหญ่  ซึ่งมีการสรุปกันว่า  คนที่ไม่ยึดถือ rank ต่างๆ  เดินทะลุมันออกมาได้นั่นแหละ  คือ มนุษย์ที่แท้

มีคำพูดที่อาจารย์โปรยไว้ให้ติดตามตอนต่อไปในกิจกรรม  ห้าวันนี้คือ  เรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเราเอง

คนที่จะเปลี่ยน ได้จริงๆ จะต้องเป็นคนที่

  • รักการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
  • รักตัวเองอย่างที่เป็นอยู่เดิม  ไม่ได้รังเกียจสิ่งที่เป็นอยู่

ซึ่งในหัวข้อที่สอง  นี่ฟังดูแปลก  เพราะถ้าคนเรารักในสิ่งที่เป็นอยู่  แล้วจะไปเปลี่ยนทำไม     ก็คงต้องรอฟังและมาเล่าต่อในตอนต่อไป

ช่วงทานข้าวกลางวัน  ไม่ได้อยู่ทานกับกลุ่ม  แต่แวบไปดูที่นาซึ่งได้มอบให้ลุงพงษ์ ลุงสมัย และเฉลา   ไปเตรียมที่ปลูกต้นอคาเซีย   รอบๆบ่อน้ำ (ให้หางกัน 2.50 เมตร  ตามวิชาที่ไปเรียนรู้มา)   ส่วนกำหนด  ที่จะดำนาช่วงออกพรรษานั้น    คงจะต้องเลื่อนออกไป เป็นปลายเดือน  เพราะต้องใช้เวลาเตรียมดินให้ดีกว่านี้ (ตำราบอกว่า เตรียมดินให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง )    ต้องปล่อยให้หญ้าเน่าก่อน 15 วัน   แล้วจึงจะไถแปรอีกครั้ง  แล้วยังต้องทำเทือกให้ดินละเอียด   ดังนั้น  การดำนา หรือ โยนกล้า น่าจะต้องเลือ่นไปช่วง ปลายเดือนกรกฎาเสียแล้ว   ก็ดีเหมือนกัน  ตรงกับวันทำบุญ ครบรอบวันตาย “ยายจ๋า” วันที่ 29 กรกฎาคม    ญาติพี่น้องจะได้มาทำบุญแล้วไปดำนาด้วยกัน  ในคราวเดียว

พอปลูกต้นไม้แล้ว ก็กลับไปร่วมกิจกรรม จิตตปัญญาต่อ   วันนี้เลยได้ทำครบทั้งสองเรื่อง


เรียนปลูกข้าวจาก Youtube

8 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 7:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1814

วันอาทิตย์เป็นวันว่าง  ตั้งแต่เช้ายันบ่าย แม่ใหญ่จึงง่วนอยู่กับการ เปิดหาความรู้เรื่องทำนาเพิ่มเติม จาก  Google และ  Youtube  พบว่า มีคนเขียนบรรยาย และถ่ายทำเป็นวิดิโออย่างหลากหลายจริงๆ ได้เก็บข้อมูลและรวบรวมไว้เป็น Powerpoint ไว้  ตั้งใจว่า บ่ายวันนี้ จะขอเชิญบรรดาชาวนาตัวจริงทั้งหลายที่ทำงานอยู่กับแม่ใหญ่จำนวนไม่น้อย  เช่น ลุงโก้ ลุงพงษ์ ลุงน้อย โสภา ทองเพียร เดือน แสน เฉลา ฯลฯ  มาดูวิดิโอที่แม่ใหญ่รวบรวมเกี่ยวกับเรื่องนาโยน  (ซึ่งปีนี้จะแบ่งเป็นสองแปลง  นาโยนแปลงหนึ่ง นาดำแปลงหนึ่ง )    และจะขอให้เขา “โส” กัน (สุนทรียสนทนา ตามศัพท์ทางจิตตปัญญา )  ว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร เราจะได้รับฟังความรู้จากชาวนาตัวจริงด้วย   แม่ใหญ่ก็จะขอป้าๆลุงๆกลุ่มนี้แหละมาช่วยแม่ใหญ่เริ่มต้นกับนาทดลอง ครั้งแรกของโรงเรียน   ถ้าผลมันออกมาดี  เขาก็จะได้เอาไปทำของตัวเขาเองต่อไป  เพราะลุงๆป้าๆเหล่านี้มีนาของตัวเองคนละ 7-8 ไร่ขึ้นไป  แต่ไม่ได้ทำนา เป็นอาชีพ ออกมารับจ้างเป็นพนักงานโรงเรียนกันหมด ถึงเวลาก็ลาไปหว่าน   ไปเกี่ยว  แค่วันสองสามวัน  ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาได้รับผลผลิตกันขนาดไหน  และต้องใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ใช้ยาฆ่าแมลงกันเป็นเงินเท่าไหร่  แม่ใหญ่จะทำการทดลองร่วมกับเขาว่า ถ้าเราทำถูกต้องตามที่ได้ศึกษามา ทำแบบเกษตรอินทรีย์  ไม่ใช้เคมี  มันจะไปรอดไหม 

ความรู้ที่ได้จากการค้นหา   แม่ใหญ่สรุปรวมไว้ในภาพข้างล่างนี้ 

หลังจากศึกษาจากอินเตอร์เนตแล้ว ช่วงบ่ายก็เข้าไปดูที่นา  ที่ตั้งแต่ซื้อเอาไว้ปีกว่าแล้ว ยังไม่เคยได้ลงไปเดินรอบๆทั้งสี่ไร่เลย เนื่องจาก หญ้ารกมากๆ พอผู้รับเหมาทำถนนเข้าไปที่บ่อน้ำ  และจัดรูปนาทดลองตามที่เราต้องการให้  เขาไปเริ่มงานถากถาง  จนเห็นคันนาพอเดินได้แล้ว แม่ใหญ่ก็ชวนลูกชวนหลาน  ลงไปเดินดูโดยรอบ  พบว่า ที่ด้านหลังเป็นบ่อใหญ่มาก เนื้อที่เกือบสองไร่  เจ้าของคนเดิมที่เขาขายนาให้เรา เขามีที่นาอยู่ยี่สิบไร่  เขาขุดบ่อน้ำนี้ เอาไว้เก็บน้ำเวลาที่เขาต้องการทดน้ำเข้านาหรือสูบน้ำออกจากนา   เราเองก็ชอบที่ซึ่งมีบ่อน้ำ   แต่ตอนซื้อที่  มองดูจากฝั่งถนนไกลๆไม่คิดว่าจะได้บ่อใหญ่ขนาดนี้    แต่มาเห็นของจริงก็พอใจ  เพราะเราคงจะมีน้ำใช้ตลอดปี และคงได้แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วยในช่วงที่คลองชลประทานยังไม่ส่งน้ำเข้ามา

ไปดูที่นาแล้ว  กะเวลาการไถดะ ไถแปร  ทำเทือก สำหรับโยนกล้าและดำนา  ไม่ทราบว่าจะทันกำหนดเดิมคือวันเข้าพรรษาหรือไม่  เพราะเท่าที่ศึกษาดู    เขาบอกว่าการเตรียมดินเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของกระบวนการปลูกข้าว     เมื่อไถดะ แล้ว  ต้องรอเวลาให้หญ้าและวัชชพืชตายทับถมกันก่อน 15 วัน  แล้วจึงปล่อยน้ำออกให้ดินแตกระแหง เพื่อก๊าซฟางเน่าๆ จะได้ระเหยออกไป   แล้วจึงปล่อยน้ำเข้าขลุกขลิกเพื่อ ไถแปรอีกครั้ง  หมักทิ้งไว้อีกครั้ง  แล้วจึงคราด ตีดินให้ละเอียดเพื่อทำทเทือกให้พร้อมโยนกล้าหรือดำนา            ถ้าเตรียมดินดี วัชชพืชจะน้อย  ข้าวก็จะงาม  ดังที่ ปราชญ์ชาวบ้านหลายๆท่านกล่าวไว้ใน youtube

ทำนาแค่สองไร่ แม่ใหญ่รู้สึกว่าเรื่องมันแยะจริงๆ  หนักใจนิดๆ  คงเป็นเพราะเรายังไม่เคยทำเลยนั่นเอง  แต่ไม่เป็นไร ใจสู้เอาไว้ก่อน  เป็นไรเป็นกันสิน่า

ส่วนเรื่องปลูกต้นอคาเซียตามขอบคันนานั้นไม่มีปัญหาน่าจะลงได้ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป  ว่าจะไปหาต้นอื่นๆมาปลูกแซมๆไปบ้าง (ตามที่ได้ไปเรียนรู้มา)

 

 

 

 


ปลุกพลังบวก

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 14 มิถุนายน 2011 เวลา 8:44 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1327

เข้าไปเจอ you tube เรื่องปลุกพลังบวก  แม้จะเก่าแล้ว แต่มันดีจริงๆ  อยากเอามาแบ่งปัน

http://www.youtube.com/watch?v=alPxjS57ow0&feature=feedrec_grec_index



Main: 0.052354097366333 sec
Sidebar: 0.042994022369385 sec