เมื่อต้องเขียนบทความวิชาการ
หายจากลานไปซะเดือนนึงเต็ม ๆ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับงานเขียนชิ้นนึง เพิ่งเขียนเสร็จไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ตอนเขียนเสร็จคืนแรกว่าจะเข้ามาลานเลย แต่เผลอใจไปติดหนังจีนบูเช็คเทียนซะก่อน หุหุ ชอบมาก ดูตั้งแต่ต้นจนจบรวดเดียวในสามวัน จบละครและโน่นนี่แล้วก็มาเข้าลานตามที่ตั้งใจไว้
ที่ว่าตั้งใจจะเขียนเพราะอยากบันทึกประสบการณ์กับงานเขียนทางวิชาการที่เพิ่งเสร็จไป เมื่อเดือนที่แล้วอาจารย์ถามเราว่าอยากเขียน review มั้ย เอาล่ะสิ เขียน review เขียนยังไงล่ะเนี่ย เคยแต่อ่านไม่เคยเขียน แต่ก็ตอบตกลงไปเพราะอยากลองของ อิอิ
คำว่า review ในด้านวิชาการก็คือการอ่านงานวิจัยแล้วเอามาสรุปและวิเคราะห์ ดู ๆ แล้วก็คล้ายกับการเขียนหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง วิเคราะห์ลึกมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับหัวข้อและขอบเขตที่กำหนดไว้ คนที่จะเขียน review ต้องรู้ลึกรู้จริงรู้ดีชนิดว่าเป็นกูรูด้านนั้นถึงจะเล่าเรื่องออกมาได้เป็นฉาก ๆ ปัญหามันอยู่ตรงนี้นี่แหละ เรารู้แค่ 10-20% ของหัวข้อที่ต้องเขียนทั้งหมด ส่วนที่เหลือที่ไม่รู้นั้นทำไง ไม่ยากเลย คำตอบนั้นมีอยู่แล้วคืออ่าน อ่าน อ่าน และอ่าน แต่เวลาทำจริงแล้วไม่หมูอย่างที่คิด
เราเริ่มต้นด้วยการหารายงานวิชาการหรือเรียกแบบคุ้นเคยว่าเปเปอร์ (publication, literature, paper) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะเขียน งานนี้ก็ต้องพึ่ง google scholar แหล่งรวบรวมเปเปอร์ ค้นไปค้นมาก็จบลงด้วยกองกระดาษกองโตที่เราต้องอ่าน แต่นะ อ่านไปอ่านมาแล้วไม่รู้เรื่องเลยเพราะอย่างที่บอกไว้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เราวิจัยอยู่ ทำยังไงล่ะทีนี้ … อ่านใหม่ อ่านไปอ่านมาหลายรอบมาก กะว่าให้คุ้น ๆ เข้าไว้ก่อน เข้าใจไม่เข้าใจเดี๋ยวค่อยว่ากัน
หลังจากอ่านเปเปอร์ทั้งกองเสร็จไปประมาณ 2-3 รอบแล้ว ยอมรับเลยว่าไม่ค่อยรู้เรื่องแต่พอได้ไอเดียว่าจะแบ่งเป็นหัวข้ออะไรบ้าง ก็กำหนดหัวข้อย่อยขึ้นมาคร่าว ๆ ว่าจะแบ่งเนื้อหาเป็นกี่เรื่องแล้ววิเคราะห์อะไรบ้าง พอได้หัวข้อก็กลับไปอ่านเปเปอร์ใหม่อีกรอบแล้วขีดเสร็จใต้หรือระบายสีประเด็นส่วนที่จะเอามาใช้เขียน
ต่อมาก็คือการเขียนบันทึกย่อของแต่ละเปเปอร์ลงไปในหัวข้อย่อยที่เราวางไว้ ใช้วิธีบันทึกแบบ bullet ไม่ต้องมีรูปประโยค ไม่้ต้องมีรายละเอียด เอาแค่เนื้อหาสำคัญเป็นหลัก ตรงช่วงนี้ใช้เวลานานมากกว่าจะเสร็จ เพราะเนื้อหาในหัวข้อย่อยมาจากหลายเปเปอร์และแต่ละเปเปอร์ถูกจัดไปอยู่หลายหัวข้อย่อย คล้ายกับเล่นจับคู่เลย เล่นซะเหงื่อตก นี่คือเขียนรอบแรก
จากนั้นก็เริ่มเขียนให้เป็นประโยคเป็นย่อหน้า เป็นการเขียนรอบที่ 2 เขียนไปเขียนมาเหมือนเอาโน่นนี่มาแปะ ๆ ลงไป อ่านเองเขียนเองแบบเข้าใจครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนเข้าใจแต่ยังเข้าใจไม่หมดอะไรทำนองนั้น แต่ก็ยังเขียนต่อไปจนครบทุกหัวข้อ
แล้วก็เริ่มเขียนรอบที่ 3 คราวนี้เริ่มเข้าสู่การเรียบเรียงประโยคใหม่ เขียนและอ่านให้รู้เรื่องให้ดูเป็นเรื่องเป็นราว แต่ยังมีความรู้สึกว่าเรามันมีอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่าขัด ๆ เป็นความรู้สึกที่คอยรบกวนอยู่เป็นระยะ และทำให้เราขาดความมั่นใจในสิ่งที่เรากำลังเขียน
มาถึงการเขียนรอบที่ 4 รอบนี้ตั้งใจว่าจะเป็นรอบสุดท้ายคือการอ่านทบทวน เรียบเรียงประโยคให้ดูสวยงาม เติมส่วนขาดลบส่วนเกิน กะว่าเสร็จรอบนี้ก็ส่งอาจารย์ได้เลย แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คืออ่านไปบ่นกับตัวเองไป เขียนอะไรออกมาไม่ได้เรื่องเลย จริง ๆ แล้วความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราต้องกำจัดจุดอ่อน
เรื่องของเรื่องคือ เราไม่เข้าใจเนื้อหาแบบขั้นเทพ เราเข้าใจเพียงผิวเผินแต่ไม่เพียงพอที่จะวิเคราะห์ได้ การที่คนคนหนึ่งจะเล่าเรื่องอะไรออกมาได้เป็นฉาก ๆ โดยไม่ตะกุกตะกัก หรือการที่จะวิเคราะห์อะไรได้แบบเป็นเรื่องเป็นราว คนคนนั้นต้องมีความเข้าใจในเรื่องนั้นถ่องแท้ในระดับหนึ่ง อาจจะไม่ต้องเข้าใจทุกจุดแต่ต้องเข้าใจมากพอที่จะมองเห็นภาพมองเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน
และสิ่งที่คอยปิดกั้นไม่ให้เราเข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งก็คือ การขาดความรู้พื้นฐานในเรื่องที่เราเขียน เราไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเรื่องราวตั้งแต่ต้นเป็นมายังไง เรามาเริ่มอ่านตอนกลางเรื่อง การที่ไม่ไปอ่านตั้งแต่ต้นทำให้เราไม่เข้าใจตอนจบ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ งานที่เราเขียนออกมาเป็นสิ่งที่สะท้อนกลับให้เราเห็นว่า เราเขียนแบบไม่มั่นใจว่าจะ say yes or no
เมื่อรู้ว่าขาดอะไรก็ต้องเติมให้ถูกที่ เราเริ่มค้นหาเนื้อหาพื้นฐานมาอ่านแล้วพยายามเชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่เราเขียน อ่านพื้นฐานแล้วอ่านสิ่งที่เราเขียนควบคู่กันไปให้มั่นใจว่าเราเข้าใจถูกหรือผิดยังไง พอเข้าใจแล้วก็หันไปหากองเปเปอร์ตั้งแต่ตอนแรกเอามาอ่านอีกรอบว่าตรงกับที่เราเข้าใจมั้ย ตอนอ่านก็จดบันทึกย่อ ๆ ไปด้วย … ได้ผล รอบนี้อ่านแล้วรู้เรื่องกว่าตอนที่อ่านรอบแรก ๆ ตั้งเยอะ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรารู้ส่วนกลางเรื่องถึงตอนจบแล้ว พอมาอ่านตอนต้นเรื่องทำให้เรามองภาพออกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนยังไงและทำไม
มาถึงเวลาเขียนรอบที่ 5 รอบนี้ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรมาช่วยในตอนเขียนมากนัก เพราะเราเขียนจากสิ่งที่เราเข้าใจและเล่าเรื่องออกมาด้วยความมั่นใจ
นึกว่าจะเสร็จแต่ยังไม่เสร็จ ยังต้องตรวจทานอีกรอบเป็นรอบที่ 6 แล้วจึงใส่อ้างอิงว่าเนื้อหาส่วนในเอามาจากเปเปอร์ต้นฉบับอะไร สุดท้ายก็อ่านทบทวนอีกรอบก่อนที่จะเมลล์ไปให้อาจารย์อ่าน แต่เดี๋ยวมีแก้แน่นอนเพราะอาจารย์คงไม่ให้งานเขียนแบบนักเรียนของเราไปลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการได้ง่าย ๆ ถึงต้องแก้ก็ไม่เป็นไรเพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ได้ทำตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวเอง ประสบการณ์ครั้งนี้จะช่วยให้เราเขียนงานทางวิชาการในอนาคตได้ง่ายขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
บทความ review ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณเดือนกว่า มีความยาวประมาณ 10 หน้า และจะถูกตีพิมพ์ในวันดีวันปีใหม่ไทย แม้บทความนี้อาจไม่ใช่งานเขียนที่ดีที่สุดแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจเป็นที่สุด
« « Prev : อื่น ๆ อีกมากมาย จากเฉลียง
Next : เมื่อเช้านี้ออกไปทิ้งขยะมาค่ะ » »
9 ความคิดเห็น
ร่วมสนุกตามบรรยากาศ ท่าน จิ๋นซี ขอบคุณมากๆครับ
ได้เรียนรู้วิธีเรียนรู้มากเลยครับ ขอบคุณมากๆครับ แต่อ่านแค่ 2 รอบเองนะครับ อิอิ
ขออนุญาตเรียกน้องณิช นะคะ เพราะมั่นใจว่าเป็นน้องแน่ๆ 555
น้องณิชเพิ่งจัดการอะไรกับบล็อกไปหรือเปล่าจ๊ะ และเห็นด้วยกับพี่ตึ๋งว่าน้องณิชเขียนบันทึกนี้ได้ดีมาก เห็นวิธีการเรียนรู้ได้ชัดเจน ชอบๆๆๆ ^ ^
#1 สิทธิรักษ์
จิ๋นซีดูใจร้ายไปนิดนึง เลยมาเข้าข้างบูเช็คเทียนให้ผู้หญิงเป็นฮ่องเต้ค่ะ อิอิ
#2 จอมป่วน
อ่าน 2 รอบนี่แบบเป็นเรื่องเป็นราวหน่อยค่ะ แต่เอาเข้าจริงแล้วพลิกกระดาษอ่านไปมาจนเยินเลยค่ะ
#3 น้ำฟ้าและปรายดาว
ในลานปัญญานี้ณิชคงเรียกน้องได้แค่น้องจิคนเดียวค่ะ ฮ่าๆ ส่วนบล็อกนี่คือว่ากดไปกดมาแล้วแก้ไม่เป็น -_-’ รบกวนคุณรอกอดไปแล้ว เดี๋ยวคงปกติค่ะ
บันทึกนี้เขียนเล่าเรื่องที่เพิ่งทำเสร็จไปสด ๆ ร้อน ๆ เลยเขียนได้ง่ายหน่อยค่ะ แต่วิธีที่ใช้ตั้งแต่ลงมืออ่านเปเปอร์ถึงเขียนบทความอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะถ้าอ่านให้เข้าใจตั้งแต่ตอนแรก ๆ ก็อาจจะทำให้อะไรง่ายขึ้น ไม่ลองไม่รู้ถึงต้องมาเรียนรู้ใช่มั้ยคะ
ขอบคุณทุกคนค่ะ
เจริญพร
#5 BM.chaiwut
สาธุค่ะ กลอนนี้มีทั้งรีวิวทั้งชิวชิว อิอิ
ไม่ถนัดแต่งกลอนเลย ไม่ถนัดมาตั้งแต่จำความได้ -_-’
[...] เพราะไหน ๆ งานเขียนฉบับนี้จะมีชื่อเราอยู่ด้ว
นับว่าเป็นประสบการณ์ ตรงที่เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ Learn by doing ไงค่ะ เป็นวิธีสอนของโลกตะวันตกค่ะ ยิ่งอาจารย์ให้เกียรติลฏศิษย์เท่าไร ลูกศิษย์ยิ่งต้องทุ่มเททำงานให้ีที่สุด เราก็ต้องเริ่มต้นค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม และค้นหาแบบฉบับหรือต้นแบบที่ดี แล้วก็นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับงานของเรา หนูโชคดีกว่านักวิชาการไทยมากมายเลยค่ะ งานอะไรที่เราทำเองเราจะมีความมั่นใจ และทำได้ดีที่สุด ที่สำคัญหนูดูหนังจีน….. รวดเดีนวจบใช้เวลาสามวัน เท่ากับพักสมองอย่างเต็มที่ จากงานวิชาการ ที่ดีทีเดียว รับรองว่างานเขียน review ของหนูต้องประสบคงามสำเร็จอย่างงดงาม “เริ่มต้นดี ย่อมสำเร็จไปกว่าครึ่ง” ค่ะ ขอให้กำลังใจค่ะ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่หนูจะทำได้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะคุณ Lin Hui
ใช่เลยค่ะ งานดีได้ค้นคว้าเพิ่มเติมแบบเต็มที่ เพราะถ้าไม่เข้าใจก็เขียนให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ และที่อ่าน ๆ ไปเอามาใช้ประโยชน์กับงานตัวเองได้เพียบเลย เพราะบางครั้งมัวแต่ทำงานทำแล็บจนลืมอ่านหนังสือ มีบางช่วงที่อาจารย์มาบอกว่าไม่ต้องทำแล็บแล้ว …. ให้ไปอ่านหนังสืออย่างเดียวเลย -_-”
ส่วนเรื่องดูหนังนี่ ชอบค่ะ ปกติเวลาทำงานโน่นนี่เสร็จแล้วจะชอบดูละครดูหนังไปเรื่อย ดูจนสบายใจหายเหนื่อยแล้วค่อยเริ่มทำงานชิ้นใหม่ต่อ … ติดละครนั่นเอง อิอิ