อ่าน: 1856
พี่น้องครับ ถ้าไม่นับเป็นวาสนา ก็มิรู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ว่าทำไมเราจึงมารู้จักมักจี่ สิ่งนี้ไม่ใช่ปรากฎการณ์ธรรมดาหรอกนะขอรับ เกิดหมู่มวลมนุษย์ที่ไม่มีหน้ากาก มีแต่ความน่ารักน่ากอด ไม่มีหมวกกันน็อค สมัยก่อนเรียกหัวโขน มีแต่หัวคน คนที่มองคนอยู่ในสายตา นำพาต่อความครุ่นคิดคำนึงถึงกัน อนุเคราะห์อะไรได้มิชักช้า ทานบารมีนั้นไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ที่นี่ความปรารถนาดีมีบริจาคกันกระจาย ตู้ATM.เรียกพี่ กดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น บางทียังไม่กดโบนัสน้ำใจไหลหลั่งมาจากไหนก็ไม่รู้
..ไม่มีในแผนแม่บทฉบับไหน ไม่มีทฤษฎีอะไรมารองรับ มันจุติขึ้นมาเองเพื่อตอบคำถาม..ทำไมสังคมที่อ้างว่าเจริญก้าวหน้า เรียนกันแทบเป็นบ้าเป็นหลัง สอนสั่งกันจนน้ำลายเหนียว กลับมีแต่ความหมางเมินและอ้างว้าง ถ้าเราปลดล็อคไม่ได้..คงเสียหายโอกาสของชีวิตไปไม่น้อย..ลองอ่าน และอ่านที่นี่สิครับ..
“ผมน่ะไม่รู้เรื่องร๊อก แต่ท่านอาจารย์ ดร.อำนวย ทะพิงค์แก อดีตอาจารย์ของผมท่านเล่าให้ฟังหลายสิบปีก่อน ว่าในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นที่อเมริกาที่ท่านเคยไปเรียนหนังสือที่นั่นนั้น โรคนี้กำลังระบาดอย่างหนัก อาจารย์อธิบายว่า ก็คนเดินกันเต็มถนน เกือบจะชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แถมไม่คุยกันเลย รถวิ่งกันเต็มถนน เมื่อติดไฟแดง รถจอดนิ่งๆ ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมาระหว่างคันนี้คันนั้น แต่ไม่พูดกัน ซึ่งลักษณะเมืองก็เหมือนกันทั่วโลก“
ก่อนหน้านั้นเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่หนไหน บัดนี้ เมื่อสวรรค์บันดาลแล้ว กิเลสแห่งการเรียนรู้ทำให้อยากล้วงลึกยิ่งขึ้น ทุกคนเขียนยั่วให้ย่องเข้าไปควานหาตัวตน ใครจะทนไหว จึงชอบและชื่นชมกันและกัน บังเอิญเราเป็นพวกเปิดใจ เปิดไปเปิดมาใจอิสระออกโบยบิน ลอยฟ่องท่องโลกจินตนาการอย่างสนุก ลอยข้ามความหวาดระแวง ความอิจฉาตาร้อน ชิงดีชิงเด่น โยนความหมางเมินทิ้งจนลืมว่ามันเป็นฉันใด คุยอะไร ทำอะไร จะนัดกันไปไหน ดูมันราบรื่นและลื่นยิ่งกว่าปลาไหลใส่สเก็ตซ์ เหมารวมว่าไร้ข้อจำกัด เกิดชาติตระกูลใหม่ที่ชื่อว่าคนแซ่เฮ.. เมื่อเกี่ยวก้อยกันเดินมาถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่าง..ที่ฟ้าประทานมาอีกแล้ว ลองอ่านดูนะครับ…