คำนำ
อ่าน: 1866พี่น้องครับ ถ้าไม่นับเป็นวาสนา ก็มิรู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ว่าทำไมเราจึงมารู้จักมักจี่ สิ่งนี้ไม่ใช่ปรากฎการณ์ธรรมดาหรอกนะขอรับ เกิดหมู่มวลมนุษย์ที่ไม่มีหน้ากาก มีแต่ความน่ารักน่ากอด ไม่มีหมวกกันน็อค สมัยก่อนเรียกหัวโขน มีแต่หัวคน คนที่มองคนอยู่ในสายตา นำพาต่อความครุ่นคิดคำนึงถึงกัน อนุเคราะห์อะไรได้มิชักช้า ทานบารมีนั้นไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ที่นี่ความปรารถนาดีมีบริจาคกันกระจาย ตู้ATM.เรียกพี่ กดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น บางทียังไม่กดโบนัสน้ำใจไหลหลั่งมาจากไหนก็ไม่รู้
..ไม่มีในแผนแม่บทฉบับไหน ไม่มีทฤษฎีอะไรมารองรับ มันจุติขึ้นมาเองเพื่อตอบคำถาม..ทำไมสังคมที่อ้างว่าเจริญก้าวหน้า เรียนกันแทบเป็นบ้าเป็นหลัง สอนสั่งกันจนน้ำลายเหนียว กลับมีแต่ความหมางเมินและอ้างว้าง ถ้าเราปลดล็อคไม่ได้..คงเสียหายโอกาสของชีวิตไปไม่น้อย..ลองอ่าน และอ่านที่นี่สิครับ..
“ผมน่ะไม่รู้เรื่องร๊อก แต่ท่านอาจารย์ ดร.อำนวย ทะพิงค์แก อดีตอาจารย์ของผมท่านเล่าให้ฟังหลายสิบปีก่อน ว่าในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นที่อเมริกาที่ท่านเคยไปเรียนหนังสือที่นั่นนั้น โรคนี้กำลังระบาดอย่างหนัก อาจารย์อธิบายว่า ก็คนเดินกันเต็มถนน เกือบจะชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แถมไม่คุยกันเลย รถวิ่งกันเต็มถนน เมื่อติดไฟแดง รถจอดนิ่งๆ ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไปมาระหว่างคันนี้คันนั้น แต่ไม่พูดกัน ซึ่งลักษณะเมืองก็เหมือนกันทั่วโลก“
ก่อนหน้านั้นเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่หนไหน บัดนี้ เมื่อสวรรค์บันดาลแล้ว กิเลสแห่งการเรียนรู้ทำให้อยากล้วงลึกยิ่งขึ้น ทุกคนเขียนยั่วให้ย่องเข้าไปควานหาตัวตน ใครจะทนไหว จึงชอบและชื่นชมกันและกัน บังเอิญเราเป็นพวกเปิดใจ เปิดไปเปิดมาใจอิสระออกโบยบิน ลอยฟ่องท่องโลกจินตนาการอย่างสนุก ลอยข้ามความหวาดระแวง ความอิจฉาตาร้อน ชิงดีชิงเด่น โยนความหมางเมินทิ้งจนลืมว่ามันเป็นฉันใด คุยอะไร ทำอะไร จะนัดกันไปไหน ดูมันราบรื่นและลื่นยิ่งกว่าปลาไหลใส่สเก็ตซ์ เหมารวมว่าไร้ข้อจำกัด เกิดชาติตระกูลใหม่ที่ชื่อว่าคนแซ่เฮ.. เมื่อเกี่ยวก้อยกันเดินมาถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่าง..ที่ฟ้าประทานมาอีกแล้ว ลองอ่านดูนะครับ…
dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:01
แรกๆ รู้สึกว่า ตาคนนี้น่ากลัว ตอบความเห็นอะไรบางทีก็ดุๆ ก็ฉันจะตอบอย่างนี้ ใครจะทำไม อะไรประมาณนั้น ใครสะกดอะไรผิดก็คอยท้วง..555
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็เห็นมุมใหม่ ตาหลกแฮะ…(ตาหลก..ตั้งใจจะเขียนว่า..ตาหลก…บอกซะก่อน..อิ อิ) แล้วก็ใส่ใจ ช่วยเหลือ แถมขยันหาข้อมูลเรื่องราวดีๆ มาไว้ให้อ่าน ได้ประโยชน์หลายสถานจากการอ่านสิ่งที่เอื้อเฟื้อ
เมื่อได้เจอที่สวนป่า รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไรในการอ่าน นอกจากขอบคุณที่แบ่งปัน
มาอ่านบันทึกนี้รอบแรก ดีใจที่ได้นำรูปมาให้เห็น เป็นการเปิดตัวเต็มที่ กลับมาอ่านอีกกี่ที ก็ได้รู้จักกันมากขึ้น เฮ้อ..คนอะไรเขียนได้สาระ ได้ข้อคิดที่ตรงใจ เจ้าเป็นไผของตัวเองไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้มั้ง.. :-P อ่านเจอข้อคิดเห็นของครูบา ก็เลยโผล่หน้าออกมาแจม จริงเนาะ บางทีชอบแอบอ่านอยู่เงียบๆ ยิ่งถ้ามีคนเขียนข้อคิดเห็นเยอะๆ ก็ยิ่งเงียบ มีคนเขียนตรงใจแล้ว ก็ไม่เขียนของเราเอง เอ..แล้วจะมีคนคิดแบบนี้เยอะมั้ยเนี่ย
ขอบคุณนะคะรอกอด อ้าวววว..ขอบคุณอีกละ ช่างมันเถอะนะคะ ก็อยากขอบคุณนี่
จะบอกว่านี่คือเสน่ห์ของชาวลานปัญญาก็น่าจะได้ ทุกสิ่งที่ได้อ่านล้วนเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด อธิบายการเจ๊าะแจ๊ะที่ทรงคุณค่า คงไม่ต้องพูดมาก เพราะเราซึมทราบกันได้อยู่แล้ว อ่านเรื่องนี้เหมือนได้ไปร่วมทอดกฐินชีวิต บอกไม่ถูกว่าดีใจหลาย คาดไม่ถึงว่าได้เจอบุญก้อนนี้ สาธุ อายุ วัณโน หัวโต ปัญญาดี
นี่ก็อีกคน เดินมาชนปังตอ..จึงขออนุญาตดึงมาให้อ่าน
dodo ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:58
“ใครอ่านแล้วไม่ออกความเห็น
ขอให้หัวใจกระด้างไปตลอดชาติ”
ติดตามอ่านมานาน ชมชอบ แต่ไม่ได้ออกความเห็นสักที เจอข้อความนี้เข้า โอ้ว! ไม่ได้การ รีบลงทะเบียนทันที ไม่ได้กลัวการแช่งแต่กลัวหัวใจกระด้าง :)
· การได้อ่านComment ไม่เพียงแต่เห็นได้ด้วยตาสับปะรดจำนวนมาก แต่เป็นการมองจากใจ ตรงนี้แหละที่อยากทำความเข้าใจ ว่าทำไม ถึงไม่ให้รับอะไรเงียบๆ โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มบทความเจ้าเป็นไผนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆก็แล้วแต่อำเภอใจเถิดนะ
· ทำไมถึงตอแยแง่มุมนี้
เพราะเราจะได้อ่าน..สิ่งที่ท่านถาม และท่านเจ้าของบล็อกตอบเพิ่มเติมนะสิ ไม่ชอบเพิ่มขอเติมรึไร ใจหนอใจ..กระไรถึงเย็นชาเพียงนี้ ทั้งๆที่มีน้ำชาหอมกรุ่นวางอยู่ตรงหน้า กาน้ำชาก็พร้อมรินเติมให้อย่างเต็มใจ
-
แต่ละคนมีความเป็นตัวตนตัวสูง แต่ก็พร้อมปลดเกียร์ว่าง สุดยอดจริงๆ เย้า แย้ม ยิ้ม ได้ทุกสภาวะ หาไม่ได้ง่ายๆหรอกในที่อื่นนอกจากลานปัญญา ผมเพิ่งตระหนักตอนนี้เองว่าลานปัญญามีอานุภาพแห่งศาสตร์ที่พิสดาร คนร้อยพ่อพันแม่มาร้อยใจกันได้ เราหาความต่างไม่เจอ เจอแต่ความแตกดังโพละ
โลกใบนี้ตกอยู่ในกำมือเราแล้วพี่น้อง!
Next : จดหมายถึงอาจารย์ประภาภัทร นิยม » »
8 ความคิดเห็น
สบายใจที่เห็น ครูฯ ดีใจอย่างนี้
ไม่รู้จะทุกข์โศกไปทำไม เพราะไม่ได้หนีคดีอาญาใดๆ
ครูอึ่งเป็นครู แต่ไม่ชอบทำการบ้าน
เวลาทำก็ชอบลอกการบ้านเสียอีก อิอิ ต้องให้คาบไม้บันทัดยืนขาเดียวให้เข็ดเลยครับ
อ้าวววว…เฮียตึ๊งงงงง.. เค้าเลิกลงโทษกันแล้วค่ะ…แหม..ต้องสั่งสอนกันด้วยรักและเข้าใจ ไม่ใช่ให้คาบไม้บรรทัดดดด …เฮียเหลียงยังไม่ว่าเลยนะคะพ่อครูฯ…
อ้าวววว…นี่เฮียตึ๋ง ป่วนให้ออกมาเขียนนี่นา..เสียรู้อีกแล้ว…5555
ขอขอบพระคุณท่านครูบาที่กรุณาดึงข้าน้อยให้ออกมาจากเงามืด เลิกเป็น “อีแอบ(อ่าน)” เสียที :) รับรองว่าจะร่วมแจมให้มากกว่านี้ แม้ว่าจะอ่อนด้อย เรื่องการเขียน ขอบอกว่าชื่นชอบความคิดทุกท่าน มีทั้งมัน ฮา และสาระจริงๆ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยคนค่ะ
คืนนี้พระจันทร์สวยโผล่มาเงียบ
ลมข้างนอกสงบ ไม่หนาวเย็นนัก
ฝนดาวตก จะตกแล้วละนะ
ออกไปชมกันบ้างรึเปล่า
เห็นพูดถึงพระจันทร์สวย ผมนึกถึงบทนี้ และผมชอบบทนี้จังครับ จากวัชรยานสูตร(หากจำไม่ผิด)
พระจันทร์สวย = เอาคำกล่าวของคนทั่วไปมากล่าวซ้ำ และเป็นที่ยอมรับกันเช่นนั้น
แต่จริงๆมันไม่สวย= เป็นการเข้าถึงความจริงของความสวยของพระจันทร์ในทางวิทยาศาสตร์ แต่สมัยก่อนนั้นท่านหยั่งรู้ มันก็คือก้อนหินมหึมาที่ขรุขระ ที่ลอยบนท้องฟ้าแล้วสะท้อนแสงลงมายังโลกและเรามองเห็นว่าสวย จริงๆแล้วมันไม่ได้สวยเลย
แต่มันก็สวย= เมื่อรู้แจ้งแทงตลอดแล้วก็ย้อนมายอมรับความสวยในโลกของมนุษย์ที่รับรู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ แล้วก็ปล่อยไปไม่ยินดียินร้าย แต่ยอมรับมัน
จันทร์ไม่รู้เรื่องด้วย
แต่โดนมนุษย์ปลุกลุกปลุกหงาย