วิพุทธิยาจารย์อาสา

อ่าน: 3512

เรื่องถ้อยคำสำนวนเฉิดฉายต้องยกให้จุฬาลงกรณ์เขาละ คณะอักษรศาสตร์ของที่นี่นับเป็นอ๋องหนึ่งไม่มีสอง ถ้าตามอ่านชื่ออาคารต่างๆก็จะเห็นว่าไม่ซ้ำแบบใคร ถ้าไม่ทำการศึกษาไว้บ้างก็ค้างคาใจตะหงิดๆ เอ๊ะ แปลว่าอะไร มีความหมายอย่างไร แม้แต่คำว่าวิพุทธิยาจารย์อาสานี่ก็เถอะ อาจารย์อรรณพ คุณาวงษศ์กฤษ ผู้อำนวยการโครงการฯ ได้เล่าที่ไปที่มาให้ฟังว่า หมายถึง “ครูผู้รู้” ที่จุฬาฯมีครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาเป็นกะตั๊ก ถ่ายทอดส่งผ่านการฝึกฝนฝึกหัดรุ่นแล้วรุ่นเล่า ออกไปทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเอนกอนันต์ เมื่อมาคิดอ่านทำโครงการสร้างชีวิตให้แก่เกษตรไทย ผมถือว่าเป็นบุญของประเทศนี้ที่จุฬาฯคิดทำ ถึงจะคิดช้าไปหน่อยก็ยังดีกว่าดูดาย

การดูแลแก้ไขระบบการเกษตรมีมาทุกยุคทุกสมัย เราล้มลุกคลุกคลานกันมาตลอด บางโครงการก็เอาเกษตรกรเป็นหนูลองยาบ้าง เอาเป็นเครื่องมือบ้าง เอาเป็นเป้าหมายเถื่อนบ้าง ที่ตั้งใจดีก็มีไม่น้อย แต่พลังของการทำงานไม่มากพอและไม่ต่อเนื่อง จึงเปรียบเสมือนหุงข้าวแล้วแก็สหมดกระทันหัน จึงต้องเลิกรากันไป ภาคการเกษตรยังมีความสำคัญอย่างมาก คณะผู้ทำหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจึงหนีไม่ออก ทุกปีก็จะมีโครงการมาตอดนิดตอดหน่อยเป็นประจำ ยังไม่มีโอกาสที่จะนั่งจับเข่าคุยกันวางแผนให้ได้วาระแห่งชาติฉบับตัวจริงเสียงจริง แม้แต่ในแผนงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติเองก็เถอะ ต้องกำกับดูแลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะกึกติดกักไปหมด ไม่มีอิสระที่จะทำแบบฟันธงลงไปได้แบบจะจะ อุตสาหกรรมว่าอย่างนี้ ภาคเอกชนว่าอย่างนี้ ภาคการเมืองว่าอย่างนี้ แค่นี้ก็ทับเสียงชาวบ้านจนดิ้นกระแด่วแล้วละครับ เกษตรกรโดนกระทำมากๆก็เอ๋อสิครับ พลังสติปัญญาหดหายความทะเยอทะยานก็ริบหรี่ จากความรู้ความสามารถที่มีมาในอดีตก็เลอะเลือนไปสิ้น ทิ้งชุดความรู้เดิม จนบอกไม่ได้ว่า..

วันนี้อยู่กับชุดความรู้อะไร

โลกใบนี้ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกไปเสียทั้งหมด

ถ้าคิดดี ทำดี เป็นการดีที่สุด

คิดเลอะ ทำเลอะ ก็เหนื่อยหน่อย

เกษตรกรทุกวันนี้ไม่ได้ทำการเรียนรู้ภายใต้บริบทของตนเอง ไปตกอยู่กับเงื่อนงำที่ภายนอกยิบหยื่นให้ ประกอบกับไม่ได้มีการตั้งรับกับกระแสความเปลี่ยนแปลง ถูกชี้นำแบบมักง่ายเรื่องที่จะ รวยมากๆ รวยเร็วๆ และรวยง่ายๆ เมื่อถูกหลอกให้ตกอยู่ในห่วงกิเลศที่หอมหวาน จึงพากันทิ้งชาติภูมิดั่งเดิมของตนเอง กว่าจะรู้ตัวก็มายืนขาแข็งในโรงงานสกปรกที่เต็มไปด้วยมลพิษ ต้องมาเดินเร่รอนขายล๊อตเตอรี่เหมือนเจ้าไม่มีศาล การพัฒนาที่ผ่านมา > >

ได้เปลี่ยนเกษตรกรเป็นกรรมกร

ได้เปลี่ยนสภาพภูเขาแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ให้เป็นสิ่งโสโครก

ได้เปลี่ยนความพากพูมใจในวิถีไทและอัตลักษณ์ให้เป็นตัวด้อยสติปัญญาต้องหาคนจูงจมูก

ได้คุมกำเนิดความคิดความสามารถของเกษตรกรจนอยู่หมัด

ได้ทำลายบริบทการพึ่งพาตนเองจนต้องหันมาหาปัจจัยภายนอกแทบทั้งหมด

ถามว่า  วันนี้เราจะพัฒนาเกษตรกรที่มีต้นทุนต่ำดังกล่าวข้างต้นได้อย่างไร

ภาคการเกษตรบ้านเราที่ก้าวหน้ามีชื่อเสียงไปทั้งโลกก็พอมี เราส่งออกสุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ปลา ข้าว ยางพารา ปีหนึ่่งๆนับล้านล้านๆบาท ตรงนี้เป็นเครื่องหมายของความเจริญก้าวหน้าใช่ไหม ก็ใช่นะสิ แต่มันเป็นการเจริญแบบมัดมือชก ไม่ได้โอบอุ้มเอาภาคการเกษตรของคนในชาติให้ลืมตาอ้าปากไปพร้อมกันด้วย มุ่งไปข้างหน้าแบบไร้น้ำใจ กดคอซื้อผลผลิตการเกษตรเป็นประจำใช่ไหมเล่า เอาเปรียบได้มากเท่าไหร่ก็ร่ำรวยมีชื่อเสียงมากเท่านั้น รวยแบบมีเงื่อนไขบาปติดตัวสักวันคงรู้สึก พระท่านบอกว่า เหตุมาจากผลของการกระทำ ถ้าตอบว่าตัวเองทำดีแล้วด้วยความสุจริตใจก็ขออนุโมทนาด้วย

การทำมาหากินในระบบทุนนิยม สุดท้ายก็เห็นประจักษ์ว่ามันไม่ได้ยั่งยืนอะไร วันนี้อเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรปหายใจฟืดฟาดกับการกอบกู้ชะตากรรมเศรษฐกิจโดยรวมของตนเอง จะรอดหรือจะร่วงก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่าเดี๋ยวนี้ประเทศลูกเอ้ทั้งหลายกำลังร้อนๆหนาวๆ พวกเก็งกำไรทองกระดี๊กระด๊าตอนนี้ก็หน้าเขียว อะไรมันก็อนิจังทั้งนั้นและโยม! มันจะอะไรกันนักหนา เกิดมาก็ต้องเข้าสู่เงื่อนไข เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย-ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครเนรมิตอะไรนอกเหนือจากนี้ได้ เช่น ตายไปฉันจะเอาเงินทอง เอาบัตรเครดิท เอากิ๊ก ตามไปโปรโลกได้ด้วย

เมื่อวานนี้ ผมนอนไข้มีอาการไอผสมทั้งคืน หลับๆตื่นๆอ่อนเพลียมาก

ยังนึกในใจว่าจะไปประชุมได้ไหมนี่

ขณะที่กำลังผะงาบผะเงยอยู่นั้น เสียงสวรรค์ก็แว่วมา

..อาจารย์ทำอะไรจะไปไหนวันนี้

ผมกำลังนอนครางฮือๆ

อ้าว! เป็นอะไร

เป็นไข้ครับ

เอาอย่างนี้เดี๋ยวผมไปหานะ

รอประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านผู้อุปการะคุณก็มาถึง บอกว่าจะชวนไปเจี๊ยะก้วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่อร่อยที่สุดในโลก ผมนึกในใจ แหมผมก็มีร้านที่ว่าดังๆประเภทนี้อยู่ไม่น้อย มันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้ามือจะเลี้ยงโฆษณาหรือเปล่า ผมขอปรึกษาหารือว่าจะไปเจี๊ยะก็ไม่ว่า แต่ขอไปหาหมอที่คลีนิคที่ไหนสักแห่งก็ได้ ไม่งั้นไม่รอดแน่ เมื่อตกลงปลงใจกันแล้วท่านก็หิ้วปีกผมขึ้นรถไปยังตลาดนางเลิ้ง เข้าไปในตรอกเล็กๆ กลิ่นต้มเครื่องยาตุ๋นโชยมาต้อนรับ เนื่องจากยังไม่พักเที่ยงจึงไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี นั่งสบายๆเดินไปถ่ายรูปเก็บไว้ ได้ข้อมูลมาว่าก้วยเตี๋ยวเนื้อเจ้านี้โด่งดังมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ลูกชิ้น เครื่องปรุงทุกอย่างสดสะอาด รสชาติก็สมคำล่ำลือ

อิ่มแล้วก็นั่งรถไปหาหมอที่ไชยแพทย์คลีนิค โชคดีที่ได้พบนายแพทย์ไพฑูรย์ นาคะเกส ที่เคยได้ยินกิติศัพท์มาบ้าง ท่านมีภรรยาเป็นนางสาวไทยด้วยนะ เสียอกเสียใจที่ตนเองเป็นแพทย์แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตสุดที่รักได้ ท่านมีลูกชาย2คน ส่งไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศ กลับมารักษาคนไข้แต่ก็หาได้เป็นที่นิยมเหมือนตัวคุณพ่อไม่ ท่านเป็นนายแพทย์ที่อุทิศเวลารักษาคนไข้มายาวนาน มีขี้โรคเป็นขาประจำบานเบอะ อายุ80กว่าปีแล้ว ปัจจุบันไม่สบายต้องล้างไต ดูสภาพแล้วคุณหมอกับคนไข้อย่างผมอาการพอๆกัน ท่านถามอย่างอ่อนโยนว่าเป็นอะไรมา นั่งคุยอย่างกันเองไม่เหมือนหมอรุ่นใหม่ที่เร่งถามเป็นจรวด คุณหมอไพฑูรย์ชวนคุยไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาทีก็ส่งใบสั่งยาให้ผู้ช่วย

ออกจากคลีนิคก็ได้เวลาไปประชุมที่ตึกวิทยกิตติ์ สยามสแควร์  ด้านล่างเป็นศูนย์หนังสือจุฬา โครงการฯนี้อยู่บนชั้น 12 ทางจุฬาฯลงทุนยกให้ทั้งชั้นเป็นที่ตั้งสำนักงาน ปรับปรุงใหม่เอี่ยมอ่องทุกอย่าง สมบูรณ์แบบตามสไตล์จุฬาฯเขาละครับ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่ประจักษ์ว่าจุฬาฯเต็มที่กับโครงการนี้ หลังจากผมโผล่ไปคณะอาจารย์ก็ทะยอยมาเข้าห้อง เป็นห้องเล็กๆเป็นรูปวงกลมกระชับเหมาะที่จะประชุมแบบปิดประตูตีแมว

ศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.อรรณพ คุณาวงษ์กฤติ ผู้อำนวยการฯ ได้กล่าวท้าวความที่ไปที่มา และได้ทำอะไรไปบ้าง พบเห็นอะไรบ้าง ความก้าวหน้าในด้านการประสานงาน มีหน่วยงานหรือองค์กรใดบ้างที่เข้ามาสนับสนุนพันธกิจนี้ โดยภาพรวมแล้วก็น่ายินดีที่มีผู้ที่เห็นดีเห็นงานแบบเอาด้วย เท่าที่ท่านเอ่ยชื่อมาก็ล้วนแต่เป็นรุ่นเดอะกันทั้งนั้น ตรงจุดนี้ที่ผมเห็นว่าสำคัญยิ่งนัก ในเมื่อคณะใดๆในมหาวิทยาลัย ได้สอนนิสิตไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้ามีโครงการเรียกบัณฑิตรุ่นเดอะคืนถิ่นอย่างมีเป้าหมาย ลูกศิษย์ที่มากประสบการณ์เหล่านั้นก็จะย้อนมาช่วนงานคณะ เป็นการเติมเต็มให้กันได้อย่างลงตัว

ถ้ามีการประเมินหลักสูตร แทนที่คณาจารย์จะนั่งปรึกษาหารือยกเครื่องกันเอง ถ้ามีโครงการฯลักษณะที่เชื่อมโยงประสบการณ์ตรงของลูกศิษย์ที่กระจายตัวไปอยู่ในกรมกองหรือกระทรวงต่างๆ ได้มาทบทวนความรู้ที่ผ่านการสงเคราะห์แล้วในสภาพจริง เอาออกมายกระดับวิชาชีพให้เข้ากับวิชาการ เป็นชุดความรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพของคณะนั้นๆ ความก้าวหน้าทางวิชาการก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

ถ้าเล่นบทอย่างนี้วิชาความรู้ที่สอนในคณะฯต่างๆก็จะไม่เหี่ยว

ปรับปรุงให้สดใสไฉไลอยู่สม่ำเสมอ

เป็นการรวบรวมทุนวิชาความรู้ที่สถาบันต่างๆมาช่วยแก้โจทย์ของประเทศ

ทำให้นิสิตได้รับความรู้ที่กระเทาะแล้วมาให้พิจารณาเพิ่มจากตำราเรียนปกติ

ผมวนเวียนอยู่กับภาคการเกษตรมานาน แต่ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ พยายามเข้าร่วมกิจกรรมกับองค์กรต่างๆ รวมทั้งที่คิดและทำเองบางส่วน แต่ก็เห็นว่าภาพของภาคการเกษตรบ้านเรานั้นนับวันจะย่ำแย่ ถูกภาคอุตสาหกรรมรังแกเอาเปรียบ ไม่มีศักยภาพที่จะช่วยเหลือตัวเอง จะรอให้ภาคอุตสาหกรรมเห็นใจก็ยากยิ่งกว่าอุ้มช้างขึ้นดอยสุเทพ เพราะเล่นกันคนละบริบท ก็พยายามทำใจ ในเมื่อกระแสการทำมาหากินของมนุษย์ไม่ได้เชื่อมโยงให้เกิดความอนาทรต่อกัน ใครแข็งแรงกว่าก็วางกติกาเข้าข้างตัวเองได้มากกว่า

ทั้งๆที่ภาคการเกษตรนั้นเป็นตัวริเริ่มอุดหนุนให้ภาคอุตสาหกรรมลืมตาอ้าปากได้

พอร่ำรวยขึ้นมาแทนที่จะเผื่อแผ่เห็นอกเห็นใจบ้าง

ก็ปล่อยให้ภาคการเกษตรเป็นหมาหลงอยู่บนทางด่วน

อ่อนแอ อ่อนไหว กระจองอแง เรียกร้องความเห็นใจอย่างน่าเวทนา

ที่รำพึงรำพันมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะบอกว่า ที่ผ่านมา ยังไม่มีใครกอบกู้ชะตากรรมของภาคการเกษตรได้ เพราะคนที่คิดและทำมีข้อจำกัดมากมาย ประเทศนี้จึงทำลายฐานสังคมฐานทรัพยากรเพื่อที่จะเป็นอาเสี่ยจอมปลอม ถ้าทุกข์ของชาวไร่ชาวนายังเป็นทุกข์ของแผ่นดิน เราจะเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัดความเจริญของชาติ มันก็ตลกทั้งนั้น ละครับ ที่ซ้ำร้ายเอาจมูกไปให้ต่างชาติสนตะพาย เราต้องนำเข้าทุน นำเข้าวัฒนธรรม นำเข้าความรู้ นำเข้าเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันเราส่งออกอะไร สมน้ำสมเนื้อกันบ้างไหม ความเจริญที่เสมือนจริงเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อคนในชาติมากขึ้นเรื่อยๆ การแก้ผ้าเอาหน้ารอด เป็นวิธีการที่ไม่สำเร็จแต่ก็ยังกระทำ

ท่านลองนึกดูสิครับ เกษตรกรทิ้งถิ่น ปัญหาที่อยู่ข้างหลังจะเป็นยังไง มันก็เรรวนไปหมด ลูกเต้าไม่มีใครดูแลอบรมสั่งสอน การทำไร่ทำนาก็ต้องหันมาทำแบบสุกเอาเผากิน ทำแล้วก็มีมือที่มองไม่เห็นมาขยุ้มเอาไป ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย เงินกู้ ปัจจัยการผลิต ค่าจ้างรถไถรถนวดรถเกี่ยว ไหนจะจ่ายค่าโง่อีก

ประเทศที่สภาพแวดล้อมเอื้ออวยให้ทำการเกษตรได้อย่างมาก

แต่กลับเป็นประเทศทุพลภาพในการทำมาหาเลี้ยงชีพ

เราดูแลภาคเกษตรกันอย่างไร

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเลื่อมล้ำในสังคมนี้ใช่ไหมเล่า

ที่เรากำลังอิดหนาระอาใจกับสารพัดม๊อบ

ตั้งแต่โครงการฯนี้เชิญประชุมครั้งแรก จนกระทั้งมาถึงครั้งนี้ ผมเริ่มดวงตาสว่างและมีความหวังขึ้น เพราะบารมีของจุฬาฯนั้น ถ้าถูกนำมาช่วยชาติบ้านเมืองในมิติเชิงรุกก็จะเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ที่อาจจะทำให้สถาบันการศึกษาแหล่งอื่นๆเอาไปคิดต่อยอดเป็นแบบอย่าง วิชาความรู้ในมหาวิทยาลัยนั้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ถ้ามีวิธีผ่องถ่ายความรู้ให้สะดวกและกว้างขวางขึ้นย่อมเป็นคุณต่อการบูรณะประเทศชาติ

ถ้าเอาตัวหนังสือที่อยู่ในกระดาษให้ออกมาโลดเต้นได้

ย่อมเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นระทึกใจเสมอ

ผมชอบใจที่โครงการฯนี้คิดมาก คิดแล้วคิดอีก ไม่รีบกำหนดอะไรลงไปง่ายๆ ชวนคนโน้นคนนี้มาออกความเห็น แม้แต่อธิการบดี และกรรมการสภามหาวิทยาลัยก็มาร่วมด้วยช่วยกัน โดยเฉพาะศิษย์เก่า และพันธมิตรภายนอกที่ชื่นชมจุฬาฯก็อาสามาร่วมสังฆกรรมอย่างเต็มอกเต็มใจ อาจารย์เล่าว่า ไปชวน สปก.ชวน ธกส. หรือชวนใครๆเขาต่างยินดีทั้งนั้นละครับ เพราะเขาตระหนักว่าจุฬาฯไม่เคยทำจับฉ่าย ทำด้วยเกียรติภูมิในมาตรฐานของจุฬาฯ ซึ่งเรื่องนี้เป็นทุนที่กินไม่หมด ศรัทธาที่สาธารณชนมีต่อจุฬานั้น จะเป็นพลังแฝงที่มีค่ามหาศาลยิ่งนัก


อาจารย์ ถามว่า โครงการนี้จะสำเร็จไหม ?

แหม ชอบใจจริงๆ กับคำถามนี้มาก

เพราะไปหลายงานแล้วไม่มีใครเขาฉุกคิดอย่างนี้

พอจะทำอะไรสักอย่างก็โมเมชั่นสบั้นหั่นแหลก

โครงการนี้จุฬาฯเอาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของจุฬาฯวางเป็นเดิมพัน

ในการที่จะคิดทำอะไรสักเรื่องเพื่อสนองคุณแผ่นดินที่จุฬาฯจะครบวาระ 100 ปี

ห ล า ย แ ห่ ง คิ ด ทำ เ รื่ อ ง วั ต ถุ ส ร้ า ง โ น้ น ส ร้ า ง นี้

แม้แต่สร้างส้วมเทิดประเกียรติก็ยังคิดทำออกมาได้

แ ต่ จุ ฬ า ฯ คิ ด ส ร้ า ง ค น

วัดกึ๋นกันตรงนี้ก็อลังการณ์จนบอกไม่ถูกละครับ

สอดส่องไปทั่วแผ่นดินนี้ ก็เห็นจุฬาฯนี่แหละมีศักยภาพที่จะทำเรื่องการสร้างบัณฑิตสายพันธุ์จุฬาฯ ที่สอนให้ติดดินและติดต่อวิทยาการต่างๆได้อย่างบรรเจิด เริ่มคิดอย่างเป็นระบบ วางกรอบไว้อย่างรัดกุม หาคนมาช่วยดูแล้วดูอีก คัดเด็กอย่างไร สอนกันอย่างไร จะใส่อะไรลงไปในตัวเด็ก จะอัดฉีดเรื่องจิตอาสา เรื่องคุณธรรม เรื่องการรู้ตัวเอง และการมีศักดิ์ศรีในอาชีพการงานของตนเอง จบไปแล้วนักศึกษาควรจะประกาศความพากพูมใจได้ว่า “ข้าคือเกษตรกร” การที่จะยืนหยัดประกาศความทรนงได้นั้น จะต้องทำอะไรบ้าง มีที่ไปที่มาอย่างไร นี่คือโจทย์ที่โครงการฯนี้จะต้องตีให้แตก

เป็นโครงการฯที่คิดใหม่ทำใหม่ไม่ตามก้นใครนี่แหละ ที่เป็นเสน่ห์ของจุฬาฯเขาละ

หลายท่านมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องยาก

แหม ถ้า จุ ฬ า ฯ คิ ด ทำ เ รื่ อ ง ง่ า ย มั น จ ะ เ ป็ น จุ ล า น ะ สิ ค รั บ

การสู้สิ่งยากนี่แหละคือตัวตนของคนจุฬาฯ อยู่กันมาจวนจะเข้า100ปีแล้ว สังคมยับเยินบ้านเมืองแตกสาแหรกขาด ถ้ายังนิ่งดูดาย ไม่ลุกขึ้นมาใช้ศักยภาพที่ตนเองมีก็นับว่าเสียดายวันเวลายิ่งนัก อาจารย์เล่าว่า นักศึกษาที่รับมาไม่ได้กะเกณฑ์ที่จะให้เขากลับท้องถิ่นกันทุกคน ทั้งๆที่หวังลึกๆว่าอยากจะให้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนเองให้มาก ได้กำหนดกรอบที่เอาความจริงเป็นตัวตั้งแบ่งออกเป็น3กลุ่ม

1 กลุ่มที่กลับไปช่วยพ่อแม่พัฒนาการงานอาชีพของตนเอง

2 กลุ่มที่นำเอาวิชาความรู้ไปทำเรื่องการตลาด การแปรรูป การจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์

3 กลุ่มที่เข้าไปบรรจุทำงานใน อบต. และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น

ถึงจะกำหนดเพียง3รูปแบบ ถ้าโครงการฯนี้บรรจุความรู้ความสามารถให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างเต็มที่แแล้ว อานุภาพของความรู้ก็จะนำเขาเหล่านี้ไต่ระดับไปสู่โลกกว้างแห่งการเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัด ในส่วนของนักศึกษาที่จะคืนถิ่น ผมให้ข้อสังเกตว่า..ควรจะมีการรองรับในส่วนที่จำเป็นของครอบครัวนักศึกษาด้วย โดยเฉพาะปัจจัยการผลิต อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ พันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ฯลฯ อาจารย์บอกว่าตรงจุดนี้ก็คิดไว้บ้างแล้ว จากที่ผมเห็นในเครื่องการอื่น เช่น บัณฑิตคืนถิ่น ไปเที่ยวเก็บลูกชาวบ้านแถวชายแดนมนเรียนในกรุงเทพฯ เพื่อจะออกไปพัฒนาการงานอาชีพของพ่อแม่ จะไปยังไงละครับ มีแต่น้ำลายกับกำปั้นจะไปทำอะไรได้ เด็กยังอ่อนประสบการณ์ไปเจอปัญหายุ่งยากก็เผ่นนะสิครับ

วันนี้คณะที่ร่วมประชุมออกความเห็นกันมาก

สิ่งหนึ่งที่ผมฝากไว้..ลูกศิษย์จะบอกครูเองละครับว่า..เขาต้องการอะไร

เพียงแต่ครูต้องหูใหญ่ ตาใหญ่ ใจใหญ่ เปิดกว้างรองรับสิ่งที่ลูกศิษย์สะท้อน

ในส่วนของการเรียน ปีแรกเติมเต็มเรื่องศักยภาพของวิชาความรู้ความคิดที่กรุงเทพฯ 3ปีถัดมาอพยพไปศึกษาและใช้ชีวิตในศูนย์เรียนรู้ฯ แห่งจุฬาฯลงกรณ์จังหวัดน่าน โดยมีอาจารย์ไปทำหน้าที่หลักกำกับดูแลลูกศิษย์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีวิพุทธิยาจารย์อาสาหมุนเวียนเดินทางไปพบปะทุก 3 สัปดาห์ ตลอดภาคการศึกษา หัวข้อสนทนากับลูกศิษย์ ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของวิพุทธิยาจารย์เป็นผู้กำหนดหัวข้อ แล้วให้ทางคณาจารย์ของสำนักฯเป็นผู้เลือก โดยจะมีการประสานกับวิพุทธิยาจารย์ก่อนเดินทางไปพบนิสิต ซึ่งแต่ละท่านสามารถไปพบได้มากกว่า 1 ครั้ง และแต่ครั้งจะนัดหมายวิพุุทธิยาจารย์ไปด้วยกัน 2-3 ท่าน

ผมคิดไว้แล้ว งานนี้จะเลือกไปต้นปีหน้า จะพานักศึกษาไปให้อาว์เปลี่ยนสอนถึงลาว

หรือชวนอาว์เปลี่ยนมาพบนักศึกษาที่น่าน

จะให้เขาได้รับบริบทการพัฒนาระดับอินเตอร์ไปด้วย

ตั้งใจว่าจะชวนสาวๆชาวเฮไปด้วยจะดีไหม?

จะได้ช่วยสอนๆๆๆ กันคนละไม้ละมือ

เรื่องรายละเอียดยังมาอีกเป็นกระบุงโกย ขืนเล่าไปก็เบื่ออ่านเปล่าๆ เอาเป็นว่าทำไปเล่าไปก็แล้วกัน ที่สำคัญงานนี้ผมได้ไปเรียนรู้ด้วย เพราะวิพุทธิยาจารย์ของโครงการนี้แต่ละท่านอยู่ขั้นปรมาจารย์ขี่นกกระเรียนเหยียเมฆมาทั้งนั้น หลายท่านที่ผมได้รู้จักแต่ชื่อ และติดตามงานมานาน เพิ่งจะมาเห็นตัวเป็นๆก็ในงานนี้ื จุฬาฯอยู่มาเกือบร้อยปีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ งานนี้เท่ากับเป็นการชุมนุมจอมยุทธมาช่วยกันกอบกู้วิถีเกษตรกร เราจะได้เห็นพลังจุฬาฯว่ามีอภิมหาวิทยาการแค่ไหน น่าสนใจนะครับ

กองทัพจุฬาฯยกพลมโหระทึกสู้ศึกความยากจนให้ประเทศ

น้ำใจน้องพี่สีชมพู.. เริ่มเปิดหูเปิดตาให้กับปวงประชา

ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมืองจะเคลื่อนพล ณ บัดนี้

ก่อนออกจากห้องประชุมอาจารย์พาเดินชมห้องหับต่างๆ  ก็เห็นว่ามีความพร้อมที่จะเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ลงมาล่วงเวลาที่นัดหมายอาจารย์นฤมล บรรจงจิตร์ไปเล็กน้อย  เจอหนูพิมพ์รอรับไปร้านอาหาร อาจารย์บอกว่าจะเลี้ยงอาหารจีนที่สยามสะแควร์ ไปถึงอาหารเต็มโต๊ะละลานตา มิรู้ว่าจะชิมอะไรก่อน ตักตอนไหนก็อร่อยตอนนั้น แต่ก็ชิมได้ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะฤทธิ์ยาทำให้การรับรสจืดจาง

นี่แหละหนา ที่เข้าว่า เ จ อ ไ ม้ ง า ม เ มื่ อ ย า ม ข ว า น บิ่ น

โอ๊ะ ! ไม่ใช่สิ ..จะเรียกว่า ปิ้ ง ป ล า ป ร ะ ช ด แ ม ว ก็ ไ ม่ เ ชิ ง

น่าจะเป็นการสั่งอาหารมา ป ร ะ ช ด ชู ช ก

ขอบคุณอาจารย์และลูกศิษย์ที่เลี้ยงอาหารมื้อที่จะจดจำไปเท่านานแสนนาน

ขอ ใ ห้ ยิ้ ม ห ว า น แ ล ะ อ า ยุ มั่ น ข วั ญ ยื น ต ล อ ด ไ ป เน้อ อิ อิ


สงสารประเทศไทยบ้างไหมเธอ

อ่าน: 2457

(ยอดโสมขึ้นเอง เก็บมาผัด1,000 จานก็ไม่หมด)

ช่วงนี้ประเทศไทยตกน้ำป๋อมแป๋ม หนาวสั่น

ใครมีผ้าหนาๆช่วยเอามาห่มให้คุณประเทศไทยที

นอนดูข่าวน้ำท่วมบนเก้าอี้ฮ่องเต้ทั้งวัน นึกไปถึงหัวอกคนที่นอนปริ่มน้ำที่แสนจะลำบากลำบน เคยสัมผัสเรื่องอย่างนี้มาบ้าง  แต่ไม่สาหัสเท่าภาพที่คุณยายไปสร้างบ้านบนต้นมะขามตามที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฯลงหรอกนะ สมัยที่เด็กๆรุ่งอรุณมาเข้าค่าย เคยพากันสร้างบ้านบนต้นไม้ สมมุติเป็นบ้านทาร์ซาน ก็สนุกสนานกันตามประสาเด็ก แต่บ้านที่สร้างด้วยแปลนทุลักทุเลนี้ มันบ่งบอกถึงชีวิตสะเทินน้ำสะเทินบกได้เป็นอย่างดี กลายเป็นคนครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ถ้ามีคนช่างคิดทำบ้านแบบสูบลมได้เหมือนยางรถยต์ท่าจะดี พอน้ำมาก็งัดเอาบ้านมาสูบลมให้โป่งพอง ทำให้แข็งแรงพอที่จะไปอยู่อาศัยได้ชั่วคราว น้ำลดก็ปล่อยลมนำไปเก็บไว้ ใครทำขายก่อนรวยไม่รู้เรื่องเลยนะนี่ ขนาดที่นอนสูบลมเขาก็ทำขายมานานแล้ว ทำบ้านสูบลมดีไหม?

หรือไม่ก็แนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ข้างบ้าน

ใส่ปุ๋ยเร่งให้โตวันโตคืน

ถ้ามีคนมาถามว่าปลูกต้นมะขามหลายต้นทำไม

ก็จะตอบได้ว่า..เอาไว้ไปสร้างบ้านนอนยามน้ำท่วมสิโว้ย!

(ผักแบกะดินนี่จะเจจะเจี๊ยะอร่อยได้ทั้งนั้นละครับ)

ผมดูข่าวการช่วยเหลือจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆแล้วชื่นใจ ยามทุกข์เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน จุดนี้วัฒนธรรมไทยยังเข้มแข็ง อยากเห็นม็อบช่วยน้ำท่วม พวกเย้วๆหายศรีษะไปไหนหมดก็ไม่รู้ ถ้าแปลงพลังส่วนนั้นมาซ่อมเสริมวาตะภัยได้ก็ดีไม่น้อย ผมสังเกตว่าส่วนกลางต่างทุ่มเทกันขนานใหญ่ พลังส่วนท้องถิ่นไม่รู้เป็นยังไงบ้างเพราะไม่ได้ลงไปสัมผัสด้วยตนเอง เห็นแต่ชะลอรองบประมาณจากส่วนกลาง แนวคิดช่วยกันอย่างทุ่มเทจากพลังชุมชน/พลังองค์กรในพื้นที่ยังไม่เข้มแข็งเหมือนสมัยก่อน เมื่อรัฐบาลกลางเหมาโหลมานาน ทำให้รูปแบบการแก้ไขเปลี่ยนไป ไม่มีงบประมาณคิดไม่ออกช่วยเหลือไม่เป็น โรคเงินไม่มากาไม่เป็นแพร่ไปสู่มิติอื่นๆ ส่วนกลางจึงอ่วมอรทัย

(ยอดมะกรูดอ่อนๆจิ้มลาบ/น้ำพริกก็ฮ้อแรด)

หน้าที่ส่วนกลางนอกจากจะแก้วิกฤติเฉพาะหน้าแล้ว

แผนงานระยะกลางระยาวควรจะชัดเจน

หลังน้ำลดจะเดินหน้ารับมือเรื่องนี้ให้ได้ให้ดีให้มีความพร้อมอย่างไร

ไม่ใช่น้ำมาที กระโตกกระตากกันที

ทั้งปีพัวพันอยู่2กระทอก ไม่น้ำท่วมก็ฝนแล้ง

เรื่องน้ำท่วมน้ำหลากจะเป็นรายการที่เหมาะสมกับผู้ชมทุุกช่วงวัยทั้งปี

คอยดูเถอะ..แผนแม่บทระดับชุมชน ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ เชื่อว่าน่าจะมี แต่มันเข้าท่าเข้าทีกับสิ่งที่จะเผชิญในวันข้างหน้าแล้วหรือยัง ถ้ามัวเมากับการแจกบ้านแจกรถแจกแท๊บเล๊ทแจกสมาร์ทการ์ด มองไม่ออกว่าอะไรสำคัญกว่าอะไร อันไหนเร่งด่วนกว่ากัน ประชาชนคนลุ่มน้ำก็แถกแถไปตามยะถากรรม

เท่าที่ดูไม่ปรากฎในนโยบายหาเสียงว่าจะแก้วิกฤติภัยธรรมชาติอย่างหวังผลกันอย่างไร

(ปลูกต้นไม้ปลูกหญ้าไว้ซับน้ำ/อุ้มน้ำ เป็นการบ้านข้อที่ 1)

น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย

ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พวกเลี้ยงปลาในกระชัง ปลาน็อคตายคับกระชังกันถ้วนหน้า พื้นที่ปลูกผักปลูกผลไม้ก็พลอยย่อยยับไปด้วย กว่าจะรื้นฟื้นมาได้ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ได้แก้ไขง่ายๆเหมือนทำกิจกรรมตามฤดูกาล เรื่องอาหารการกินก็จะพากันเรียงคิวมาให้คิ้วขมวด พวกที่ทำอาหารเก่งๆน่าจะคิดเมนูอร่อยๆแต่ต้นทุนต่ำ เทศกาลกินเจมาตอนที่ผักหายาก ไอ้แห้วลูกผมมันร้องกระจองอแงจะกินผัก ผักนะพอมีไม่ยากหรอก แต่จะต้องปรับปากท้องให้คุ้นชินกับผักชนิดใหม่ๆด้วย ถ้าเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสโดยการเสนอรายการผักพื้นเมืองยืนต้น ให้ลองชิมกันจนขยายไปในวงกว้าง ชาวบ้านชาวสวนจะได้ช่วยกันปลูกมากขึ้น ที่ลังเลเป็นเพราะคนกรุงไม่รู้จัก ช่วงที่ชาวSCG.มา ลองชวนไปเด็ดยอดโสมมาผัดให้ชิม ก็ชิมกันได้ ปากว่าอร่อยแต่ก็แค่ชิม เรื่องอาหารบางทีต้องสะสมความคุ้นเคย ถ้ามีรายการนำเสนอทางทีวีบ่อยๆน่าจะดี จะได้สอดแทรกผักยืนต้นพื้นเมืองเข้าไปในครัวเรือนเกษตรกร

นี่คิดเผื่อด้วยความห่วงใยแล้วนะ

ถ้าไม่สนใจก็ไม่ว่ากัน

เราคนชนบทเจี๊ยะกันทุกวันจนพุงกางอยู่แล้ว

ช่วงฝนพรำๆต่อเนื่องกันมาเป็นเดือนๆอย่างนี้เธอเอ๋ย ยอดผักพื้นบ้าน ยอดมะรุม ยอดมะกอก ยอดตำลึง ยอดมะระขี้นก ยอดเสาวรส ยอดอ่อมแซบ ยอดกระถิน ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดสะเดา ยอดขี้เหล็ก ยอดพริก ยอดใบยอ ยอดผักหวานบ้าน ยอดชะอม ยอดใบกระดุมเงิน ยอดใบมะขาม ยอดมะยม ยอดชะมวง ยอดน้ำเต้า ยอดผักบุ้ง ยอดแมงลัก ยอดโหระพา ยอดชะพลู พร้อมที่จะเรียงล่ายซ่ายมาให้เด็ด ปัญหาอยู่ที่ว่าจะชี้ชวนให้ผักพวกนี้เข้าไปอยู่ ในสวนครัว ในตลาด ในหม้อแกง ในโต๊ะอาหาร ของชาวบ้านชาวเมืองให้มากขึ้นอย่างไร

จะแปลงวิกฤติน้ำท่วมให้เป็นอะไรได้บ้าง

น อ ก จ า ก เ อ า น้ำ ใ  จ ไ ป ซั บ น้ำ ต า แ ล้ ว

ยัง เอา ผัก พื้น ถิ่น ไปไล่ พยาธิ ให้ หาย หิว โหย ได้ อีก นะเธอ

อิ อิ..


ชุดยั่วยุง

อ่าน: 2680

ช่วง3-4วันมานี้ คณะSCG.เคมีคอลระยองกลุ่มเล็กๆมาต่อท้ายขบวน ถัดจากกลุ่มป่าไม้และครูทุ่งกุลาร้องไห้ เนื่องจากมาพร้อมกับมรสุม เจอฝนตกหยิมๆสลับไปมากับแดดออกทั้งวัน ได้เจอกับอาจารย์นฤมล บรรจงจิตร จากสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ พาออกไปเดินชมนกชมสวนบ้าง นอกจากแฉะแล้วยังมียุงฟันหลอมารุมไต่รุมตอม ผู้ชายนะไม่เท่าไหร่ แต่คุณสาวๆนี่สิ ขืนพาลุยป่าแบบสมบุกสมบันมีหวังโดนยุงกัดลายพร้อยแน่ๆ จึงพาออกนอกสถานที่เท่าที่จำเป็น มีบางวันจับขึ้นรถไปดูทุ่งกุลาร้องไห้ ยามที่ข้าวเขียวระบัดใบเต็มทุ่งผืนใหญ่ ข้าวกำลังตั้งท้องรอวันแตกรวงในไม่ช้านี้ ปริมาณน้ำฝนกำลังพอดี ทำให้หญ้าที่ขึ้นมาแซมข้าวจมน้ำเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย แม้ว่าจะมีน้ำหลากมาอีก ก็คงไม่เสียหายอะไรแล้ว เพราะข้าวต้นโตแข็งแรงพอที่จะสู้กับน้ำได้ สภาพโดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า ปีนี้ข้าวน้ำทุ่งกุลาร้องไห้ได้ผลสมบูรณ์ดีกว่าทุกปี

SCG ระยองกลุ่มนี้มีภาระกิจรับผิดชอบในการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรมนุษย์

ดูแลด้านการฝึกอบรมพนักงานเคมีคอลระยองเป็นหลัก

ปีหนึ่งๆต้องนำพนักงานเข้าสู่กระบวนการเติมทักษะงานทักษะชีวิตรุ่นละ 9 เดือน

เท่าที่ผ่านมาก็ทำได้สบายๆอยู่แล้ว

แต่ปีนี้ชวนกันมาที่นี่ต้องการจะค้นหากลอุบายอะไรไปเสริมงานกระมัง

:: ผมมองว่า คนเรามีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี เครื่องจักรเครื่องกลที่บรรยากาศแข็งขรึม มีแต่เหล็ก หลอดไฟ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ่งสมควรเติมด้านธรรมชาติ สังคมเพื่อน ครอบครัว ให้ชีวิตมีโชคอัพบ้าง เติมส่วนที่ขาด ถ้าคุณภาพชีวิตดีมีความอบอุ่นไม่วิตกกังวลใดๆ ย่อมส่งผลถึงการทำหน้าที่การงาน นั่นแสดงว่าคนต้องมาก่อน ถ้าคนปกติสุข ผลของงานย่อมเป็นไปโดยราบรื่น ทุกวันนี้องค์กรต่างๆแข่งขันกันที่คุณภาพของคน ถ้าสมาชิกองค์ห่วยแตก !  สภาพความเป็นอยู่เป็นไปขององค์กรค์นั้นๆจะมีอาการจืดชืดซังกะตาย ดังนั้นที่กลุ่มSCG.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรอย่างเข้มข้น จึงเป็นตัวอย่างของการยกระดับพนักงานทั้งแผง ให้เจริญเติบโตขึ้นไปพร้อมกับความก้าวหน้าของบริษัท

(มีกิจกรรมฝึกปฏิบัติพอได้ยืดเส้นยืดสายไม่ถึงกับเหงื่อตก)

จึงเน้นที่การพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ชวนทำกับข้าวบ้าง ดูสื่อต่างๆบ้าง ลองให้โจทย์ฉุกคิดเล็กๆน้อยๆ ชวนพิจารณาระบบอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา ฉายซีดีเรื่องการผลิตอาหาร ของค่ายยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่งแต่ครอบงำระบบวงจรอาหารทั้งประเทศ  มุ่งเน้นเรื่องผลกำไรมากกว่าคุณภาพของอาหาร การยึดครองโครงสร้างระบบพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ สร้างข่ายโยงใยการผลิตการตลาดแบบข้ามาแต่ผู้เดียว เกษตรกรทุกรายต้องใช้พันธุ์จากการควบคุมแบบถึงลูกถึงคน ใครมีปัญหาโดนฟ้องขึ้นเขียงมิได้ละเว้น เกษตรกรยากจนจะเอาเงินที่ไหนไปจ้างทนายสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีการเมืองหนุนหลัง

(ชวนทำกับข้าว-ดวลไวน์-แต่เมาเสาวรส)

ทุกวันนี้คนอเมริกา ต้องเขมือบอาหารปนเปื้อนสารพิษสารเคมมีโดยไม่รู้ตัว

และเรื่องลักษณะนี้ก็กำลังระบาดไปทั่วโลก

แม้แต่ไทยแลนด์ของเราเองนี่ก็เถอะ

ถ้ายังงมโข่งอยู่กับโครงสร้างและวิทยาการเกษตรตามอย่างตะวันตก

คิดว่าพวกเราอาจจะเคยได้ยินชี่อบริษัทมอลซาโต้มาบ้างแล้ว

เจ้าพ่ออาหารสะดวกแด-ก ไงละเธอ

นี่แหละเป็นตัวอย่างให้พิจารณาดีนักเชียว

(ช่วงพาลุยทุ่งกุลาร้องไห้)

ช่วงบ่ายแก่ๆวันนี้ ผมชวนคณะเคมิคอลระยองไปปลูกต้นไม้ บุกไปดูสมุนไพร ไปดูกล้วยสายพันธุ์GMO. ที่ให้ผลสวยเครือยาวใหญ่ ในคราวปลูกเริ่มต้น แต่พอมาถึงชั้นลูกที่เราไปงัดเอาหน่อมาปลูก ทำไมผลกล้วยออกมาเล็กลีบเหมือนกับเป็นโรคตาลขะโมย ทั้งๆที่ตั้งใจปลูกใส่ปุ๋ย ช่วงนี้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำเพราะฝนตกชุกเป็นพิเศษกว่าทุกปี แต่สิ่งด้อยที่เกิดขึ้นแสดงว่าคงจะเป็นผลมาจากคำว่าGMO.นี่เอง เห็นแล้วแทบจะขุดหน่อทิ้ง ช่วงที่เราเดินผ่านต้นเสาวรส ก็บอกหนุ่มสาวให้เก็บกัน บอกว่าเย็นนี้จะสาธิตวิธีรับประทานเสาวรสสดๆอร่อยๆ ด้วยการผ่าครึ่งผลแล้วเอาเกลือกับน้ำผึ่งเป็นตัวปรุงรส เธอเอ๋ยชิมกันสนุกสนานตามสไตล์สวนป่าเขาละ

(รอยยิ้มของหนุ่มหล่อระยอง/มาบตาพุด)

ช่วงที่จะเดินกลับจากบทพระลอชมสวน

เจ้าหนุ่มเสมาท้วง..ไหนว่าจะพาไปดูต้นสักใหญ่

ก็เลยชวนเดินย้อนไปดูต้นสัก

ไปถึงกระตู้วู้วิ่งไปกอดถ่ายรูป

แต่เจ้าหนูส้มนะสิ

แกเป็นเด็กร่าเริงใสๆใส่กางเกงขาสั้นสบายๆตามสมัยนิยม

ถ้าเดินในเมืองก็ไม่กระไรนัก

แต่มาเดินสวนป่าที่มียุงมะรุมมะตุ้ม

จึงแซว..เดินป่าด้วยชุดอย่างนี้

ถ้าผิวหนังหนาอย่างแรดก็ไม่เป็นไร

แบบนี้เ ข า เ รี ย ก ว่ า ชุ ด ยั่ ว ยุ ง อิ  อิ. .


ครูทุ่งกุลาร้องไห้

อ่าน: 2439

(ลูกสาวครูบาจากสารคาม)

Key Word :: ถ้าครูเป็นทุกข์ เด็กไทยจะเป็นสุขได้อย่างไร?

กลับไปแล้วครับบ่ายนี้ คณะครู 50 กว่าชีวิต จากโรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร จังหวัดมหาสารคาม ชวนกันยกทีมข้ามทุ่งกุลามานอนร้องไห้ที่สวนป่าเมื่อคืนนี้  ทุกท่านบอกว่านอนหลับสบายดี ก็แหงละ..เพราะไม่ได้นอนใกล้คนหลายใจ มีฝนปรอยๆเล็กๆมารอบดึก ส่วนบ้าน6เหลี่ยมยกให้อาจารย์ชายพำนักกัน ทราบว่าถกกันสารพัดเรื่องจนค่อนคืน คงจะเป็นครั้งแรกกระมังครับที่คุุณครูทั้งโรงเรียนขึ้นรถลงเรือลำเดียวกัน ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ อาจารย์แต่ละกลุ่มวิชามาพร้อมหน้าพร้อมตากัน การมาที่นี่อาจจะแปลกกว่าทุกครั้งที่มีการจัดประชุม ซึ่งจะเลือกโรงแรมที่การบริหารจัดการสะดวกสบาย ไม่ลำบากกายใจอุดตลุดในที่นี้

อาจารย์บางท่านคงเห็นเส้นทางขรุขระตอนเข้ามา

ถามว่า “ทำไมไม่มีป้ายติดบอกเส้นทาง เรื่องนี้ต้องการให้มีการใส่ใจในการที่จะศึกษาดูงานนอกสถานที่ ต้องเตรียมการอะไรบ้าง นับต้ังแต่การหารืออกแบบกิจกรรม กำหนดเป้าหมาย อย่างน้อยก็เข้าไปอ่านในลานปัญญา เข้าไปศึกษาเส้นทาง หรือย่องมาคุยมาดูล่วงหน้า แหม..ตอนพระพุทธเจ้าออกผนวชไม่เห็นมีป้ายบอกเส้นทางนี่น๊า เรื่องนี้คงเป็นอัตลักษณ์ของที่นี่ไปแล้วละครับ ใครมาเป็นต้องบ่นเรื่องคุณภาพของถนน-ป้ายไม่มี ก็จำเป็นละครับเพราะความจริงมันก็สมควรบ่นๆๆ ทำให้อึดอัดงึมงัมเป็นหมีกินผึ้ง

พามาทำไมในป่าอย่างนี้ก็ม่ายรู๊

บ้าแท้ๆเลย..มาดูงาน มาสังคายนาอะไรกันในป่า

ม ด เ จ้ า ชู้ ตั ว ดำ ๆ กั ด เ จ็ บ แ ส บ ถึ ง ใ จ

ยุ ง ฟั น ห ล อ ก็ จ ะ แ อ บ ม า ข ย้ำ แ ก้ ม น ว ล  เ ข้ า ไ ป อี ก

เฮ้อครูหนอครู สอนก็ยุ่งอยู่แล้ว จะมาอบรมยังมายากยุ่งเข้าไปอีก

บ่นได้บ่นไป หลงเข้ามาแล้วทำไงละ

ผีถึงป่าช้าไม่ฝังก็เผา อิ อิ

อาจารย์ฝนพาครูมาปิดประตูตีแมวแท้ๆเลยเชียว เฮ้อๆๆๆ…

สงสัยว่าคณะที่มาคงจะเข็ดขี้แก่ขี้อ่อน

คงจะจำซึ้งตรึงใจกับมหาชีวาลัยอีสานไปนานแสนนาน

โจทย์ : จะทำยังไงให้เป็นโรงเรียนแห่งความสุข

วิสัยทัศน์เยี่ยมเลยละครับ ที่คุณครูทั้งโรงเรียนจะได้ค้นคิดหาความสุขให้เจอ  ช่วงที่แบ่งกลุ่มให้นำเสนอประเด็น คุณครูคิดและทำได้บรรเจิดมาก ค รู บ อ ก ต้ อ ง มี ร อ ย ยื้ ม  ก็แน่ละ รอยยิ้มของคุณครูประเมินอะไรได้เกือบหมด คนไม่มีความสุขจะยิ้มออกรึ จะฝืนยิ้มก็ใช่ที่ ครูสตรีจึงยิ้มโชว์เป็นปัจจัยเสริมการนำเสนอ จ๊าบส์จริงๆขอบอก อีกคณะหนึ่งออกมาร้องเพลง

โรงเรียนของเราน่าอยู่

คุณครูใจดีทุกคน

เด็กๆขยันอดทน

เด็กทุกคนชอบมาโรงเรียน (ซ้ำ)

(ดร.จิระพร ชะโน จาก ม.สารคาม นำขบวนมาในครั้งนี้)

แหมเอาแบบหวานคอแร้งเลยนะนี่ คิดได้ไงก็ไม่รู้ ทำให้บรรยากาศชื่นมื่น ถ้าแปลงเพลงที่ร้อง ให้ออกมาเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงก็เยี่ยมเลยละครับ เรื่องอย่างนี้ต้องค่อยๆแกะรอยหาจุดที่ความสุขหลบซ่อน แล้วชวนให้ออกมาสู่ทั่วบริเวณของสถานศึกษา ซึ่งมีองค์ประกอบเชื่อมโยงกันมากมาย เช่น ความพร้อมด้านอาคารสถานที่ สื่อการสอน ความสะอาด ความปลอดภัย กำลังใจ ..ไม่ใช้ครูไปทำงานนอกลู่จนหัวปักหัวปำ พวกที่มาทำการประเมินนี่แหละตัวดี ถือว่ามีอำนาจก็ชี้นิ้วสั่งได้สั่งเอา ทำให้ชั่วโมงสอนถูกเบียดเบียน เด็กด้อยโอกาสถูกฉวยเวลาไปอย่างน่าเสียดาย สอนก็ยุ่งและยุ่งอยู่แล้ว ต้องมาทำประเมินที่น่าเบื่ออีก

งานประเมินก็สำคัญนะครับ แต่ควรจะออกแบบอย่างไรให้คุณครูสะดวก และเข้าใจถึงความสำคัญ มีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม มาแนะกระบวนการให้ครูเก็บเกี่ยวผลการเรียนการสอน แล้วหยิบยกเนื้อหาที่ทำการสอนมาเป็นผลประเมินของคุณครู ได้ชี้แจงชัดๆบ้างไหมเล่า หรือคนสั่งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง ถ้าคิดแต่จะสั่งอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงบริบทของโรงเรียนที่หลากหลายระดับ คำสั่งแบบเหมาโหลมันง่ายใช่ไหมละ ขืนไม่เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวก็รู้หมู่หรือจ่า..ครูฮึดขึ้นมาอย่าว่าหล่อไม่เตือนนะต๋อย..อิ อิ..

(นั่งล้อมวงดูหน้ากันได้ครบถ้วน)

ไม่ทราบว่าประเมินแล้วเอาไปจัดการอะไรบ้าง

ดีแต่สั่งๆๆๆ..สั่งได้สั่งเอา พวกเมาคำสั่ง..

ตัวชี้วัดชี้โบ้ชี้เบ้ก็มากหลายกระบุงโกย

ผลการสอบของเด็กเป็นไง

ไต่ขึ้นจากเส้นยาแดงผ่าแปดได้ไหม?

เท่าที่ทราบก็โทษครูโทษโรงเรียนแต่ไม่ยอมโทษตัวเอง

ตราบใดที่พวกหอคอยงาช้างยังเซ่อทำแต่เรื่องกระพี้

ลูกหลานไทยก็บรรลัยกันทั้งประเทศละครับ

ผมไม่เชื่อว่า..

คนโง่จะบริหารการศึกษาให้ดีได้

คนขี้เกียจจะสอนให้เด็กขยันได้

คนไม่มีระเบียบจะสอนให้เด็กเรียบร้อยได้

คนไม่มุ่งมั่นจะสอนให้เด็กเก่งได้

คุณภาพและมาตรฐานทั้งกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็นอะไรที่หวังได้มากกว่านี้ ปัญหาของการศึกษา ทุกกรมกอง ทุกกระทรวง ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการศึกษา อย่าเป็นหมาหวงก้าง เรื่องของข้าใครอย่าเตะ ถ้าไม่ใช่ครู..อย่ามายุ่งกับการศึกษา ถ้ายังคิดอย่างนี้ก็ตายอย่างเขียด..

(คนสวยนั่งหน้า มาช้านั่งหลัง)

งานค่ายครั้งนี้มีการคุยกันเรื่องไอทีเพื่อการศึกษา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งสันทัดกรณีทางด้านนี้ ได้เสนอรูปแบบและวิธีการใช้ไอทีของคุณครู ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ขอแยกแยะดูว่าครูแต่ละท่านสามารถใช้ไอทีในระดับไหนได้บ้าง แล้ววางแผนที่จะเพิ่มเติมขั้นตอนการปฏิบัติในเวลาถัดไป ซึ่งก็ดีนะครับ ยุคนี้เป็นยุคไอที ถ้าเรายังอยู่ในอาการขอไปที คงจะตกรถไฟขบวนสุดท้ายกระมังครับ ถ้าตั้งใจศึกษาวิธีการใช้ไอทีให้เป็นพี่เลี้ยง เป็นครูเครื่อง ขึ้นมาอีกแรงหนึ่ง คุณครูก็จะมีแต่ได้กับได้ มีผู้ช่วยเสริมการสอนอย่างลื่นไหล ยังไงๆก็ดีกว่าไม่มีตัวช่วยละครับ

ตามปกติเวลาที่คุณครูกลุ่มใหญ่อยู่ด้วยกัน ก็เสมือนสามล้อถูกหวย คุยกันลั่น ผมชอบนะขอบอก ครูคุยกันดีหน้ากว่าหน้าบูดเข้าหากัน เพียงแต่ตอนคนอื่นพูดก็ขอให้หยุดฟังบ้าง มันก็คงเหมือนกับเวลาครูสอน ถ้าเด็กเอาแต่คุยกัน ครูจะอิดหนาระอาใจอย่างไรอย่างนั้น ปกติก็จะเว้นวรรคให้คุยให้ถาม  แต่ก็ไม่ค่อยถาม ต้องเปลี่ยนเป็นโยนไมค์ทิ้งแล้วคุยกันปากเปล่า เออ..วิธีนี้ดีแฮะ คุณครูรู้สึกผ่อนคลายตรงที่ไม่ต้องทำอะไรเป็นทางการนี่แหละ ค่อยๆกระแซะมาล้อมวงสนทนาภาษาคนบ้านเฮา เปิดกรุเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เริ่มถามเป็นชุดๆเหมือนกัน

บางคนเล่าว่า นอนอ่านหนังสือเจ้าเป็นไผ กับหนังสือ นี่ไงแห้ว ทั้งคืน

ทำให้ทราบข้อมูลของที่นี่และเครือข่ายชาวเฮ

ตอนเช้ามาขอสมัครเป็นลูกสาว

ผมก็เลยได้ลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนนะสิ

เธอบอกว่าจะเข้ามาอ่านและเขียนบล็อกในลานปัญญา

มาเมื่อไหร่ช่วยกันรับน้องด้วยนะพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย

เ ธ อ ชื่ อ คุ ณ ค รู ปิ ย ะ ธิ ด า    คุ ณ ะ ดิ ล ก

เธอเข้าตามตรอกออกตามประตู

ต า ม ธ ร ร ม เ นี ย ม ค น ส กุ ล เ ฮ

ม า ข อ ก อ ด พ่ อ ก่ อ น ขึ้ น ร ถ . .

ขอให้เดินทางปลอดภัยไร้ยุงไรมาไต่ตอมนะ หญิง นะ ..

(ต้นหยีน้ำ พืชพลังงานตัวใหม่ที่กรมป่าไม้เอามาให้ปลูกวิจัย)

:: วันนี้เจอไป 3 คณะ หลังจากคุณครูสารคามกลับไปช่วงบ่าย

:: ถัดมาหน่อยคุณวิฑูรย์จากกรมป่าไม้มาวัดต้นไม้และเอาต้นหยีน้ำมาฝาก 260 ต้น

:: ตะกี้ คณะSCG.บอกว่ามาถึงปักธงชัยแล้ว คงจะมาถึงช่วงเย็นเล็กน้อย


เกษียณอายุ

อ่าน: 2829

เรื่องนี้เกี่ยวกับคนที่ค่อนมาทางเหลาเย่แน่ๆ เรื่องวันเวลาไม่คอยท่า เผลอเมื่อไหร่กาลเวลามันกัดกร่อนด้วยนาฬิกาชีวิต อ้อ ยี่ห้อนี้ไม่เคยเสียไม่เคยซ่อม ตั้งแต่เกิดก็เดินติ๊กต๊อกๆไปเรื่อยๆ ต่อให้ผดุงหน้าตาด้วยวิธีใดสุดท้ายก็เหี่ยว ช่วงที่เหี่ยวนี่แหละสำคัญ เหี่ยวกายพอว่า เหี่ยวใจนี่น่าคิด ที่สวนป่าเคยต้อนรับครูบาอาจารย์มากหน้าหลายตา แต่ส่วนมากจะยังอยู่ในช่วงวัยทำงาน  ยังรับราชการว่างั้นเถอะ เพิ่งจะมีวันนี้ละครับ ที่คุณครูอาวุโสเกษียณอายุยกทีมผู้สูงวัยชุดใหญ่ 270 ชีวิต เดินทางด้วยรถบัส2ชั้น6คันมุ่งมาสวนป่า

คุณครูทุกท่านนัดกันใส่เสื้อทีมสีฟ้า

ฟ้าเต็มป่าเลยนะนี่

มาถึงบ่นเป็นหมีกินผึ้งถนนขรุขระเข้ายาก

จะโทษใครละ..ต้องโทษตัวเองที่สอนลูกศิษย์เป็นคนไม่ดี

เรียนจบไปแล้วไปเป็นนักการเมือง

ก็เป็นนักการเมืองขี้โกง

กินหินกินกรวดปากมันแพล๊บๆๆ

ถนนพังมหาโหดยังงี้ก็เพราะลูกศิษย์อาจารย์มันไม่รักดี

เนื่องจากครูเยอะ เราไม่รับทำอาหาร เตรียมสถานที่จัดโต๊ะเก้าอี้-เครื่องเสียงให้ พวกแม่บ้านก็ขายสมุนไพร ขายหนังสือ ขายต้นไม้ ขายเมล็ดน้ำเต้า สนุกกันใหญ่ คณะนี้เขาสั่งโต๊ะจีนมาจากในเมืองสารคามโน่น น่าจะกินข้าวห่อ กินข้าวป่าแบบง่ายๆ แต่ก็ติดความหรูหราบ้าๆบอๆ จึงดูยุ่งยากทุกขั้นตอน มันก็มาจากวิธีคิดวิธีทำนี่แหละ ทำตัวทำใจให้ง่ายไม่เป็น..ต้องส่งไปเรียนกับปา-ลี-ยอน-น่าจะดี ตอนนี้ทุกคณะที่มาจะขอให้ช่วยตัวเองให้มาก ช่วยแบ่งเบาภาระ.. เจ้าของสถานที่จะทำหน้าที่โม้อย่างเดียว อิ อิ และพาเดินไปชมกิจกรรม

คณะอาจารย์ที่เกษียณมาจากหลายสำนักหลายพื้นที่

เป็นอาจารย์จากราชภัฏฯก็มี

ตอนแรกเขาโหวตกันว่าจะไปไหนดี

มีคนยกมือไปลาว 80 เสียง

มาสวนป่าร้อยกว่าเสียง

จึงพากันดั้นด้นมานี่

บ้างก็บอกว่าไม่จุใจจะขอมาใหม่เป็นการส่วนตัว

เห็นแล้วนึกถึงแม่ใหญ่..ขาลุยกว่ากลุ่มนี้เยอะ

ตกหนักก็เรานี่แหละ…รับเละ

หนังสือแห้วขายหมดเกลี้ยงหน้าตัก

ขายเป็นเทน้ำเทท่า..

บอกว่าอ่านแล้วอารมณ์ดี อายุยืน เป็นมงคลอีกต่างหาก

แหมเปิดอ่านกันใหญ่

แห้วรำพันเก่ง..คนเขาชอบตรงที่>>

ถูกบางคนหัวเราะเยาะมาแต่ไหนแต่ไรเรื่องเลือกอาชีพครู

ดีนะที่เป็นครูหน้าทน ครูเลยทนอยู่

เพียงเพราะเอะใจ กับไออุ่นที่ได้รับจากเด็กๆ และผู้คนรอบข้าง

เพิ่งจะได้อ๋อกับตัวเอง ว่าสิ่งที่สัมผัสได้แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆเสียที

จนเผลอหวั่นไหวจวนเจียนจะทิ้งอาชีพนี้ไปหลายครานั้น

แท้จริงแล้วคือความสุข ไม่ได้สุขเพราะตัวเงิน

ไม่ได้สุขเพราะเกียรติยศ วัตถุ ชื่อเสียง  ฐานะกะโหลกกะลาทางสังคม

แต่สุขเพราะได้รู้แล้วว่า

คนจะเป็นครูได้ ต้องไม่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

แต่ต้องเป็นให้ได้ถึงยอดมนุษย์

นี่ถ้าแจกลายเซ็นเหมือนป๋าป่าแตกแน่ๆจิบอกไห่ ไผ1ไม่รู้เหลือกี่เล่ม น่าจะมีไผ3 อุ้ย อ.แป๋ว ป้าหวาน แม่ใหญ่ ฯลฯ ยังไม่ได้นำมาลงพิมพ์ ส่วนโมเดลอีสานเขียนได้สัก*80%แล้ว ที่เหลือก็พร้อมเขียนแต่ไม่มีเวลาทำไงได้ ปั่นต้นฉบับได้คืนละครึ่งเรื่อง มีหนังสือค้างอ่าน โชคดีที่ทีวีเสีย ทำให้มีเวลาเขียนมากขึ้น อิ

วันนี้ก็มีโทรศัพท์มาชวนให้ไปประชุมเรื่องมูลนิธิสันติภาพโลก..อะไรๆทำนองนี่แหละ

เขาบอกว่าส่งหนังสือมาแต่ต้นเดือนแล้ว

เห็นเราไม่ตอบรับ..จึงโทรฯมาตามเรื่อง

อ้าว! หนังสือไม่เห็นมานี่

ไม่เห็นหนังสือไม่เป็นไร

เ ธ อ ถ า ม ว่ า จ ะ ม า ไ ด้ ไ ห ม ? ไ ด้ ไ ห ม ค ะ นะ คะ

จะ ต อ บ ว่ า จ ะ ไ ด ดี    ฮึ !

ช่วง 21-23 มีค่ายครูสารคาม กับ ค่ายปูนซีเมนต์ไทย มาต่อเนื่องกัน

ใครว่าง ใครไม่มีงาน ยกมือขึ้น ! โธ่ๆๆๆ

หมายเหตุ : เรื่องหนังสือนี่นะครับ ถ้าชาวเฮช่วยกันเขียนบอกเล่าตามภาระกิจและเนื้องานตัวเอง แล้วพิมพ์ออกมา เราก็จะจัดให้ตามสาขาอาชีพ ยกตัวอย่างเช่นคณะครูมาก็เอาหนังสือของแห้ว/แม่ใหญ่/ครูอึ่ง/ครูอารามไป ถ้าเป็นกลุ่มเด็กนักเรียนก็เอาหนังสือของหนูเสื้อสีส้มไป ถ้าสายศิลปะก็เอาของออตไป ถ้าเป็นนักพัฒนาก็เอาหนังสือท่านบางทราย/ปาลียอน/อาม่า/ลานไผ่ไป ถ้าเป็นพวกนักกฎหมาย/รักหลาน ก็เอาหนังสือท่านอัยการไป ถ้าเป็นกลุ่มรักสุขภาพ ก็เอาหนังสือหมอเจ๊-เบิร์ดไป ถ้าเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์/กลุ่มองค์กรเพื่อสังคมก็เอาหนังสือของรอกอด/ปลาหมึกไป ถ้าเป็นกลุ่มพัฒนากิจกรรมองค์กร/บริหารพันธกิจเชิงรุกก็เอาหนังสือหมอจอมป่วน/อุ้ย/อ.แป๋วไป ถ้าเป็นพวกกวนใจหรืออกหัก ก็เอาหนังสือของคนถางทางไป ฯลฯ

> > >เอ๊ะ! ถ้าจะขอเอาเรื่องเด็ดตามภาระกลุ่มเรื่องราวที่ว่ามานี้ รวมเป็นเล่มไผ3จะดีไม๊ คิ คิ

” พูดเบาๆ แต่เอาจริงนะเธอ”



Main: 0.096712112426758 sec
Sidebar: 0.2643609046936 sec