อยู่แบบแบกะดิน

อ่าน: 2707

วันนี้มีเรื่องสนุกๆให้ทำเยอะ นัดคนงานมาสะสางเรื่องที่ตกค้าง ไม่มีเป้าหมายชัดเจน เอาไว้เห็นหน้าค่าตาถึงจะนึกออกว่าจะให้ทำอะไร จัดเป็นวันปล่อยสบายๆ แต่คนงานเขาไม่หยุดนิ่งหรอกนะครับ น้าสุขแกเอาลูกฝรั่งสุกติดมือมาด้วย บอกว่าจะหาทางลดจำนวนกระแตให้ หมู่นี้มันขยายพันธุ์เต็มสวน เที่ยวเกะกะระรานผักผลไม้จนเสียหาย เรื่องอย่างนี้คนพื้นถิ่นเรารู้วิธีดีกว่าเรา
น้าสุขแกเล่าให้ฟังว่าแกเคยมีอาชีพตัดผม ขับรถบรรทุก ทำสวน ทำนา เป็นช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ตัดไม้แปรรูปไม้ เท่าที่ใช้ไหว้วานให้ทำอะไรแกทำได้หมด และก็ทำอย่างทุ่มเทเต็มสติกำลังเสียด้วย ช่วงนี้ผมบนศีรษะถึงคราจะต้องตัดได้แล้ว ก็เลยอยากประลองฝีมือน้าสุข ให้น้าดีแฟนแกไปบอกว่าครูบาอยากจะตัดผม ขอให้แกบึ่งรถกลับไปเอาเครื่องมือกัลบกมา

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอุปกรณ์ตัดผมก็พร้อม
แกจับผมนั่งเก้าอี้ใต้ร่มไม้
ต่อปลักไฟฟ้ามาเสียบกับกรรไกร
เตรียมผ้ามาคลุมกันเปื้อนด้วยน๊ะ
หลังจากนั้นก็จัดการตามกรรมวิธีของช่างตัดผม
คุณชายยังเอาไปโพสรูปตั้งชื่อให้ว่า “ร้านลมโชยเกศา”

ระหว่างนั้นผมก็ซักไซ้ไล่เลียงถึงที่ไปที่มาของการเป็นช่างตัดผม แกเล่าช่วงนั้นแกขับรถบรรทุกอ้อย ขับไปขับมาก็เบื่อ จึงจ้างคนอื่นไปขับแทน ส่วนแกหันมาฝึกเป็นช่างตัดผม เพราะมีความสนใจและรู้จักช่างตัดผมเป็นการส่วนตัว แกเล่าว่าฝึกอยู่7วัน เสียค่ายกครู1,400 บาท หลังจากนั้นก็ร้อนวิชา ขับรถไปตามหมู่บ้าน ตัดผมให้เด็กๆและคนในหมู่บ้าน ช่วงแรกๆคิดค่าตัดหัวละ10บาท ต่อมาก็ขยับขึ้นราคา30บาท ถ้าเข้ามาตัดในตัวอำเภอคิดหัวละ 50 บาท ถ้าไปตัดที่ชายหาดพัทยา แกคิดหัวละ80-100บาท

แกเล่าว่าเป็นรายได้เสริมที่ดี
อาชีพนี้มีเคยตกงาน
คนๆหนึ่งตัดผมเดือนละครั้ง
ตัดไปตัดมาก็เป็นเจ้าประจำกัน

ปัจจุบันถ้าไม่ได้ไปทำงานนอกบ้าน ก็จะมีขาประจำมาให้ตัดที่บ้านทุกวัน เช้าตัด2-3คน ตอนบ่ายๆตัดอีก 2-3 คน แค่นี้ก็ได้ค่ากับข้าวและค่าน้ำเปลี่ยนนิสัย ถามว่ามีคนสืบทอดอาชีพนี้ไหม แกบอกว่า..ไม่มีใครสนใจ ลูกหลานเขาก็ไม่เรียนไม่เอา ทั้งๆที่เป็นความรู้ติดตัวที่ช่วยแก้ขัดยามตกทุกข์ได้ยากเป็นอย่างดี ตอนบ่ายผมชวนแกแก้ไขน้ำบาดาล ต่อท่อลงไปอีกท่อนหนึ่งลึก6เมตร จะได้ตั้งโปรแกรมสูบน้ำอัตโนมัติ เพราะดูทีท่าแล้วปีนี้น่าจะแล้งนาล่มอีก จึงเตรียมการเรื่องระบบน้ำไว้แต่เนิ่นๆ หลังจากช่วยกันแก้ไขประมาณ2ชั่วโมงก็เรียบร้อย เก็บอุปกรณ์เข้าโกดังแล้ว น้าสุขแกก็

ไปแว๊บไปดูกับดักกระแต
กระแต2ตัวติดกับดัก
เพราะชอบกินฝรั่งสุก
แกบอกว่า ถ้าเอาหัวมันสำปะหลังปอกเปลือกไปล่อ
อาจจะได้ทั้งหนูทั้งกระแต

ตอนเย็นผมลงอ่างอาบน้ำกลางแจ้งตามเคย เอาลูกมะกรูดที่หล่นเกลือนกราดมาผ่าครึ่งถูตัวและสระผม ร้อนๆอย่างนี้แช่นานๆชื่นสะดือเลยละครับ น้ำมะกรูดที่ถูตัวละลายลงไปในน้ำอ่างออกสีขาวๆ ตอนลุกจากอ่างต้องไปอาบน้ำสะอาดอีกที รู้สึกเนื้อตัวเกลี้ยงเกลา มีกลิ่นสะอาดติดตัว ถึงไม่ประแป้งก็หอม อิ อิ..
โฉมยงถามว่ามือเย็นจะเจี๊ยะอะไร
เลยชวนตำน้ำพริกปลาทูทดลองใช้พริกขาวหอมแทนพริกหนุ่ม

ผมอาสาเก็บผัก เด็ดมะเขือเปราะสีม่วง 4 ลูก เก็บดอกอัญชัน 100 ดอก เด็ดสลัดมา4ต้น แถมยอดกระถิ่นอีกกำหนึ่ง รับประทานร่วมกับน้ำซุปผัก แค่นี้ก็อิ่มจนอืดแล้วละครับ ยังมีน้ำเสาวรสสดคั้นอีกเหยือกหนึ่ง ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ท้องไม่มีช่องว่างเสียแล้ว กะว่าจะอ่านหนังสือที่คุณชายเอามาให้2เล่ม เปิดดูแล้วแทบวางไม่ลง คงจะเอาติดมือไปอ่านบนรถตู้ตอนเข้าลางกอกวันพรุ่งนี้เช้า
เป็นหนังสือแปลทั้งคู่

เล่มแรกชื่อ “บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอกให้โลกรู้”
THE ROAD LESS TRAVELED
โดย นายแพทย์ เอ็ม.สก็อต เปค วิทยากร เชียงกูล แปล
อีกเล่มหนึ่งชื่อ ล่มสลาย COLLAPSE ไขปริศนาความล่มจมของสังคมและอารยธรรม เขียนโดย Jared Diamond อรวรรณ คูหเจริญ นาวายุทธ แปล

เป็นหนังสือเล่มหนาที่อัดความอยากรู้อยากเห็นของเราจะล้นปรี่ ยุคนี้มีวี่แววความล่มสลายคุกคามรอบด้านด้วยสิเธอ จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าอ่านสิ่งที่ผู้รู้เขาค้นคว้ามาให้เราอ่านไปพลางๆ ดีกว่านั่งทอดหุ่ยหายใจทิ้งใช่ไหมละเธอ อย่างน้อยๆถ้าไม่อ่านหนังสือ มาอ่านบทความแล้วคอมเมนท์ให้กันบ้าง ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีน้ำใจ น่ารักน่าชังอยู่ไม่เว้นวาย ใช่ไหมละเธอ


ส่งการบ้าน

อ่าน: 1587

เรียนคุณ
ศิริเพ็ญ ก่องแก้วรัศมี

E-mail:
siriphen@nationalhealth.or.th

ตามที่คณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นเพื่อพัฒนาร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย
ประเด็นการปฏิรูปการศึกษาวิชาชีพด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ จัดประชุมฯดังเป็นที่ทราบอยู่แล้วนั้น

ผมมีความเห็นดังต่อไปนี้


ประเด็นเชิงนโยบาย ควรคำนึงถึงศักยภาพของผู้รับสนองนโยบายด้วย ถ้านโยบายดีแต่ผู้รับไปปฏิบัติมีข้อจำกัด
ไม่มีความพร้อม มีเงื่อนไขเฉพาะส่วนองค์กร จะทำอย่างไรให้แผนงานเหล่านี้ได้การยอมรับ
จุดพอดีพอเหมาะของนโยบายที่มีความเป็นไปได้เป็นอย่างไร?

ถ้าจะเตรียมความพร้อมเฉพาะเครื่องส่ง
แต่เครื่องรับไม่มีประสิทธิภาพ ยังติดขัดเงื่อนไขต่างๆ
จะพิจารณาในประเด็นนี้อย่างไร ความพร้อมของรัฐบาล ความพร้อมของงบประมาณ กลไกภายในของแต่ละสถาบัน
มีศักยภาพพร้อมที่จะดำเนินงานได้ในระดับใดด้วยหรือไม่

ถ้าไม่พร้อม
มีวิธีทำงานบนฐานความไม่พร้อมอย่างไร?

เท่าที่สอบถามภายนอก
ประเด็นผลประโยชน์ที่จะเปลี่ยนแปลงดูจะเป็นยาขมหม้อใหญ่
แต่ถ้าอธิบายให้เห็นเหตุผลข้อดีข้อด้อยให้กระจ่าง จะทำให้เกิดการยอมรับ แนวทางการแสวงหาความร่มมือและการยอมรับเป็นอย่างไร


ประเด็นของอาเซียน จะมีน้ำหนักต่อการยกร่างนโยบายการปฏิรูปวิชาชีพด้านสุขภาพอย่างไร
ในแง่ของข้อดีและข้อด้อยจะมีผลต่อการกระตุ้นความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
ในแง่บวกในแง่ลบควรเอามาเป็นประเด็นแวดล้อมด้วยหรือไม่ เช่น การคาดการณ์กรณีสมองไหลจะเป็นไปในทิศทางที่เกิดปรากฎการณ์ใหม่ๆด้วยหรือไม่


ประเด็นเรื่องความแตกต่างในเมืองกับชนบท ที่บางกรณีมีการจัดการไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเรื่องการส่งเสริมการใช้จักรยาน ถ้าดำเนินการในเมือง
จะต้องสร้างถนนที่เอื้อต่อการใช้จักรยาน การตีเส้นทำเครื่องหมาย
ต้องติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือกำหนดขอบเขตให้อยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัย
เช่น ที่มหาวิทยาลัยมหิดลหรือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มประชากรชาวมหาวิทยาลัยมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะแนะนำให้ถีบจักรยานบนถนน
อนึ่ง นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสามารถปลูกกระแสเป็นแบบอย่างได้
ถ้าตระหนักถึงบริบทของจักรยาน

ถ้าจะส่งเสริมเรื่องการขี่จักรยานในชนบท
จะมีข้อแตกต่างจากในเมือง ถ้าบ้านไหนมีจักรยานก็ถีบปร๋อได้เลย

ควรสร้างกระแสให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการใช้รถจักรยาน ชี้ชวนให้หันมาถีบจักรยานเช่นในอดีต
เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องไปสร้างถนนตีเส้นอะไร เน้นกลุ่มผู้สนใจในเบื้องต้น
ขยายผลไปยังเรื่องการประหยัด การลดใช้พลังงาน การออกกำลังกาย
โยงไปถึงเรื่องพึ่งตนเอง จุดเริ่มควรพิจารณาต้นทุนในพื้นที่ ยกตัวอย่างในจังหวัดบุรีรัมย์
มีชมรมนักขี่จักรยานหลายกลุ่ม ถ้าเอากลุ่มเหล่านี้มานำร่องช่วยกันขยายผล
แผนการก็จะเริ่มไต่ต่อแต้มไปได้ไม่ยาก
อาจจะชี้ชวนให้เกิดการรณรงค์ใช้จักรยานในหมู่บ้าน และในโรงเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ในพื้นที่นำร่องหรือพื้นที่ๆเหมาะสม

ควรศึกษาวิจัยว่าจะให้จักรยานหวนกลับมาสู่ครัวเรือนในชนบทได้อย่างไร?

ประเด็นจักรยาน
อาจจะนำไปสู่วิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตแพทย์พยาบาลเพื่อสนองตอบประชากรในชนบท กระแสเมืองกำลังขยายตัวไปทั่วโลก
ที่กล่าวกันว่าจำนวนประชากรในเมืองจะมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่ากลไกการบริหารเศรษฐกิจและสังคมผิดตัวผิดฝา
ภาคการเกษตรอ่อนแอและอ่อนไหวจนไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ได้ การบ้านสำหรับชนบทควรเรียงสะท้อนให้เห็นจุดดีที่แตกต่างกว่าเมื่อก่อน
ในระหว่างการศึกษา ถ้าได้นิสิตแพทย์ออกมาจัดค่ายในชนบทเช่นค่ายอาสานักศึกษาในอดีต
จะมีส่วนให้นักศึกษาได้สัมผัสความเป็นชนบทที่เปลี่ยนผ่านมาถึงในปัจจุบัน

วิกฤติจากน้ำท่วมใหญ่คราวที่แล้ว
ทำให้คนในเมืองและผู้คนในชนบทที่เข้าไปทำงานในกรุง เริ่มหวนกลับมาพิจารณาการมาอยู่อาศัยในชนบทมากขึ้น
ปัจจุบันเครื่องอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ถนนหนทาง
ร้านสะดวกซื้อ ทีวี อินเทอร์เน็ต รถทัวร์ รถตู้ เครื่องบิน
อีกหน่อยรถไฟหัวกระสุนก็จะมา ถนน๔เลนเริ่มขยาย
สิ่งเหล่านี้จะเป็นเงื่อนไขสนองต่อแผนการกระจายตัวของประชากรด้วยหรือไม่

พลังของความเปลี่ยนแปลง
จะเป็นตัวชี้วัดให้แก่สังคม พลังที่ว่านี้จะเอามาเป็นแรงผลักดันนโยบายได้อย่างไร? จากการที่ไปไปพบปะพูดคุยกับนักศึกษาพยาบาลระดับปริญญาโทหลักสูตรการพยาบาลและผดุงครรภ์
ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจหลายเรื่อง ในการยกร่างแผนฯถ้ามีการถามใจเธอดูก่อนในทุกองค์กรทุกสถาบันที่เกี่ยวข้อง
ว่าเขากำลังเผชิญปัญหาอะไร เขาคิดแก้ไขเรื่องของตนเองอย่างไร เขาขัดข้อง/เขามีข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างไร
ถ้ารับฟังสิ่งเหล่านี้มาประกอบการร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย น่าจะทำให้แผนการต่างๆถูกจุดและสมบูรณ์ขึ้น
จึงควรรวบรวมข้อเสนอมาจากแหล่งต่างๆให้มากที่สุด ถึงจะได้ครอบคลุมทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจ

จะกระจายอำนาจให้เกิดประสิทธิผลต่อการยกระดับวิชาชีพด้านสุขภาพด้วยหลักการและกระบวนการอะไร?

: ประเด็นฝาก ในเมื่อพยาบาลบาลขาดแคลนเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลควรลงทุนผลิตพยาบาลเชิงรุก หมายถึงเรื้อโครงสร้างเดิม
แล้วเดินหน้าทุ่มเทงบประมาณให้สถาบันที่เกี่ยวข้องผลิตพยาบาลในอัตราก้าวหน้า โดยตัดยอดหรือเกลี่ยงบประมาณจากหลักสูตรที่สอนด้านสังคมที่ล้นเกิน
เรียนแล้วตกงานสูญเปล่างบประมาณ มาเพิ่มให้หลักสูตรที่มีอนาคตเป็นที่ต้องการทั้งโลก
ไม่ดีกว่าหรือครับ?

โดย : krubasutthinun@gmail.com


อัดรักลงบล็อกอิฐดินซีเมนต์

อ่าน: 3141

อัดดินให้เป็นบ้าน

มีคนให้นิยามว่า  “บ้านคือวิมานของเรา” มัน ก็อาจจะใช่และไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับบ้านดังกล่าวในลักษณะใด คนที่อยู่ห่างไกลบ้านจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับคำว่าบ้านกันทั้งนั้น สมัยก่อนนักเรียนไทยไปอยู่ต่างประเทศ กว่าที่จดหมายจะส่งไปมาหาสู่กันได้ใช้เวลาครึ่งค่อนปี อ่านจดหมายแล้วน้ำตาเปียกเรี่ยราดเชียวแหละ..  ไม่มีจดหมายผิดซองอย่างในสมัยนี้หรอกนะเธอ

บ้านเป็นอัตลักษณ์ประจำชนชาติ บ้านฝรั่งได้รับการยกย่องว่าออกแบบก่อให้อยู่อาศัยถูกใจมากที่สุด ถ้าฟังผิวเผินก็อาจจะใช่ ที่จริงแล้วขึ้นอยู่กับว่าเราจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไรด้วย อย่างเรือนไทยเราก็มีลักษณะประจำถิ่น เรือนไทยภาคกลางก็อย่างหนึ่ง เรือนไทยอีสาน เรื่องไทยภาคเหนือภาคใต้ ต่างก็มีเอกลักษณ์ที่เป็นจุดพิเศษเฉพาะตัว  แต่มาถึงสมัยนี้เงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อมและจารีตประเพณีเสื่อมมนต์ขลัง เราจึงเห็นเรือนไทยประยุกต์กันดาษดื่น เน้นมาสร้างตึกมากกว่าบ้านไม้ ในเมื่อไม้หายาก ลักลอบตัดกันจนวินาศสันตะโรทั้งประเทศ

วัสดุและเทคโนโลยีจึงเป็นตัวแปรในการกำหนดรูปแบบบ้านใหม่ๆ

ก็เป็นไปตามกฎของการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละเธอ

บางทีบ้านก็ไม่สำคัญมากไปกว่า..เราอยู่กับใครในบ้านหลังนั้น

อยู่กับหวานใจในกระต๊อบ อาจจะมีความสุขกว่าอยู่ในคฤหาสน์กับคนหลายใจก็ได้

คำว่า ป ลู ก เ รื อ น ต า ม ใ จ ผู้ อ ยู่ ไ ม่ พ อ ห ร อ ก

ต้องแถมด้วยคำว่าอยู่กับคนที่เราเห็นว่า ใช่เลย ใช่ไหมละเธอ

แต่ก็นั่นแหละ ยังมีคำว่ากัดก้อนเกลือกิน ให้มาฉุกคิด

คนในยุคหินไม่ต้องสร้างบ้าน เดินไปเจอถ้ำที่ไหนก็เข้าไปจับจองอยู่อาศัย หิวขึ้นมาก็ลากตะบองออกไปวิ่งไล่ทุบหัวสัตว์ แล้วลากเอามาแบ่งปันทำอาหารเลี้ยงดูกัน มนุษย์มีวัฒนาการไม่หยุดนิ่ง เหล็ก/ปูนซีเมนต์/พลาสติกมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง แต่ก็นั่นแหละเธอ..ในโลกนี้ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ในกระต๊อบบ้านดินนับล้านครัวเรือน ถ้ายากเห็นกลุ่มบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย ในถิ่นฐานบ้านช่องของชาวชนบทภารตะ ยังปลูกสร้างบ้านด้วยดิน หลังคามุมด้วยใบอ้อยหรือใบมะพร้าว ผมไปมุดเข้าเยี่ยมยาม ยังประทับใจที่เขาอยู่กันเรียบร้อย ไอ่ที่พูดกันว่า..อยู่ติดดินตัวจริงเสียงจริงมันเป็นยังงี้เอง ที่มุมบ้านจะมีเตาดินเผาไว้ก่อไฟหุงหาอาหาร ควันไฟก็จะลอยฟ่องขึ้นไล่แมลง วัว/แพะแกะก็จะผูกลามอยู่ใกล้ๆ รึบางทีกลิ่นเยี่ยวสัตว์เลี้ยงนี่เองที่ไล่ปลวก

ถ้าเมืองไทยเราปลูกบ้านติดดินอย่างนี้

มีหวังโดนกองทัพปลวกแทะจนเละแน่

เรื่องงานช่างงานก่อสร้างผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่ได้เรียนไม่มีความรู้อะไร เป็นที่ชอบๆตามจริตตัวเอง เมื่อ25ปีมาแล้ว ผมอ่านเจอในหนังสือลงข่าวเรื่องเครื่องอัดดินด้วยบล็อกซีเมนต์ จึงได้ไปเสาะหาแหล่งผลิตเครื่องอัดดินดังกล่าว ไปซื้อมาแล้วก็ทดลองอัดดินเป็นก้อนๆ แล้วเอามาทดลองสร้างบ้าน สร้างตึกหลังใหญ่ แล้วก็ใช้อยู่อาศัยมาเท่าทุกวันนี้

ต่อมารัฐบาลจัดต้องกองทุนซิฟ ให้ผู้นำแต่ละชุมชนเสนอของบประมาณมาพัฒนาการเรียนรู้และการสร้างงานสร้าง อาชีพ ผมจึงเขียนของบประมาณซื้อเครื่องอัดดินซีเมนต์แบบไฮโดรลิค ทำให้ได้อิฐบล็อกซีเมนต์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้พัฒนาและเรียนรู้จนทราบว่า ดินแดงที่เราอาศัยอยู่นั้น ขุดแล้วเอามาบดให้ละเอียดผสมกับซีเมนต์ ในอัตรา ดิน3ส่วน ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน พรมน้ำให้มีความชื้นเล็กน้อย นำไปเข้าเครื่องอัดออกมาเป็นก้อนๆ นำไปเรียงไว้ในร่มผ่านกรรมวิธีบ่มตามแบบคอนกรีตทั่วไป หลังจากนั้นก็นำไปก่อสร้างบ้านเรือนได้อย่างสบาย

ข้อดีคือของบ้านอิฐดินซีเมนต์

  • อิฐพวกนี้ใช้วัสดุจากพื้นที่เราเองในสัดส่วนที่มากกว่าวัสดุอื่น
  • ใช้แรงงานในครัวเรือนช่วยกัน/อัด/ก่อ/สร้าง/จนเรียบร้อย
  • ไม่ต้องวิ่งเอาเงินไปให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง
  • ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ยังสะสมอัดอิฐฯไว้ล่วงหน้าได้
  • ลงแขกช่วยกันสร้างบ้านหมุนเวียนกันได้
  • ประหยัดไปต้องเผา ไม่ต้องฉาบ
  • ลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการสร้างบ้านรูปแบบอื่นถึง3เท่า
  • มั่นคงแข็งแรงแน่นหนา ไม่ต้องกลัวพายุจะมาเขย่าบ้านกระเจิง
  • มีคุณสมบัติพิเศษ หน้าหนาวจะอบอุ่น หน้าร้อนจะเย็นสบาย
  • อธิบายในมิติของการพึ่งตนเองได้อย่างกระชับ
  • ขยายความเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเชิงประจักษ์
  • ไม่มีหนี้สินรุงรังเหมือนการสร้างบ้านแบบเว่อร์ๆ

ตอนนี้คุณชายกำลังสร้างบ้าน ดังที่ท่านเห็นในคริปวีดีโอ ผมก็มีแผนจะสร้างบ้านรูปโดมกลม8เมตร ถ้ า ที่ รั ก ช่ ว ย กั น ซื้ อ ห นั ง สื อโมเดลบุรีรัมย์มากๆ ผ ม ก็ จ ะ มี ทุ น ส ร้ า ง บ้ า น ใ น ฝั น  หนังสือแต่ละเล่มที่ท่านช่วยกันอุดหนุน ร า ย ไ ด้ จ ะ เ ป ลี่ ย น เ ป็ น อิ ฐฯ ล า ย ก้ อ น เ ล ย ล ะ ค รั บ

รึ..ค น ส ว ย จ ะ ม า ช่ ว ย อั ด อิ ฐ ดิ น ซี เ ม น ต์

จะได้อัดความรักความหวานซึ้งลงไปในอิฐแต่ละก่อนด้วย

เมื่อนำไปก่อสร้าง..จะได้นอนมองผนังฝันหวานถึงคนสวยทุกคืน ทุกคืน..ยังไงละครับ!


ไอที และ ไอเลิฟยู***

อ่าน: 1565

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แล้วมีบ้านกัน แต่อาจจะมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ของแต่ละกลุ่ม นกบางตัวทำรังอยู่ในโพรง บางตัวก็ทำรังอยู่กับคาคบไม้ บางตัวก็ทำรังด้วยการสานใบหญ้าเป็นชะลอมแน่นหนาห้อยโตงอยู่ปลายกิ่งไม้ ยังมีนกบางตัวขุดรูอยู่ในดิน นกบางตัวอาศัยอยู่ในกอหญ้าริมบึง หากินอาหารทั้งที่อยู่ในอากาศ ผิวดิน และในน้ำ

นกแต่ละชนิดจะมีทักษะชีวิตแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม

บางตัวยังแอบไปไข่ให้ตัวอื่นฟัก

เออหนอ..แม้แต่ในสัตว์ปีกก็มีระบบอุปถัมภ์

นกก็มีลูกเลี้ยงแม่เลี้ยงเหมือนกันนะเธอ

ยกตัวอย่างนกกระจอกเทศที่อยู่ในธรรมชาติ เมื่อฟักไข่ออกเป็นตัวแล้วคุณแม่ก็จะพาลูกอออกเดินทางต้วมเตี้ยมไปหากิน เดิน....ไปเจอแม่นกอีกตัวหนึ่งที่พาลูกออกมาตระเวนเช่นเดียวกัน แม่นกทั้ง2จะไม่รอช้า.. จะพุ่งเข้าต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย สู้กันจนมีฝ่ายแพ้ชนะ ..ตัวที่ชนะก็จะได้ลูกนกทั้งหมดไปครอบครอง ธ ร ร ม ช า ติ ทำ ก า ร คั ด ก ร อ ง คุณแม่ที่ แ ข็ ง แ ก ร่ ง ที่ สุ ด เ ป็ น ผู้ ดู แ ล ลู ก น ก ทั้ ง ห ม ด ลูกนกได้อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ที่เข้มแข็ง จะช่วยปกป้องภัยที่มาแผ้วพาน

แม่นกตัวที่แพ้ละ..จะทำยังไงในเมื่อลูกถูกพรากไปจากอก

เธออาจจะเดินสะท้อนสะทกไปเจอพระเอกรูปหล่อแล้วก่อรักใหม่ก็ได้

เราไม่อาจล้วงนึกไปถึงกลไกในชาติพันธุ์ของนกชนิดนี้

เรื่องในธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์นัก บางเรื่องเราก็ไม่มีเหตุผลจะมาอธิบายได้ว่า ทำไมไก่ต๊อกจึงมาออกไข่รวมกันเป็นร้อยๆฟอง แล้วให้มีตัวมอบฟักดูแลเพียงตัวเดียว ตัวอื่นๆคอยระแวดระวังอยู่รอบๆ ตัวที่ทำหน้าที่หมอบฟักจะอดทนเอาปีกเอาตัวคลุมไข่ทั้งหมดไว้ เห็นแล้วก็พิสดารมาก ไข่ที่ซ้อนกันอยู่จำนวนมากจะได้รับความร้อนทั่วถึงได้อย่างไร อนึ่ง รังที่ทำก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะรอดพ้นจากน้ำฝนได้ แต่ละรอบฟัก..ไข่ของไก่ต๊อกจึงเน่าเสียหายจำนวนมาก คาดว่าจะประสบผลสำเร็จไม่ถึง5%

ที่แปลกใจก็คือปัญหานี้คงมีมายาวนานตั้งแต่ก่อเกิดไก่ประเภทนี้แล้ว

ทำไม?..ไม่มีการพัฒนาการเทคนิควิชามาแก้ไข

รึ..ในกลุ่มสัตว์ปีกบางประเภท..ความรู้ถูกคุมกำเนิด

ไม่สามารถพัฒนาการเรียนรู้ใหม่ๆได้

คงอยู่กับความรู้เดิมๆ อยู่กับความสามารถและทักษะที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ปัญหาเหล่านี้โยงมาถึงตัวช่วย ถ้าเราอยากจะขยายพันธุ์ไก่ต๊อก เราจะต้องไปเอาไข่มาช่วยฟัก เช่น เอาไปฝากแม่ไก่บ้านฟัก หรือซื้อเครื่องมาฟัก ถึงจะได้ลูกไก่ต๊อกจำนวนมากกว่าที่รอคุณลูกจากคุณแม่ไก่โดยธรรมชาติ

เรื่องนิสัยใจคอของสัตว์แต่ละประเภทน่าสนใจนัก ตอนนี้ผมมีแม่ห่านอยู่ตัวหนึ่ง ห่านต้องการเพื่อนนะครับ แต่ห่านไปเข้ากับสัตว์ปีกกลุ่มไหนก็มีใครนับพวกด้วย จึงอยู่อย่างหงอยเหงา เดินเล็มยอดหญ้าและใบไม้กินอย่างเดียวดาย ถึงเวลาตั้งไข่เธอก็จะไปเสาะหาพื้นที่ทำรัง ไซ้ขนอ่อนและหาเศษหญ้ามารองรัง แล้วก็เบ่งไข่ออกมา8-10ฟอง หลังจากนั้นก็หมอบฟักอย่างอดทน โดยหารู้ไม่ว่าไข่ของเธอไม่มีเชื้อ.. ถ้าเราไม่เก็บมารับประทาน ไข่เธอก็เน่าเสีย เธอเองก็เสียเวลาหมอบอยู่อย่างนั้น

ราไม่มีทางสื่อสารกับแม่ห่านได้ จะบอกยังไงละครับว่า..คุ ณ ค อ ย า ว จ๋ า ..ไ ข่ ที่ เ ธ อ ห ม อ บ ไ ม่ มี ลู ก ห ร อ ก . .อ ย่ า ท ร ม า น เ ล ย

รึ..บางทีคุณคอยาวเธอต้องการทำหน้าที่แม่ตามวิสัยของธรรมชาติ

เมื่อเบ่งไข่ออกมาแล้วต้องทำตามขั้นตอน

คือหมอบไข่..หมอบนิ่งๆนานๆ..เรื่องอื่นไม่สนใจ

น่าแปลกตรงที่เธอคงทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

แต่ละครั้งก็ยังไม่เคยมีลูกเจี๊ยบออกมาเลี้ยงสมใจ

ห่านไม่สามารถช่วยตัวเองผสมเทียม ฝากย้ายตัวอ่อน หรืออุ้มบุญ

ประเด็นของห่าน ทำให้ผมยี่ยักยี่หย่อนที่จะเลี้ยงห่านกินไข่

คือจะเลี้ยงเฉพาะห่านตัวเมียสักฝูงหนึ่ง

ถ้าเลี้ยง20ตัว ก็น่าจะได้ไข่ประมาณ 150 ฟอง/รอบ

ปีหนึ่งๆจะได้เก็บไข่มาต้มยางมะตูมประมาณ 300-365ฟอง

ถัวเฉลี่ยแล้วเราจะมีไข่ห่านทำอาหารวันละ 1 ฟอง

นอกจากนี้ถ้าเราเลี้ยงไก่ต๊อกไก่แจ้ผสมเข้าไปอีก เราก็จะมีไข่สมทบ เมื่อก่อนผมเคยเลี้ยงขยายไก่ต๊อกได้เป็นร้อยตัว ยังมีไก่บ้านไก่แจ้อีกเป็นฝูง ทั้งวันจะได้ยินเสียงไก่เซ็งแซ่ เดินไปไหนก็จะเจอประชากรสัตว์ปีกมากมาย อะไรที่มากไปก็เป็นปัญหา ..สัตว์เหล่านี้ไปคุ้ยเขี่ยแปลงผัก ขี้เรี่ยราด บางทีก็มาเข้าแถวตะเบ็งร้องจนหูแทบแตก

ไก่ต๊อกนี่นะเธอ..ถ้าเข้าแถวสัก20ตัว ร้องขออาหารพร้อมๆกัน

เธอเคยเห็นไก่ต๊อกร้องแบบเอาเป็นเอาตายไหม?

โห..มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

ถ้าเคยให้อาหารประจำ

เขาจะจำไว้..ถึงเวลาก็จะมาเข้าแถวร้องเพลงชาติไก่ต๊อกจนลั่นป่า

ปัจจุบันผมเลี้ยงสัตว์ปีกพวกนี้แบบบุฟเฟ่ต์ ปล่อยให้คุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเอง สร้างรังเอง เลือกนอนตามคาคบไม้ ช่วงพลบค่ำ..มาคอยดูเถิด ไก่พวกนี้จะ พาลูกๆไต่ขึ้นต้นไม้ไปเกาะกิ่งที่เคยนอนประจำ ที่น่าประทับใจก็ตอนที่ลูกเล็กๆอายุ7-8วัน ยังไม่มีขนปีกยังไม่กล้าขายังไม่แข็ง แม่ไก่จะมีวิธีฝึกลูกน้อยให้ไต่ไปนอนบนต้นไม้ได้อย่างไร?

แสดงว่าในสรรพสิ่งทั้งปวงต่างก็มีชุดวิชาความรู้ของตนเอง

วิชาความรู้ในธรรมชาตินั้นลึกซึ้งนัก

ลึกเสียยิ่งกว่าตำราที่มนุษย์เขียนและร่ำเรียนกันเสียอีก

เรื่องพวกนี้ยากที่จะอธิบายให้คนที่ไม่ใส่ใจธรรมชาติให้เข้าใจ โดยเฉพาะพวกที่คิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ล้วนเป็นเรื่องโมเมชั่นคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น สัตว์ที่มีกิเลศเกาะกุมสันดานซับซ้อน จะเป็นสัตว์ประเสริฐตรงไหนกัน !

สิ่งประเสริฐตัวจริงอยู่ในธรรมชาติ

ธรรมชาติคือธรรมะ

ธรรมะคือความจริงแท้แน่นอนไม่แคลนคลอนและแปรผัน

เธอเคยเห็นใคร..ปลูกมะม่วงแล้วออกผลมาเป็นมาม่าไหมเล่า!

ปลูกอย่างไร ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

คนไม่เคยคอมเมนท์..จะรู้ลึกซึ้งถึงอานุภาพของคอมเมนท์ได้อย่างไร?

อย่างเก่งก็ดาดๆผิวเผินไปวันๆ

ไม่ได้เข้าไปถึงกระบวนการเชื่อมโยงความรู้กับใครเขาได้หรอก

นอกจากตาบอดสี ใจยังบอดใบ้อีก

ถ้าเป็นไปได้ก็ลองซื้อหนังสือเจ้าเป็นไผไปอ่านดูเถิด

เธอจะเห็นการเกาะเกี่ยวสัมพันธภาพของคนที่เป็นเพื่อนเป็นญาติสนิทกัน

ค ว า ม รั ก นั้ น ห า ไ ด้ ไ ม่ ย า ก ห ร อ ก

ถ้าเธอรู้จักคอมเมนท์เสียบ้าง

คนที่ไม่ยอมคอมเมนท์..

คือคนที่เป็นหม้ายกระบวนการพัฒนาวิธีเรียนรู้ผ่านออนไลน์

พวกเราล้วนตกอยู่ในยุคของมนุษย์สายพันธุ์ไอที

เธอจะไอเลิฟยู..ให้กันบ้าง มันลำบากใจนักรึ

โธ่ๆๆๆ..


พาโนราม่า มาทำไม?

อ่าน: 2652

ผมชอบตื่นมาช่วงย่ำรุ่ง ไม่ได้มายิงกระต่ายหรือทำกิจกรรมพิเศษใดๆหรอกนะครับ ชอบบรรยากาศที่เงียบสงัด อากาศเย็นๆ แสงเดือนดาวหรุบหรู่ คอยเงี่ยหูฟังดูว่านกตัวไหนจะร้องปลุกเพื่อน ความสงบทำให้ความคิดลื่นไหล เหมาะที่จะมานั่งบันทึกเรื่องราวประจำวัน ระหว่างที่ผมกำลังนั่งพิมพ์ก๊อกๆแก๊กๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอตื่นแต่เช้า..ในมือถือกล้อง/สมุดพกมายกมือไหว้แต่ไกลๆ จนกระทั้งมานั่งต่อหน้าเจรจาพาที เธอแนะนำตัวว่ามาจากพาโนราม่า

ก่อนหน้านั้นเธอโทรศัพท์มาจากยโสธร บอกว่ากำลังถ่ายทำรายการ เสร็จจะขอแวะมาที่พบ เธอถามว่าว่างไหม? อยู่บ้านไหม? ผมก็นึกว่าจะมาถ่ายทำรายการต่อที่เรา จึงชวนว่ามานอนที่สวนสิจะได้มีเวลาคุยกัน ..จนกระทั้งบ่ายคล้อย เธอโทรมาอีก บอกว่าน่าจะมาถึง3ทุ่ม จะเข้าสวนป่ายังไง?

คืนนั้นผมเพลียจนม่อยหลับไป

อาจารย์ปูนั่งทำงานต่อ..

ช่วงเช้าถึงทราบว่า..อาจารย์ปูออกไปรับ

มิน่าละ..เช้ามืดเธอถึงย่องออกมาคุยกับผมได้

ผมก็คงรุ่มร่ามแบบผม ไม่นึกว่าจะต้องต้อนรับใครยามเช้าตรู่ หน้าตาก็ยังไม่ได้ล้างน้ำก็ยังไม่ได้อาบ การแต่งกายก็ยู้ยี้ตามประสาคนป่า ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่มาเจอตอนแก้ผ้านั่งพิมพ์หนังสือ

เธอชื่อสุดใจ ข่าขันมณี (น้อย) เธอเล่าว่า..สนใจเรื่องแนวทางการพัฒนาท้องถิ่น และสนใจค้นหาตัวเอง คิดๆๆและคิดว่า..ผู้คนในสังคมกำลังตกอยู่ในสภาพอย่างไร? และจะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด เธอทำสื่อเรื่องผู้รู้/ชุมชน/กรณีศึกษา/มาทั่วประเทศ แ ล้ ว ก็ ถึ ง จุ ด อิ่ ม ตั ว ทุกค่ายทุกช่องทุกสื่อก็ทำรายการคล้ายๆกัน พ่อคนไหนที่อยู่ในเส้นทางนี้ก็จะมีทีวีมาขอถ่ายทำรายการ แม้แต่สวนป่าเองก็ไม่ได้ยกเว้น ปีหนึ่งๆเราถูกถ่ายทำรายการอยู่เรื่อยๆ วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้

ก ล า ย ป็ น คุ ณ พ่ อ รู้ ดี ..แต่สังคมไม่มีอะไรดีขึ้น!

พวกที่ทำสื่อก็ดิ้นสิครับ เราจะพบเห็นรายการต่างๆเอาชีวิตของเกษตรกรมาออกรายการ เอาภาพการจัดสัมมนาล้อมวงในท้องทุ่ง เอาเรื่องพ่อโน่นแม่นี่มาออกจนเฝือ บางช่องพยายามนำเสนอฉีกแนวออกไป แล้วก็ทำได้ดีมาก เช่น รายการกบในกะลา รายการคนค้นฅน พักหลังผมเห็นการจัดประกวดการแสดงแบบยกทีมโรงเรียนมาประชันร้องเพลงประกอบรีวิว ก็เป็นที่น่าสนใจดี บางช่องจัดแบบยกหมู่บ้านหรือตำบลมาประกวดร้องเพลงกัน พี่ป้าน้าอาก็ยกขบวนมาเชียร์ลูกหลานกันอย่างอึกทึก สนุกสนานกันทั้งตำบล ยังมีรายการคุณพระช่วย ที่เสนอเรื่องราวสะท้อนอัตลักษณ์ไทย ส่วนรายการเกมส์โชว์บางช่องก็ทำได้ดี ที่ไปชวนคนไทยมาแสดงความสามารถพิเศษ ทำให้เราพบว่า..ค น ไ ท ย ก็ ไ ม่ ธ ร ร ม ด า น ะ เ ธ อ . . รายการน้าโหย่งกับเพื่อนมาร้องเพลงฉ่อยหน้าม่าน ถือว่าเป็นฮาทศวรรษแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้เลยละครับ

รายการลักษณะนี้ถ้าพัฒนาการตลอด

จะสามารถแข่งกับรายการละครที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงอะไร

บางเรื่องนำกลับมาแสดงซ้ำอีก4-5รอบ

เปลี่ยนเพียงพระเอก-นางเอก แต่คนไทยก็ชมกันอยู่นั่นแหละ

รายการประเทืองปัญญาหาโอกาสออกอากาศยากมาก

สื่อของเมืองไทยจึงไม่ค่อยจะทำหน้าที่ชี้นำสังคมในทางที่ถูกที่ควร รายการประเทืองปัญญาไม่ค่อยมี รึ อาจจะเป็นเพราะกึ๋นของคนทำสื่อจำกัดก็ไม่รู้นะ ..อิทธิพลของสื่อนั้นซึมลึกไปถึงก้นครัว กระแสต่างๆล้วนมาจากสื่อ ยิ่งสมัยเทคโนโลยีด้านการสื่อสารเจาะไปถึงใจผู้คนทั่วทุกหัวระแหงอย่างนี้ด้วยแล้ว ถ้าวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆไม่แข็งโป๊ก อยากที่จะไม่อ่อนไหวอ่อนแอไปตามกรรมวิธีล้างสมอง

จะเห็นว่า..เด็กไทยอยากจะเป็นเด็กเกาหลีกันไม่บันยะบันยัง

มีพฤติกรรมแปลกๆ เจาะหู..เจาะห.. ทำจมูก ผ่าโน่นดึงนี่

สารพัดวุ่นวายกับตัวเองเพื่อจะหนีความเป็นไทย

อ้าว! แล้วประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของผม เอาไปซุกไว้ที่ไหนละครับ มีคนเอาภาพการแต่งตัวของนักศึกษาชาติต่างๆในอาเซียนมาแสดง ของ-ลาว-พม่า-เวียดนาม-ยังมีค่านิยมของความเป็นชาติเรียบร้อยมาก เห็นแล้วปลึ้มแทนประเทศนั้นๆ

ประเด็นการพูดคุยกันกับพาโนราม่าส่วนมาก จะอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ไร้ทิศทาง ผู้บริหารสื่อมีแนวคิดว่า..มีกลไกอะไรไหมที่จะทำให้คนไทยเปลี่ยนแนวคิด ช่วยกันหันมาดูตัวเองว่า ในสภาพสังคมที่กำลังปีนเกลียวกับทุกเรื่องอยู่นี้ เราจะช่วยกันคลี่คลายปัญหาสังคมติดหล่ม ให้ค่อยๆเห็นทิศทางที่จะกอบกู้ความวิกฤติที่ว่านี้กันอย่างไร มีอะไรบ้างที่จะเป็นคานงัดให้สังคม

น้อย..บอกว่าเจ้านายให้คิดในประเด็นนี้ เธอเองก็สนใจมาก พร้อมที่ทุ่มเทตีโจทย์นี้ให้แตก ช่วงนี้เธอจึงตระเวนพบปะคนโน้นคนนี้ เพื่อรวบรวมประเด็น/แง่คิด/มุมมอง/ไปประมวลออกแบบรายการในปีหน้า

เราคุยกันค่อนข้างมาก ผมก็เล่าถึงแนวคิด ความคันในหัวใจ ที่อยากจะทำเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน แต่ก็มีข้อจำกัด เราต้องทำงานบนฐานความไม่พร้อมตลอดเวลา อยากจะพัฒนาอะไรก็ต้องดิ้นรนหาทุนมาทำด้วยตนเอง แม้แต่หนังสือเจ้าเป็นไผ หรือโมเดลอีสานที่ให้เธออ่าน เ ป็ น ก า ร ข า ย ค ว า ม คิ ด เ พื่ อ ห า ทุ น ม า ส ร้ า ง ห มู่ บ้ า น โ ล ก ถึงจะรู้ว่าปัญหาบ้านเมืองมันสาหัสสากรรจ์อย่างไร ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาช่วยกันคนละไม้ละมือ ปัญหาสังคมก็จะถูกลอยเพ

อันที่จริงคนไทยก็ลอยเพสังคมมานานแล้วละครับ

สังคมใกล้จะอับปางแล้วก็ยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

ไม่รู้ร้อนรูหนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว

ตอนสายๆหนุ่มหล่อที่มากับน้อย ชื่ออนันต์ธนา มงคลศิริ มาสมทบคุยด้วย ในขณะเดียวกันก็บันทึกถ้อยคำไปฝากเจ้านาย แสดงว่าประเด็นฉุกคิดได้ลำเลียงออกไปจากสวนป่าแล้ว ผมแนะนำเพิ่มเติมว่า..วันที่8-11 ที่เชียงใหม่ก็มีรายการน่าสนใจนะ มีผู้สันทัดกรณีทั้งอาเซียนและชาวราชมงคลทั่วประเทศมาช่วยกันมองไปข้างหน้า

20ปีประเทศไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

ที่ชวนเพราะผมอยากให้วงการสื่อไทยทำการบ้านมากๆเหมือนต่างประเทศ ที่สกรู๊ปข่าวจัดทำอย่างมีคุณค่า อนึ่ง ผมอยากจะให้ทีมงานพาโนราม่าเจอกับชาวเฮด้วย เพราะเธอสนใจเรื่องของเฮฮาศาสตร์อย่างมาก อ้อ! เธอเป็นนักเขียนด้วยนะครับ ผมอยากจะให้เธอไปช่วยยุชาวเฮภาคเหนือเขียนบันทึกมากขึ้น

ผมเพิ่งได้รับหนังสือเชิญประชุมคณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นเพื่อพัฒนาร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย ประเด็น : การปฏิรูปวิชาชีพด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ เชิญประชุมวันที่ 6 เวลา 13.00-16.00 . ณ ห้องประชุมสำนักงานคณบดี ชั้นเอ็ม 2 อาคารเรียนรวม คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

::เรื่องนี้ญาติมิตรแฟนจ๋า..ช่วยกรุณาสมทบความคิดเห็นด้วยนะครับ จะได้นำไปสู่นโยบายดังกล่าว

เสียดายที่จองตั๋วไปเชียงใหม่ไฟล์เย็นวันที่7

ไม่อย่างนั้นผมประชุมเสร็จวันที่6

ก็เผ่นไปกินข้าวซอยเชียงใหม่กับคุณน้าแห่งชาติและพี่น้องชาวเฮ

ไม่ต้องแกร่วอยู่บางกอกให้อาดูร..

สรุปว่า..ตั้งแต่เช้าวันที่ 7 จนถึงเวลา 16.00 .

ผมจะบริหารเวลาแทบทั้งวันนี้ยังไงดี

1 นั่งทำPower point

2 ชวนขาใหญ่คุยเรื่องหนังสือ

3 นั่งทบทวนเรื่องที่จะไปโม้

4 นั่งดูคอมเมนท์ของคนสวย



Main: 0.055405139923096 sec
Sidebar: 0.047366857528687 sec