จดหมายถึงท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้

โดย sutthinun เมื่อ 17 กุมภาพันธ 2012 เวลา 7:38 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1428

ท่านเง๊กเซียนครับ ผมได้รับบัญชาให้เขียนถึง สันติวิธีหรือวิธีสันติ ฉบับมหาชีวาลัยอีสาน จึงขออนุญาตมารบกวนให้ท่านช่วยพิจารณาช่วยด้วย ผมจะทำยังไงดีกับเรื่องที่คันอยู่ในหัวใจ แต่หาคนช่วยเกายังไม่ได้ ชวนคนไหนเขาเอาแต่โบ้ยบ้าย ทุกคนซังกะตายหมดแล้ว ที่ยังเต้นแร้งเต้นกาก็พอมีบ้าง แต่ก็อ่อนแรงเต็มที ท่านเง๊กเซียนมียาโด็ปไหมละครับ โปรดประทานให้ผมสักจอกหนึ่ง ผมจะเอาไปแจกเพื่อนๆพี่ๆผมใน สสสส.

งานเข้าอีกแล้วพี่น้อง เจอรายการคำขอมา2ฉบับ

รายการแรกมาจากนายแพทย์สุธี ฮุนตระกูล นักศึกษาสสสส.3 หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข(สสสส.) สถาบันพระปกเกล้า คุณหมอขอให้เขียนเรื่องอะไรก็ได้ไปเขย่าบล็อกหน่อย ไอ่อะไรก็ได้นี่แหละยากที่สุด อีกทั้งเป็นพื้นที่ของจอมยุทธระดับสูง จะบุ่มบ่ามบุกเข้าไปก๋าๆหาได้ไม่ จะต้องใช้แม่ไม้มวยไทยกี่แม่ก็ไม่ทราบได้ แม่ยกก็ไม่มีกับเขาเสียด้วย มีแต่แม่ยาย แต่ก็เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมนะร่ำรวยอารมณ์รื่น ตั้งแต่มายืนอยู่ในพื้นที่FB.ก็ได้รู้จักญาติมิตรคนดีๆน่ารักทั้งนั้น ท่านเหล่านี้เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นครู เป็นผู้อุปการะให้ความเมตตาต่อผม เอื้ออาทรความรู้สึกระหว่างกัน แบ่งปันประโยชน์ความรู้ความรักความสุขกันสม่ำเสมอ

· เราพูดกันมากมายเรื่องสันติสุข สันติภาพ

· เราคิดกันมากมายเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้

· เราแสวงหากันมากมายเรื่องสมานฉันท์

มีทฤษฎี มีงานวิจัย งานสังเคราะห์กรณีศึกษา มีการปฏิบัติการหลายรูปแบบ ผมในฐานะลูกศิษย์สำนักนี้ก็ได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ จะยื่นหมูยื่นแมวตัวเองก็แค่หมาน้อยธรรมดา จึงมาปักหลักค้นหากระบวนสร้างสันติสุขภาคประชาคม เท่าที่ตัวเองพอจะทำอะไรได้บ้าง ..ย่างกรายมาร่ายรักต่อกลอนเขียนโน่นนี่ เพื่อผูกมิตรไมตรีกับเครือญาติของผม เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ยังไม่มีอะไรมาก แต่ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า คนไทยที่ผมเป็นเพื่อนกับเขาล้วนเป็นคนดี รักและห่วงใยบ้านเมือง และมีมิติสังคมในหัวใจ ไม่อย่างนั้น จะมีระบบไหนละที่จะมาเอื้ออวยให้ท่านเหล่านี้ เข้าไปมีส่วนช่วยเหลือประเทศชาติ

มองหารูยังไม่เจอครับ

คนดีของแผ่นดินมากมายเหล่านี้ มีความพร้อมทั้งความรู้ความคิดประสบการณ์และอุดมการณ์ แต่ความผันผวนในสังคมได้คุมกำเนิดความรู้ความคิดภาคประชาชนไว้แน่นหนึบยิ่งกว่าปลากระป๋อง ปัญหาของประเทศชาติจึงถูกลอยเพ เหมือนผักตบชะวาที่ไหลไร้ทิศทาง ตามแต่น้ำเน่าจะพัดพาไปทางไหน

คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างผม

ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น

แต่อย่างน้อยก็บอกตัวเองได้ว่าทำแล้วนะ ได้แค่นี้แหละ

ส่วนที่เหลือผมคิดว่ามีคนไทยอีกมากมายทำเรื่องดีๆให้กับบ้านเมือง เพียงแต่เขาไม่ทำเอาหน้าและไม่เสนอหน้า ผมรู้จักครูบาอาจารย์บางคนก้มหน้าก้มตาสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีอย่างเต็มความสามารถ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศบ้าๆบอๆ ผมรู้จักนักธุรกิจบางคนที่ไม่คิดแต่จะร่ำรวยแบบเอาเปรียบสังคม ไม่บ้าเงินบ้ากล่องจนกระทั้งไม่เห็นศีรษะเพื่อนร่วมแผ่นดิน รู้จักหมอหลายคนที่ทุ่มเททำงานในชนบท

นอกจากรักษาคนแล้ว ยังรักษาโรคทางสังคมอีกด้วย

สังคมสันติสุข ฟังแล้วหัวใจพองโต แต่มันช่างอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกิน แต่พ่อหลวงสอนเราด้วยเรื่องราวพระมหาชนก ขนาดตกเรือลอยคอมองไม่เห็นฝั่งก็ยังไม่ท้อ นี่พวกเรายืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยเต็ม2ขา ถ้ามาคิดถดถอยก็ไม่ต่างกับหมาน้อยธรรมดา

ผมสำนึกบุญคุณสถาบันพระปกเกล้า เคารพในบุญครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน เคารพรักพี่ๆที่เมตตาส่งอะไรมาให้มากมาย ทั้งๆที่เสียมารยาทไม่ตอบกลับ แต่ก็จำไว้มั่นว่าเราได้รับความกรุณาจากเพื่อนที่เต็มไปด้วยมิตรภาพของแท้ ไม่ใช่การเลียนแบบของความเป็นเพื่อนอย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป ผมติดตามข่าวคราวท่านพี่ๆอยู่เสมอ ทราบข่าวเพื่อนเราก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานทุกปีก็ดีใจด้วย แต่ไม่ได้แสดงออกจนกว่าจะได้เจอหน้ากัน หลายท่านปักหลักทำงานเชิงรุกอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างท่านพลตำรวจเอกวันชัย ศีนวลนัด ขออนุญาตที่เอ่ยนาม แหม..ขอเลียนแบบชาวสภาเขาหน่อย ท่านพี่สว.สุนันท์ สิงห์สมบูญ คงอนุญาตนะครับ ท่านพี่วันชัยเปิดเวทีองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ทุ่มเทบัญชาการเองทุกวันขยันมาก ผมไปแอบตอดนิดตอดหน่อยเพราะมีเวลาจำกัด

ญาติผมทางนี้เขารอผมตั้งแต่ตี3 ท่านลองเข้าแง้มดูได้ในเฟสบุกค์ก็จะเจอ หรือยังข้องใจจะตามไปที่บล็อกลานปัญญา ถามหาลานสวนป่าจะเจอไม่ยาก ผมใช้สื่อไอทีในการพัฒนาตนเองและมิตรสหายที่อยู่รอบตัวทำแบบวิชาเกิน ไม่มีความรู้อะไรหรอก

มีแต่กำลังใจ กับ กำปั้น ไว้ทุบดิน

ประเทศไทยวันนี้ได้ลงทุนสร้างโครงข่ายพื้นฐานการโทรคมนาคมไปทั่วทุกหัวระแหง วิทยุชุมชน ทีวี โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ท สามารถเข้าได้เข้าถึงพอสมควร อีกหน่อย3G. แพร่หลายจะสะดวกกว่านี้ การคมนาคมถนนหนทางสะดวกมาก รถทัวร์ รถบัส รถตู้ วิ่งกันให้ควัก หลายจังหวัดมีบริการเดินทางโดยเครื่องบิน แต่บ้านผมแย่หน่อยเข้าลักษณะลูกเมียน้อย มีเครื่องบินโดยสารเฉพาะวันศุกร์กับวันอาทิตย์ ส่วนรถทัวร์สบายมาก เที่ยวสุดท้ายออกจากบางกอกเที่ยงคืน มาถึงบุรีรัมย์ตอนรุ่งสาง ส่วนรถไฟ รอรัฐบาลสร้างรถไฟหัวกระสุนเมื่อไหร่จะสุดเริดเลยละครับ

ที่พูดถึงเรื่องนี้เป็นคุ้งเป็นแควก็เพื่อจะบอกว่า อุปกรณ์/เครื่องมือเหล่านี้ น่าจะเป็นปัจจัยเอื้อการการสร้างสังคมสันติสุขได้ไม่มากก็น้อย ถ้าเรารู้จักใช้/ใช้ให้ถูกทางและใช้ให้คุ้มค่า. เรามาส่งเสริมให้เกิดความตระหนักที่จะพัฒนาตนเองและเครือข่าย ด้วยการใช้ไอทีที่เป็นกระแสทั่วโลก จะไม่ดีกว่าการพร่ำบ่นว่าจะเข้าไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเชิงทฤษฎีอย่างโน้นอย่างนี้รึครับ มันสำคัญที่ให้แก่นสารกับผู้คนมีส่วนร่วมในวงกว้างได้อย่างไร?

· ทำอย่างไรรึ

· ก็ทำอย่างที่หลายๆท่านกำลังกระทำอยู่นี่แหล่ะ

· ยังอีกหลายพันวิธีที่จะเลือกปรับใช้ตามศักยภาพของแต่ละท่าน

ผมและเพื่อนๆจากกลุ่มเฮฮาศาสตร์ จะสร้างกุฏิเล็กๆถวายท่านเจ้าคุณพระมหานภัณต์ สนติภทุโท (ถาวรเจริญบรรจบ)ที่สวนป่า เพื่อจะหาจังหวะนิมนต์ท่านมาเคาะกะโหลกเป็นครั้งคราว ผมยังมีโครงการสร้างหมู่บ้านโลกในปีนี้ หมู่บ้านโลกที่ว่า..หมายชุมชนเล็กๆที่ประกอบด้วยผู้คนที่มีจิตใจคล้ายกัน ที่อยากจะมาอยู่รวมตัวกัน แลกเปลี่ยนความรู้กันฉันญาติร่วมสุขร่วมทุกข์กัน มีอะไรก็หันหน้าเข้าหากัน อยากจะทดลองทำวิจัยเรื่องอะไรก็ลงมือกระทำไปเรื่อยๆ ถ้ามีชุดความรู้ไหนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเราก็จะนำไปเผยแพร่ พยายามช่วยกันหาคำตอบ..เราจะช่วยอะไรประเทศนี้ได้บ้างในสไตล์ของเรา การคิดการทำแบบนี้ไม่ได้ไปเบียดบังใคร แต่เปิดโอกาสให้คนดีความสามารถมาพบปะจับมือจับใจกันทำงานเชิงรุก

จะทำงานเชิงรุกได้มันต้องลุกจากเก้าอี้

บางท่านบอกว่าเท่านี้ไม่พอหรอก

มันต้องลุกขึ้นมาทั้งตัวและหวังใจ

ท่ามกลางความอลวนของสังคม เกษตรกรเป็นจำนวนมากต้องทิ้งถิ่น เพราะไม่มีความรู้เพียงพอที่จะอยู่ในท้องถิ่น ประมาณเกินครึ่งของครัวเรือนเกษตรกรต้องกลายเป็นผู้อพยพในประเทศของตนเอง เปลี่ยนจากเกษตรกรไปเป็นกรรมการเพราะความประมาทหรือเพราะอะไรมาบีบไปก็ไม่ทราบได้

ในขณะเดียวกันคนกรุงที่มีวิชาความรู้ แต่อุดอู้อยู่แต่ในกรุงเทพฯเหมือนปลากระป๋อง ผมจึงคิดเบาๆแต่เอาจริงว่า..จะชวนท่านที่มีวิชาความรู้เหล่านี้ออกมาพัฒนาชนบท แล้วให้คนชนบทไปอยู่ในเมืองแทน กระแสคนชนบทเข้ากรุงเป็นไปพอสมควรแล้ว แต่กระแสคนกรุงออกชนบทยังไม่เห็นเท่าใดนัก นอกจากตอนน้ำท่วมใหญ่ ไปๆมาๆแล้วกลับไปเผชิญไฟเขียวไฟแดงต่อไป..

การที่คนเมืองจะออกมาอยู่ในชนบทควรมีแบบแผนบ้าง

มันไม่ใช่แบบออกมาจับจองพื้นที่ปลูกสร้างรีสอร์ท ผมคิดมากไปกว่านั้น ทำอย่างไรถึงจะให้เขาตระหนักว่า อยู่ที่ไหนก็ผืนแผ่นดินไทย อยู่ที่ไหนก็ทำความดีงามให้กับบ้านเมืองได้ โดยเฉพาะท่านที่มีประสบการณ์และทักษะมหาศาล ถ้ามีการกำจัดเงื่อนไขให้เหลือน้อยที่สุด การอพยพทรัพยากรมนุษย์สายพันธุ์ดีให้มาแพร่ขยายความดี ให้มารู้เห็นความเป็นไปของบ้านเมือง ช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังลำบาก เป็นเรื่องที่ท้าทายน่าประลองสติปัญญาไหมละครับ

เรื่องเหล่านี้จะเขียนหรือโม้โอ้อวดอย่างเดียวก็คงไม่ต่างกับเด็กเลี้ยงแพะ

ผมจึงต้องเอาตัวเองนี่แหละเป็นหนูลองยา

ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่เรื่องเสมือนจริงออกไปลับ-ลวง-พราง

ผมทำอะไรบ้าง

1. เรื่องสุขภาวะด้านสุขภาพของคนไทย

2. เรื่องมิติทางสังคม สำนึกรักบ้านเกิดรักแผ่นดิน

3. เรื่องการจับมือกันร่วมทุกข์ร่วมสุขของคนไทย

4. เรื่องการเชื่อมโยงสติปัญญาวิชาความรู้ และทักษะชีวิต แบบอิงระบบ

เอาแค่4เรื่องนี้ เดินขาเป็นเลข8แล้วละครับ

1.เรื่องสุขภาวะด้านสุขภาพของคนไทย คนเราอยู่ที่ไหนควรจะมีความรู้เพียงพอที่จะพัฒนาพื้นที่อยู่ที่ทำกินให้เจริญขึ้นตามลำดับ ผมจึงปลูกป่าไม้เป็นหลัก อีสานบ้านผมตัดไม้ทำลายป่าเยอะ เกิดวิกฤติทางธรรมชาติรุนแรงมากขึ้นๆ เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน ถ้ามีต้นไม้เป็นต้นทุนอยู่บ้างก็จะช่วยลดปัญหาแถมยังนำพาไปสู่การพึ่งตนเอง เช่น เอากิ่งไม้มาทำเชื้อเพลิง เอาใบไม้มาสับเลี้ยงปศุสัตว์ เอามัน-กลอย-เสาวรส-ไปปลูกข้างต้นไม้ใหญ่ให้เป็นค้างธรรมชาติ ในแต่ละปีผลผลิตวิธีนี้จะให้เรามีอาหารและผลไม้ปีละ2เข่ง/ต้น ถ้าทำ1,000 ต้น เหลือกินเอาไปแจกญาติผมได้ไม่น้อย หรือจะพัฒนาเป็นสินค้าอนามัยก็ไปได้อีกไกล เป็นส่วนเสริมด้านสภาพแวดล้อมที่มั่นยืนโดยไม่รีบตัดต้นไม้ก็อยู่ได้ ใช้เป็นแหล่งพลังงาน ผลิตผลไม้และอาหาร สร้างงานและอาชีพในท้องถิ่น ปฏิบัติการเหล่านี้เป็นต้นทุนให้แต่ละครัวเรือนอย่างแท้จริง แค่ชาวบ้านเก็บเอาเมล็ดไม้ไปเพาะปลูกหรือจำหน่ายก็มีงานทำที่ไม่เบาแล้วนะครับ ส่วนปศุสัตว์ผมเลี้ยงวัวเพื่อผลิตปุ๋ย เลี้ยงแพะเพื่อวางแผนให้เป็นโปรตีนที่เหมาะในอนาคต เลี้ยงไก่ให้อยู่ตามธรรมชาติ

ที่สำคัญผมปลูกผักทำการวิจัยเรื่องผักและกินผัก เรื่องนี้เกิดผลต่อตัวเองมาก หลังจากที่ผมเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ ทำให้ท้องป่องเหมือนลูกแตงโมลดลงเรื่อยๆ อาการท้องผูกหายเป็นปลิดทิ้ง น้ำหนักตัวจาก 60 ..วันนี้ลดลงเหลือ 57 ..และจะลดลงไปที่ 55. .. ตามที่หมอแนะนำได้ไม่ยากนัก โดยไม่ได้พึ่งยาชนิดใดแม้แต่น้อย ทุกอย่างเกิดความตระหนักในตัวเอง สิ่งใดก็ตามถ้าทำแล้วเกิดประโยชน์โดยตรงต่อชีวิตของผู้คน ผมเชื่อแน่ว่าจะมีผู้คนหันมาทางแนวทางนี้มากขึ้น ส่วนกระบวนการก็ไม่จำเป็นต้องไปขืนโคให้กินหญ้า แนะนำกันด้วยเหตุด้วยผล ให้เขาจัดการบริหารชีวิตด้วยตัวของเขาเอง

จุดขายอยู่ที่ถามว่า

คุณรักตัวเองแค่ไหน

คุณต้องการเพิ่มความรักให้ตัวคุณเองอีกไหม

มีวิธีนี้นะ..ยังงี้ๆ เลือกเอาประยุกต์เอาตามความเหมาะสม

เรื่องลักษณะนี้ตัวผู้แนะนำส่งเสริมต้องเป็นต้นแบบเชิงประจักษ์ จะไปส่งเสริมเรื่องมังสวิรัติทั้งๆที่ตัวเองพุงป่องเหมือนเจ้าไข่นุ้ยก็ใช่ที่..ควรทำให้ดูอยู่ให้เห็นกันจะๆ แล้วเอาสิ่งที่เราลงมือปฏิบัติมาชี้แนะกันมันถึงจะชัวร์ ใช่ไหมะครับ

· ความมั่นคงด้านอาชีพการงาน

· ความมั่นคงด้านอาหารและสุขภาพ

· ความมั่นคงด้านความรู้และทักษะชีวิตของตัวเองและบุตรหลาน

· ความมั่นคงด้านสภาพแวดล้อมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

· ความมั่นคงด้านการพลังงานและเชื้อเพลิง

· ความมั่นคงด้านบริบททางสังคม

· ความมั่นคงด้านความปลอดภัยและทรัพย์

· ความมั่นคงด้านเข้าถึงทุนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

ประเด็นเหล่านี้เป็นรากฐานของการสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่แท้จริง ถ้าเราไปจับกระเดียดเรื่องความรุนแรง เรื่องความขัดแย้ง ชอบชอบธรรมในสังคม โดยละเลยเรื่องความมั่นคงพื้นฐาน ก็เท่ากับเราไปเกี่ยวข้องกับภาพรวมของสังคมยังไม่สมบูรณ์นัก

รถยนต์วิ่งไม่เต็มลูกสูบมันก็กระฉึกกระฉักอย่างที่เป็นอยู่นี่ละครับ

2. เรื่องมิติทางสังคม สำนึกรักบ้านเกิดรักแผ่นดิน

เรื่องมิติทางสังคมกำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่กบดานอยู่อย่างน่าวิตกกังวล เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสวัสดิการของข้าราชการ กับ ภาคธุรกิจเอกชน เรื่องระบบข้าราชการมีปัญหาด้านกำลังผล ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน เรื่องความซับซ้อนของกฎระเบียบ เรื่องพวกนี้ปะทุขึ้นมาล้วนเป็นหมัดตายทั้งนั้นละครับ ดังที่เราจะสังเกตเห็นความเปราะบางอ่อนแออ่อนไหวในหมู่ข้าราชการมากขึ้น ศักดิ์ศรีเกียติภูมิของข้าราชการออกอาการอีบัดอีโรย หลายคนเบื่อหน่ายกับระเบียบเต่าล้านปี พอไปเทียบกับภาคเอกชนมันคนละเรื่อง ทำให้เกิดสมองไหลบ้าง แย่งกันเออรี่บ้าง ที่สาหัสคือเกิดวิกฤติศรัทธาระหว่างข้าราชการกับประชาชน

ไม่ทราบว่าสิ่งนี้เป็นตัวแปรต่อการสร้างเสริมสังคมสันติสุขไหมครับ

ในฐานะคณะกรรมการด้านกำลังพลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงชั้นเยี่ยมทางด้านการปรับปรุงตนเองตลอดเวลา คณะผู้บริหารฯทำการบ้านอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังเจอปัญหาหืดขึ้นคอ เรื่องการโยกย้าย เรื่องการขยายขอบข่ายงานสู่โรงพยาบาลเพื่อสุขภาพในชุมชน เรื่องสมองไหล แต่ละปีมีนักศึกษาแพทย์มาเข้าค่ายดูงานที่นี่ สิ่งที่อาจารย์หนักใจก็คือ ลูกศิษย์ไม่อยากทำงานในชนบท มาขอให้ผมประนีประนอมหว่านล้อมให้ที เรื่องนี้ไม่มีใครถูกใครผิด เพียงแต่นักศึกษามีมิติทางสังคมบ้างเขาถึงจะย้อนคิดเรื่องนี้ เราจะบรรจุพลังเหล่านี้ใส่ลงไปในหัวใจนักศึกษาแพทย์ เมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาและอาจารย์แพทย์ขอนแก่นก็มาที่นี่

วันที่ 23 มีนาคม ก็จะไปงานปฐมนิเทศนักศึกษาแพทย์จุฬาฯที่จังหวัดชลบุรี ได้หัวข้อมาแล้วครับ..อาจารย์แพทย์เชิญไปพูดเรื่อง “หมอของชาวบ้าน” คงจะไปจำมาจากสโลแกนของที่นี่..

“มหาชีวาลัยอีสาน คือยาขมหม้อใหญ่

ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อรักษาไข้ใจของคนอีสาน”

ผมสะท้อนให้นักศึกษาเห็นว่า ในชนบทยังมีเรื่องดีงามมากมายที่นักศึกษาควรจะได้แสวงหา องค์ความรู้เรื่องพัฒนาการกินอยู่ต่างหากที่เป็นหัวใจของระบบปฏิรูปสุขภาพ เอาแค่คนไทยกินเนื้อสัตว์ลดลงสักกึ่งหนึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วยก็ลดลงได้มากแล้ว แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มเตียงเพิ่มหมอทำเท่าไหร่ถึงจะพอ ปีนี้มีโครงการเพิ่มหมออีก 10,000 คน แต่คนป่วยรอหมดล้นทะลักเป็นหลักล้าน แก้กันเป็นวัวพันหลัก ก็คงเหมือนไม่ลดรายจ่าย มันจะเพิ่มรายได้ตรงไหนละครับ โครงการรณรงค์เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ยาบ้า สวมหมวกกันน็อกก็จะลดลง การประกันสุขภาพ ควรโยงไปถึงวัฒนธรรมด้านการความเป็นอยู่อาหารการกินอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าสามารถทำให้คนไทยรักตัวเองดูแลตนเองมากยิ่งขึ้น

ชี้ให้เห็นว่าโจทย์พวกนี้ ถ้านักศึกษาแพทย์ช่วยระดมกันทำได้

จะช่วยให้วิกฤตด้านการรักษาพยาบาลเห็นหน้าเห็นหลังเลยละครับ

แพทย์/พยาบาลจะได้ทำงานเหนื่อยน้อยลง

งบประมาณใช้จ่ายน้อยลง

ผู้คนแข็งแรงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สภาพผู้คนปลอดโรคยิ้มแย้มแจ่มใส

· ถามว่าถ้าผู้คนในชาติมีสุขภาพแข็งแรง

· ประเทศชาติแข็งแรงขึ้นด้วย

· การสร้างเสริมสังคมสันติสุขก็จะฟิตปั๊งตามไปด้วยไหมละครับ

· เราจะสร้างเสริมสังคมสันติสุขท่ามกลางคนป่วย

· คนยากคนจนไส้เต็มไปด้วยน้ำเหลืองสำเร็จได้หรือครับ

3.เรื่องการจับมือกันร่วมทุกข์ร่วมสุขของคนไทย

เรื่องนี้พูดไปแล้วเสียดายนัก จากการจารีตประเพณี/วัฒนธรรมที่ดีงาม หล่อหลอมคนไทยจนทำให้เกิดนิยามคำว่า “ยิ้มสยาม” อยู่กันอย่างเอื้ออาทรฝากผีฝากไข้กันได้ “ข้าวบ้านเหนือเกลือบ้านใต้” กลายมาเป็น “ทำไหรทำเถิ๊ด อย่าเปิดผ้า ทำไหร่ไม่ว่าผ้าอย่าเปิ๊ด วนๆเวียนอยู่แค่นี้ เมื่อปัญหาซับซ้อนมากขึ้นแบ่งกันออกเป็นหมู่เหล่า บ้างที่ไม่สนใจก็อยู่กันอย่างอีแอบ

ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมจะสันติสุขอย่างไรก็ยังงงอยู่นะครับ

เรื่องใหญ่ๆอย่างนี้ จะไปทำแบบเห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้างไม่ได้หรอก

แต่ถ้าชี้ชวนให้ผู้คนตระหนักหันหน้าเข้าหากัน เรียนรู้ร่วมกัน เกี่ยวก้อยเดินทางไปในทิศเดียวกัน อาจจะพอเห็นหน้าเห็นหลังได้บ้าง ถึงจะเร็วขนาดไวไฟ อย่างน้อยมันยังมีแต้มบวกมาให้เห็น มีกลุ่มองค์กรมากมายที่กระจายตัวกันทำอยู่ในชนบทต่างๆ ถ้าจะให้ผลดังกล่าวนี้แตกลูกแตกหลานออกไป หน่วยราชการควรจะอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เข้าไปเป็นเจ้าของโครงการ พวกเธอต้องทำตามกฎระเบียบอย่างนี้ๆนะ บางเรื่องอาจจะพอใช้ได้ แต่หลายเรื่องไม่มีทาง

บางกรณีมีข้อพิเศษที่คนหนึ่งคิดแล้วเอามาให้คนหนึ่งทำ

ทำได้ครับเพราะมีงบประมาณมาล่อ

แต่มันก็ซังกะตายปีนเกลียวกันไปอย่างนั้นแหละ

เสียดายเวลาและงบประมาณ

แถมยังมาสร้างวิกฤติศรัทธาระหว่างกันขึ้นมาอีก

เพลาๆบ้างได้ไหมครับเรื่องพวก

ถ้าไม่ใจเย็นพอที่จะให้เขาเกิดการเรียนรู้

ความรู้ไม่พอใช้ของทุกฝ่ายนี่แหละ

คือตัวปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมสันติสุข

· ผมทดลองมาควานหาคำตอบในเฟสบุกค์

· และลงมือสร้างกลุ่มเฮฮาศาสตร์และกลุ่มลูกหลานครูบาในFB.

4.เรื่องการเชื่อมโยงสติปัญญาวิชาความรู้ และทักษะชีวิต แบบอิงระบบ

เมื่อเห็นว่าในระบบมันเต็มไปด้วยเงื่อนไข การที่จะทำอะไรเพื่อสังคมในสภาพตัวเองก็ไม่ได้มีความพร้อมอะไร มีแต่น้ำลายกับกำปั้น จะทำอะไรได้นอกจากทำตัวให้เป็นผู้เรียน ชักชวนให้หมู่มวลมิตรเป็นผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องมีคุณสมบัติอยากเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง สู้สิ่งยาก อยากเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวให้ดีขึ้น สู้กับปัญหาแบบกัดไม่ปล่อย ถ้าผมมีญาติพี่น้องคุณสมบัติดังกล่าวนี้ คนตาบอดอย่างผมก็จะมีคนจูง เท่าที่ปฏิบัติมาก็พบว่า..คนมีความรู้ ความสามารถ คนดีคนเก่งอยู่รอบๆตัว คอยอุ้มชู คอยอุปการะความรู้ ผมเองไม่มีอะไรหรอก เป็นหมาน้อยธรรมดา ที่ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าวนั่นแหละ แต่พอมีการเชื่อมโยงความรู้ ทำให้สามารถปลดสิ่งที่ค้างคาใจออกไปได้มาก อยู่ในป่าก็เรียนรู้ได้ทะลุไปถึงต่างประเทศ มีข้อแนะนำดีๆ เรื่องราวดีๆมากมาย ที่ไม่ต้องรออนุมัติแบบทางการ

สิ่งนี้อาจจะเป็นการจำลองสังคมสันติสุขได้อีกในแง่มุมหนึ่ง

· ที่นี่ไม่มีอำนาจ

· ที่นี่ไม่มีผลประโยชน์

· ที่นี่มีแต่ความรักกับความรู้

ความรู้ในตัวคนนั้นสำคัญนัก ความรักในตัวคนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

ถ้า2สิ่งนี้เดินคู่ขนานกันมา

พลังของประชาคมก็อยู่ไม่ไกลนัก

ที่สำคัญทำได้ทันที ไม่ต้องรอสิ่งใดๆ

· อยากได้เมล็ดพันธุ์ผักจากตะวันออกกลางเพื่อนใจดีก็ส่งมา

· อยากได้หมวกไหมพรมเพื่อนอุตส่าห์ถักก็ส่งมา

· อยากได้เสื้อยืด ปากกา ยาดม เพื่อนก็ส่งมา

· อยากได้ไม้ใช้วัดเห็ดเป็นพิษเพื่อนก็ส่งมา

· อยากรู้วิชาธรรมชาติบำบัดเพื่อนก็มาสอนให้

· อยากหายปวดหลังปวดเอวเพื่อนก็มาสอนวิธีแก้ปวดให้

· อยากได้ความรู้ความคิดเพื่อนก็ส่งมาให้

· อยากได้เครื่องสับกิ่งไม้เพื่อนก็หามาให้

· อยากได้ต้นมะตูมยักษ์/มะขามป้อมยักษ์เพื่อนก็ซื้อมาให้

· อยากได้ความรัก ..เมื่อคืนส่งมาแบบถล่มทลาย

แม้แต่ในขณะที่เขียนเรื่องนี้ก็มีโทรศัพท์เข้ามาถาม

จะไปมาหา ต้องการอะไรหรือเปล่าจะจัดไปฝาก

บอกว่า..ไม่ต้องการอะไร ขอแค่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะก็พอ

ก็ยังถามมาอีกว่า..คิดดูนะ ..แล้วบอกมา

โถ แม่คุณทูลกระหม่อม ..แบบนี้ไม่ให้รักได้ยังไง?

· ผมไม่ทราบว่า..ตัวชี้วัดสังคมสันติสุขมีอะไรบ้าง

· สำหรับตัวผมแล้ว..ผมวัดที่มิตรไมตรีไม่มีพรมแดนนี่ละครับ

· ถ้าสังคมมีการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างแท้จริง

· เราจะบ้าไปเอาเกณฑ์อะไรมาวัดอีกละครับ

· แม้แต่ KPI. เป๋ๆผมถือว่ากระจอกมากถ้ามาวัดกันในมิติดังกล่าวนี้

· เครื่องมืออะไรละครับที่จะวัดใจกันได้

· ถ้าไม่ใช้ใจวัดใจ

Key Word : สังคมสันติภาพ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสังคม

———————————————————————————

เรียนคุณหมอสุธี ฮั่นตระกูลที่เคารพรัก

วันนี้ทำได้เพียงนี้ แต่หนทางข้างหน้ายังอยู่อีกไกล จะไปไหวไหมหนอ แต่ไม่ท้อหรอกนะครับ ลูกศิษย์หลวงพ่อศรีวิชัย เอ๊ย! พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ จะมาถอดใจกลางคันมีหวังโดนพระอาจารย์ถี- คุณหมอช่วยหิ้วปีกด้วยนะครับ เพราะหมอเองขอให้ผมเขียนแบบจัดหนักๆ..

ถ้าพระอาจารย์ใหญ่อัด หมออย่าลืมวิ่งมาให้ทันก็แล้วกัน

.. ด้วยรักในอัตราก้าวหน้าตลอด อิอิ.

แคว๊กๆ .

« « Prev : ควายยังเคี้ยวเอื้อง คนเราจะเคี้ยวอะไร?

Next : ทุกข์ของคนกินผัก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 กุมภาพันธ 2012 เวลา 8:08

    ขอบคุณหลาย …..อิอิ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 กุมภาพันธ 2012 เวลา 8:57

    อ่านง่ายกว่าในเฟสมหาศาลครับ

  • #3 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 กุมภาพันธ 2012 เวลา 9:28

    ผมได้คิด เขียน มามากหลาย ว่า ความรัก นี่แหละครับ เป็นต้นตอของความเกลียด เช่น เพราะรักขม จึงเกลียดหวาน รักมันจึงเกลียดเปรี้ยว

    คนเราถ้าชอบอะไรเหมือนกันก็เป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่ม แล้วก็รบกันในที่สุด

    การแบ่งกลุ่มเกิดจากความชอบ จริต ที่เหมือนกัน …และการชอบก็คือความรักนั่นเอง

    ผมจึงเสนอว่าสงครามนั้นไม่ได้เกิดจากความเกลียด แต่เกิดจากความรัก นะครับ

    วันนี้เรามีวันแห่งความรัก ซึ่งผมอยากเสนอให้มีวันแห่งความเกลียด ซึ่งผมว่าเราจะได้ประโยชน์จากวันแห่งความเกลียดมากกว่าวันแห่งความรักเสียอีก ไม่เชื่อลองดู

    เช่น ภาคใต้นั้น แต่ละปีเราเปิดให้มีวันแห่งความเกลียด ใครอยากปาระเบิด ปา ใครอยากปล้นฆ๋า ฆ่า อยากดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 กุมภาพันธ 2012 เวลา 19:21

    มีหวังสนุก นะสิครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.2153248786926 sec
Sidebar: 0.26142811775208 sec