แผนผังวิถีชีวิตเกษตรกร

อ่าน: 1940

:: เรื่องยาว ถ้าไม่มีเวลาเปิดผ่าน พับ พับ

บทความประกอบการอภิปราย กลุ่ม 3

เรื่องก้าวใหม่สู่ความมั่นคงอาหารและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

วันที่ 7 กรกฎาคม 2554 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในงานประชุม(ร่าง) แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ฉบับ 11 (พ..2555-2559)

โดย ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์

—————————————————————————————-

(จอมยุทธอะคาเซียจากออสเตรเลีย)

จะเรียกว่าถ่ายทอดหรือถ่ายเทความรู้สึกนึกคิดก็คงได้กระมัง ความเห็นที่ได้มาจากประสบการณ์ตรง ลองถูกลองผิดในช่วงที่ต้นทุนธรรมชาติยังมั่งคั่งสมบูรณ์ จนกระทั้งมาถึงยุคทุนหายกำไรหด ธรรมชาติเริ่มประชดประชันความไม่เอาไหนของมนุษย์ ดังจะปรากฏเห็นในรูปของภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ทุกภูมิภาคของไทย ทำไมเมื่อก่อนมันไม่วิกฤติไล่กันมาเป็นกระทอกทั้งปีอย่างนี้ หรือว่าเดินมาถึงจุด..

“เ รี ย ม เ ห ลื อ ท น แ ล้ ว นั่ น ”

จากการที่ไม่เคยรู้เคยคิดอะไรล่วงหน้าไกลๆ นึกว่าหักร้างถางพงแล้วเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร ทำมาหากินตามประสาชาวไร่ชาวนา แรกก็ดูดีมีความเจริญงอกงามของพืชไร่พืชสวน แต่การทำซ้ำแบบไม่บันยะบันยัง ต้นทุนที่ธรรมชาติสะสมไว้เป็นพันเป็นหมื่นปี ก็สูญเสียไปเพราะความไม่รู้ของมนุษย์ สภาพแวดล้อม ความเสื่อมโทรมของผิวดิน ความชุ่มชื้น อินทรียวัตถุ เรียกรวมๆว่าวงจรธรรมชาติเบี่ยงเบนไป ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพ และสภาพแวดล้อมที่เป็นพลังกำกับดูแลโลกให้สมดุลเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย การทำมาหากินแบบมักง่าย ตะกายต่อไปไม่ได้แล้ว ปัจจัยการผลิต/ต้นทุนสูง/แรงงานหดหาย/ขายได้ราคาไม่คุ้มทุน/ เป็นผลบังคับทางอ้อมให้ เ ก ษ ต ร ก ร เ ป ลี่ ย น อ า ชี พ ไ ป เ ป็ น ก ร ร ม ก ร

ทั้งๆที่ประสบเคราะห์กรรมอยู่โทนโท่ แต่มนุษย์ทุกฝ่ายก็ยังไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ยังตะบึงตะแบงไปขางหน้า ใช้เทคโนโลยีใช้วิธีจัดการใช้กระบวนการที่คิดว่าเจ๋งแล้วมาแก้ปัญหามลภาวะในธรรมชาติ

ถามว่า..วั น นี้ เ ร า อ ยู่ กั บ ชุ ด ค ว า ม รู้ อ ะ ไ ร ?

การพัฒนาแบบกินทุนเก่าจนหมดเค้าแล้ว

แถมยังสร้างมลภาวะตกค้างเรี่ยราดมากมาย

ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มีต้นทุนกินเปล่าหรือของฟรีให้มนุษย์ล้างผลาญอีกแล้ว

แผนพัฒนาฯจะต้องมองอย่างน้อย 2มุม

1 วิธีชะลอหรือหยุดการใช้ทรัพยากรที่ไม่เหมาะสม

2 วิธีเสริมสร้างต้นทุนธรรมชาติอย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรม

3 ประชากรมากขึ้น ต้องข้องแวะกับทรัพยากรมาขึ้นจะบริหารอย่างไร

4 ยุทธศาสตร์โลก มนุษย์จะช่วยกันทำนุบำรุงธรรมชาติมากกว่าการทำลาย

ได้อย่างไร?

5 คำว่าทรัพยากรไม่ได้จำกัดอยู่ในแผนที่ประเทศ แต่สภาพภูมิศาสตร์โลก

เกี่ยวข้องกันครึ่งค่อนโลก หรืออย่างน้อยก็อยู่ในกลุ่มอาเชียน

ถามว่า จะเอางบประมาณที่ไหน?

ตอบ เราเอางบประมาณที่ไหนละซ่อมบำรุงในยามวิกฤติต่างๆ

เรื่องนี้หนีไม่ออก เพราะความปกติสุขของโลกนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ถิ่นนั้น ประเทศเราโชคดีเท่าไหร่แล้ว ที่มีต้นทุนระดับแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง มีความหลากหลายทางชีวภาพชั้นนำของโลก ถ้าพัฒนาให้ดีก็จะกระดี่กระด้าเป็นครัวโลกได้จริงๆนะเธอ..

มีนักวิชาการของลานปัญญา ร..ดร.ทวิช จิตสมบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เสนอปัญหานี้อย่างน่าสนใจ ขออนุญาตเอามาแปะไว้ให้พิจารณาร่วมกันดังนี้

เรื่องสมดุลระหว่าง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

นักปราชญ์เป็นจำนวนมาก ได้วิเคราะห์และสรุปไว้ว่า การดำรงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนของสรรพสิ่งในธรรมชาตินั้นล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการเกิดสมดุลระหว่างองคาพยพต่างๆทั้งสิ้น การสมดุลในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันต่างก็เกื้อหนุนค้ำจุนซึ่งกันและกันอย่างลงตัว ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เนื่องจากไม่มีใครสะสมส่วนเกิน (ที่เกินจำเป็นต่อการดำรงชีวิต) เช่น ในระบบนิเวศน์ของป่าน้ำลำธาร สัตว์ป่ากินพืชได้อาศัยหญ้าและใบไม้เป็นอาหาร พร้อมกับช่วยแพร่พันธุ์ให้กับพืชสกุลต่างๆ เพราะเมล็ดพันธุ์ที่กินเข้าไป หรือ ติดไปตามขนสัตว์ และเมื่อถ่ายมูลก็เป็นปุ๋ย ตายลงร่างกายก็เน่าเปื่อยกลายเป็นปุ๋ยคืนให้พืชได้กินซากของตนบ้าง แต่หากไม่มีสัตว์กินเนื้ออยู่ด้วย สัตว์กินพืชก็จะมีจำนวนมากจนทำลายพืชได้หมด ดังนั้นสัตว์กินเนื้อพวก งู เสือ สิงโต จึงคอยควบคุมจำนวนสัตว์กินพืชให้อยู่ในปริมาณพอเหมาะ (ได้สมดุล) นอกจากนี้รากไม้ยังช่วยอุ้มน้ำฝน ทำให้น้ำค่อยๆไหลสู่ลำธาร นำความชุ่มชื้นให้กับป่า และเป็นแหล่งน้ำให้สัตว์ทั้งหลายได้ใช้ในการดำรงชีวิต ดังนี้จะเห็นว่าเกิดการสมดุลกันมาเป็นเวลายาวนานมาก สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (รวมทั้งมนุษย์) จึงดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขตามสมควรมาเป็นระยะเวลานานแต่ สังคมอดีตกาล

นับแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เริ่มส่อเค้าว่าความสมดุลเริ่มเปลี่ยนไปมาก เพราะสัตว์สกุลหนึ่ง (เรียกขานกันว่ามนุษย์) เริ่มค้นพบวิธีที่จะทำการสะสมส่วนเกินจำเป็นในการดำรงชีวิตได้อย่างมากและ รวดเร็ว ทั้งนี้เป็นผลมาจากมันสมองที่ได้รับวิวัฒนาการจนถึงขั้นหนึ่งทำให้ค้นพบ กรรมวิธีการผลิตแบบใหม่ ผนวกกับการค้นพบระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่มีรากฐานอยู่บนความต้องการในการบริโภคสิ่งต่างๆของมนุษย์ ที่นอกเหนือจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต รวมทั้งการสะสมส่วนเกินเพื่อความมั่นคงของชีวิต ทั้งสองสิ่งนี้กลายเป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่มนุษย์ใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีวิต อาจเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรม บริโภคนิยม” (consumerist culture)

ทั้งสามสิ่งนี้เกื้อหนุนกันอยู่อย่าง ไม่สมดุลทั้งนี้เป็นเพราะมีการบริโภคและสะสมส่วนเกินที่ เกินความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้ามาก ทำให้อัตราการตายของมนุษย์ลดน้อยลงมาก ทำให้จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อจำนวนคนมีมากกว่าเดิม และแต่ละคนบริโภคและสะสมมากกว่าเดิมในสังคมบุพกาล จึงนับเป็นการขาดการสมดุลเป็นอย่างยิ่ง

การไม่สมดุลนี้จะนำพามนุษย์ชาติไปสู่ความหายนะใหญ่หลวงประการใด ยังมิอาจประเมินได้ ณ จุดนี้ แต่ประเด็นนี้ไม่อาจรอให้เหตุเกิดเสียก่อนแล้วจึงค่อยคิดแก้ไข เหมือนดังเช่นในกรณีอื่นๆ เพราะหากถึงจุดนั้นแล้ว อาจหมายถึงความล่มสลายอย่างเฉียบพลันและรุนแรงจนไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้อีกเลย (irreversible damage) อุปมาเช่น การสะสมทองเอาไว้ในบ้านมากขึ้นๆทุกวันโดยไม่ได้เอาออกไปทำประโยชน์อะไร สักวันหนึ่งบ้านก็จะพังครืนลงมาเพราะทนรับน้ำหนักทองที่สะสมไว้ไม่ได้

และหากเกิดการพังทลายครืนลงของระบบธรรมชาติที่ค้ำจุนเราอยู่ ก็ย่อมกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเรา และ ของคนทั้งโลกโดยถ้วนหน้า ดังนั้นหน้าที่สำคัญอันหนึ่งของเรา คนไทย และของคนทั้งโลก คือต้องไม่บริโภค หรือสะสมจนเกินพอดี รวมทั้งต้องช่วยกันให้ความรู้แก่ผู้อื่นที่ยังไม่มีทัศนะทางด้านนี้ด้วย หากทุกคนถือว่าไม่ใช่หน้าที่ ต่างพากันละเลย วันนั้นย่อมมาถึงสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน

เราจะต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ยั่งยืน ซึ่งเราทุกคนในฐานะเจ้าของโลกต้องช่วยกันคิด โดยอาจเริ่มต้นด้วยการถอยไปตั้งหลักใหม่เสียก่อนด้วยการ ถอยหลังเข้าคลองหวนกลับไปพัฒนาวัฒนธรรมใหม่แบบเก่า เช่นวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน ไม่สะสมจนเกินพอดี หากใครเกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนก็มีระบบสงเคราะห์กลางที่คอยบรรเทาช่วย เหลือ

ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้ จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากผู้นำประเทศทั่วโลกในยุค แข่งกันรวยที่วัดความภูมิใจของประเทศจากอันดับการแข่งขันที่ได้รับการจัดจากองค์กรต่างๆ ยามใดที่ลำดับการแข่งขันของประเทศตกจากลำดับ 42 เป็น 46 รัฐบาลก็จะเร่งทุ่มงบพัฒนาให้ได้ลำดับสูงขึ้น หากทุกประเทศใช้ระบบนี้หมดในการบริหารเศรษฐกิจและสังคม ก็นับได้ว่าเป็นระบบที่แข่งกันไปสู่ความหายนะ สักวันหนึ่ง คงไม่แคล้วว่าวันโลกาวินาศจะมาถึง

โจทย์ ให้ท่านคิดวิธีการในการชะลอ หรือ หยุด การแข่งขันไปสู่วันโลกาวินาศของประเทศทั้งหลายในโลกมาคนละ 3 วิธี อธิบายถึงเหตุผลด้วยว่าวิธีของท่านจะช่วยชะลอ หรือ หยุด การแข่งขันนี้ได้อย่างไร

จากบทเรียนที่ชาวอามิชได้ทำเป็นตัวอย่างไว้ เราน่าจะได้สัมมนากันอย่างหนัก เพื่อหาข้อสรุปให้ได้ชัดเจนว่า นิยามของความสุขที่จริงแท้ ที่เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการของปัจเจก ของสังคมประเทศ และของสังคมโลก ในลักษณะที่สอดคล้องกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมพร้อมกันไปนั้น คืออะไรกันแน่

เพื่อหาคำนิยามนี้ให้ได้ อาจจำเป็นที่จะต้องเริ่มด้วยการถามคำถามง่ายๆ(แต่ตอบยาก)เสียก่อนว่า ค น เ ร า เ กิ ด ม า เ พื่ อ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ใ ด”  หากตอบคำถามนี้ได้ไม่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ก็คงจะเป็นการยากที่จะกำหนดจุดหมาย และคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติร่วมกัน

สมมติว่าเราได้สัมมนาร่วมกันจนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว (จะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์โดยปราศจากการลำเอียงเข้าข้างตน เองของปัจเจกชน ของสังคมประเทศ และ ของสังคมโลก) จากนั้นเราก็คงต้องเลือกใช้เฉพาะเทคโนโลยีที่ไม่ลดทอนความสมดุลแห่งปัจจัย ของความสุขนั้น ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่หากคิดให้ดีจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับบุคคลหกพันกว่าล้านคนในโลก ประเทศกว่าสองร้อยประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจประมาณ 10 ประเทศ ที่ได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบไม่ยั่งยืนมากว่าหนึ่งร้อยปีจนร่ำรวยกันอย่างมหาศาล การที่จู่ๆจะไปบอกให้พวกเขาลดการร่ำรวยลงเพื่อให้ลูกหลานของชาวโลกได้มีหลัก ประกันคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย

หากสังคมมนุษย์ยังไม่มีหรือยังไม่ยอมรับในปรัชญาคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกเสียก่อน คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนการผลิตและสังคมบริโภคที่ เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่นำความล่มสลาย (ไม่ยั่งยืน) มาสู่โลกของเราในที่สุด

เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า ความจนเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี แต่อย่าลืมด้วยว่าคนจนมีอยู่สองประเภท คือประเภทมีไม่พอกับ ประเภทพอไม่มี” (คือไม่รู้จักพอ) คนจนประเภทหลังนี้น่าเป็นห่วงกว่าประเภทแรก เพราะแม้จะเป็นคนที่คนทั้งหลายจัดอันดับให้ว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศ หรือในโลกแล้วก็ตาม ก็ยังไม่รู้จักพอ ยังสร้างสรรค์ความร่ำรวยให้ตนเองอีกต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งคนจนประเภทนี้เป็นพวกที่กุมระบบเศรษฐกิจฐานการผลิตและการบริการของสังคม โลกโดยรวม จึงเชื่อได้ว่าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป การ สร้างสรรค์ของท่านเหล่านี้คงจะ ทำลายสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆมากมายทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

วิธีการหยุดยั้งการสร้างสรรค์วิธีหนึ่งที่เราทุกคนในฐานะพลโลกอาจช่วย กันได้คนละไม้คนละมือคือ..การลดทอนการบริโภคอันเกินพอดีของเราลงให้อยู่ใน ระดับสมดุลอันหนึ่ง…..

จากแง่คิดชวนคำนึงถึงความตระหนักแทนที่จะนั่งตระหนกรำพึงรำพัน หรือทำอะไรแบบไฟไหม้ฟาง วูบแล้ววูบเล่าเอาเป็นหลักเป็นฐานไม่ได้สักที อันที่จริงการวางรากฐานในเรื่องนี้ คงมีแทรกอยู่ในวัฒนธรรมดั่งเดิมของชนเผ่าต่างๆทั่วโลก ต่อเมื่อมีกระแสโง่ที่เรียกว่าวิทยาการหรือเทคโนโลยีใหม่ทยอยเข้ามา ก็ยิ่งทำให้ความคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความสมดุลของโลกกระจัดกระจายกัน ดูแลบ้าง อนุรักษ์บ้าง มีแผนแม่บทเชิงหลักการสร้างสมดุลทางธรรมชาติ รวมทั้งงานวิจัยที่ตีบทไม่แตกกี่ฉบับ?

จนกระทั้งมาถึงวันนี้ มนุษยชาติก็ยังไม่มีมาตรการที่จะดูแลโลกใบนี้ให้ปลอดภัย แม้แต่กฎบัตร กฎกติการะหว่างประเทศที่ว่าด้วยการบริบาลโลกก็ยักแย่ยักยัน พวกกลุ่มที่มีผลประโยชน์ไม่ยอมเอาด้วย โลกใบนี้จึงอมโรคอมปัญหารอวันปะทุรุนแรงมากขึ้น ดังมีผู้เรียกว่า..ก า ร เ อ า คื น ท า ง ธ ร ร ม ช า ติ เทคโนโลยีที่ได้อย่างเสียอย่างเป็นเหมือนน้ำตาลเคลือบยาพิษ ที่ทำให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจ่ายค่าเสื่อมคุณภาพชีวิตทุกเมื่อเชื่อวัน

ถามว่า..มีกรณีตัวอย่างชัดๆบ้างไหม ในการที่มนุษย์จะดำรงอยู่บนโลกใบนี้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ถ้าเราพิจารณาหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะศาสนาพุทธ จารีตประเพณี วิถีไทย และภูมิปัญญาไทย ได้อบรมสั่งสอนให้มนุษย์อยู่อย่างมีเหตุมีผล ประเทศไทยยังมีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแผนแม่บทชี้นำให้เกิดการตื่นตัว แต่ก็ต้องบอกเล่าความจริงว่า ..เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ปรากฏยังเป็นลายแทงที่แทงผิดแทงถูก มีบ้างที่ตั้งใจนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่ส่วนใหญ่ยังทำอยู่ในระดับ..ลิ ง ห ล อ ก เ จ้ า ที่ผ่านมาเราสิ้นเปลืองงบประมาณในการประชุม-ฝึกอบรมไปไม่น้อย พวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็เดินหน้าสร้างปัญหาอย่างเข้มข้น คนจนรายเล็กรายน้อยต้องโอบอุ้มให้มีแรงพอที่จะค่อยคิดค่อยทำค่อยเรียนด้วยความอดทน เพราะส่วนใหญ่ถลำไปกับกระแส..

อยากจะร ว ย ง่ า ย ๆ ร ว ย ม า ก ๆ ร ว ย เ ร็ ว ๆ

ทั้งๆที่ความเป็นไปได้มันยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นยอดดอยสุเทพ

โดยภาพรวมจึงอยู่ในระดับหนิงหน่อง

..หนิงน่อง นวลน้องนะมาเมื่อไหร่

ทำไมไม่ทักไม่ทาย หรือจำไม่ได้ว่าฉันชื่อหนิงหน่อง..

ถามว่า จะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร?

คงต้องมีนโยบายทำให้คนไทยเป็นผู้เรียนกระมังครับ

ถ้าไม่เรียน ไม่สนใจ ไม่ใฝ่รู้ ก็อยากที่พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติได้

เราจะปีนเกลียวพัฒนาชาติไปบนฐานความเกียจคร้านอย่างนั้นรึ

ฐานสังคมอุดมปัญญาอยู่ที่ไหน?

จะช่วยกันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

แผนแม่บทด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะเกิดประกายพลังได้อย่างไร?

คงมีหลากหลายยุทธศาสตร์อย่างที่มีการระดมกันในครั้งนี้

ในระดับชุมชนสังคมเกษตรบ้านเรา จุดที่จะเรียกความสนใจได้ในเบื้องต้น

น่าจะเป็นวิธีลดการจ่ายค่าโง่ ทำให้เห็นประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อม จับเข่าคุยกันว่า..ถ้าทำถูกวิธีมันจะได้จะดีมีความยั่งยืนอย่างนี้ ยกเหตุผลมาประกอบการให้ดู ทำอย่างเก่าได้อะไร? ถ้าทำแบบใหม่จะได้อะไร? ลองเปรียบเทียบกันดู

ขั้ น ต อ น ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม เ ข้ า ใจ

แ ล้ ว พั ฒ น า ไ ป เ ป็ น ค ว า ม ตั้ ง ใ จ

ออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมง่ายๆได้ประโยชน์หลากหลายและเห็นผลเร็ว

ถ้าไม่ปรับกระบวนการตรงนี้

การส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงก็จะเป็นเสมือนแผ่นเสียงตกร่อง

มนุษย์เราสามารถแสวงหาปัจจัย4ได้จากต้นไม้ แต่เราก็พากันตัดไม้ทำลายป่าโครมๆ ปัญหาความเสื่อมถอยงานด้านการส่งเสริมอาชีพ จะไปโทษชาวบ้านฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก ผู้ที่รับผิดชอบต้องสำนึกถึงกระบวนการที่ผ่องถ่ายลงไป ว่าอยู่ในระดับดีแต่พูด ดีแต่ครอบงำ ดีแต่สวมเขา ไม่ยอมสวมเรา ..การทำความเข้าใจอย่างถึงลูกถึงคนจำเป็นจะต้องมีจุดทำให้ฉุกคิด ..จะถ่างความคิดจากการปฏิบัติในวิถีชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีใด

เ ร า จ ะ คิ ด ใ ห ม่ ไ ด้ ไ ห ม ?

ถ้ า เ ร า ไ ม่ เ รี ย น วิ ธี คิ ด

ประชาชนคนไทยจะไปเรียนวิธีคิดที่ไหน?

สถาบันการศึกษาสอนอย่างไร?

องค์กรชุมชน/ศูนย์เรียนรู้สอนกันอย่างไร?

แผนแม่บทฯกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร?

เราจะเสริมสร้างทักษะชีวิตให้แก่เพื่อนร่วมชาติอย่างไร ถ้าปลุกให้คนไทยสนใจใฝ่คิดในเรื่องที่ถูกที่ควรไม่ได้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่อยากคิดคงน่าเบื่อหน่ายเต็มที จะให้ทำอะไรก็บอกมา ในขณะนี้เรามีมนุษย์พันธุ์ใบสั่งเต็มประเทศ ถ้าไม่เรื้อระบบการพัฒนาสังคมมนุษย์ใหม่ เราก็จะอยู่กับมนุษย์พันธุ์เก่า ผลลัพธ์เก่าๆ

เมื้อเย็นวานนี้ นัดพบกับเจ้าพ่อไม้อะคาเซีย ที่เดินทางมาจากประเทศออสเตรเลีย ได้มีเวลาจะ๗กันระหว่างรับประทานเลี้ยง ท่านผู้นี้ได้ศึกษาไม้พันธุ์นี้คนแรกของโลก เล่าว่าไม้พันธุ์นี้มีอยู่ประมาณพันกว่าชนิด เป็นไม้ที่มีคุณสมบัติหลากหลายวัตถุประสงค์ ระหว่างที่ทำการวิจัยได้พบไม้สายพันธุ์ดีหลายตัว นำไปทดลองปลูกทั่วย่านเอเชีย ในประเทศไทยได้ทดลองปลูกไว้ที่ศูนย์ศึกษาวิจัยสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา และปลูกไว้ตามศูนย์วิจัยพัฒนาพันธุ์ไม้ทั่วประเทศ

ในส่วนของมหาชีวาลัยอีสาน ได้ปลูกทดลองไม้อะเคเซียมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งช่วงนั้นพันธุ์ไม้ต่างๆยังไม่ได้มีการวิจัยคัดเลือกสายพันธุ์ดีเท่าที่ควร เป็นแต่นักพัฒนาพันธุ์ไม้เห็นว่าชนิดนั้นชนิดนี้ดีก็เลือกมาทดลองปลูก เราจึงเห็นต้นกระถินณรงค์ กระถินเทพา พันธุ์โซเซเหมือนคนเมาอยู่ตามโรงเรียน วัด และสถานที่ราชการ จอมยุทธอะเคเซียเล่าว่า ในครั้งนั้นนักปลูกไม้คิดแต่ว่าถ้าได้ช่วงลำต้นเปลาตรง2เมตรก็ดีแล้ว เพราะการทำเฟอนิเจอร์ก็ใช้ไม้ยาวประมาณนี้เป็นส่วนใหญ่

ผลของการพัฒนาพันธุ์ในชั้นต่อๆมาในระยะ20ปี นักพัฒนาพันธุ์ได้ผลิตพันธุ์ไม้ลูกผสมกลุ่มนี้ขึ้นมาให้มีคุณสมบัติดีขึ้นอย่างมาก ต้นเปลาตรง โตเร็ว เนื้อไม้สวยลวดลายดี สามารถนำไปปลูกเพื่อขยายผลได้ทั่วโลก บ้านเรามีความเหมาะสมต่อการปลูกป่าไม้อยู่แล้ว เมื่อเอาไม้ที่มีคุณสมบัติที่ดีปลูกมากๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นฐานคิดฐานทำให้การดำเนินการเห็นประโยชน์ได้ชัดเจนมากขึ้น

จอมยุทธอะเคเซียเล่าว่า ประเทศเวียดนามได้ทุ่มเทพัฒนาพันธุ์ และส่งเสริมการปลูกไม้พันธุ์นี้กันอย่างกว้างขวาง ติดอันดับต้นๆที่บุกเบิกไม้พันธุ์นี้ ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบในการเลือกชนิดของไม้ที่จะปลูกในแต่ละประเทศต่างๆ จุดสำคัญอยู่ที่เป้าประสงค์ว่าจะปลูกเพื่อนำไปใช้อย่างไร เหมาะสมต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างไร?

ในประเทศจีนมีแผนแม่บทเกี่ยวกับการปลูกสร้างต้นไม้เพื่อปรับภูมิทัศน์ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมเชิงรุกขนานใหญ่เพื่อต้อนรับกีฬาโอลิมปิก นอกจากปลูกป่าอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว จีนยังย้ายโรงงานที่ก่อมลภาวะ30-40โรงงานขนาดใหญ่ออกจากเมืองหลวงกรุงปักกิ่ง ไปไว้ในที่ห่างไกล การจัดการแผนผังของเมือง จำเป็นต้องดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทระดับชาติ คิดแล้วลงมือผ่าตัดภายใต้การวางแผนเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ กรุงปักกิ่งวันนี้ มีความสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่พื้นที่ห่างไกล จีนได้ปลูกไม้ยูคาลิปตัส/ไม้สนเป็นกำแพงกั้นลมและพายุทรายเป็นระยะทางยาวนับพันกิโลเมตร เป็นกำแพงเมืองจีนคู่ขนานแห่งยุคสมัยขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

ผมสนใจปลูกไม้ยูคาลิปตัสมาก่อน พบว่าตลอดเวลา20กว่าปี ไม้ยูคาลิปตัสไม่มีการขึ้นราคาแต่อย่างใด เป็นไม้ที่เหมาะต่อการใช้สอยขนาดเล็ก เช่น ทำไม้ฟืน ทำเยื่อกระดาษ หรือนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องเรือน/สร้างบ้านเรือนได้บ้าง แต่ก็มีคุณสมบัติที่ยุ่งยากเช่นการบิดงอหรือแตกร้าว ถ้าจะปลูกเพื่อเป็นไม้ใช้สอยในระยะยาวแล้ว ควรเลือกปลูกไม้พื้นถิ่นบ้านเรา หรือไม้อะเคเซียจะดีกว่า

ไม้อะเคเซียมีจุดน่าสนใจหลายประการเช่น เป็นไม้ตระกูลถั่ว เป็นไม้เนื้อแข็งไม่บิดงอ ทนแล้ง โตเร็ว สามารถตัดสางขยายระยะนำเนื้อไม้มาทำเครื่องใช้ได้ในปีที่ 7 เป็นต้นไป กิ่งก้านนำมาผลิตเชื้อเพลิงได้ดี ส่วนใบนั้นผมนำไปทดลองเลี้ยงสัตว์ พบว่ามีคุณสมบัติที่จะนำไปผลิตอาหารสัตว์ได้ดี มหาชีวาลัยอีสานจึงสนใจที่จะทำการวิจัยเรื่องการใช้ใบไม้เป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้อง อยู่ในระหว่างการทดลองนำใบไม้หลายๆชนิดมาสับย่อยแล้วนำไปเลี้ยงโคและเลี้ยงแพะ จากจุดเล็กๆที่เห็นความพิเศษของใบไม้ ได้ขยายแนวคิดไปสู่เรื่องการส่งเสริมปลูกต้นไม้อย่างยั่งยืน

1. ปลูกต้นไม้หลายหลายสายพันธุ์หลายวัตถุประสงค์

2. ตัดเอากิ่งใบมาใช้ประโยชน์ ลำต้นปล่อยให้เจริญเติบโตเพื่อเพิ่มมูลค่า จากการปฏิบัติในข้อ2 ทำให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากการปลูกต้นไม้ในระยะต้น ทำให้มีกำลังใจที่จะอดทนรอให้ไม้ที่ปลูกเจริญเติบโตต่อไป ทำให้การขยายพื้นที่สีเขียวเป็นไปอย่างยั่งยืน

3. ใบไม้ที่เอามาเป็นอาหารสัตว์ ได้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี มูลโคและแพะยังนำไปผลิตเป็นแก๊สหุงต้มได้อีกต่างหาก เป็นการพึ่งตนเองเรื่องพลังงานในครัวเรือน พึ่งตนเองด้านการผลิตปุ๋ย นำไปใส่ผักและต้นไม้ให้เจริญงอกงาม

4. แนวทางนี้ ทำให้ลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ยังมีปุ๋ยที่ไม่ต้องไปซื้อหา ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ลดการพึ่งพาภายนอกได้พอสมควร

5. ผลจากการปฏิบัติเบื้องต้น นำไปสู่โจทย์สืบเนื่องที่มาช่วยสนับสนุนกิจกรรมของครัวเรือนชาวบ้านให้เกิดการศึกษาทดลองหัวข้อใหม่ๆตามมา

5.1 การผลิตอาหารสัตว์กึ่งสำเร็จรูป

5.2 การผลิตปุ๋ยกึ่งธุรกิจ

5.3 การวิจัยสูตรอาหารที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

5.4 การใช้ผลหวดข่าหรือผลไม้อื่นมาผลิตไวน์เลี้ยงสัตว์

5.5 การใช้ผลกราวเครือขาวผสมอาหารเลี้ยงสัตว์

5.6 การใช้น้ำควันไม้ผสมอาหารสัตว์

5.7 การฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการเป็นสัตว์

5.8 การปรับปรุงการเลี้ยงขุนในการเลี้ยงโค

5.9 การปรับปรุงการเลี้ยงแพะนม

5.10 การใช้จุลินทรีย์มาหมักอาหารสัตว์

5.11 การปลูกอ้อย-มันสำปะหลัง มาผลิตอาหารสัตว์

5.12 การผลิตไบโอแก๊สจากมูลสัตว์

5.13 การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลระดับชุมชน

5.14 การวางแผนสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลูกไม้ร่วมการเลี้ยงปศุสัตว์

5.15 การสร้างกิจกรรมสาธิตเพื่อการอบรมเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย

ประเด็นทางเลือกที่น่าสนใจเกี่ยวการาร้างความเข้มแข็งด้านอาหารและการเสริมสร้างธรรมชาติที่ยั่งยืน ถ้าพิจาณาศักยภาพของชนิดไม้ที่เหมาะสมกับการขาดแคลนทรัพยากรป่าไม้ในปัจจุบัน “ไม้ไผ่” เป็นพันธุ์ไม้ที่อยู่ในห้วงคำนึงของมหาชีวาลัยอีสาน ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม้ไผ่เป็นไม้เอนกประสงค์ที่ปลูกได้ในระยะเวลาอันสั้น เพียงอายุ 3 ปีก็จะมีลำไม้ไผ่หมุนเวียนให้ตัดมาใช้สอยได้ตลอดไป อนึ่ง ไผ่แต่ละสายพันธุ์คุณสมบัติที่หลากหลายให้เลือกปลูก เช่น พันธุ์กินหน่อ พันธุ์ปลูกเป็นไม้ประดับ พันธุ์ปลูกเอาลำมาทำสิ่งประดิษฐ์ พันธุ์ปลูกเพื่อป้องกันลมและลดการชะล้างพื้นที่ลาดเอง

ถ้าเราเข้าใจและรักที่ช่วยกันทำนุบำรุงโลกใบนี้ ให้เกิดความยั่งยืน เกิดบริบทของการสร้างวิถีสังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ก็ควรออกแบบวิธีที่จะอยู่ที่จะดูแลโลกใบนี้เช่น ชี้ชวนให้เกิดการปลูกไม้พื้นเมือง การคัดแม่ไม้พันธุ์ดี การปลูกไม้ผักยืนต้นระบบชิด การปลูกไม้ติดแผ่นดิน ปลูกไม้ใช้สอย ปลูกไม้เพื่อการวิจัยพลังงาน ปลูกไม้เพื่อเป็นอาหารสัตว์ ปลูกไม้ล้อมไม้หอมไม้ประดับ ปลูกไม้เพื่อตอบแทนบุญคุณโลกใบนี้ สร้างกระแสสร้างกระบวนการให้คุณมูลค่าและคุณค่าของการปลูกต้นไม้ด้วย2มือเรา

“วันนี้คุณรดน้ำต้นไม้แล้วหรือยัง”

สรุป : แนวทางของมหาชีวาลัยอีสาน คือการนำภาคการเกษตร มาสร้างความมั่นคงของอาหารและพลังงาน โดยการทำให้เป็นเรื่องเดียวกันอย่างมีประสิทธิผลเชิงประจักษ์

บทคัดย่อ/ประมวลผลจาก บทที่ 5

ยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งภาคเกษตร ความมั่นคงของอาหาร และพลังงาน

1. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง

การพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ภาคการเกษตรมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งในมิติของการผลิตที่สามารถพึ่งพาตนเองด้านอาหารและแหล่งสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือนภาคเกษตร และเป็นฐานการผลิตที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้าและการส่งออกสำหรับภาคการผลิตและบริการอื่นๆ รวมถึงในมิติการพัฒนาสู่แหล่งการผลิตพลังงานทดแทนที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากภาคการเกษตรเป็นฐานการผลิตที่เข้มแข็งด้วยมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่เหมาะสม มีภูมิปัญญาด้านการผลิต การประยุกต์ดัดแปลง และวัฒนธรรมอาหารที่เข้มแข็งและหลากหลาย รวมถึงเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารส่งออกที่สำคัญรายใหญ่ของโลก ซึ่งสถานการณ์การพัมนาของภาคเกษตรตลอดช่วงที่ผ่านมาสรุปได้ดังนี้

1.1 บทบาทภาคการเกษตรเริ่มลดลง แต่ยังเป็นฐานผลิตสำคัญของประเทศ

1.2 ความเข้มแข็งของภาคการเกษตรไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

1.3 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการครอบครองทรัพยากรพันธุกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีการผลิตของเกษตร

1.4 การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย

1.5 ความต้องการพืชที่สามารถนำไปผลิตเป็นพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. การประเมินความเสี่ยง

2.1 ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นฐานการผลิตภาคเกษตรมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น

2.2 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

2.3 ความอ่อนแอของภาคเกษตรที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย

2.4 ประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้พลังงานที่ผลิตจากพืชทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิน

3. การสร้างภูมิคุ้มกัน

3.1 ความเหมาะสมของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และทรัพยากรธรรมชาติ มีความจำเป็นต้องรักษาแลใช้ประโยชน์จากสักยภาพที่มีอยู่อย่างรู้ค่า

3.2 ฐานการผลิตการเกษตรที่เข้มแข็ง สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน

3.3 องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม

3.4 การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

3.5 กลไกการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล

5.5 การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพัฒนาพลังงานชีวภาพในระดับครัวเรือนและชุมชน

1. ส่งเสริมให้มีการปลูกป่าโดยชุมชนเพื่อชุมชนเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศที่จะเป็นฐานการผลิตด้านการเกษตรและอาหาร และใช้เป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

2. ส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรด้วยระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฏีใหม่ วนเกษตร

3. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดการและเผยแพร่องค์ความรู้และการพัฒนา

4. สนับสนุนการสร้างเครือข่ายการผลิตและการบริโภคที่เกื้อกูลกันในระดับชุมชน

5. ส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทน โดยนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่ผลิตในชุมชนมาผลิตพลังงานทดแทน เช่น ไบโอดีเซล พลังงานชีวมวล ก๊าซชีวภาพจากการหมักมูลสัตว์และเศษขยะอินทรีย์

6. สนับสนุนการผลิตพลังงานทดแทนภายในชุมชน โดยการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและการผลิตพลังงานทดแทน

7. ส่งเสริมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็ง ด้านอาหารให้แก่เกษตรกรและชุมชนอย่างเป็นระบบ

« « Prev : ทำไมไม่พูด

Next : ยาผีบอก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กรกฏาคม 2011 เวลา 19:16

    ผมว่าบาท่าน..ได้ทำอะไรที่กระตุกใครต่อใครไว้มาก ให้ฉุกคิด ไม่งั้นป่านนี้ประเทศไทยเราอาจเลวร้ายกว่านี้ไปแล้วก็เป็นได้ วันนี้ วช. ก็หันมาหาเกษตรมากจนน่าฉงน สกว. ก็มา สวทช. ก็มา คงเพราะคนบ้าๆแบบบาท่านและผมนี่แหละครับ ที่ช่วยกันออกแรงกระตุก ตามกำลังแห่งตน

    ผมเคยเล่าแล้วว่าเมื่อ 14 ปีก่อนลองไปดูเถอะครับนโยบายวิจัยขององค์กรวิจัยไทย ลอยฟ้าทั้งนั้น วันหนึ่งผมเขียนด่าบ้าๆดื้อๆ ลงในวารสารวิชาการ ว่าพวกเขากำลัง “ขายชาติ” ถ้าไม่อยากขายชาติขอให้ปรับมาทำวิจัยด้านเกษตร บทความนี้เป็นข่าวไปทั่ว

    ไม่น่าเชื่อว่าบทความโนเนมที่กล้าบ้าบิ่นนี้มันจะทำให้ทุกองค์กรปรับนโยบายบ้าระห่ำมาทำเรื่องเกษตรได้อย่างรวดเร็ว ณ บัดนั้น

    ลุยต่อครับบาท่าน เรากำลังหลงกันมาถูกทางแล้ว ๕๕๕

  • #2 nuntawun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2011 เวลา 22:14

    แนวคิด และการจัดการ ของพ่อสุทธินันท์ เป็นต้นแบบของใครหลายคน ผมคนหนึ่งแหละำกำลังเดินตามรอยอยู่


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.17212605476379 sec
Sidebar: 0.047194957733154 sec