Cotto ไว้ลาย

โดย sutthinun เมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 1:46 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 3481

(ความสุขของแพะสไตล์Cotto)

หลังจากผ่านแรงกดดันที่อย่างหนัก2วันเต็ม เย็นวันนี้จึงจัดรายการสนทนากลุ่มภายใต้แสงจันทร์หรุบหรู่ ทุกคนวางมือจากงานที่มีระยะเวลาบีบบังคับ จะต้องเสร็จ จะต้องสำเร็จให้ได้ ตามภาระงานของแต่ละกลุ่มที่แบ่งกันทำ แต่เมื่อผ่านด่านสาหัสนี้ได้ ทุกคนบอกว่าหนักกายแต่บ่ได้หนักใจอีกแล้ว มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับคืนมา คนหนุ่มกระชุ่มกระชวยเร็วอยู่แล้ว ช่วงที่หน้าดำคร่ำเคร่ง มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า >>โอกาสที่จะได้ทำงานหนักอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนัก ต้องช่วงชิงโอกาสที่สุดโหดนี้ไว้คุย!

กล่าวโดยรวมรั้วรอบคอกแพะ ประตู บ้านแพะ สนามแพะเล่น สำเร็จลงตามจำนงหมาย แบบนี้ก็ยิ้มได้ใช่ไหมละครับ แต่ในระหว่างทางผมคิดว่าหลายคนคงจะคิดไปต่างๆนานา ตามโปรแกรมทุกคนจะทำอาหารเจี๊ยะกันเอง ชอบเมนูไหนก็มาบอกจะเตรียมปัจจัยการทำอาหารไว้ให้ แต่งานติดพันจนมืดค่ำ จวนเอาค้อนตีหัวแม่มือแทนจึงละวางงาน อ้าว! แล้วอาหารมื้อเย็นจะทำยังไงดี

เมื่อเห็นว่าจวนตัวแบบนี้ ผมแอบให้โฉมยงนึ่งข้าวเหนียวไว้ให้ ทอดปลากรอบๆเป็นออเดิฟ เรื่องย่างเนื้อ อบไก่คงเตรียมเนื้อและไก่ให้ ดูสิว่า Cotto จะร้องโอ๊ก! ไหม หลังจากหนุ่มหล่อทยอยเดินโผเผกลับที่พัก ผมช่วยเตรียมเรื่องไฟสปอตไลน์ แนะให้ยกเตาอบเนื้อออกมาใต้ร่มไม้ ทุกคนกุลีกุจอช่วยกันเตรียมการเลี้ยงฉลองคอกแพะกันอย่างกุลีกุจอ

ทุกอย่างพร้อม เตาย่างเนื้อถ่านติดแดงโร่ เพื่อช่วยให้บรรยากาศตื่นเต้น ผมเพิ่มรายการประชุมเพลิงไก่ จัดเป็นเมนูไก่อบโอ่งดิน จัดการขุดหลุมฝังขวดแม่โขงใส่น้ำประมาณครึ่งขวด เอาใบตองมาปูข้างล่าง เอาไก่หมักมาสวมปากขวด เอาโอ่งดิมครอบเอาฟางมาคลุม หลัง

จากนั้นก็ประชุมเพลิง ทุกค

นสนใจเมนูนี้มาก ต่างลุ้นว่ามัน

จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร

ขณะเดียวกันก็เอาไก่2

ตัวไปฝากเตาย่างเนื้อ เพื่อพิสูจน์ว่าไก่แบบไหนอร่อยกว่ากัน เรียกว่าเรียนกันจนหยดติ๋งๆเลยละขอรับ เสียดาย!!!ไม่ได้เอาเมล็ดมะแข้วนผสมหมักไก่ตามสูตรของอาจารย์ทวิช (ผมมีมะแข้วนติดบ้าน ญาติโกสายเมืองละปูนส่งมาให้ประจำ) ไม่งั้นจะฮ็อแรดกว่านี้อีก  จิบอกไห่

(เมนูไก่อบโอ่งดิน)

ระหว่างที่รอกับแกล้มสุก รายการโยนไมค์ก็เริ่มขึ้น ให้ทุกคนเล่าความในใจว่ารู้สึกนึกคิดอะไรบ้าง หลายคนสารภาพว่างานนี้แหละหนักที่สุดในชีวิต ไปมาหลายค่ายแล้ว หรือแม้แต่งานในหน้าที่ประจำก็ไม่ได้สาหัสสากรรจ์เท่ากับเจ้าบ้านแพะแห่งความสุขนี้

· โธ่ๆๆกว่าแพะจะมีความสุข พวกผมสายตัวแทบขาด

· บ้านแพะหลังนี้ราคาแพงมหาศาลเพราะใช้พนักงานเงินเดือนหลายหมื่นสร้าง ครูบานะครูบา

· พอทราบว่าจะสร้างบ้านแพะ พวกผมก็นึกว่าจะทำตรงโน้นตรงนี้ เลือกไว้ในใจ2แห่ง ภาวนาว่าอย่าเป็นแห่งที่3ก็แล้วกัน แต่สุดท้ายก็เจอดีจนได้ ตอนที่ครูบาพาไปชี้สถานที่ผมเข่าอ่อนเลยละครับ

· แผนกสร้างรั้วคิดว่าน่าจะเสร็จก่อนแผนกสร้างบ้านแพะ แต่สุดท้ายก็ต้องรอเสร็จพร้อมกัน เพราะงานมันสัมพันธ์กัน

· ลูกทีมชอบใจมากที่ยกหน้าที่ทำป้ายให้หัวหน้าทำ ก็เลยได้เห็นสภาพหน้าดำคร่ำเคร่ง ต่างหัวเราะชอบใจ แต่ก็ดีใจที่หัวหน้าตกกะไดพลอยโจน ร่วมงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ต่างขอบคุณกันไปมาที่อุทิศแรงงกายแรงใจช่วยกันจนสุดกำลัง

· หลังจากผ่านงานหนัก ทุกคนโล่งใจ เกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน ตาเป็นประกาย ชื่นหมื่นทั่วหน้า

· ได้ชิมไก่อบโอ่งที่หนังกรอบเนื้อนุ่มหอมกรุ่นกับน้ำจิ้มรสเด็ด รับประทานมื้อเย็นร่วมกัน ถ้อยทีถ้อยพูดและฟังกันสารภาพหมดไส้หมดพุง ครบถ้วนทุกความรู้สึก ถ้าเป็นไก่ก็โดนแทะจนเหลือแต่กระดูก สุดยอดของความอึด มันส์ฮา ถ้าเป็นภาพยนตร์ก็คงตั้งชื่อ “Cotto กระดูกเหล็ก” อิ อิ

(เรื่องจบลงที่ไปลุยสวนแตงโม

·หลังจากอุ้มแพะมาขึ้นบ้านใหม่ ผมเห็นบริเวณกว้างขวาง ก็จะฝากครับครัวหมูเหมยซานมาอยู่ด้วย เจ้ากระเปี๊ยกเหมยน้อย10 ตัวคงวิ่งเล่นอุตลุด

· ยังเหลือภารกิจสุดท้าย ปลูกอินทะผาลัมคนละต้น ปลูกฟักทองยักษ์คนละหลุม แล้วสรุปงานกันเป็นครั้งสุดท้าย จะชวนบุกไร่แตงโมน้าสังข์ แล้วส่งขึ้นรถกลับบ้าน

การสรุปงานครั้งสุดท้าย บังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท่านรอกอดเขียนเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอนมาช่วงนี้พอดี แบบนี้จะเหลือผมรึครับ ผมก็ลากมาลงวงสนทนานะสิครับ มีตอนเด็ดสะระตี่ทั้งนั่น เช่น

จะว่ากันไป ประสบการณ์ชีวิต เป็นเรื่องสำคัญที่โรงเรียนไม่สอน แถมพ่อแม่ก็ไม่บอกด้วย คือเล่าได้แต่ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ ถ้าไม่เกิดกับตัวเอง บางทีก็ไม่ค่อยรู้สึก กว่าจะเข้าใจก็ต้องเจอเรื่องที่ไม่อยากเจอเข้าแล้ว ถ้าเรียนรู้ได้ก็จะไม่ผิดซ้ำสอง

หลักการของพาเรโต้ (Pareto Principle) ซึ่งกล่าวไว้ในทำนองที่ว่า 80% ของงานที่มีคุณค่า เกิดขึ้นจากกิจกรรมที่ใช้เวลาเพียง 20% เท่านั้น (ในทำนองกลับกัน เวลาที่เราใช้ 80% กลับก่อให้เกิดคุณค่าที่แท้จริงเพียง 20%)

หลักการนี้ เอาไว้ใช้พิจารณาสิ่งที่ทำว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมรอบตัวหรือไม่ ทำแล้วเบียดเบียนตัวเองโดยคุ้มค่าหรือไม่ จำเป็นหรือไม่

งานเครียด งานล้นมือ อาจเป็นผลของการทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไม่เกิดคุณค่า เช่น การบ่น เพ้อเจ้อ ชี้นิ้ว วิจารณ์ชาวบ้าน แต่ไม่ลงมือแก้ไข หรือแก้ไม่ตรงสาเหตุ ไม่ลงมือปฏิบัติเสียที

กฏของพาร์กินสัน

ท่านสามารถทำงานให้เสร็จได้เร็วกว่าที่ท่านคิด กฏของพาร์กินสันกล่าวไว้ในทำนองที่ว่า งานที่ท่านทำใช้เวลาและเพิ่มความซับซ้อนขึ้นตามเวลาที่ท่านกำหนดไว้

เช่น ถ้าท่านกำหนดไว้ว่าจะหาทางออกให้กับปัญหาอะไรสักอย่างให้ได้ในหนึ่ง อาทิตย์ ท่านก็จะมีเวลาว่างมาก ที่จะคิดถึงทางเลือกต่างๆ อยากได้คำตอบที่สมบูรณ์แบบหมดจด ทำครั้งเดียว มีคนสรรเสริญไปชั่วลูกชั่วหลาน และในที่สุดก็จะเห็นข้อยกเว้น ข้อจำกัด ข้อบกพร่องต่างๆ เต็มไปหมด จนที่สุดก็จะท้อแท้ แล้วไม่ทำอะไรเลย ฉลาดเกินไป ฟุ้งซ่านเกินไป

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของกฎของพาร์กินสัน เราอาจกำหนดเวลาเพื่อหาทางออกในเวลาสั้นๆ (แต่ไม่ใช่หาคำตอบแบบชุ่ยๆ) แล้วลงมือทำ แม้จะมีข้อบกพร่องบ้าง แม้จะแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมดแบบหมดจด แต่ก็ยังสามารถทำอะไรบางอย่าง คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ไม่ต่างไปจากการค้นหาทางออกไม่ได้หรอกครับ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเหมือนกัน

ถ้าท่านใช้เวลา 20% เพื่อแก้ไขปัญหา 80% ยังดีกว่าท่านใช้เวลา 100% เพื่อแก้ปัญหา 0% นะครับ

ทำทีละอย่าง ช่วยได้

งานประจำ งานซ้ำซาก ช่างน่าเบื่อจำเจ ในชีวิตจริง ท่านจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ได้ตลอดหรือครับ จึงต้องหาวิธีจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็คือคำแนะนำให้ทำทีละอย่าง

ท่านไม่สามารถทำทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้หรอก คนเรามีแค่หนึ่งสมองสองมือ จะโบ้ยงานของเราไปให้คนอื่น ก็เป็นการเบียดเบียนคนอื่น งานของเรา เราก็ทำ

การทำทีละอย่าง เป็นการช่วยให้ ลดเวลาในการเริ่มต้น” (start-up time) ช่วยให้มีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ

ให้ก่อนรับ ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว

บางทีมันก็ฝืนกับ สามัญสำนึกเราชอบไปคิดว่าต้องให้คนอื่นหยิบยื่นบางอย่างให้เราก่อน เราจึงจะยื่นบางอย่างตอบแทนไป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะถ้าเราให้ก่อน แล้วผู้อื่นไม่ให้อะไรตอบแทน เราจะ ขาดทุน

ขาดทุนอะไรครับ เวลาเราให้สิ่งที่เราไม่ได้ เสียเช่น น้ำใจ ความช่วยเหลือ สิ่งที่มีมากไป ประสบการณ์ ข้อคิด ฯลฯ เรามีอะไรลดลงหรือขาดอะไรไปหรือครับ ที่จริงนั้น เราไม่ได้เสียอะไรไปเลย แม้ผู้รับไม่ได้ให้อะไรตอบแทนกลับมา เราก็ไม่ได้เดือดร้อน

[นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว การให้มีความสุขกว่าการรับ]

เน้นป้องกัน ไม่ใช่เน้นแก้ไข หรือตั้งรับรอความพินาศ

ป้องกัน (proactive) เหนื่อย ยาก แต่การป้องกันเป็นการประเมินล่วงหน้า ต้องใช้ความรู้ ใช้สติ

การแก้ไข (reactive) เกิดจากบางสิ่งมากระทบอารมณ์ ทำให้รู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้แล้ว

ผมคิดว่าสังคมไทยให้คุณค่ากับการแก้ไขปัญหามากกว่าการป้องกันปัญหา มันเป็นแนวคิดแบบซูเปอร์ฮีโร่ เหมือนการ์ตูน เหมือนหนังฮอลลีวู๊ด เป็นมายาครับ แน่นอนว่าแก้ปัญหาได้ ดีกว่าแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้นั้น กลับดีกว่าเพราะไม่เกิดปัญหา ไม่มีใครต้องทุกข์

ความผิดพลาด ความล้มเหลว และความเพียร

ยามเราเป็นเด็กเล็ก เราทดลองและเรียนรู้ หยิบของเข้าปากมั่วไปหมด เอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟ พอโตขึ้นมา เราเรียนจาก ผู้รู้ยัดเหยียดให้รู้ แต่เราไม่ได้เรียนรู้หรอก เรารับรู้เฉยๆ ยิ่งความรู้มากขึ้น เราก็ยิ่งห่างออกไปจากกระบวนการเรียนรู้ เปลี่ยนเป็นรับรู้เฉยๆมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นถามว่ารู้วิธีสร้างจรวดไหม ก็ตอบว่ารู้ ตำราก็มี สารเคมีหาได้ ถามว่าเคยสร้างไหม ไม่เคยแน่นอน สร้างแล้วได้อะไรขึ้นมา

สิ่งที่เรารู้ เป็นความรู้แห้งๆ เป็นความรู้ที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเสียมาก ความรู้แบบนี้ จะมีหรือไม่มีแทบไม่ต่างกันเลย (ยกเว้นเอาไปถ่ายทอดแบบแห้งๆให้กับคนอื่น โดยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาจริง)

เพราะความรู้และภาพลักษณ์มันค้ำคอ เรายิ่งห่างจากกระบวนการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติออกไปทุกที ในสังคมของเรา พูดจากันไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างเป็นเอกทัคคะในทางใดทางหนึ่ง ต่างยึดว่าตัวเองถูก เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด ไม่รู้ว่าใครจริงใครแห้ง

ผู้ที่ถีบจักรยานเป็น คงเคยล้มฟกช้ำดำเขียวกันมาบ้าง เมื่อท่านล้มแล้ว ท่านยังทำต่อใช่หรือไม่ ความล้มเหลว การไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่กลับจะมีค่ามากหากท่านสามารถจะเรียนรู้ที่จะไม่ผิดพลาดซ้ำสองได้

และความเพียรก็ไม่ใช่การดันทุรังเช่นกันครับ

(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผิดพลาด) อย่ามัวแต่หมกมุ่น โทษตัวเองจนเกินงาม

ไม่มีใครหรอกครับที่ตั้งใจให้งานผิดพลาด (ยกเว้นพวกบ่อนทำลาย เจตนาทำลายเพื่อนร่วมงาน ทำลายองค์กร) แต่คนเราทำผิดกันได้ คำว่ายางหัวไม่ตก ไม่เคยสำนึกใช้กับคางคกครับ ไม่ได้ใช้กับคนทำงาน และไม่ได้ใช้กับเพื่อนร่วมงานของเรา

การสำนึกผิด จะมีความหมายหรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้ที่พลาดพลั้งไปสามารถเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนั้น และไม่ทำผิดซ้ำสอง; หากอาการสำนึกผิดคือการตีอกชกหัว โทษตัวเอง ตีโพยตีพาย กล่าวโทษต่างๆนาๆ กล่าวคำขอโทษหมื่นครั้ง แต่กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย มีเหตการณ์อย่างนี้อีก ก็ทำผิดแบบเดิมอีก อาการแบบนี้น่ารำคาญครับ เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ สำนึกหรือไม่สำนึกมีค่าเท่ากันเลย

คนแบบที่เรียนรู้ไม่ได้ คงไม่เหมาะกับองค์กรที่ต้องก้าวหน้าต่อไปนะครับ

สามัคคี

คำว่า สามัคคี ใช้ได้ทั้งที่เป็นคำคำนาม และคำวิเศษณ์ หมายถึงความพร้อมเพรียงกัน ความปรองดองกัน หรือ ที่พร้อมเพรียงกัน ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำ

ความสามัคคี ไม่ได้แปลว่าทุกคนทำเหมือนกันหมดนะครับ อันนั้นเรียกว่าความไม่เป็นตัวของตัวเอง

เรื่อง อิ อิ แอ๊ะ แอ๊ะ ก็มีประมาณนี้

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยความระทึกระทวยใจ อิ.

« « Prev : วาสนาแพะ

Next : แล้งนี้พี่ระทมน้องเอ๊ย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 2:43

    พี่สาวผม เธอยอมขับรถมาโคราช จากกทม.หลายครั้งเพียงเพื่อมากินไก่ย่างอร่อยที่สุดในโลกของเธอ ที่เส้นทางระหว่างโคราช-บุรีรัมย์

    พลันที่เธอได้กินไก่ย่างผม เธอบอกว่า อร่อยที่สุดเท่าที่เธอได้กินมาในชีวิต ..ทั้งที่ผมยังไม่ได้ใส่มะแขว่นสักหน่อย อิอิ

    อจ.มทส. ท่านหนึ่ง ที่เป็นซือแป๋แห่งการเพาะพันธุ์ไก่แห่งประเทศไทย ก็ให้การับรองทำนองเดียวกันครับ

    มันไม่ใช่เพียงสูตรหมักไก่ แต่เป็นระบบการปิ้งด้วยครับ ที่รวดเร็ว ไร้ควัน ไร้สารก่อมะเร็งอีกต่างหาก

    สารก่อมะเร็งนั้น ครูฝรั่งบอกว่ามาจากสองทางคือ ควันจากการปิ้ง และกระบวนการหมัก ผมว่าประการแรกผมลดไปได้ 90% ส่วนประการหลังยังไม่แน่ แต่คิดว่าลดลงได้มากแน่ๆครับ จะทดลองต่อไปเพื่อสุขภาพของคนไทยครับ

    วันนี้ผมคิดว่าได้คิดวิธีการ “ทอด” สะอาดแบบใหม่ที่ไร้สารจากน้ำมันทอด และ ประหยัดน้ำม้นสิบเท่าได้อีกแล้ว แต่ยังไม่ได้ทดลอง ..โปรดอดใจรอครับ

    เสต็กเนื้อแพะ ผมเคยทดลองกิน มันเหม็นได้ใจจริงๆ ทั้งที่เกิดปีแพะ..แอะแอะ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 5:46

    เทคนิคการย่างไก่ของอาจารย์ทำให้ผมแทบจะขันเอกอิเอ๊กได้
    ถ้ามีการนำไปใช้พัฒนาอาชีพคงช่วยชาติได้ไม่น้อย
    เรื่องไก่สูตรไหนอร่อย เอาไว้ค่อยทดลองกันเมื่อฟ้าสีทองผ่องวิไล
    ของผมอร่อยนะครับ แต่กว่าจะอบได้ 15 นาที/ตัว
    ส่วนเรื่องแพะ เอาไว้ผมขยายพันธุ์ได้มากๆ จะชวนมาดวลแพะที่อร่อยที่สุดในโลก
    อิอิ ตื่นมาโม้สะบัดแต่เช้ามืด
    ขอบคุณที่อาจารย์ให้ความรู้ -ความคิดเห็น นะครับ

  • #3 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 16:53

    )))))อยากกินไก่สุมฟาง(((((

    ตะโกนดังๆ เผื่อไปถึงสวนป่า….อิอิ

    ใกล้ปิดเทอมแล้วค่ะครูบา…อยากไปดูบ้านแพะ สนานเด็กเล่นแพะ ฯลฯ
    เดือนมี.ค คงได้แต่ฝันเพราะว่า สัมมนาตั้งแต่วันที่ 1 ไปเรื่อยๆ..

    เที่ยวทางรูปในบันทึกครูบาไปก่อนล่ะค่ะ

    แบะๆๆๆ ….อิอิ

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 18:45

    อุ๊ยหนออุ๊ย ไม่รู้จะสัมมนาอะไรกันนักหนา โธ่ๆๆๆแบ๊ะะ อิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.8469078540802 sec
Sidebar: 1.5485310554504 sec