รักที่จะเรียนอย่าให้มีเงื่อนไขมากนัก

โดย sutthinun เมื่อ 4 กุมภาพันธ 2011 เวลา 18:41 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1806

:: วันตรุษจีนเป็นไข้ไม่ไหวแล้ว

ทำเหมือนแมวอกหักนอนพักผ่อน

กินหยูกยาเป็นถังตัวยังร้อน

เมื่อคืนนอนสดุ้งไหวไข้กระเจิง ::

ช่วงตรุษจีนไม่ได้ออกไปไหน เป็นไข้นอนแกร่วลุ้นระทึก เพราะไปนัดกับพระอาจารย์ทวิช จิตสมบูรณ์ไว้แล้ว วงจรการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย-มันก็หนีไม่พ้น คนเรานี่นะครับ เอาแค่เป็นไข้อย่างเดียวชีวีประวันวันก็พลิกล็อกแล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้แถมภายในร่างการก็ปั่นป่วนไปหมด ผมเหมือนถูกกักขังอยู่ในห้อง นั่งๆนอนๆเฉยๆหายใจเบาเดินย่องเบา ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ทั้งๆที่ไม่เป็นไข้มานานพอสมควร สมุนไพรก็รับประทานประจำ บทจะไข้มันก็ไข้จนได้ ตราบใดที่ห้ามรักห้ามแก่ไม่ได้ มันก็เป็นเช่นนี้แหละโยม

ข้อดีที่ค้นพบในการป่วยไข้ครั้งนี้>> ไหนๆจะต้องเจี๊ยะข้าวต้ม ก็บอกโฉมยงว่าลองหาวิธีต้มข้าวใส่น้ำเยอะ เผื่อจะได้ข้าวต้มลูกผสมระหว่าง น้ำข้าว+ข้าวต้ม เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนะครับ คุณสมบัติข้างบนกับข้าวต้มเละๆตามร้านแตกต่างกัน ข้าวต้มที่ว่านี้จะมีน้ำข้าวข้นเหนียวอร่อยลอยอยู่ชั้นบน เข้าใจว่าอาจจะเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวกับวิธีต้มข้าว พันธุ์ข้าวน่าจะสำคัญที่สุด ถ้าเป็นข้าวใหม่ข้าวหอมมะลิแดง ต้มแล้วจะได้ยางเหนียวซึ่งต่างกับข้าวต้มขาวๆเละๆจืดชืดในร้านข้าวต้มทั่วไป ส่วนวิธีต้มให้เอาข้าวเหนียวใส่ผสมลงไปประมาณ10% เคล็ดไม่ลับมีแค่นี้จริงๆ แต่ถ้าอยากจะให้ข้าวต้มสีสวยและอร่อยแปลกๆขึ้นไปอีก ก็เอามันสีม่วง- น้ำเต้าอ่อนหั่นเป็นลูกเต๋า- ฟักทองหั่นชิ้นเล็ก- ดอกชมจันทร์-ก็ใส่ได้ ลองดูเถิด เรื่องนี้ไม่ต้องขออนุญาตหรือขออนุมัติใคร

ทำให้นึกถึงน้ำข้าวตอนเป็นเด็ก

สมัยที่ยังหุงข้าวหม้อดินต้องรินน้ำข้าวออก

เคยได้ชิมน้ำข้าวติดอกติดใจมาแล้ว

เจ็บป่วยครั้งนี้จึงมีจุดพิเศษ

ที่ได้มีโอกาสชิมน้ำข้าวที่ห่างหายมา50กว่าปี

ออตส่งข่าวว่าจะมาร่วมค่ายค๊อตโต้ ผมนะดีใจกว่าลิงได้ขนมเสียอีก อยากจะสนทนาหารือว่า..การศึกษาไทยบ่จี๊เพราะละเลยการสอนเรื่องศิลปวัฒนธรรมใช่หรือเปล่า เด็กถึงกระด้าง-สอนยาก-ไม่เชื่อฟังครู-เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สุดท้ายก็ทิ้งห้องเรียนอย่างไม่แยแส ยกพวกตีรันฟันแทง แสวงหาความเป็นฮีโร่แบบถึงเลือดถึงเนื้อ

เมื่อเด็กส่ออาการมาทางด้านนี้ แทนที่ผู้ใหญ่จะโทษตัวเองก็โบ้ยไปลงที่ตัวเด็ก เด็กเลยรับเละ รับไม่ไหวก็คืนให้ผู้ใหญ่ปวดหัวบ้างเป็นระยะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่บรรจุวิชาเรียนศิลปะให้เกิดความตระหนักและมีความสำคัญเป็นรูปธรรมกว่านี้ ชนชาติไทยมีศิลปวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์เด่นๆมากมาย แต่เราก็เอามาใช้เหมือนไก่ได้พลอย กระทรวงวัฒนธรรมและการกีฬาตั้งมาทำอะไรก็ไม่รู้

ปีนี้ร้อนๆแล้งๆหนาวๆประดู่แดงคงชอบอออกดอกพราวแดงไปทั้งต้น

ศิลปะควบคู่กับศิลเปรอะ

แค่ไหนอย่างไรพอดีจะรู้ได้ ต้องเรียนต้องสอน

ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีการศึกษาไทยถึงจะเลิกซุกวิชาศิลปะไว้ในมุมมืด

ถ้าเ ปิ ด ส อ น อ ย่ า ง เ ป็ น ร ะ บ บ ต้ อ ง บ ริ ห า ร ค ะ แ น น

การศึกษายุคนี้บ้าคะแนน

วิชาอะไรคะแนนเยอะเด็กจะตั้งใจเรียนครูจะใส่ใจสอน

อิ อิ..

« « Prev : ตะลุงตุ้งแช

Next : ของของใครใครก็รักของเขา » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:45

    หนังสือ วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน ตอบโจทย์การศึกษาในระบบ(ที่เมืองนอกและคงเมืองไทยด้วย) ว่า
    มีอีกหลายอย่างที่คนไม่สามารถพัฒนาให้ถึงขีดที่ไม่จำกัด
    ที่มาจาก ทั้งความไม่กล้าของคนเรียน
    และความไม่สามารถจัดการของคนสอนและคนบริหารการศึกษา

    คนเรานี้จำกัดการเรียนรู้ ด้วยเงื่อนไข อย่างที่ครูบาว่าจริงๆค่ะ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 8:39

    เรื่องอยากรู้มีมากมาย แต่เราก็ต้องเลือกเอาตามสมควร
    ข้อจำกัดแต่ละคนไม่เท่ากัน การให้เขาตัดสินใจตามขีดความจำกัดน่าจะดี
    การข่มขืนกินหญ้า ถ้าทำได้แต่พอดี ก็ดีได้ยู้ ..
    เป็นเรื่องยากที่จะบริหารงานศึกษาให้พอดีได้
    ทำได้แบบพอไปวัดไปวาก็น่าจะดีกว่า ทำแบบสุกเอาเผากิน อิ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 18:05

    มาสนับสนุนพ่อครูว่า ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายของความรู้ อยู่ที่ผู้เรียนจริงๆค่ะ ข้อจำกัดทำให้แต่ละคนเรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน ข้อจำกัดนั้นเป็นเรื่องของความพร้อมด้านผู้รับ (ผู้เรียน) และผู้ให้ (ผู้สอน) แต่ถ้าผู้สอนเข้าใจหลักธรรมชาติแล้วเดินทีละขั้นในการเติมเต็ม และแต่ละขั้นที่เติมเต็มมีสมดุลระหว่างจริตของการเรียนกับวิธีสอน ข้อจำกัดบางอย่างก็ถูกทะลุทะลวงได้ แบบว่า ถ้าสุกแล้วก็แค่เอามากิน (หนุนประโยชน์) ถ้ายังกินไม่ได้ก็เผาให้สุกซะก่อน

    เวลาสอนคน ผู้สอนมักไม่ได้แยกแยะ อะไรสุก อะไรไม่สุก แล้วไปลงมือสอนไอ้ที่สุกแล้ว ที่ไม่สุกก็ไม่ลงมือเผา มันก็เลยกลายเป็น ๓ กษัตริย์ แบบหุงข้าว มีทั้งไหม้ ดิบ เปียกและ สวย

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 18:56

    ใครว่าครูเป็นได้ง่ายๆ ก็ขอให้พิจารณาอย่างที่หมอตาว่านี้แหละ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.79542899131775 sec
Sidebar: 0.069214105606079 sec