ศึกชิงนาง

โดย sutthinun เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2010 เวลา 5:37 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1836

คนเราเกิดมาแล้วล้วนได้เรียนรู้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเรื่องไหนได้เรียนตามอัธยาศัย การไต่เต้าความรู้ก็จะเจริญก้าวหน้า แล้วพัฒนาไปเป็นบรรทัดฐานของเรื่องนั้นๆ ถ้าเราได้สะสมชุดความรู้ไว้เพื่อต่อยอด สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นมรดกตกทอด >>ท่านจะส่งมอบความรู้อะไรหลังจากที่อำลาจากโลกนี้ไปแล้ว มนุษยชาติดำเนินการสืบทอดวิทยาการต่างๆมาแล้วรุ่นต่อรุ่น ชุดความรู้ต่างๆจึงมีมากมายและซับซ้อนมากขึ้น ถึงแม้จะมีวิทยาการจัดระเบียนเป็นหมวดหมู่ในรูปของภาควิชาต่างๆ ความรู้ก็ยังกระจัดกระจายบานปลายมากขึ้นๆ ทำให้เกิดกระบวนการมาหนึ่งที่เรียกว่า การจัดการความรู้ ถ้าเราสนใจเรื่องเหล่านี้ เราจะพบเห็นเสน่ห์ของความรู้ในมิติต่างๆ ยกตัวอย่างจากหนังสือ ผู้นำ 4 ทิศ

หากเราไม่เรียนรู้ ใคร่ครวญ และเข้าใจ ข้อจำกัดใดๆในชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ หากเราเรียนรู้ เชื้อเชิญสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น ข้อจำกัด เข้ามาในชีวิต ยอมรับและเผชิญกับมัน แม้จะเจ็บปวดบ้าง แต่ถ้าเรารู้จักฝึกฝืน ฝึกฝน และดำรงอยู่กับมัน ข้อจำกัดในชีวิตของเราอาจแปรเปลี่ยนเป็น ศักยภาพ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และเราก็จะสามารถอยู่กับสิ่งนั้นได้เป็นปกติสุขมากขึ้น

จากการบริหารแบบเดิมๆที่นิยมความ งกๆ เค็มๆ โหดๆ หรือที่เรียกกันว่า การบริหารแบบแข็ง (hard) เต็มไปด้วยการตรวจสอบ ตรวจประเมิน หาคนผิด บ้าตัวเลข กดดัน ใครแพ้โดนคัดออก หลีกเลี่ยงกฎหมายคุ้มครองคนงานละผู้บริโภค แบ่งแยกเจ้านายลูกน้องชัดเจน ฯลฯ เป็นการบริหารที่นำมาซึ่งการฆ่าตัวตาย เจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจของทุกคน ทั้งเจ้านาย ลูกน้อง และชุมชน โรคร้ายรมเร้า โรคที่รักษาไม่หาย สารพิษ น้ำเสีย อากาศเสีย ต้นไม้ถูกทำลาย บุกรุกทำลายป่า ใช้พลังงานสิ้นเปลือง ฯลฯ

ปัจจุบันนักวิชาการ นักบริหารสมัยใหม่ ได้เล็งเห็นหายนะที่เน้นแต่ด้านแข็งมากไป โดยได้หันมาผสมผสานอ่อน(Soft) และแข็งเข้าด้วยกัน ดังนั้น ศาสตร์ต่างๆ ด้านอ่อน (Soft side) เช่น สุนทรีสนทนา (Dialogue) ความสุขในองค์กร (Happy workplace) การบริหารความรู้ (Knowledge management) องค์กรเรียนรู้ (Learning organization) องค์กรมีชีวิต (Living company) ผู้นำร่วม (Collective leadership) ผู้นำรับใช้ (Servant leadership) เห็นสาระในหนังสือนี้แล้วอยากจะชี้ชวน >> ซื้อซื้อฝากตัวเองเล่มหนึ่ง แล้วซื้อไปฝากผู้บริหารอีกเล่มหนึ่ง จะอิ อิ มากเลย

กลับจากลาวผมแวะไปรับแพะและนกจากพลตรีนักรบ บุญบัวทอง ที่ฟาร์มสัตว์น้ำอำเภอคลองหลวง จังหวัดสระบุรี ฟาร์มแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาในเนื้อที่นับร้อยไร่ เจ้าของฟาร์มยังสนใจเลี้ยงสัตว์แปลกๆ เช่น กวาง แพะ และสัตว์ปีกสวยงาม ท่านยกแพะกวางให้ผมนานแล้ว แต่ไม่มีจังหวะไปรับสักที จนกระทั้งสัตว์จำนวนมากได้ล้มป่วย เหลือแพะพ่อพันธุ์ ไก่ฮอลแลนด์ ไก่ฟ้าสีทองอย่างละคู่ ใส่รถตู้มาถึงตอนหัวค่ำ

ผมมีแพะอยู่แล้วคู่หนึ่ง

เมื่อมีเจ้าโทนตัวใหญ่มาวางก้าม

ศึกชิงนางจึงเกิดขึ้น

เจ้าตัวมาใหม่ตัวใหญ่ระดับเจ้าพ่อคุมฝูงมาแล้ว

จึงชนเจ้าตัวเล็กกระเด็นไปติดฝา

ไล่กันไปมาคอกแทบพัง

แพะตัวผู้มีกลิ่นแรงมาก เจ้าของเดิมคงไม่มีเวลาเอาใจใส่เท่าที่ควร คุยกับน้าอานน้าสันต์ไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเอาเจ้ากามนิตโทนอาบน้ำ เนื่องจากตัวใหญ่แรงเยอะ อาจจะต้องตีซองบังคับให้ยืนนิ่งๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าโทนจะดิ้นจนพี่เลี้ยงเปียกปอน รายการอุ้มแพะอาบน้ำนี้คงจะสิ้นเปลืองสบู่/แชมพูไปไม่น้อย

ไก่ฮอลแลนด์เชื่องทั้งคู่ ปล่อยลงในกรงโก่งคอขันร่าเริง ต่างกับไก่ฟ้าสีทองดูท่าทางจะเป็นสัตว์ขี่ตื่นวิ่งจ๊อกๆตลอดเวลา ผมจะเอาไม่ไก่ป่าไก่แจ้ลงไปเลี้ยงในคอกเดียวกัน ถ้าพ่อแม่ไก่ฮอลแลนด์เจ้าชู้ประตูดิน เราอาจจะได้เห็นไก่ลูกผสมหน้าตาและสีสันต่างๆ

ช่วงนี้อยู่ในระหว่างการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เมืองกวงโจ ประเทศจีน ตามตำนานของเมือง มีผู้บอกกล่าวเล่าแจ้งว่า ในอดีตเมืองนี้เคยประสบภัยพิบัติอย่างมาก ประชากรประสบความเร้นแค้นทั้งเมือง ชาวจีนชอบเซ่นวักตักแตนอยู่แล้ว เทวดาสงสารจึงเนรมิตแพะให้ฝูงเล็กๆ แพะนั้นเลี้ยงง่ายแถมยังทรหดอดทนอีกต่างหาก เข้าใจว่าชาวเมืองกวงโจคงจะเลี้ยงแพะขยายพันธุ์ แล้วเอานมแพะเนื้อแพะมาบริโภค ทำให้ช่วยบรรเทาเรื่องความอดอยากได้ตามลำดับ เพื่อระลึกถึงบุญคุณแพะ ชาวเมืองกวงโจจึงสร้างอนุสาวรีย์แพะไว้เคารพบูชา

โดยทั่วไปแล้วชาวจีน ชาวลาว ชาวอินเดีย หรือแม้แต่พี่น้องชาวใต้ของเราก็นิยมบริโภคเนื้อแพะ แพะจึงเป็นโปรตีนแห่งอนาคต พวกเราชาวฮามองหาแพะตุ๋นอยู่เสมอ โดยเฉพาะคุณหมอจอมป่วน ส่วนท่านอัยการชาวเกาะไปแอบดวลขาแกะย่างดุ้นเบ้อเร่อที่ประเทศอิหร่านมาแล้ว ผมมีแผนที่จะเลี้ยงแพะเพื่อการศึกษาวิธีเอาใบไม้เปลี่ยนมาเป็นโปรตีน จึงเริ่มทดลองเลี้ยงแพะอีกครั้งหนึ่ง คงไม่นานเกินรอหรอกนะ ที่สวนป่าจะสาธิตเมนูอาหารแบบไทยๆรสเด็ด เช่น ผัดเผ็ดแพะ แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน ลาบแพะ ต้มยำรสแซบ แพะผัดขี้เมา เอ๊ะ หรือจะชวนคนใต้ผัดคั่วกลิ้งแพะ อิ อิ

เรื่องที่คิดที่ทดลองกับมือ

เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมส่งมอบชุดความรู้ต้นทาง

ไว้ให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังถ้าสนใจก็นำไปพัฒนาต่อ

เปรียบเสมือนเสาไฟฟ้า

เมื่อมีต้นหลักก็จะมีต้นย่อยแยกขยายออกไปเรื่อยๆ

« « Prev : ข่าวจาก ม.ทักษิณ

Next : ลอยคอแต่ ไม่ตาลอย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2010 เวลา 8:01

    แพะหน้าตาสมเป็นแพะจริงๆ ..ฮ่าๆ

    อ่านเรื่องน้ำเต้าแล้วสงสัยว่า คำว่าไต่เต้า เกี่ยวอะไรกับน้ำเต้า หรือว่าน้ำเต้าชอบไต่ หรือว่าสิ่งอื่นชอบไต่น้ำเต้า…ว่าไปเรื่อยเลยค่ะ..

    ครูบาคะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งร่วมกับคุณพยาบาลจาก รพ. ขอนแก่นมาขอเบอร์โทรฯ ของครูบา ว่าจะเชิญไปเป็นวิทยากรประมาณเดือน กุมภาพันธ์ 54 ไม่ทราบเรื่องอะไรนะคะ…ทราบแต่ว่าได้ฟังครูบาบรรยายที่คณะพยาบาล มช. แล้วอยากเชิญครูบาไปบรรยายค่ะ

    เรื่องภาษาปะกิต นี่ ถ้าเชิญไปแปล อาจจะพลิกล๊อคนะคะ…เผลอๆ จะทำให้น้ำเต้าต่างๆ แปลงพันธุ์เพราะการแปลหรือเปล่าด้วยซิคะ…ฮ่าๆ ….แต่ก็ยินดีร่วมไปชมและฟังและแปลแบบ ทิงลิช..Thinglish= Thai + English)ค่ะ…vbvb

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:09

    เรื่องไปโม้ที่คณะพยาบาลขอนแก่น พระอาจารย์JJ ประสานมา
    วันที่ 4 มีนาคม อาจารย์จะมานอนคุยด้วย แล้วรับไปขอนแก่นวันรุ่งขึ้น
    วันที่ 5 บรรยาย ยังไม่ทราบหัวข้อครับ เพียงแต่เป็นการจองเวลา
    -นอกจากเรื่องแพะแล้ว วันนี้จระเข้ชุดแรกมาลงแล้วนะครับ
    -คาดว่าต้นปีหน้าจะได้ไปสายเหนือบ่อย ไปรับปากจุฬาฯจะไปเป็นคนช่วยสอนที่น่าน คราวละ 4-5 วัน
    -อยากจะแวะไปเยี่ยมจอมยุทธน้ำเต้าที่แม่โจ้ แล้วจะรบกวนอาจารย์ไปสปิกส์ด้วยนะครับ
    -ช่วงนั้น น้ำเต้าคงจะติดผลแล้ว
    -เมล็ดน้ำเต้าของอาว์เปลี่ยนที่บอกว่าผลยาว 2 เมตร สงสัยจะเป็นบวบมากกว่า อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.10509300231934 sec
Sidebar: 0.27978301048279 sec