ใกล้เกลือกินน้ำปลา

โดย sutthinun เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 4:30 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1191

(บัดเดี๋ยวนี้ เทวดามีลูกล่อลูกชนให้คนสนใจฮาตรึมเชียวแหละ”

ช่วงบ่ายระหว่างรอเดินทางเข้าบางกอก ให้ยินเสียงใสๆเย็นๆจากอุ้ย บอกว่าท่านรองคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์จะคุยด้วย หลังจากเจรจาต้าอ้วยก็ทราบว่าคณะจะจัดกิจกรรมประสานสุขให้แก่คณาจารย์และบุคคลากรในองค์ ทราบว่าจะจัดนอกสถานที่แต่ไม่ไกลจากตัวเมืองเวียงพิงค์มากนัก เพื่อที่จะให้ชาวพยาบาลให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันสักคืนหนึ่ง

ท่านอยากจะได้กิจกรรมที่คลี่คลายความเหนื่อยอกเหนื่อยใจ อยากจะหาแม่แรงมายกกำลังใจให้เด้งดึ๋งๆ ผมเรียนท่านว่า..ผมนั้นบ่มิไก๋อะไรหรอก อยากให้มองคนแซ่เฮ คนแซ่นี้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองนะจ๊ะ แถมยังอยู่รอบๆตัวท่านนั้นแหละ จะเอากี่กระบวนท่าก็บอกมา ไม่ว่าจะ-อุ๊ย-ครูอึ่ง-น้าอึ่ง-ครูอาราม มีทีเด็ดเต็มพกเต็มห่อพร้อมที่จะช่วยจรรโลงใจ เขาเหล่านี้ไปเฮฮามาทั่วราชอาณาจักร แถมยังอู้คำเมืองกันเองอีกต่างหาก ถ้ายกเอาความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่งมาเป็นฐานคิด ก็จะพบประกายอะไรๆที่แสวงหาได้ไม่ยาก แปลกตรงที่ทำไมเราเอาความสนิทสนมมาใช้กับเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ วิถีไทในอดีตให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แต่สมัยนี้เป็นอะไรก็บ่ฮู้เน้อ เรื่องนี้ที่โรงเรียนมงคลวิทยาทำอย่างเข้าใจมานานแล้ว

ทุกวันนี้เราจึงเสมือนใกล้เกลือกินด่าง หรือไม่ก็ตาบอดสี ไม่ยอมรับคุณความดีซึ่งกันและกัน อยู่ใกล้กันแทนที่จะกอดก็ศรศิลป์ไม่กินกันเสียนี่ วัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับกันนี่แหละที่เป็นโรคแสลงของสังคมไทย ชื่อสยามอยู่ดีๆไปเปลี่ยนเป็นThailand ต้องการจะเป็นลูกครึ่งมากกว่าที่จะดำรงความเป็นไทยล้วนๆ ไปเชื่อฝรั่งยกย่องฝรั่งยอมเดินตามก้นฝรั่ง ทั้งๆที่ฝรั่งมันไม่ยอมให้มาเดินเสมอหรอก ขนาดเป็นเมีย ยังไม่ยอมให้มาเดินเคียงคู่เลย โน่น! ไล่ไปเดินหอบลูกหอบของพะรุงพะรังไม่ต่างกับคนใช้..ทำไมไม่แสวงหาความรักจากคนใกล้ แทนที่จะไปเรียกร้องหารักจากแดนไกล เห็นที่จะต้องทำเรื่องใกล้ๆให้เป็นเรื่องพิเศษเสียแล้ว

คนไทยมีนิสัยอาณานิคมติดตัวมาจนเท่าเดี๋ยวนี้ ถ้าแก้ไขเรื่องนี้ได้ ประเทศไทยก้าวหน้าแซงญี่ปุ่นไปแล้ว ชาติที่เจริญเขามีวัฒนธรรมยกย่องคนทำดีใกล้ตัว ไปไหนใครทำอะไรดี ปรบมือให้ ชื่นชม ถ้าไม่กลัวดอกพิกุลร่วง ..ก็ถามสักคำ “เหนื่อยไหมคนดี”

อาการอย่างนี้เกิดขึ้นกับมหาวิทยาลัยทุกแห่ง

นั่งเครื่องบินเจอกัน

อ้าว! อาจารย์ไปไหน “เขาเชิญไปสอนไปบรรยาย..%$*+@!~^”บุรีรัมย์

แล้วครูบาละไปไหน? “ผมก็ไปอย่างเดียวกับอาจารย์นั่นแหละ@*&^%+”กรุงเทพ

ว่าแล้วก็หัวเราะ มันอะไรกันฟ่ะ ..

รายการนี้ถ้าเป็นผมจัดนะ..ผมจะเชิญอาปาของอุ้ยไปคุยให้ฟัง อุ้มอาปาไปคนเดียวก็สมบูรณ์เต็มพิกัดแล้ว หรือถ้าอยากจะได้ความหลากหลาย ก็ลองทาบทามรอกอดกับลูกสาวผม-เจ้าแห้ว-อีกคนไปช่วยเพิ่มรสซ่าส์ จะสลายม๊อบในใจให้บรรเจิดแค่ไหนก็ได้ ผมมีความลับจะบอก พวกแซ่เฮนี่บ้ายอนะจ๊ะ พูดถูกใจดำค่าตั๋วไม่ต้องจ่ายหาทางไปกันเอง ส่วนค่าตัวจ่ายเป็นกอดก็แล้วกัน ถ้าช่วยซื้อหนังสือเจ้าเป็นไผถึงไหนถึงกัน แจกลายเซ็นแถมกอดอีกต่างหาก จิบอกไห่ อิ อิ..

ถ้าจะให้ผมไป-วันที่ 27 ผมปิดค่ายTT&T บ่าย

แล้วนั่งรถเข้ากทม.กับคณะ

มาต่อเครื่องที่ดอนเมืองไฟล์1-2ทุ่ม คงไปถึงประมาณ 3 ทุ่ม

วันที่ 28 มีเวลาทั้งวัน จะใช้ให้ทำอะไรก็ย่อมได้

วันที่ 29 ว่าง-จะกลับบ่ายๆหรือไฟล์ค่ำก็ได้

วันที่ 30 มีรายการสอนพิเศษที่จุฬา เต็มบ่าย

วันที่ 31 ปิ๊กสวนป่า

อ้าว! งานเข้า>>เทวดาส่งข่าว

เครือข่ายพลังบวกเรียนเชิญครูบา มาเป็น Igniter งาน #IgniteTH ที่ลุมพินีสถาน (ที่เดิม)

คืนวันที่ 31 สิงหาคม 1800-2100 นี้ครับ ผมบอกไปแล้วว่าจะเรียนครูบาให้

ไหนๆก็อยู่กรุงเทพฯอยู่แล้ว อยากจะโม้เรื่องวัวกินใบไม้ ส่วนคนให้ไปกินรำ อิ อิ..

“ควรเอาเรือดีๆมาขี่ข้าม

อย่าเอาเรือรั่วน้ำมาข้ามขี่

ช่วยกันพายเรือไปให้ดีดี

อย่าพายงัดคนละทีมันเหนื่อยใจ”

« « Prev : ใบไม้เป็นอะไรมากกว่าที่คิด

Next : ครบรอบ 80 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 13:57

    พ่อคะ

    จะบอกว่าเป็นธรรมชาติของคนก็ไม่ใช่
    เป็นวัฒนธรรมก็ไม่เชิง

    มันเป็นความรู้สึกของคนที่มี “อัตตา” รึเปล่า ไม่กล้าฟันธง
    คนที่มีความรู้ ประสบการณ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ สมควรมาเป็นวิทยากรให้…….
    จริง ๆ แล้วในแต่ละหน่วยงานมีเยอะแยะมากมาย แล้วแต่เราจะจัดกระบวนการไหน
    เพราะแต่ละหน่วยงานเวลารับพนักงานเข้ามา ก็ต้องมีการสรรหาคนที่มีคุณสมบัติที่ต้องการ มาทำงานในแต่ละหน้าที่ หน้าที่สอน หน้าที่บริหารไปทั่ว บริหารบุคลากร การเงิน แผน วิชาการ สารพัดที่เราจะสรรหา สิ่งต่าง ๆ ที่จะเพิ่มพูนความรู้ หรือสร้างองค์ความรู้ มันต้องมาจากคนในองค์กร แต่เราไปเสาะแสวงหาข้างนอก แล้วถ้าไม่นำมาปรับใช้ตามบริบทตัวเอง เป็น “เจ๊ง” ทุกราย เราไม่ประมาณตนเองค่ะ สิ่งที่แสวงหาข้างนอกนั้น มันคือการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ปถุชน ธรรมดา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วม แบบที่เขาเป็นได้อย่างไรมากกว่าที่จะเรียนรู้ว่าจะให้เขาอยู่ร่วมกับเราได้อย่างไร หรือการต้องไปเสาะแสวงหาวิชาการที่มาเติมเต็ม มันก็ต้องมาดูใจว่าในองค์กรต้องการแค่ไหน หรือต้องการตอบแค่ KPI ทั้งหลาย เพื่อความอยู่ได้ของผู้บริหาร

    แต่ก็อีกนั่นแหละ
    เหมือนกับเป็นสัจจธรรมที่ว่า ถ้าทำดีและเด่นเกินไป ก็จะเป็นภัยกับตัวเอง
    ถ้าจะด้วยเหตุการเด่น แต่ทำให้คนพัฒนา โดยใช้ศักยภาพของคนในที่ทำงาน
    ก็ยอมเป็นภัยเช่นกัน ท้อ แด่ไม่ ถอย และชนไม่เลิกเหมือนกัน
    อันไหนถูกต้อง คือถูกต้อง อันไหนไม่ถูก ก็ว่าไม่ถูก ไม่ว่าคุณจำตำแหน่งไหน หรือเป็นอะไรที่สามารถบันดาลอะไรได้ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่การเจรจาก็ต้องมีวิธี แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เห็นใจ และไม่”ธรรม”ใจ
    ก็ตัวใคร ตัวท่านละค่ะ
    (บอกกันไว้เสมอว่า ถ้าชาตินี้ไม่ตาย ก็ค่อยมาคุยกันก็แล้วกัน วันนี้ “ยอมแพ้” เอิ๊ก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)

    จะบ่นทำหมเนี่ย
    อิอิอิ

  • #2 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 13:59

    จะบ่นทำหมเนี่ย แก้เป็น จะบ่นทำไมเนี่ย อิอิอิ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 22:34

    บ่นทำไม ดีกว่ากว่าทำไมไม่บ่น อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.83032703399658 sec
Sidebar: 0.27807807922363 sec