ใบไม้เป็นอะไรมากกว่าที่คิด

โดย sutthinun เมื่อ 15 สิงหาคม 2010 เวลา 10:25 ในหมวดหมู่ การเมือง การปกครอง กฎหมาย, สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 2395

..มหาชีวาลัยอีสาน คือยาขมหม้อใหญ่ ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อรักษาไข้ใจของคนอีสาน จากKey Word ดังกล่าว คือภารกิจของครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ที่ต้องการบรรเทาทุกข์ให้กับญาติร่วมแผ่นดิน โดยการแสวงหาคำตอบ เรื่องทักษะชีวิตในวิถีเกษตรกรไทย ภายใต้ความตระหนักที่ว่า เกษตรกรควรมีวิธีกระบวนการเรียนรู้ที่จะประยุกต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้สอดรับกับวิทยาการสมัยใหม่ที่เหมาะสม โดยช่วยกันยกระดับการจัดการความรู้ในชุมชน ให้รอดพ้นจากสภาพความรู้ไม่พอใช้ เอาวิชาการ+อาชีพ=วิชาชีพ>มืออาชีพ เพื่อให้เกิดครัวเรือนเกษตรกรรมมืออาชีพทั่วหน้า ทยอยพากันหลุดพ้นจากความเสื่อม ช่วยกันบรรเทาวิกฤติสังคมและสภาพแวดล้อม ที่ต้องทำมาหากินในดินที่เสื่อมโทรม-โรคแมลงรบกวน-ฝนทิ้งช่วง-ใช้ปุ๋ยและสารเคมีมากขึ้น-ต้นทุนเพิ่มขึ้น-ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากขึ้น-ความสามารถในการพึ่งพาตนเองลดลง ทำให้ครอบครัวและชุมชนตกอยู่ในสภาพความเสื่อมเสี่ยงรอบด้าน สิ่งเหล่านี้ตีความได้ว่าเป็นการดำเนินชีวิตเชิงลบ หลายครัวเรือนทยอยเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรไปเป็นกรรมกร..เราจะช่วยรักษาและพัฒนาวิถีเกษตรกรไทยให้กินอิ่มนอนอุ่นมีความปกติสุขได้อย่างไร?

ประเด็นดังกล่าวข้างต้นคือโจทย์ที่ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ตั้งธงให้กับตนเอง ในการค้นพบแนวทางช่วยเหลือเกษตรกร ให้สามารถพัฒนาอาชีพได้อย่างยั่งยืนและปกติสุข โดยใช้หลักการดึงเอาทุนทางธรรมชาติกลับคืนมาเป็นพลังเกื้อหนุนให้เกษตรหลุดพ้นจากข้อจำกัดต่างๆ นั่นคือการใช้ใบไม้ในสวนป่าหลายสิบชนิด(เช่นใบมะขาม-ใบมะม่วง-ใบขนุน-ใบกล้วย-ใบมะละกอ-ใบไผ่-ใบมะยม-ใบมะกล่ำ-ใบกระถินบ้าน-ใบกระถินณรงค์-ใบมะขามเทศ-ใบก้ามปู-ใบปอหู-ใบส้มเสี้ยว-ใบแดง-ใบมะรุม-ใบแค-ใบข่อย-ใบมะค่าแต้-ใบมะค่าโมง-ใบทองหลาง-ใบสะเดา-ใบขี้เหล็ก-ใบอ้อย-ใบข้าวโพด-ใบถั่วลิสง-ใบเพกา-ฯลฯ) มาเลี้ยงสัตว์

ตามปกติโคกินใบไม้ใบหญ้าได้อยู่แล้ว ถ้าต้อนโคไปเลี้ยงในป่าธรรมชาติ โคจะเลือกกินหญ้าก่อนเพราะกินได้สะดวก และกัดกินส่วนยอดใบไม้ควบกันไป แต่ถ้าเราเอาใบไม้มาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆเหมาะกับการเคี้ยว โคก็จะกินใบไม้ได้ทั้งหมด ถ้าเอาโมลาสและน้ำเกลือราดใบไม้ อาหารก็จะมีคุณค่าและโอชะมากขึ้น จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงโคโดยให้ใบไม้บด1เข่งใหญ่/วัน/ตัว โคจะอิ่มและได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้รูปร่างอ้วนสมบูรณ์ภายใน3-4เดือน นั่นก็หมายถึงว่าเกษตรจะมีรายได้จากการจำหน่ายโคหมุนเวียนปีละ3-4ครั้ง

กลวิธีอยู่ที่ต้องเอาใบไม้เหล่านี้มาเข้าเครื่องสับย่อยแล้วจึงนำไปเลี้ยงโค ทดแทนวิธีการเดิมที่ใช้หญ้า-อาหารข้น-ฟางเป็นหลัก ทำให้ต้นทุนสูง จุดพิเศษดังกล่าวนี้ทำให้อาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์กลับฟื้นมาตั้งตัวใหม่

· ความต้องการใบไม้ไปเลี้ยงปศุสัตว์ นำไปสู่ความตั้งใจที่จะปลูกต้นไม้เพื่อหลากหลายวัตถุประสงค์ เป็นการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในแนวราในพื้นที่ทำกินของเกษตรกร ไปสอดรับกับนโยบายต้นไม้เพื่อชีวิตแก้วิกฤติโลกร้อน

· มูลโคที่ได้จำนวนมาก นำไปสู่การตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ไปทะนุบำรุงดิน เป็นทางเลือกการมีและใช้ปุ๋ยของตนเอง ปิดช่องทางการนำเข้าปุ๋ยและสารเคมีปีละหลายหมื่นล้านบาท

· แนวคิดการสร้างการงานอาชีพที่สอดรับกับธรรมชาติ นำไปสู่การพบเห็นจุดตั้งต้นของพึ่งพาตนเอง ที่เอื้อต่อการยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ไม่ต้องไถพรวน ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่า ไม่ต้องซื้อปุ๋ยและสารเคมี ไม่ต้องใช้แรงงานมาก ไม่ต้องซื้อหัวอาหาร ไม่ต้องเสี่ยงกับความแห้งแล้ง ไม่เสี่ยงกับการตกงาน ไม่เสี่ยงกับการลงทุนสูง และไม่ต้องปีนเกลียวกับปัญหาดินพอกหางหมู

· เสนอวิธีบริบาลสังคม นำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนพื้นฐานภูมิปัญญาและฐานรากทางวัฒนธรรม นำไปสู่การลดผลกระทบเชิงสังคมและสภาพแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยคนยากจนมีรายได้คุ้มกับหยาดเหงื่อแรงงาน ไม่ตกงาน ลดภาระหนี้สิน กินอิ่มนอนอุ่น ทุกครัวเรือนร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อม ทุกคนก็จะเห็นความหวังความยั่งยืน พบช่องทางร่วมกันสร้างชีวิตใหม่ในพื้นถิ่นตนเอง ปัญหากดดันจากทางการเมืองจากคนระดับล่างก็จะค่อยๆคลี่คลายลงได้

  • จะขายความคิดอย่างไร?

1. ขยายแนวคิดผ่านเกษตรกร ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น และผู้สนใจทั่วไป ที่เข้ามาอบรมตามโครงการต่างๆ

2. ขยายแนวคิดผ่านภาคเอกชนที่มาเข้าค่ายฝึกอบรมกับมหาชีวาลัยอีสาน เช่น บริษัทTT&T นำผู้จัดการระดับหัวหน้าจังหวัดทุกภูมิภาคมาจำนวน5รุ่น บริษัทปูนซิเมนต์ไทยSCG นำพนักงานมาเข้าค่ายรุ่นละ 5 วัน เป็นต้น

3. ขยายแนวคิดนักศึกษา-อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาจัดค่ายเรียนรู้ทุกปี เช่น คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพยาบาลศาสตร์ คณะบริหารศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบล ฯลฯ

4. ขยายแนวคิดในเครือข่ายของมหาชีวาลัยอีสานที่ชื่อว่า กลุ่มเฮฮาศาสตร์ ผ่าน ลานปัญญา และ Gotoknow.org ในนามKM ในมหาชีวาลัยอีสานซึ่งครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เขียนบทความเสนอผ่านสื่ออินเตอร์เน็ทดังกล่าวเป็นประจำ

5. ขยายแนวคิดผ่านเวทีสัมมนาต่างๆ เช่น วันที่ 18 สิงหาคม 2553 เสนอแนวคิดนี้ในงานครบรอบ80ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม“เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับนวัฒนกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” ร่วมกับ..ศูนย์ศึกษาภูพาน,..สภาพัฒน์ฯภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และวันที่20สิงหาคม2553เป็นวิทยากรให้คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น “เรื่องเรียนรู้จากปราชญ์ วางรากฐานสู่สังคมโลก”

6. นำเสนอเชิงนโยบายให้กับกรมกองและกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม เพื่อชักชวนนักวิจัยให้มาสนใจโจทย์วิจัยจากท้องถิ่น เพื่อยกระดับงานวิจัยไทบ้านไปประสานงานวิจัยเชิงวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัย ในชั้นต้นจะอาศัยโครงการที่มหาชีวาลัยอีสานไปลงนามMOU.กับมหาวิทยาลัยอุบล และมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม อีกทั้งได้เสนอหลักการนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชนและนักศึกษาที่ยังไม่มีงานทำในคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

· กิจกรรมและกิจการประมาณไหน?

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ได้ใช้ความเป็นลูกเกษตรกรสืบทอดพันธะกิจของบรรพบุรุษ ที่ทำไร่ทำสวนในช่วง40ปีที่ผ่านมา ได้ลดละปลูกพืชเชิงเดี่ยวหันมาเปลี่ยนอาชีพปลูกสร้างสวนป่า ทดลองปลูกต้นไม้เบิกนำหลายชนิด ทั้งที่เป็นไม้พื้นถิ่นและไม้ที่นำมาจากต่างประเทศ ได้ค้นพบชุดความรู้เรื่องการปลูกป่าไม้ในพื้นที่แห้งแล้งดินเลวในพื้นที่600ไร่ ปัจจุบันมีแม่ไม้พันธุ์ดีที่สะสมไว้ได้ออกเมล็ดมาให้นำไปเพาะขยายผลได้แล้ว ทำการวิจัยไม้เอกมหาชัย-ไม้กระถินเทพา-ไม้ยางนา-ไม้แดง-ไม้ประดู่ร่วมกับงานวิจัยพันธุ์ไม้ป่า สำนักวิจัยและพัฒนาป่าไม้ กรมป่าไม้โดยมีคุณวิฑูรย์เหลืองวิริยะแสง(E-mail:Vito...@gmail.com) ประสานงาน ทำการศึกษาวิจัยการเลี้ยงโคพันธุ์ซาฮิวาล ร่วมกับ ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร กรมปศุสัตว์ อีกทั้งมหาชีวาลัยอีสานรับความรู้เข้าจากการที่เป็นแหล่งให้อาจารย์และนักศึกษาคณะต่างๆมาฝึกงานและดูงาน เมื่อทำการปรับปรุงชุดความรู้ให้เหมาะสมแล้ว จึงนำความรู้ออกเผยแพร่ออกไป

· ผลกระทบกระแทกกระทั้นเป็นอย่างไร?

การนำเสนอกระบวนการให้ฉุกคิด ชี้ชวนให้ทบทวนและใคร่ครวญดูอดีตที่ผ่านมา ว่าเราเป็นใคร ได้กระทำอะไรลงไป เกิดผลลัพธ์ในลักษณะใด ครอบครัวและชุมชนตกอยู่ในสภาพใด วันนี้ตอบตัวเองได้แล้วหรือยังว่าอยู่กับความรู้อะไร? ถ้ายังเคว้งคว้างกับอนาคตของตนเอง ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ มีข้อเสนอดีๆให้พิจารณา

มีเกษตรกรทั่วประเทศนับแสนครัวเรือน ที่ทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว สามารถที่จะเอาชุดความรู้นี้ไปเสริมสภาพคล่องให้กับการงานอาชีพของตนเองได้ อนึ่ง หน่วยงาน,องค์กร,สถาบันต่างๆ ที่มีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร ถ้าเอาแนวคิดนี้ไปเชื่อมโยง เช่น โครงอบรมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการปลูกป่า โครงการSME.ฯลฯ ชี้แนะให้เกษตรกรเลือกปลูกต้นไม้หลากหลายวัตถุประสงค์ จะเห็นประโยชน์ต่อตนเองในระยะสั้นและเข้าใจผลประโยชน์โดยรวมในระยะยาว ถ้าเข้าใจเหตุผลทุกคนก็จะร่วมใจร่วมมือกันปลูกป่า ทั่วผืนแผ่นดินไทยก็จะเกิดการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมอย่างแท้จริง ปลูกต้นไม้แล้วตัดเอาเฉพาะกิ่งและใบมาใช้ประโยชน์หมุนเวียน กิ่งที่โตยังตัดส่งโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังชีวมวลมวลได้อีก ไม่ต้องตัดลำต้น ปล่อยให้ไม้โตติดแผ่นดิน พลิกฟื้นระบบนิเวศที่เสื่อมให้มีชีวิตชีวาทั่วประเทศ เป็นการทำมาหากินที่ไม่มีปล่องไอเสีย อากาศสะอาดอ๊อกซิเจนมีคุณภาพ -ลดปัญหาการทำลายป่า -ลดการแก้ไขปัญหาเสื่อมโทรมของที่ดินทำกิน -การลดผลกระทบจากความแห้งแล้ง -ลดปัญหาเรื่องหนี้สิน >เพิ่มช่องทางการชำระหนี้ >เสริมกระบวนการพัฒนาอาชีพ >เห็นช่องทางแก้ไขวิกฤติด้านพลังงาน >พึ่งพาตนเองด้านเชื้อเพลิง -เลิกการใช้ปุ๋ยและสารเคมี >เห็นวิธีการยกระดับการเรียนรู้ของครัวเรือนเกษตรกร

ประเทศนี้จะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นวิวัฒนาการได้ โดยด้วยการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ผ่านจุดตั้งไข่ที่มีต้นทุนและพลังแฝงอยู่มากมาย ปลุกเกษตรกรที่หมดกำลังใจ ให้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ง่ายๆชัดๆตรงไปตรงมา เอาใบที่มีอยู่ในสวนไม้รอบบ้าน มาสับแล้วเอาไปเลี้ยงโค เปลี่ยนมุมมองใหม่ >> เห็นใบไม้เป็นโปรตีน เห็นใบไม้เป็นปุ๋ย เห็นใบไม้เป็นพลังงาน เห็นใบไม้เป็นความหวัง เห็นใบไม้เป็นทางออก เห็นใบไม้เป็นอนาคตของมนุษยชาติ เปลี่ยนคำถามใหม่

“วันนี้คุณสับใบไม้ให้โคแล้วหรือยัง”

การช่วยให้ญาติร่วมแผ่นดินไม่ตกหลุมพรางของกระแสเถื่อน ที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการรวยมากๆรวยง่ายๆรวยเร็วๆ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นๆเท่าที่ควร มุ่งแต่จะเอาประโยชน์แบบตีหัวเข้าบ้าน ส่งผลให้เกษตรกรต้องปีนเกลียวอยู่กับความผิดปกติ ทำให้ชีวิตและสังคมติดลบมากขึ้น ด้วยหลักการนี้ มหาชีวัยอีสานเชื่อว่า จะเป็นการสร้างตัวคูณให้กับสังคมบ้านเราที่กำลังย่ำแย่ เลิกยักแย่ยักยัน แต่พากันหิ้วปีกออกจากวังวนแห่งความอ่อนไหวอ่อนแอเถิดนะครับ.

  • แล้วยังไงต่อ

1 ดำเนินการวิจัยเรื่องป่าไม้เอื้อชีวิตและสังคม อย่างเต็มรูปแบบ

2 สร้างแปลงสาธิตการปลูกไม้หลายวัตถุประสงค์ให้ครบถ้วนยิ่งขึน

3 ปรับปรุงโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ซื้อพันธุ์แพะแกะมาเลี้ยงเพื่อการวิจัย

4 ซื้อเครื่องสับและบดกิ่งไม้ ตั้งโรงผลิตปุ๋ย

4 เชิญเครือญาติเฮฮาศาสตร์มาร่างหลักสูตรการอบรมให้ครอบคลุมทุกช่วงชั้น

5 พิมพ์หนังสือเรื่อง “ใบไม้เป็นอะไรมากกว่าที่คิด”

7 ผลิตสื่อ แผ่นพับ ซีดี.

  • เอกสารที่แนบ

1. หนังสือเจ้าเป็นไผ เล่ม1-2

2. หนังสือดินดิ้นได้

3. คริป เรื่องการฝึกอบรม

4. คริป เรื่องขั้นตอนเอาใบไม้เลี้ยงโค

5. Power Point เรื่องมหาชีวาลัยอีสาน

: หมายเหตุ

เรื่องนี้โม้สะบัด อ่านแล้วกรุณาช่วยกันกระตุก กระต๊าก ตะล่อมให้เข้าที่เข้าทางด้วยนะครับ

ช่วยกันแก้ไข ด่วนด้วยนะจ๊ะ

« « Prev : เพลงยาวของชาวลานปัญญา

Next : ใกล้เกลือกินน้ำปลา » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 สิงหาคม 2010 เวลา 12:09

    พ่อครูบาคะ

    อ่านไปก็พยักหน้าไปด้วยตลอดค่ะ ไม่มีข้อโต้แย้ง แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาทุกกระบวนการที่ครูได้เล่าไว้

    แต่สิ่งที่รู้สึกชื่นชมก็คือ “การพัฒนา” อย่างก้าวกระโดดและไม่หยุดยั้งของครูบา ตั้งแต่ได้รู้จัก อ่านงาน ได้ยินชื่อเสียง เห็นผลงานมาตั้งแต่ปลายปี 2540 ค่ะ

    ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีตเลขาธิการสภาการศึกษา (สมัยก่อนปี 2546 เรียกว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ) เคยกล่าวถึง พ่อครู ซึ่งจำได้ขึ้นใจจนบัดนี้ว่า…

    “คนนี้ (หมายถึงครูบาสุทธินันท์) จะไปได้ไกลและเป็นตัวแทนที่มีพลังมาก ๆ ของครูภูมิปัญญาไทยของเรา (ครูภูมิปัญญาไทยที่สกศ.ยกย่อง)”

    ไม่ได้โม้นะคะ เพียงเล่าถึงสิ่งที่ได้ฟังมาค่ะ

  • #2 ออต ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 สิงหาคม 2010 เวลา 12:32

    18 นี้ว่างครับจะตามพ่อไปมหาสารคาม


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.0816490650177 sec
Sidebar: 0.066646099090576 sec