การศึกษา ตอน:เหวี่ยงแหหา เหาใส่หัว

โดย sutthinun เมื่อ 15 กรกฏาคม 2010 เวลา 8:16 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 2402

จรัล มโนเพชร ร้องเพลงมอเตอร์ไซจีบอีน้องคนงาม..ดูจะเข้ากับเนื้อเรื่องนี้มาก..ชีวิตคนเราสมัยนี้ ต้องประยุกต์วิถีการทำงานให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย เข้าบางกอกเที่ยวนี้เจอเรื่องสนุกๆจนเละ นี่ถ้าไม่มีมือที่มองไม่เห็นคอยปิดทองก้นพระมีหวังอ่วมอรทัย นับตั้งแต่ลงรถทัวร์ หนูสิบล้อยิ้มแป้นรอรับ ตอนแรกแห้วจะให้แวะไปวัดตัว เพื่อเช่าชุดใส่ไปงานรับใบประกาศฯที่โรงเรียนแห้ว ..เป็นช่วงที่ช่างมาจัดการเรื่องเสื้อผ้าบุคลากรในโรงเรียน ระหว่างยังไม่เจอตัวก็โทรศัพท์ถามกัน “พ่อแวะมาที่โรงเรียนหนูก่อนได้ไหม” “พ่อเอวเท่าไหร่” ผมคลับคล้ายคลับคลาว่า 38 นิ้ว” คนถามแย้งว่าเป็นไปได้ไง ก็ยืนยันไปว่า”น่าจะ” มาลงเอยตรงที่ทางร้านยังหากางเกงขนาดนี้ไม่ได้ จึงไม่ต้องแวะไปลองชุด แต่ก็กำชับให้หนูสิบล้อวัดรอบพุงดูสิ ว่ามันเป็นเท่าไหร่แน่ หนูสิบล้อบึ่งมาส่งที่โรงแรมมารวย ชวนกันไปกินข้าวหมูแดงเจ้าประจำ แล้วบึ่งไปส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้าจตุจักร เพราะจวนจะถึงเวลาประชุมกรรมการนโยบายยกเครื่องการศึกษา

ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น ขออนุญาตแวะเข้ามาเรื่องรอบพุง เจ้าหนูสิบล้อนี่สุดยอดจริงๆ โทรมาบอกว่าหาซื้อสายวัดพุงแบบพกพามาฝากไว้ที่โรงแรมให้แล้ว กลับมาผมลองวัดพุง 38นิ้วจริงๆนะแห้วเอ๋ย ก่อนขึ้นรถทัวร์ก็ลองชั่งน้ำหนักตัว พบว่าไขมันพอกพูนกลับมาอยู่ที่65..เมี๊ยนเดิม จึงถามไปที่หมอเจ๊คนสวยแซ่เฮ ที่กรุณาอ่านค่าผลเลือดที่คุณป้าหวานเมตตาส่งให้ กลับมาเปิดอ่านในเมล์พบข้อควรระทึกใจที่หมอเจ๊ชี้แนะ พักหลัง..ปล่อยตัวปล่อยใจตามปาก น้ำหนักกลับคืนมา ไม่ค่อยได้นอนได้พัก รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแอ ไม่ไอแต่ก็มีอาการภูมิแพ้ น้ำมูกเยอะ ถ้าอยู่บ้านรับประทาน2มื้อ แต่มากรุงเทพที่ไรนิสัยเสีย สวาปามไปเรื่อย ภักษาหารที่เคยหม่ำที่บ้าน ก็มาเปลี่ยนเป็นเมนูขยะคนกรุง ที่มาเลือกพักโรงแรมมารวยก็เพราะมีร้านข้าวหมูแดงเจ้าอร่อยนี่แหละป้าหวาน กลับไปคงรีดตือฮวนยกใหญ่ จะตัดกิจนิมนต์ให้เหลือน้อยที่สุด จะได้อยู่กับเหย้าเฝ้าอยู่กับเรือน แต่ปลายเดือนนี้ชนต้นเดือนหน้าก็มีคิววิ่งรอกแบบบินเช้า-เย็นกลับติดต่อกันอยู่2-3รายการ

กลับมาตะลุยบางกอก ชักติดใจรถไฟฟ้ามาหานะเธอเสียแล้ว นอกจากเร็วแล้วประหยัดเงินประหยัดเวลาด้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ทำไม่ได้ของคนกรุง เป็นเหมือนไฟล์บังคับอัตโนมัติถ้าจะบริหารเวลา ผมขึ้นจากสถานีจตุจักรไปลงสถานีชิดลมแป๊บเดียว พอลงรถเจ้าประคุณเอ๋ย ฝนตกยังกับฟ้ารั่ว ดีว่าหนูสิบล้อรอบคอบเอาร่มใส่กระเป๋ามาให้ กางร่มลุยน้ำไปถามจราจรแถวนั้น โรงแรมอะเดรียติก พลาซ่า อยู่ตรงไหน? เขาก็บอกอย่างที่เคยดูในแผนที่เทวดาส่งให้ น้ำเจิ่งนองเต็มถนนเพชรบุรี เรียกแท็กซี่ขึ้นไปนั่งติดแหงกเหมือนคนบ้า เต่าเดินยังเร็วกว่ารถแท็กซี่ยามนี้ น้ำท่วมสูงจนกระฉอกเข้ามาในรถ นั่งทรมานใจจวนใกล้เวลาประชุมเต็มที จึงตัดสินใจลงรถ เดินไปคุยกับมอเตอร์ไซ

“ลูกพี่ผมจะไปโรงแรมชื่อบ้าๆเรียกยากๆนี่เท่าไหร่”

“ขอ50บาท” แล้วกัน

ผมกระโดดกอดเอวแกเผ่นแน๊บ!

เกิดมาก็เพิ่งได้ซิ่งมอเตอร์ไซกลางกรุงกับเขานี่แหล่ะเทวดาเอ๋ย

ได้ทั้งโอกาสและบรรยากาศ

เจอนักซิ่ง2ล้อด้วยกันหัวเทียนบอดกลางถนน

ขาซิ่งก็แซวกันคลายเครียด..

เป็นวิถีไทยแท้ล้วนๆที่สุดแสนประทับใจ

เมื่อก่อนนึกว่าจะมีแต่มอเตอร์ไซทำหล่นที่บ้านนอก

เดี๋ยวนี้มีซิ่ง2ล้อเกลื่อนกรุงเป็นทางเลือกสุดท้าย

เดินกระปรกกระเปลี้ยเข้าห้องเสวนา แต่ละคนมาแบบตุปัดตุเป๋กันทั้งนั้น ผมยังงงว่าทำไมเขาถึงมาเลือกประชุมกลางกรุงที่จ๊อกแจ๊กจอแจอย่างนี้ เดินทางมาก็ยากเรียกชื่อก็ยากแถมยังดูประหลาดๆ คำแรกที่บอกทีมงาน..”การศึกษามันก็มีอาการเหมือนฝนท่วมกรุงยามนี้แหละ ช่างชุลมุนสิ้นดี” วันนี้ที่ประชุมตั้งธงไปที่ตัวเด็ก ระบบการศึกษาควรจะแก้ไขจุดไหนบ้าง ถึงจะทำให้ลูกหลานไทยมีสุขภาวะทางการเรียนดีขึ้น ก็มีผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นกันอย่างคับคั่ง ผมฟังไปก็แอบต่อล้อต่อเถียงในใจ เช่น

ครูมีจิตใจเมตตาผูกพันศิษย์..จริง

จะไปหาที่ไหนละ เห็นมีแต่-ครูอึ่ง-ครูอาราม-ครูอุ้ย-ครูแห้ว

ครูค้นจุดอ่อนจุดแข็งลูกศิษย์..พบ

แหมตัวครูเองก็อ่อนอกอ่อนใจเต็มที มีบริการเสริมจุดแข็งให้ครูก่อนไหมละ

ครูสร้างแรงบันดาลใจให้ศิษย์..ได้

ใครจะสร้างแรงบันดาลใจให้ครู ครูบ่มีแฮง จะส่งแรงบันดาลใจได้ยังไง

ครูแนะนำการเรียน..เก่ง

แหมวิธีแนะนำให้เก่งไม่พอหรอก มันต้องแนะทำมากๆ?

กิจกรรมการสอน..เหมาะ

หลักสูตร-กฎหมาย-ระเบียบต่างๆ มันเหมาะแล้วงั้นรึ!

ผู้บริหารสถานศึกษา..เข้มแข็ง

อ๋อ..เข้มแข็งแน่..วิ่งไขว้คว้าตำแหน่งกันจนขาขวิด

หลักสูตรตอบศักยภาพเด็ก..ชัด

สอนให้เป็นใบ้-ไม่อ่าน-ไม่เขียน-ไม่ถาม-ท่องๆจำๆๆลอกๆชัดไหมละ

สิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน..ใช่

ช่วยสนับสนุนให้ครูดีมีกำลังใจหน่อยเถอะ ดีกว่าสนับสนุนอย่างอื่น

บรรยากาศแลกเปลี่ยนเทคนิคการสอน..มี

มีเทคนิคสอนให้เด็กอาชีวะไม่ตีรันฟันแทงกันไหมละ

เด็กด้อยโอกาสได้รับสิทธิ์ดูแล..เท่าเทียม

เด็กไทยก็ด้อยโอกาสทุกคนนั่นแหละ ถ้าบริหารบริการการศึกษาอย่างนี้

เส้นทางก้าวหน้าผู้บริหารและครู..ส่งเสริม

ส่งส่วย-ส่งเดช-ส่งเสีย เกิดความก้าวหลังแทนการก้าวหน้าจะทำยังไง

: ครูมืออาชีพมีน้อย ครูตัวลีบมีเยอะ !

การประชุมดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีผู้เสนอภาพย่อยภายในสถานศึกษาที่อยากเห็น เช่น โรงเรียนด้อยคุณภาพถูกปล่อยตามยะถากรรม ครูออกไปหาผลประโยชน์ตนเวลาไหนก็ทำได้ ผู้บริหารสถานศึกษาลืมภารกิจหลัก โรงเรียนแห้งแล้งทรุดโทรม ความสามารถนักเรียนถูกลบเลือน ถูกแทรกแซงบทบาทหน้าที่โดยผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย โรงเรียนไม่แทรกแซงพิเศษต่อปัญหาเด็กเป็นรายบุคคล

ประเด็นของอาชีวะ ม.ต้นไม่มีแรงเสริมอาชีวะ อาชีวะไม่มีพลังพอ มาตรการเสริมจากผู้ประกอบการต่ำ คุณลักษณะเด็กไทยไม่ถูกปลูกฝังให้สู้งาน คนไทยหลงกับดักค่านิยม ธุรกิจก้าวหน้าการศึกษาตามไม่ทัน >>>

· ยังมีเรื่องความยาวสาวความยืดไปอีกหลายขยัก

· คุณภาพครูคืออะไร? เก่งอย่างไร? พัฒนาอะไร? ประกันอะไร?

· สอนให้แข่งขันหรือสอนให้แก่งแย่งกัน

· สอนให้สอบ หรือสอนให้รู้!

· เรื่องค่าหัวเป็นตัวกีดกันอาชีวะใช่ไหม?

· อย่าสอนให้เป็นเพียงลูกจ้าง ควรสอนให้เป็นผู้ประกอบการได้ไหม?

ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เราปักธงไปในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่ทำไม่สืบเนื่องไม่เพียงพอ ขึ้นแผน9-10ก็ไปล่อเละเรื่องเศรษฐกิจจะเป็นนิคส์ จนถูกน็อคตกกระป๋องเรื่องต้มยำกรุง ตั้งแต่มีประเทศไทย เราเคยยกเอาการพัฒนาการศึกษาของชาติเป็นหมายเลข1บ้างไหม? คนไทยจึงตกรุ่นตกขอบ กลายเป็นทรัพยากรบุคคลซังกะบ๊วย สร้างปัญหาดึงชาติให้ล่มจมตกต่ำ เกิดวิกฤติไปทุกกรณีทุกย่อมหญ้า สร้างวัฒนธรรมหน้าไหว้หลังหลอก เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ กระลิ้มกระเลี่ยไปวันๆ

ผลโดยการสรุปของมูลนิธิสาธารสุขแห่งชาติพบว่า

เด็กไทยเป็นชาติที่เด็กถูกบังคับให้เรียนในห้องเรียน โดยใช้ชั่วโมงเรียนในแต่ละวันมากที่สุดในโลก เปรียบเทียบกับเด็กจีนถึงแม้จะมีความเครียดสูง มีประชากรมาก มีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังใช้เวลาเรียนในห้องเรียนน้อย ของไทยเด็กในเมืองและเด็กในชนบทมีความทุกข์จากระบบการศึกษาไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ ใช้เวลาเรียนในห้องมากและต้องกวดวิชาตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนเกิดความเครียดและความเบื่อหน่าย ซึ่งการเปลี่ยนระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมาเป็นแบบแอดมิสชั่นส์ ส่งผลให้เด็กต้องเรียนกวดวิชามากขึ้น รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เน้นให้เด็กต้องเก่งวิชามาตรฐาน ทำให้ครูต้องสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วยภาษาอังกฤษ โดยต้องขยายผลให้ได้ 2,500โรงในปีถัดไป ทั้งที่ยังไม่พร้อม ครูและนักเรียนจะรับไหวหรือไม่ ซึ่งอาจจะไปเพิ่มความกดดันให้เด็กมากขึ้น

หากครูไม่มีเทคนิคการสอนที่น่าสนใจ แถมยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เด็กจะรู้สึกทุกข์ทรมานจากการเรียน ครูบางคนไม่ให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียน ไม่ฝึกให้เด็กรู้จักคิดให้เด็กมีหน้าที่ฟังอย่างเดียว นั่งฟังนานๆทำให้เด็กเครียด เหนื่อยล้าส่งผลต่อสุขภาพจิตเด็กในที่สุด

ใครละที่ฝึกหัดครู-บรรจุครู-บริหารครู-พัฒนาครู

คิดและทำตรงจุดนี้ให้มีประสิทธิ์ภาพดีแล้วหรือยัง?

เด็กไทยเรียนหลายวิชา เรียนมากแต่มีผลการเรียนแย่ เป็นสิ่งที่กระทรวงศึกษาควรนำไปขบคิด การเรียนแบบไม่มีความสุข ทำให้เด็กเรียนอย่าง”ขอไปที” เรียนแล้วไม่สามารถนำวิชาไปใช้ในการดำรงชีวิต เรียนแล้วไม่สนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติม เพราะรู้สึกว่าการเรียนเป็นหน้าที่ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งทำให้เด็กจำนวนหนึ่งเรียนเท่าที่ได้รับการสอน กล่าวคือ เมื่อครูสอนจบ เด็กรู้สึกมีอิสระ ไม่ต้องถูกบังคับให้นั่งฟังอีกต่อไป ขณะที่เด็กบางคนทุกข์จากเรียนในห้องแล้ว ยังถูกพ่อแม่บังคับให้ไปเรียนพิเศษ ทำให้เด็กเครียด อาจจะสะสมความรุนแรงก้าวร้าวไว้ภายใน หรือแม้แต่ประสบความสำเร็จในการเรียนเหนือกว่าเด็กอื่น แต่ก็อาจกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข ขาดความฉลาดทางอารมณ์ ไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น

ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการต้องทำคือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนขนานใหญ่ ต้องจัดกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้เด็กมีความสุข ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเรียน มีช่วงเวลาทำกิจกรรมเพื่อสร้างความฉลาดทางอารมณ์ หลักสูตรไม่ควรยัดเยียดวิชาความรู้ให้เด็กโดยมองข้ามพัฒนาการด้านอารมณ์และการใช้ทักษะชีวิต หากจะจัดหลักสูตรความเป็นเลิศทางวิชาการ ก็ควรจัดกระบวนการเรียนการสอนอย่างสมดุลและพอดี

อย่าปฏิรูปการศึกษา

โดยปรับเปลี่ยนแต่โครงสร้าง

จนลืมมองไปว่า

เด็กจะอยู่อย่างไรในระบบการศึกษาไทย

สรุป: เมื่อคิดจะเข็นการศึกษาเข้าห้องผ่าตัด ถ้าผ่าไม่สำเร็จ หรือไม่กล้าผ่า ก็หากันหามไปป่าช้ากันเถอะ อย่าเสียเวลาอ้อยสร้อยลูบหน้าปะจมูกกันต่อไปเลย ขอได้ไหมความกล้าหาญ มีไหมคนกล้าเพื่อแผ่นดินนี้ ที่จะทำ-สิ่งเสมือนจริง-ให้เป็นจริง-ให้ปรากฏ

« « Prev : เบ่งเต็มที่เลยน้อง

Next : ทำชีวิตติดดิน ให้ติดใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:38

    ดีจังเลยค่ะที่ได้อ่านการประชุมด้วย กราบขอบพระคุณครูบาค่ะ

    การศึกษาไทยระดับพื้นฐานหรือมัธยมนี่ไม่ค่อยรู้…รู้ว่ามาถึงระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คนเรียนเกินกว่าครึ่ง นิยมคำตอบสำเร็จรูปและใจร้อนต้องการทุกอย่างตามใจตัวเอง เวลาให้เขียนรายงานเดี่ยวจะเขียนได้ดีเลิศ แต่พอทำงานกลุ่ม…ทำกันไม่เป็น ถ้าลองจัดแบ่งกลุ่มทำงาน มักรีบแบ่งงานเป็นส่วนๆ ให้ไปทำกันคนละส่วนแล้วมาปะติดปะต่อรวมเล่ม
    ส่วนเรื่องจิตพิสัย…เกินกว่าครึ่ง…ต้องการเรียนเพื่อให้จบคลอส วัตถุประสงค์อะไรไม่สำคัญเท่ากับอาจารย์จะออกข้อสอบกี่ข้อ ออกข้อสอบเรื่องไหนบ้างโดยไม่ค่อยจะวิเคราะห์ว่าประเด็ยสำคัญของแต่ละเรื่องคืออะไร …ถ้าสอนแบบให้เห็นความเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่วนหนึ่งจะประเมินว่าเสียเวลาไม่เน้นประเด็น(ที่จะสอบ)
    คนยุคใหม่ไม่จดเลกเชอร์ ..รอดูจาก A tutor และขอก๊อบไฟล์

    การศึกษาไทย..ถ้าการบริหารจัดการศึกษาเช่นปัจจุบันที่เน้นแต่ผลงานวิชาการของอาจารย์เหมือนระดับมหาวิทยาลัยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ น่าจะจัดสอนแบบ เรียนทางไกลซะให้หมด อาจารย์ก็ไปนั่งเขียนหนังสือขาย(จากการลอกตำราต่างประเทศ) นักศึกษาก็ไปซื้อหนังสืออ่าน เสร็จแล้วก็นัดติวกันเป็นช่วงๆ …จบแล้วไปทำอะไรได้หรือไม่…น่าจะปล่อยให้ผู้บริหารการศึกษารับผิดชอบบ้าง (ประชดค่ะ)

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 กรกฏาคม 2010 เวลา 14:33

    มันผิดตัวผิดฝามาตั้งแต่อนุบาลถึงอุดมศึกษา
    ไม่ง่ายเลยที่จะประคับประคองให้ครรลองออกมาในทิศทางที่เหมาะสม
    เป็นเรื่องที่ยากสุดๆแต่ก็เลี่ยงไม่ได้
    ไม่ทำก็มีแต่จมลง จมลง
    หนักอกหนักใจยังไงก็ต้องทำ
    และร่วมใจทำอย่างเข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องทำจริงๆเสียที
    ทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพ ค่อยๆปลดล็อคที่ละเปลาะๆๆ
    -ประชุมเครียดกลับมานอนน็อคจนใกล้สว่าง
    -กำหนดแล้วจะไปเชียงใหม่-ลำพูนวันที่ 26-27-28 :ซ่อมต้นไม้ให้เสร็จเสียที

  • #3 Iem ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 กรกฏาคม 2010 เวลา 15:55
    • ดีใจจัง ที่พ่อเล่นเสียว เพราะว่า มีการจัดอันดับ กิจกรรมเสียว การนั่ง มอเตอร์ไซด์ในกรุงทพฯติด 1 ใน 10 กิจกรรมเสียวด้วยล่ะค่ะ
  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2010 เวลา 1:49

    ไฟล์บังคับนะอิ่ม

  • #5 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2010 เวลา 8:48

    ทีนี้พอได้ยินคนเมืองกรุงบ่น พ่อจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเสียทียังไงล่ะคะ ฮี่ๆๆ :P

  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2010 เวลา 8:56

    ถ้าไม่สัมผัสเราก็วาดฝันว่าเมืองกรุงเป็นสวรรค์
    ที่จริงมันเป็นเมืองแห่งความเครียด-ฉุกละหุก-เบี่ยงเบน-และบ่ายเบี่ยง
    จริตคนกรุง เหมาะกับในกรุง
    แต่เรื่องพุงวัดแล้วๆๆ 38 นิ้ว
    จากนี้ไปจะตั้งใจลดพุง ลดๆๆๆๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.29815292358398 sec
Sidebar: 0.29748106002808 sec