ตอนซ้อมบท:ออกทีวี
อ่าน: 1977
บ่ายวันนี้ได้รับการติดต่อจากเมืองหลวงชวนไปออกทีวี
สงสัยจะเป็นรายการด่วน
ถามว่าอยู่กรุงเทพฯไหม?
บอกว่าอยู่บ้าน..นึกว่าจะเอวัง ..
ที่ไหนได้สักพักประชาสัมพันธ์จังหวัดโทรมา
จะขอมาสัมภาษณ์ไปออกทีวีพรุ่งนี้
ถามว่าจะคุยกันประเด็นไหนละครับ
โผแย้มออกมาทำนอง..ชวนม็อบกลับบ้าน
รวมทั้งมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในสายตาชาวบ้าน
ผมเห็นว่ายังมีเวลาจึงมานั่งซ้อมบทกับพี่น้องชาวเฮ
ถ้าจะกระแซะ กระชับ กระเจิง กระจาย ตรงไหนช่วยเติมด่วนเลยนะครับ
เวลาไม่รอท่า เดี๋ยวจะเหมือนฉันทนาส่งจดหมายผิดซอง
หมายเหตุ
ผมสมมุติคำถามเองเออเองนะครับ
อาจจะไม่ตรงตามนี้ก็ได้
แต่จะหารือกันก่อนถ่ายทำรายการ..
จะบอกว่าผมคิดอย่างนี้ จะปรับแก้อย่างไรก็คุยกันได้
ถาม: ครูบาเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้อย่างไร?
ตอบ: ผมศิษย์รุ่นแรกหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข สถาบันพระปกเกล้า ที่มีลุงเอกเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร (พล.เอก.เอกชัย ศรีวิลาศ) พระอาจารย์หลายท่านให้บรรจุความนึกคิดเรื่องการสมานฉันท์ให้เต็มอัตราศึกเลยละครับ เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้..ผมมองว่าคนไทยแบ่งแยกความรัก เลือกที่รักมักที่ชัง ทำไมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้นะครับ น่าจะเฉลี่ยรัก มากน้อยไม่เป็น อย่ารักมากเกลียดมากจนสุดโต่ง จนเกิดขั้วเกิดสังกัดสารพัดสี ไม่ทราบเอาสีธงชาติไปซุกไว้ที่ไหน จะร้องเพลงชาติไทยให้ฝ่ายไหนฟัง ทั้งๆที่ไม่รู้จักมักจี่ก็โกรธเกลียดกันลงคอ ไม่ฉุกคิดใคร่ครวญเหตุแห่งความไม่พอใจ วัฒนธรรมไทยแท้ไม่มีอย่างนี้นะครับ คนไทยจะไม่โกรธเกลียดกันจนไม่เผาผี ถ้าคิดแต่จะเอาชนะกันโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆทั้งสิ้น แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ใช้ไม่ได้เลยเชียวหรือ รถยังมีเกียร์ถอย ถ้าม็อบไม่มีเกียร์ถอย เวลาตกหล่มจะทำยังไงละครับ แม่แรงต้องการไหมละ
ถาม: ถ้าเป็นครูบาจะทำยังไงละครับ?
ตอบ: ผมก็จะฟังหูไว้หู หูข้างหนึ่งฟังเหตุผลฝ่ายม็อบ หูอีกข้างฟังเหตุผลฝ่ายรัฐบาล เพราะผมเชื่อว่าทุกฝ่ายล้วนมีเหตุผลของตนเอง ถ้าเราฟังอย่างลำเอียง เราก็จะฟังเฉพาะข้างหนึ่งข้างใด ในเรื่องที่เกี่ยวกับสังคมส่วนรวมเช่นนี้ ต้องรวมความคิดเห็นของทุกฝ่ายมาสังเคราะห์ ถ้าเรารับข้อมูลมาไม่สมบูรณ์ เราจะตัดสินด้วยใจเป็นกลางไม่ได้หรอก ผมไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไปปิดทีวีช่อง…ม็อบเสื้อแดง การเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับฟังข่าวสารทั้งสองด้านเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ใครจะด่าใคร ใส่ไฟกันอย่างไร คนไทยส่วนใหญ่มีวิจารญาณแยกแยะได้ ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อเลยทั้งหมดหรอกนะครับ บางทีคนพูดนึกว่าข้าเจ๋ง ฉอดๆๆไม่ยั้ง พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดบิดเบือน ถ้าพูดลักษณะนี้ยิ่งพูดยิ่งติดลบ เพียงแต่คนฟังไม่มีโอกาสบอกเจ้าตัวเท่านั้นเอง คงเห็นแต่ลูกคู่เย้วๆอยู่ตรงหน้าก็คิดว่าทะลุอารมณ์มันส์แล้ว คนฟังส่วนหนึ่งคิดว่า ..อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนอีโต้มาโย้หัว ผมคิดว่า พูดดีเป็นศรีแก่ปาก ยังใช้ได้ดีทุกยุคสมัยนะครับ
ถาม: ครูบาคิดอย่างไรกับนายกฯทักษิณ
ตอบ: ผมรักและเห็นใจนายกทักษิณนะ อาจจะเป็นเพราะวิบากกรรมของท่านก็ได้ ผมมีความรู้สึกว่า ถ้ารักท่านนายกทักษิณเท่าใด ผมก็ควรจะรักและเห็นใจท่านนายกอภิสิทธิ์เท่านั้น เพราะทั้ง2เป็นคนไทย ชาติเชื้อไทย เป็นญาติร่วมแผ่นดินของผม ทำไมผมจะต้องเกลียดญาติร่วมโลกด้วย คนทำงานใหญ่ก็ย่อมมีความบกพร่องเป็นธรรมดา ถ้าจะทำอะไรเลยเถิดหรือไม่บังควร คนไทยด้วยกันน่าจะแสดงออกด้วยการบอกตรงๆ ถ้าเกลียดตรงๆได้ ก็น่าจะบอกรักตรงๆได้เช่นกัน ใช่ไหมละครับ ที่เป็นปัญหาคือ..ไม่พอใจไม่ถูกต้องก็จะตั้งข้อรังเกียจไม่ข้องแวะ พากันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ลอยแพสังคม ผมไม่ใช่คนประเภทรักเผื่อเลือก แต่จะเอาตามตำราพระอาจารย์ไร้กรอบ(ดร.วรภัทร ภู่เจริญ) บอกไว้ในหนังสือ ..ฉลาดได้อีก คือเราจะไม่รีบพิพากษา ให้แขวนเรื่องไว้ ดูดีๆดูชัดๆใจเย็นๆไม่ด่วนฟันธง การที่เราไม่รีบร้อนตัดสิน ไม่ด่วนพิพากษานี่เอง เราก็จะเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น สังเกตความคิดตอนที่จิตเกิดอารมณ์ว่า คิดแบบเข้าข้างตนเองไหม เอาชุดความรู้เดิมมาตัดสินไหม ตีความเข้าข้างตนเองไหม เฉโกไหม ฯลฯ ถ้าจิตสงบ ปัญญาจะเกิด เราอาจจะเอะใจ เฉลียวใจ มองในแง่ดีและมองตามความเป็นจริงได้ในที่สุด
การสังเกตคือการไม่ตีความ
การไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วนพิพากษา
ทุกวันนี้ที่เราทั้งหลายมักทะเลาะกัน แค้นกัน ก็เพราะ”ด่วนพิพากษา”นั่นเอง แล้วเมื่อเราด่วนพิพากษาใคร เรามักจะหยิบมาจากความรู้ชุดเดิม หรือห้องสมุดส่วนตัวของเรา ซึ่งทางพุทธเรียกว่า”สัญญา” เราเอาสัญญาส่วนตัวออกมาตัดสินคนอื่น ซึ่งโอกาสผิดพลาดมีง่ายมากๆ เพราะเรามักจะตัดสินก่อนที่จะสังเกตให้ละเอียด เรามักใจร้อนด่วนตัดสินโดยไม่สอบถาม ไม่เข้าไปดู ไม่สังเกตให้รอบคอบ ไม่สังเกตด้วยใจเป็นกลาง
ถาม: ถ้าจะบอกท่านผู้นำ ครูบาจะบอกว่าอย่างไร?
ตอบ: ผมขออนุญาตยกเอาคำนิยมที่ท่านอาจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เขียนให้ “หนังสือเจ้าเป็นไผ1” ลองไปหาซื้ออ่านดูนะครับ
..ประเทศไทยมีทรัพยากรมหาศาล เกินพอที่จะสร้างสรรค์สวรรค์บนดิน หรือสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศน่าอยู่ที่สุดในโลก ที่เราล้มลุกคลุกคลานต้วมเตี้ยมเตาะแตะแตกตายอยู่เช่นทุกวันนี้ เพราะมองไม่เห็น หรือดวงตาบ่มีแวว ไม่เห็นสิ่งสำคัญที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดคือคนไทยทุกคน
ที่เราเห็นผิดคือเห็นเขาเป็นไพร่ เป็นทาส เป็นคนไม่มีการศึกษา โง่-จน-เจ็บ เมื่อเห็นผิดอย่างนี้ประเทศไม่มีกำลัง ความจริงคือเขามีคุณค่าความเป็นคน คนทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน และมีศักยภาพแห่งความสร้างสรรค์ ถ้าเราเคารพเฉพาะความรู้ในตำราคนส่วนน้อยเท่านั้นจะมีเกียรติ คนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติ ประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติจะอยู่ได้อย่างไร นั่นแหละคือปัญหาของเรา..
ถาม: ครูบามีอะไรจะฝากถึงม็อบบ้าง
ตอบ: ด้วยรักและห่วงใยนะครับ ผมคิดว่าคนเรามีบทให้แสดงตามวาระ คงไม่มีใครเต้นแร้งต้นกาอยู่เรื่องเดียวตลอดชีวิตได้หรอกนะครับ มีมืดก็มีสว่าง มีเข้าใจผิดก็ย่อมมีเข้าใจถูก วันนี้ร้อนวันข้างหน้าอาจจะเย็นลง..เราอยู่ร่วมกันที่บ้านหลังนี้ไปอีกนาน รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว อย่ามารักประเดี๋ยวประด๋าวกันเลยนะครับ รักเมืองไทยชูชาติไทยนั่นดีที่สุด ถ้ามีโอกาสเลือก ควรเลือกรักที่ยิ่งใหญ่ รักประเทศชาติจะไม่ดีกว่ารักตัวบุคคลหรือครับ ถ้าพร้อมกันภูมิใจในความเป็นคนไทย ทะนุถนอมชาติไทย ทำหน้าที่คนไทย ช่วยกันดูแลประคับประคองให้สังคมปกติสุข ร่วมกันเป็นตัวคูณของสังคม ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการที่เกิดมาเป็นคนไทย
ถาม: ครูบามองความขัดแย้งในสังคมอย่างไร?
ตอบ: ผมเคยเป็นหัวหน้าม็อบมาก่อน ถ้าใครจำเรื่องม็อบวัวพลาสติกได้ ผมนี่แหละตัวเอ้หมายเลข1เลยละครับ ผมถึงเข้าใจเข้าถึงหัวอกม็อบยังไงละครับ ความรู้สึกตอนนั้น รู้แต่ว่าเราจะยอมแพ้ไม่ได้ จะสู้ทุกวิถีทาง คิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็จะเอาด้วยกล เดินชนทุกรูปแบบ พร้อมแลกพร้อมลุย ..เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ผมไม่เห็นว่ามีใครแพ้ใครชนะ นึกละอายใจตัวเองที่ไปก๋าๆไม่ดูตาม้าตาเรือ สุดท้ายมีแต่ภาครัฐฯที่เสียหาย ต้องเอางบประมาณแผ่นดินมาเยียวยาหลายร้อยล้านบาท
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน คำว่าแพ้ไม่ได้ ถอยไม่เป็น คิดไปข้างหน้ามากกว่าคิดถอยหลัง ความตึงเครียดจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา ม็อบก็ทุกข์ รัฐก็ทุกข์ ประชาชนทั่วประเทศก็ทุกข์ ทำไมเราต้องมาเข้าตาจนอมทุกข์กันทั้งประเทศ อมฮอลล์ไม่ดีกว่ารึ เราไม่สงสารประเทศไทยกันบ้างเลยหรือ กว่าจะก่อร่างสร้างชาติขึ้นมา บรรพบุรุษเราเสียเลือดเนื้อไปไม่รู้กี่แสนศพ ไม่ใช่เสียคนละ 10 ซีซี.อย่างในสมัยนี้
ผมขออนุญาตเอาบทความในหนังสือ“กระแสธารแห่งชีวิต” ของรองศาตราจารย์โสรีย์ โพธิแก้ว แห่งคณะจิตวิทยาที่ปรึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้พิจารณา ในหัวข้อสันติและอำนาจ
สันติเป็นรากฐานของชีวิตที่ดีงาม
สันติเป็นรากฐานของครอบครัวที่ดีงาม
สันติเป็นรากฐานของชุมชนและสังคมที่ดีงามและสร้างสรรค์
สันติเป็นมิติของจิตใจ จิตใจเป็นรากฐานของทุกอย่าง จิตใจเป็นรากฐานของความคิด ความรู้สึก การกระทำ และความสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม จิตใจที่อิ่มเอิบด้วยสันติ เป็นจิตใจที่ปราศจากแรงกดดัน เพื่อจะให้ได้หรือเพื่อจะไม่ได้ แต่เป็นไปอย่างเข้าใจความจริงลึกซึ้งของชีวิต
บางทีต้นไม้ใบหญ้า สายฝน ท้องฟ้า อาจจะช่วยให้เราเข้าถึงสันติได้มาก ต้นไม้ค่อยๆเติบโตตามวิถีของตนโดยอาศัยสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว เช่นเดียวกับใบหญ้า และเช่นเดียวกับสายฝนที่ค่อยๆเพาะบ่มตัวให้เติบโตบนท้องฟ้ากว้าง และค่อยๆโปรยละอองให้ประโยชน์แก่สรรพสิ่ง ซึ่งอีกไม่นานหยดน้ำก็จะค่อยๆกลับกลายเป็นละลองไอของสายฝนบนท้องฟ้า กลับมาให้ประโยชน์แก่สรรพสิ่งอย่างไม่ต้องดิ้นรน บีบบังคับ แต่ดำรงอย่างเอื้อเฟื้อ กลมกลืน และสันติ
สันติแห่งธรรมชาติบอกแก่เราว่า ทุกอย่างดำรงอยู่อย่างที่มันต้องอยู่อย่างเอื้ออาศัย ไม่ต้องการมาก ไม่ครอบครองเป็นเจ้าของ ไม่ทอดทิ้งปราศจากความเกี่ยวพันกัน แต่อิงอาศัยกันงอกงามไปตามวิถีของตน ไม่มีการเรียกร้องไม่มีการเบียดเบียน ต่างเอื้อแก่กัน ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเติบโตงอกงามไปด้วยกัน
สันติจึงเป็นความสงบ เป็นความสงบที่ทำให้การเคลื่อนไหวเติบโตเป็นไปอย่างกลมกลืน ไม่รีบร้อน ไม่บีบบังคับ ไม่บังคับ ไม่เบียดเบียน
กำลังอำนาจทำให้เกิดความกลัว และความกลัวย่อมไม่ใช่สันติ อำนาจจะทำให้เกิดความเกลียดชัง และความเกลียดชังย่อมไม่ใช่สันติ
การเรียนรู้ด้วยใจสันติย่อมมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง และเช่นเดียวกันกับครอบครัว ในชุมชน และสังคม จะเติบโตงอกงามอย่างสร้างสรรค์ได้ด้วยสันติหาใช่ด้วยกำลังบังคับไม่
บ่อยครั้งที่เราคิดว่าอำนาจจะช่วยให้เกิดสันติ
ปัจจุบันมีคำมากมายที่แสดงอำนาจ เช่น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทางการค้า ทางอาวุธ และทางความรู้
แต่มหาอำนาจสร้างสันติได้หรือ?
มหาอำนาจมีแต่จะเบียดเบียน บังคับ เอาชนะทับถมผู้คนด้วยอำนาจ และนำไปสู่การต่อสู้ไม่ภายนอกก็ภายใน ทำให้เกิดคลื่นแห่งความไม่สงบเป็นระลอกๆ อย่างไม่มีวันยุติได้ใช่ไหม?
นึกถึงการปลูกต้นไม้ เมื่อเราเตรียมดินอย่างตั้งใจและค่อยๆนำกล้าไม้มาปลูก และเมื่อเวลาผ่านไป เราก็ค่อยๆ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย แต่งกิ่งอย่างอ่อนโยน หนุนค้ำเมื่อจำเป็น จนต้นไม้เติบใหญ่ให้ดอกผล
นั่นคือการใช้อำนาจใช่ไหม?
ถาม: มีการกล่าวถึงคำว่าสมานฉันท์ ครูบาคิดว่าจะสมานเธอกับฉันได้ไหม?
ตอบ: ผมขออนุญาตเอาที่ท่านอาจารย์โสรีย์ โพธิแก้ว กล่าวถึงความสมานฉันท์ไว้ดังนี้
ความขัดแย้ง ความแตกแยก ความข่มเหงรังแก เอาชนะกัน เป็นอาการแสดงออกของความทุกข์ในใจคนทั้งสิ้น เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อใด หรือไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ที่นั่นจะร้อนรนและปราศจากสันติสุข การอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ และเป็นสุขเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ครอบครัว ที่ทำงาน ในบรรดาเพื่อนฝูง หรือในชุมชนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ หรือแม้แต่ระดับนานาชาติ
ความขัดแย้ง ความแตกแยก ความข่มเหงรังแก มีรากฐานมาจากไหน? หากเข้าใจที่มาของจิตใจ เช่นนี้อาจช่วยให้การแก้ไขเป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้น รากเหง้าของความขัดแย้ง ความแตกแยก ความข่มเหงรังแก เกิดจากการที่ใจเราถูกขังไว้ในที่แคบๆ โดยมีความเชื่อ ความรู้ ที่เจ้าของใจนั้นยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ และปรารถนาจะให้สิ่งที่ยึดเอาไว้นั้นต้องคงอยู่ต่อไปอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..
ความจริงแล้ว การสมานเป็นเรื่องของจิตใจที่ดีงาม กว้างขวาง อิสระและแจ่มใส จิตใจที่ดีงามกว้างขวางเท่านั้นถึงจะเชื่อมสมานกับสรรพสิ่งได้ จิตใจที่อิสระแจ่มใสเท่านั้นถึงจะซาบซึ้งและซึมซับปรากฏการณ์ต่างๆของชีวิตได้ และสามารถอยู่ร่วมกันกับสิ่งอื่นๆได้อย่างราบรื่นสร้างสรรค์..
ถาม : ช่วงนี้รัฐบาลต้องการให้ชาวม็อบสลายตัวกลับบ้าน
ครูบามีข้อแนะนำบ้างไหมครับ
ตอบ: ตอนแรกๆก็นึกถึงคำ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง ถ้าไม่ขวางก็มีแต่ยกเอาเรือขึ้นบก หรือไม่ก็ค่อยๆประคองเรือล่องมาตามน้ำ ผมไม่คิดจะขัดจะขวางอะไรอยู่แล้ว เพราะแต่ละชีวิตสละเวลาไปร่วมม็อบนั้นย่อมมีหลายวัตถุประสงค์ คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด เวลาฟัง3เกลอหัวขวดปราศรัย ถ้าสกัดเอาเฉพาะแก่น บางทีเราก็ได้ข้อมูลใหม่หรือแง่คิดที่ดีๆบ้างเหมือนกัน เพียงแต่ถ้าไปฟันธงเป็นขาวเป็นดำเราจะไม่ได้อะไรเลย การจะเลิกม็อบผมว่าขึ้นอยู่กับผู้นำ เพราะเขาร่วมทุกข์สุขกันมา ถ้าแผ่เมตตาถึงกันได้ อะไรๆก็ย่อมจะง่ายขึ้น เรื่องยากๆอย่างนี้ต้องหาคนที่มีภาวะผู้นำที่เป็นกลางไปแช็คแฮนด์ ระดับแลกใจสู่ใจ พันธกิจม็อบวัดกันที่ใจ ต่อให้ใจหินอย่างไรถ้าเข้าใจก็จะเข้าถึงได้ ใครหนอเหมาะที่จะไปคุยกับท่านอดีตนายก ผมอ่านเจอในหนังสือ “คัมภีร์ผู้นำ” เทคนิคการเป็นผู้นำที่ชนะใจคนทั้งโลก เขียนโดย ดร.วรภัทร์ ผู้เจริญ มอบให้ผมในคราวพบกันล่าสุดที่สารคาม อาจารย์แย้มในข้อเขียนว่า ..” ทุกคนมีภาวะความเป็นผู้นำอยู่ในตัว อยู่ที่ว่าเราจะสามารถดึงเอาศักยภาพนี้ออกมาใช้ได้หรือไม่ เรียนรู้ที่จะปกครองตนเอง เพื่อเชื่อมโยงถึงคนอื่น อยู่รอด อยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย นี่แหละคือผู้นำใหม่ที่จะชนะใจคนทั้งโลก”
ผมมีปัญญาแค่หางอึ่งแถมอยู่ปลายแถวระดับรากหญ้าเสียอีก ถ้าให้ผมออกความเห็น ผมคิดว่าจะชวนทีวีไปถ่ายทำในหมู่บ้าน สะท้อนให้เห็นบรรยากาศช่วงนี้ ร้อนและแห้งแล้ง น้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลนอย่างหนัก อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสงกรานต์ นอกจากน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟแล้ว น้ำน้อยยังทำให้การเล่นสงกรานต์ฝืดฝืนเป็นบ้า เอาสาวๆมาทาแป้งมะล็อกมะแล็กพอบ้องแบ๊ว ..แล้วให้ออกมาเรียกที่รักกลับบ้าน ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม ลูกๆกลับมาอยู่บ้าน พี่ป้าน้าอาก็กลับมาเยี่ยมบ้าน ถ้าอยู่กันพร้อมหน้าตั้งวงโจ้กันสนุกๆตามประสายาก อาจจะช่วยผ่อนคลายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจได้บ้าง เรื่องการแสดงออกสิทธิหน้าที่พลเมืองเป็นเรื่องดี แต่ถ้าแสดงเข้าบ้างออกบ้างจะดูสมดุลกันมากกว่า กลับมาปรึกษาหารือเรื่องบทเรียนแห่งชีวิต คนรากหญ้าถ้าคิดพึ่งตนเอง จะใกล้เคียงกับสภาพในปัจจุบัน การพึ่งพาคนอื่นหรือหรือพึ่งพาภายนอก อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ยังไงๆก็สู้พึ่งตนเองไม่ได้ คิดและทำตัดสินใจเองถึงจะเหนื่อยกายแต่ก็ไม่เหนื่อยใจเท่ากับการไปม็อบ ไปแต่ละครั้งหลายวันด้วยสิ ขอชื่นชมในการเป็นนักสู้ประชาธิปไตย แต่ถ้าสู้ทำงานในไร่นาตนเอง ถ้าขยันขันแข็งเท่ากับไปยืนท้าแดดลมเมืองกรุง มาสู้ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ ค่อยๆทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ชัดเจน สิ่งที่ได้สิ่งที่ทำจะนำความสุขความภูมิใจมาให้ตนเอง
ยกตัวอย่างที่มหาชีวาลัยอีสานตอนนี้ ผมปลูกผักผลไม้อย่างสนุก
มีอาหารอร่อยเต็มสำรับทุกมื้อ เด็กๆที่พ่อแม่ทอดทิ้งพากันมาอยู่ที่สวนป่าหลายคน ช่วยกันทำงานอย่างมีความสุข เด็กๆบอกว่าจะอยู่ที่นี่จนเปิดเทอมเด็กๆยังหาที่อยู่ที่ทำงานอย่างปกติสุขได้ ผู้ใหญ่ก็น่าจะหาที่อยู่อย่างปกติสุขได้เช่นกัน กลับมาบ้านเฮาเถิดนะพี่อ้าย น้องรออยู่ ไม่เชื่อก็ดูที่ทีวีถ่ายทำมานี่ยังไงละ
ถาม:ขอคำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป
ตอบ: ผมคิดว่าม็อบและไม่เป็นม็อบก็คือคนไทยด้วยกัน เพียงแต่อาจจะสนใจเรื่องการบ้านการเมืองแตกต่างกัน สำหรับชาวม็อบดูเหมือนจะมีที่ไปที่มาคล่องตัวเพราะไปอยู่โยงหลายครั้ง แต่คนที่ไม่ได้เป็นม็อบนี่ละ คนเราคงมีทางเลือกที่หลากหลาย สำหรับกลุ่มประชาคมคนสกุลเฮ จะรวมตัวกันผ่านบล็อกลานปัญญา แต่ละคนมาจากหลากหลายอาชีพหลายสถานะและหลายภูมิภาค ถ้าจะดูถึงเรื่องความต่าง รับรองได้ว่าชาวเฮฮาศาสตร์แตกต่างกันในทุกกรณี หลังจากมีพื้นที่กลางให้ทุกคนมาลงขันความรู้ได้อย่างอิสระ ความรู้-ความรัก-ความคิด-นำไปสู่การเป็นเครือข่ายร่วมกัน ทุกคนต่างเป็นโซ่ข้อกลางให้แก่บล็อกลานปัญญา เมื่อมีพื้นที่ๆปลอดภัย มีความปรารถนาดีรออยู่ ทุกคนจึงรู้สึกอบอุ่น สบายใจที่ได้มาเสวนากันทางสื่ออินเตอร์เน็ท ตรงกับคำที่ว่า”อยู่ร่วม” ในหนังสือคัมภีร์ผู้นำ อยู่ร่วมเป็นปัญญาฐานใจ คือหลังจากอยู่รอดแล้ว พอเพียงแล้ว ก็รู้จักแบ่งปัน จิตอาสา มีน้ำใจ ช่วยกันรักษ์ธรรมชาติ คิดแบบยั่งยืน ฯลฯ ถ้ามีการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายคณะก่อการดีทั่วแผ่นดิน เกิดเป็นสังคมอุดมปัญญา หรือถ้าเป็นชาวเฮ ก็จะเรียกว่า สังคมเรียนรู้แบบเฮฮาศาสตร์
เอาแค่นี้ก่อนนะครับ
พบกันใหม่เมื่อทีวีมีช่องว่าง อิ.อิ.
« « Prev : ภาคฤดูร้อนของเด็กรากหญ้า
10 ความคิดเห็น
อยากรู้ชื่อรายการ ช่อง ชื่อผู้ดำเนินรายการ ช่วงเวลาที่ออกอากาศ และเวลาที่จะให้พ่อพูดก่อนจังค่ะ เพราะถ้าเป็นรายการวิเคราะห์สถานการณ์ที่มีการรับฟังกันจริง ๆ ได้ขนาดนี้ก็ครบกระบวน มีอะไรให้เก็บไปคิดคำนึงแยะ (ถ้าจะคิดอ่ะนะ) แต่สำหรับบางรายการ บางช่วงเวลา ที่กลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต้องการยาแรงหน่อย คือขี้เกียจคิดเยอะ ไม่อยากฟังมาก (ยิ่งช่วงนี้ก็คงไม่มีใครฟังใครอยู่แล้วนี่คะ พูดไปเผลอ ๆ เข้าตัวอีกต่างหาก) มีอะไรก็ว่ามานี่ สงสัยต้องเปลี่ยน script ไปเป็นแบบเผ็ด ๆ ชนิดที่ว่า เอาไม้ตีพริก แบบที่ยังมีพริกติดอยู่แยะ ๆ ไปเคาะแทนอ่ะนะ กั่กๆๆๆ
แหม แต่ไอ้ตรงที่มีอะไรจะฝากถึงผู้นำเนี่ยะ ถ้าเป็นผู้นำที่หล่อ ๆ หน่อยอ่ะค่ะ ช่วยบอกให้ท่านเร่งสปีดและปรับโปรแกรมการทำงานให้หลากหลาย version ทันใจ (บางทีก็อยากสะใจบ้างอ่ะ ได้ป่าว อิอิ) เช่น เล่นบทนักการตลาดเปรี้ยว ๆ ตระเวณ ปชส.ประเทศ เรียกนักท่องเที่ยวบ่อยๆ ขณะเดียวกันต้องเล่นบทอังกอร์ควบคู่ไปด้วย และลองบทแจ๊ค บาวเวอร์ ในซีรี่ส์เรื่อง 24 ในยามสถานการณ์แบบนี้ดูบ้างก็ได้นะตะเอง
ยิ่งพิมพ์ นิ้วยิ่งเผ็ด แว่ปก่อนดีฝ่า เหอ เหอ เหอ :P
วันนี้น่าจะได้รายละเอียด แล้วจะป่าวประกาศอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ามีช่วงเวลาให้ผู้ชมช่วยออกความเห็นด้วยก็ดี
หวังว่านะ
หมากเกมนี้ ไม่ใช่ กระดานสุดท้าย ทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะมองถึงกระดานต่อไปบ้าง จบกระดานนี้ ก็ยังมีกระดานหน้า คนทั้ง 2ฝ่าย ไม่ตายไปหมดทุกคน ที่สำคัญประเทศไทยยังอยู่ การทำลายล้างกันโดยทำร้ายประเทศไทยนั้นไม่สมควร เมื่อลากเอาเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมมาร่วมกัน ชาติคือผู้รับผลเสีย
ควรแยกเรื่องส่วนตัวออกจากส่วนรวม เคลียร์ปัญหาแยกส่วน ใครจะถูก ใครจะผิด เป็นเรื่องที่ต้องทำให้กระจ่างชัดทุกฝ่าย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของศรัทธา
อยู่บนการยอมรับไม่ใช่ของใครฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ในทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหาทั้งส่วนรวม และ ส่วนตัว พัวพันกัน ทีมนิติบัญัติก็ถูกสั่นคลอน ปัญหากินลึกลงไปขนาดนั้น จะแก้กันตรงชวนม๊อบกลับบ้าน หรือแก้ที่ตรงไหน
การทำให้สถานการณ์สงบ เป็นเรื่องปลายทาง ถ้าอยู่บนการบังคับ ให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งแพ้ ก็ไม่สงบจริง ความเสียหายเรื้อรังยังอยู่ สงบบนความพอใจชั่วคราวของทั้ง 2 ฝ่าย อาจทำได้ ทำอย่างไร จะทำให้จุดหมายของทั้ง 2 ฝ่ายคือจุดเดียวกันได้ หาจุดร่วมนั้นให้พบ จึงจะหยุดได้แท้จริง น่าจะเป็นให้สติแก่ทั้ง 2ฝ่าย ให้ความยุติธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย การกระทำที่ฝ่ายหนึ่งได้ ฝ่ายหนึ่งเสียย่อมไม่จบ ได้ทั้ง 2ฝ่าย หรือ เสียทั้ง 2 ฝ่าย น่าจะเป็นที่ยอมรับได้
ขอขอบพระคุณพ่อครูค่ะ ป้าหวานชอบบันทึกนี้ ชอบความคิดของพ่อครูมากๆค่ะ ถ้าทุกคนยอมรับความแตกต่างของมุมมองบ้าง ก็จะได้มุมมองเพิ่มขึ้น ส่วนดีของเหตุการณ์วันนี้ก็มี การเรียนรู้ พัฒนา ครั้งใหญ่ ทั่วประเทศ จะตื่นตัว ทำอย่างไรให้วิกฤตเป็นโอกาส การตอบโต้ด้วยข้อมูล ด้วยการตอบคำถาม ดีไหม อย่าตอบโต้ด้วยการปิดปาก ปิดจมูก การกระทำวันนี้ มีผลจากกระทำวันก่อน เขาทำเช่นนี้ เพราะเราทำเช่นนั้น เราทำเช่นนี้ เพราะ เขาทำเช่นนั้น และทั้ง 2 ฝ่ายกำลังเบี่ยงไปในทางเอาชนะกัน นำไปสู่สิ่งที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายทำ จะดับไฟ ทำไมเติมน้ำมัน ไม่เติมน้ำ
สงกรานต์ปีนี้ขอเชิญชวนไปเล่นสงกรานต์ที่ราชประสงค์ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่ กทม.
โอกาสแบบนี้มีครั้งเดียวนะครับ พี่น้อง….. อิอิ
แหม ได้สติดีแท้ ขอบคุณครับ
ทุกครั้งร้องขอความเห็น
ป้าหวานมีแง่คิดมุมมองสุดยอดให้เสมอ
ขอบคุณมากนะป้า
ยังมีเวลาอีกนะครับ
เสนอมาได้
-เกิดเรื่องแห้วนะสิครับ
-เมื่อเช้าผู้ช่วยประชาสัมพันธ์จังหวัดฯโทรมาประสานงาน
-บังเอิญมีพ่อค้าวัวมาคุยด้วย
-กลับมาเจอรายการโชว์เบอร์
-โทรกลับ
-ปลายทางบอกว่า..โทรมาแล้วไม่มีคนรับ เกรงจะไม่ทันการ
-จึงไปสัมภาษณ์คนอื่นแทน ไม่ขอรบกวนแล้วนะ
/เออ ก็ดีเหมือนกัน ไม่เปลืองตัว
/ช่วงบ่ายมีโทรฯ จากประชาสัมพันธ์จังหวัดเข้ามาอีก
-บอกว่า..ลูกน้องไปสัมภาษณ์ผิดคน ใช้ไม่ได้
-ทางบางกอกเขาระบุตัวมา ไม่ใช่ว่าจังหวัดจะสัมภาษณ์ใครไปก็ได้
/เขาถึงขอนัดเวลาใหม่
/ผมคิดว่าก็ดีนะ พี่น้องชาวเฮจะได้ช่วยกันระดมความคิดต่อๆๆไปได้อีก
/เฮ้อ แห้วน่าร้อนนี่คันหัวใจพิลึก
คราวหน้าไปบุรีรัมย์ น่าไปเยี่ยมประชาสัมพันธ์จังหวัดด้วยค่ะ
อยากเห็นหน้าคนทำงาน…5555
“”"
เรื่องที่ครูบาเขียน ..อ่านแล้วก็บอกตัวเองว่า…ให้อ่านอย่างประณีตด้วย
ถ้าไปออกรายการทีวี…คนฟังควรฟังอย่างประณีต และมีบทสนทนานี้ทำเป็นบทความส่งหนังสือพิมพ์ เพื่อให้มีคนอื่นที่ไม่ได้อ่านบล็อกและไม่ได้ดูทีวี มีโอกาสได้อ่านด้วย…และอ่านอย่างประณีต
ทำไมเน้นคำว่าประณีตเหลือเกิน ก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่คนอ่านควรทบทวนอย่างพินิจพิเคราะห์ถามตัวเองว่า ..มีแง่มุมใดอีกที่เราจะช่วยเหลือชาติได้ในฐานะที่เราเป็น ในสภาพที่ล่อแหลมของสังคมขณะนี้
เราควรหันมาตั้งคำถามถึงความสุขที่แท้จริงที่เราทุกคนต้องการ…การยุบไม่ยุบ ณ วันนี้ทำให้เราสุขจริงหรือ สุขเพราะอะไร มีเหตุผลอะไรที่เหนือกว่าการได้คำตอบเพียงแค่คำว่ายุบหรือไม่ยุบ
เราควรหันมามองครอบครัวเรา..ปัจจุบันนี้เราทำหน้าที่ของการเป็นพ่อ แม่ ลูก ญาติ ต่อกันอย่างไร …เราเคยสร้างความสุขให้กับคนรอบๆตัวเราด้วยวิธีไหน ความสุขเหล่านั้นเกิดจากความสุขแบบไหน เป็นสุขแบบพึ่งพาสิ่งอื่นๆ รอบตัว หรือเป็นสุขที่เปี่ยมล้นจากข้างในภายในของเรา
เราควรหันมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า…เราเกิด ใช้ชีวิต และคงจะตาย บนแผ่นดินนี้ …เราเคยคิดถนอมแผ่นดินทีเราเกิดหรือไม่ อย่างไร …แผ่นดินที่เรายังชีวิตนี้ เจริญด้วยมือเราหรือถูกทำลายด้วยมือเรา ..อย่างไหนมากกว่ากันเราต้องการให้ลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป ใช้ชีวิตบนความขัดแย้งตลอดเวลาหรือเราอยากให้เขามีชีวิตที่ดีงามบนความเข้าใจในความแตกต่างและอยู่ร่วมกับความแตกต่างด้วยความเข้าใจคนอื่นด้วย
เราควรก้มมองดูเท้าของเราเองว่า เราใช้พื้นที่เท่าไหรในการอยู่ร่วมในสังคม เราลดตัวเราลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้คนอื่นหรือไม่ หรือว่าเรากำลังขยายพื้นที่เข้าไปเบียดบังและกดดันให้คนอื่นหมดพื้นที่ยืน
กฎกติกาทางกฎหมายเป็นเรื่องที่สร้างเพื่อรักษาระเบียบให้ทุกๆคนมีพื้นที่ยืนในสังคม…แต่กฎหมายสร้างจิตสำนึกในใจคนไม่ได้…การเป็นผู้มีอำนาจทางกฎหมาย จึงไม่สามารถทำให้คนทุกคนเกิดจิตสำนึกแห่งการเคารพกติการ่วมกันนั้นได้เหมือนกัน…กฎหมายจึงไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มชนที่ไร้จิตสำนึก……
ในยุคที่กฎหมายถูกท้าทาย….มีแต่คนทุกๆคนเท่านั้นที่จะสร้างจิตสำนึกต่อสิ่งที่ตนเองกระทำว่าเหมาะสมหรือไม่ …และสิ่งที่เหมาะสมนั้นควรเกิดจากการหันมาถามตัวเองด้วยคำถามข้างต้นทั้งหมดนั้นด้วย
เป็นกำลังใจสำหรับการออกทีวีคราวนี้นะคะ ครูบา
ความเห้นอุ้ยมาทันเวลา ได้นำไปต่อแต้ม
แต่ดูวิธีการทำงานเซ็งๆ เพราะเมื่อเช้าแกวิ่งไปสัมภาษณ์คนอื่น
รัฐมนตรีไม่ยอม บอกว่าให้มาสัมภาษณ์คนนี้ต้องคนนี้
พวกนี้คงเหนื่อย เลยทำตามหน้าที่ให้จบๆ
-ก็คุยไปเรื่อยเปื่อย
-ให้พิจารณาดูความสามารถของหัวหน้าม๊อบ ทำไมเขาถึงระดมคนได้สั่งคนได้ เขามีดีอะไร
-คนที่สลายม็อบได้ก็ต้องมีดีอย่างน้อยไม่แพ้หัวหน้าม็อบ
/หัวหน้าม็อบมีจุดพิเศษตรงไหน ไปศึกษาๆๆๆแล้วเอาจุดนั้นมาปรับใช้
/เรื่องแบ่งแยก-แตกแยก-แตกต่าง ของเรายังไม่เท่าไหร่หรอก
/ควรไปศึกษากรณี เวียตนามเหนือ-เวียดนามใต้< เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ > เยอรมันตก-ออก กำแพงเบอร์ลิน ทำไมเขาถึงทะลายลงได้ รวมตัวกันได้ ฟื้นคืนมาเป็นอันหนึ่งอันเดี่ยวกันได้ เขามีวิธีเรียกสำนึกของชาติกลับมาได้อย่างไร
/ประเทศเวียตนามมีลุงโฮ อินเดียมีมหาตะมะคานธี สิงคโปร์มาลีกวนยู เป็นผู้นำที่เสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง แต่ของเรายังไม่มีผู้นำของแท้ขนาดนั้น วิบากกรรมบ้านเมืองจึงไม่จบไม่สิ้น ตอนแรกก็นึกว่าเป็นอัศวินม้าขาว สุดท้ายก็เป็นม้าแกลบทุ๊กที ใครมาเป็นมันก็ไอ้แค่นั้นแหละ เมืองไทยจึงประสบเคราะห์กรรมไม่ซ่างซา
/อยากให้หมอจอมป่วนเป็นนายกสัก1 สมัย คิดว่าอะไรๆก็คงดีขึ้น หมอแกก็ไม่เป็นสส.อีก ต้องรอให้มีรัฐบาลแห่งชาติ จะเสนอชื่อนะหมอนะ แคว๊กๆ
อ้อ ถ้าอุ้ยหาคนเจิมห้องใหม่ยังไม่ได้ ก็บอกมา คิดราคาพิเศษ คนกันเอง อีกแคว๊ก
อิอิอิ
สุด สุด สุด สุดยอด