ลานสวนป่า

การเรียนของคนไทยสมัยนี้สะดวกสบายขึ้นมาก มีเครื่องมือและปัจจัยต่างๆที่เอื้อต่อการค้นคว้าค้นหาสาระอย่างพร้อมมูล มากทม.เที่ยวนี้มีรายการไปร่วมประชุม ประเด็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อหาค่านิยมหลักประชาธิปไตย โดยสถาบันพระปกเกล้า วันนี้ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ดูรายชื่อผู้สันทัดกรณียาวเฟื้อยระดับจอหงวนทั้งนั้น ส่วนผู้เข้าร่วมก็มีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว -นักวิชาการ -สื่อสารมวลชน -องค์กรภาคพลเมือง -องค์กรพัฒนาเอกชน -เยาวชน -นักการเมือง -ประชาชนผู้สนใจ -ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค พิจารณาแล้ว รออ่านที่ท่านอัยการชาวเกาะเล่าดีกว่า ตะกี้คุยกัน อ้าว! อัยการงานยุ่งไม่ได้มา จึงอิอิ ..ด้วยประการฉะนี้

ผมอยากจะเอาเวลามาค้นหาตัวเองมากกว่า ที่เสนอไปอยู่ในขั้นตีเกราะเท่านั้น ถ้าท่านผู้อ่านช่วยกันแย้ง ยุแยง ยั่วย้ำ ยื่นมือมาตะลุมบอล รายการนี้ก็จะสนุกแถมอร่อยอีกต่างหาก..มาอยู่บางกอก 2-3วัน ลงทุนซื้อเครื่องปั่นใหม่ ขนเอาใบสมุนไพรต่างๆมาด้วย เพื่อไม่ให้ขาดตอนพฤติกรรมการกินประจำวัน เราเอาจริงนะอุ้ย..ตะกี้ก็ปั่นสมุนไพรซดไปแล้วโฮกใหญ่ มันสบายท้องสบายใจยังไงไม่รู้นะ ที่ทำอะไรต่อเนื่อง ไม่งั้นวิชากินมันก็จะกระท่อนกระแท่น

คนไทยนั้นโชคดี เพียงแต่ดื้อตาใส จึงไม่เข้าใจมองไม่เห็นอาหารและยาที่อยู่รอบตัว เสียเงินเสียทองไปซื้อยาเสริมสุขภาพที่ราคาแพงจากต่างประเทศ ทั้งๆที่ของเราดีกว่า สดกว่า แต่ขาดวิธีเรียนการกินอยู่ ถ้านักโภชนาการหรือนักบริหารสุขภาวะยกเครื่องเรื่องอย่างเป็นรูปธรรม สุขภาพดีทั่วหน้าก็จะค่อยเขยิบๆขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อย่างที่สวนป่าผม ปลูกสมุนไพรเยอะแยะแต่ไม่ค่อยได้เอามาใช้หรอก เพราะเราไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของวิถีไท เอาแค่มะกรูดหล่นเกลื่อนต้น เก็บมาสระผมฟอกตัวแค่นี้ร่างกายก็สะอาดเอี่ยมอ่อง น่ากอด แล้ว

พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำร่องเรื่องนี้มานับพันปี การฉันอาหารแต่พอควรในเวลาที่สมควร ล้วนเกิดผลดีต่อสุขภาพ มีการจัดการเรื่องการอยู่กินอย่างเป็นระบบ สำหรับคนทั่วไปถ้าเราเห็นความจริง ความสำคัญ เราสามารถดำเนินการกินอยู่เชิงวัฒนธรรมได้ กินให้เป็น อยู่ให้เป็น จะค่อยๆคิดเป็น

ตอนนี้น้ำหนักผมอยู่รุ่นไหนก็บ่ฮู้ ชั่งเร็วๆนี้ 65.7 ก.ก. หมอบอกว่ามันมากไป ควรจะลดให้เหลือ60 ก.ก.จะดีมาก การออกแบบเพื่อกิจกรรมนี้ คงต้องทำไปพร้อมๆกัน การกิน อยู่ หลับนอน พักผ่อน ออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ การรักษา ใหม่ๆอาจจะลองผิดลองถูก ทำไปๆความพอเหมาะพอควรจะบอกเราเอง ดังที่กล่าวไว้แต่แรกว่าเรามีวิธีค้นหาข้อมูลได้จากหลายสำนัก ทั้งวิชาการวิชาเกินเอามาสังเคราะห์ผ่านการปฏิบัติ เช่นการรักษาแบบแผนจีน แผนอินเดีย แผนญี่ปุ่น แผนไทย ไล่ไปไล่มาก็อยู่ในข่ายที่ใกล้เคียงกัน พูดไปก็2ไพเบี้ย ยกตัวอย่าง เช่น

ถ้าเราทราบว่าตับมีหน้าที่กลั่นกรองสารพิษต่างๆที่เรารับประทานเข้าไป คนที่รักตับ ก็ควรถนอมตับ ถ้าไม่รู้ไม่ชี้ร่างกายก็แสดงอาการออกมาให้เห็น เช่น –เฉื่อยชา อ่อนล้า-น้ำหนักเพิ่มผิดสังเกต-บวมน้ำ-มีปัญหาผิวหนัง-เกิดภูมิแพ้-คอเลสเตอรอล-ฯ, แสดงว่าตับทำงานเกินกำลัง เข้าสู่ภาวะเสี่ยงจากโรคต่างๆ โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายของคนเราถูกออกแบบให้มีการจำกัดของเสียอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าสวาปามแต่ของร้ายๆเข้าไปไม่บันยะบันยัง เครื่องก็พัง เรื่องนี้ผมประสบกับตัวเอง ว่าเรานี่หนอช่างทารุณกับตับตัวเองมากเหลือเกิน นี่ยังดีนะครับที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่งั้นล่องจุ้นไปนานแล้ว

ขบวนการชำระตับด้วยอาหารตำหรับชาวเอเชีย ใช้เวลาประมาณ8 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ควรมีวินัยในการเลือกรับประทานอาหาร เพื่อเลี่ยงการสะสมพิษในตับ และพิษที่ตกค้างเราก็ใช้น้ำสมุนไพรปั่นพวกหญ้านาง รางจืด ค่อยระบายออกมา การจัดการเรื่องนี้มีทั้งข้อห้ามและข้อยุยง เช่น งดแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลี่ยงอาหารรสหวาน เลี่ยงอาหารแปรรูป ฟอกสี เช่น ขนมปังขาว ช็อกโกเลต เป็นต้น เลี่ยงกาแฟ น้ำอัดลม ลองดื่มชาเขียวแทน เลี่ยงอาหารไขมันสูง ควรดื่มนมจากถ้่่่วเหลือง หรือน้ำข้าวกล้องแทน

เฮ้อ เรานี่แหม แม้แต่เรื่องกินก็ยังไม่ประสีประสา สรุปว่า เมื่อรู้เรื่องแล้ว ทำให้เราประหยัดค่าอาหารของขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเยอะเลย แถมสุขภาพยังไม่ชำรุดด้วย เลิกคิดเรื่องกินเรื่องเล็กกันได้แล้วนะครับ หันมาเรียนวิธีกินอย่างสมเหตุสมผลให้เทิดเทิงกันไหมละครับ อิ อิ..

« « Prev : กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

Next : กินอย่างฤๅษี » »