ส่งการบ้านเฮ 8
ตีนเมื่อเดินติดดินกลิ่นจะหอม
ใจเมื่อยอมเสียสละสีจะขาว
มือเปื้อนดินจะปั้นดินเป็นดวงดาว
ใจเหน็บหนาว, จะเคี่ยวหนาวเป็นเปลวไฟ
…บทกวีของไพวรินทร์ ขาวงาม…
>> บทกวีนี้เม้งเอามานำเสนอ ผมเอามาสนอง การต่อแต้มความรู้สุมหัวความคิด เป็นผลิตผลจากกระบวนการเฮฮาศาสตร์ หมอเจ๊เจ้าภาพเฮ 8 ให้การบ้านตั้งแต่คืนแรกที่มาเยือนเมืองกระบี่ ขออนุญาตเล่าไปเรื่อยเจื้อยกระโดดไปกระโดดมาเท่าที่จะนึกได้ วิธีนี้มันสบายต่อคนเขียน ส่วนคนอ่านกรุณารับผิดชอบเอาเองเถิดหนา ก่อนขอขอบคุณหมอเจ๊ โกเหลียง เขียวและเพื่อนๆชาวกระบี่ทุกท่านที่ต้อนรับดีเหลือเกิน น่าจะมาล้มทับอีกสักรอบไหมพวกเรา..
>> ตามธรรมเนียมของชาวเฮฮาศาสตร์ จะไปเฮที่ไหนฟ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ลิขิต ไม่มีใครมากำหนดกฏเกณฑ์อะไรได้ ตั้งแต่มีเฮ1ถึงเฮ8 ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนบัญชา ขึ้นอยู่กับเจ้าภาพในจังหวัดนั้นๆปูดขึ้นมาหรือสมาชิกเรากริ่นนำ..แผนการเฮก็จะค่อยๆโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆในบล็อก เกิดการประชาสัมพันธ์ชี้ชวนแล้วแต่ละสไตล์ของท่านเจ้าภาพ ..คนที่เป็นเจ้าภาพรับพันธกิจสาหัสมาก ต้องบริหารจัดการทุกเรื่อง ดูแลที่อยู่ ที่กิน ที่นอน ที่เที่ยว ให้กับพี่น้อง 30-40 คน ทุกมื้อ หลายมื่อ หลายสถานที่ แต่ก็ยังไม่มีใครขยาด จะเห็นว่าพักหลังนี่งานเฮฮากระชั้นถี่แทบไม่ได้หายใจหายคอ..แต่ชาวเราให้เกียรติและเคารพในความตั้งใจดีนี้เป็นพิเศษนะขอรับ
การที่ใครจะทุบโต๊ะรับเป็นเจ้าภาพจัดงานเฮฮานั้นไม่ง่ายนักหรอก
แสดงว่า..คงมีเรื่องบรรเจิดอยู่ในใจอย่างแรงกล้า
ที่จะเอาเครือญาติมาดูแลในพื้นที่ของตัวเอง
ยอมเหนื่อย ยอมควักกระเป๋า ยอมสละเวลา
นั่งครุ่นคิดคำนึงจนสมองแฉะ
ต้องประสานใจไป 10 ทิศ นับตั้งแต่คนที่นอนข้างๆ
คนที่อยู่ในกลุ่มงาน และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
ต้องอาศัยบุญบารมีที่ท่านสะสมไว้ร่วมด้วยช่วยกันฉุด
> > เราเริ่มรับความรู้ผ่านสายตาตั้งแต่รถไฟเคลื่อนขบวน ..เป็นครั้งแรกของพวกเราหลายๆคนที่เพิ่งจะเดินทางรถไฟลงใต้ สภาพ 2 ข้างทางไม่เหมือนกับภาคอื่นแน่นอน บ้านเรือน หมู่แมกไม้ เขียวชะอุ่ม เห็นต้นตาลเต็มท้องนา ถัดมาเป็นสวนมะพร้าว สวนปาล์ม สวนยางพารา ท้องนาเต็มไปด้วยข้าวเขียวขจี รถวิ่งผ่านชายทะเล ผ่านร่องเขา ผ่านอุโมงค์ เลียบภูเขา บางวันรถวิ่งท่ามกลางสายฝน อากาศเย็นชุ่มชื่น เห็นชาวบ้านจูงวัวชน สนามชนไก่ กรงนกหัวจุก ขณะที่ภาคอีสานร้อนอบอ้าวต้นไม้เหี่ยวเฉาภูเขาหัวโล้น ต้นไม้ยืนสู้แดดทนร้อนอย่างทรหด ไม่มีขาเดินเข้าร่มเหมือนคน ความแตกต่างเล่านี้นำร่องความคิดคำนึง ให้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่มนุษย์กระทำกับธรรมชาติ ฉุกคิดไปถึงการทำหน้าที่มนุษย์ จนกระทั่งพวกเราบางคนโพล้งขึ้นมาว่า คราวต่อไปชาวเฮฯควรจะเอาต้นไม้ติดรถมาด้วย แล้วแวะปลูกกันตามจุดต่างๆ..
> > การตอบคำถามหมอเจ๊ ในส่วนของการทำมาหากินของพี่น้องชาวใต้ เรื่องนี้พูดยาก ถ้าเป็นเวทีอื่นผู้น้อยมิกล้าที่จะไปสู่รู้อวดดีกว่าสิ่งที่คนใต้กำหนดวิถีชีวิตไว้แล้ว ว่าจะอยู่ จะปลูก จะทำมาหากินในเรื่องใดและอย่างไร? แต่คราวนี้เป็นคนกันเองร้องขอ ก็ขอให้ความเห็นในลักษณะของกบที่อยู่ในกะลาครอบ ผิดถูกไม่ว่ากันดีไหมครับ..
^^ เท่าที่สังเกตอย่างผิวเผิน ประทับใจต้นตาลในท้องนาเมืองเพชรบุรีมาก แสดงว่านาข้าวกับนาตาลไปกันได้ดี ชาวนาได้รับประโยขน์คุ้มค่าในการที่จะทำนาลักษณะนี้ ยังคิดต่อว่า..ทำไมแนวคิดนี้ถึงไม่แพร่กระจายไปยังท้องถิ่นอื่น จุดพอดีซ่อนเร้นอยู่ตรงไหน ทำไมคนเมืองเพชรฯถึงค้นพบศักยภาพของต้นตาลได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ..ไม่เจ็บอกเหมือนตกตาล เช่นคนในท้องถิ่นอื่น จุดนี้ก็เป็นโจทย์วิจัยได้ดีมากถ้าใครคิดจะทำ..
^^ รถไฟมุ่งลงใต้ไปเรื่อยๆ เห็นว่าการปลูกพันธุ์ไม้พื้นเมืองยังน้อยมาก เหตุผลหนึ่งอาจจะมาจากต้นทุนทรัพยากรป่าไม้ธรรมชาติยังอยู่ในสภาพดีพอสมควร อนึ่ง พื้นที่มีน้อย และได้นำมาปลูกพืชเศรษฐกิจจำพวกยางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ยังพอชดเชยกันได้ ..แต่ก็เห็นการโค่นต้นยางแก่แล้วปลูกใหม่ ตรงจุดนี้ถ้าเปลี่ยนมาสลับปลูกปาล์มจะดีกว่าไหม ปัจจุบันประเทศรอบข้างเรา จีน เวียดนาม ลาว พม่า เขมร ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นหลายล้านไร่ ในอนาคตอาจจะมีปัญหาราคายางก็เป็นได้..
^^ คืนแรกเราได้นอนที่ศูนย์วิจัยพืชสวนจังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นสถานที่ทดลองและวิจัยเรื่องการเกษตรมายาวนาน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องมะพร้าว เรื่องยางมีแปลงต้นตอยางพันธุ์ดี ปาล์ม และพืชชนิดต่างๆ เนื่องจากมีเวลาจำกัด จึงเดินชมช่วงเช้าแบบรวบรัด ทราบว่ากำลังปรับปรุงสถานีแห่งนี้เป็นแหล่งอบรมและท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใครผ่านไปผ่านมาแวะชมได้นะครับ วันถัดมาเรายังได้ไปชมศูนย์พืชสวนกระบี่ ทำวิจัยเรื่องดอกหน้าวัวและพืชอื่นๆอีกมาก ที่นี่เราได้รับรู้เรื่องมะเขือกินใบ เคยรู้จักแต่มะเขือกินผล พันธุ์พิเศษนี้เอาใบอ่อนไปผัด ไปนึ่ง ไปแกง เจ้าหน้าที่ให้เก็บผลไปขยายพันธุ์ด้วย ทุกจุดที่ไปมีความรู้รอเราอยู่มากมายครับผม
^^ นับแต่นี้ไปถ้าพื้นที่ไหนสามารถปลูกปาล์มน้ำมันได้ดี เราน่าจะปลูกปาล์มน้ำมันดีไหมครับ น้ำมันปาล์มจะมีความสำคัญด้านพลังงานทดแทนได้ด้วย แถมยังมีทางเลือกผันแปรไปทำประโยชน์ได้หลายอย่าง..แต่ทราบว่าต้นปาล์มที่ปลูก เป็นต้นตัวผู้จำนวนมากพอสมควร ถ้าเป็นจริงตามนี้ โจทย์วิจัยเรื่องการแก้ไขปริมาณต้นตัวผู้ให้ลดลง จะเป็นประโยชน์ต่อชาวสวนอย่างมาก ถ้าขุดเอาต้นตัวผู้ออก แล้วปลูกผักยืนต้น สะตอ ลูกเหนียง ต้นเหรียง หรือพืชสมุนไพรแทน ไม่ทราบว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเท่าใด
^^ การเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ น่าจะทำได้ดีกว่าภาคอื่น เพราะมีหญ้า มีความชื้น มีพื้นที่เลี้ยงใต้ร่มสวนมะพร้าว บริเวณชายเขา ป่าละเมาะ ไม่ทราบว่าจะต้องปรับปรุงพันธุ์โคที่เหมาะกับการเลี้ยงที่ภาคใต้หรือปล่าว ถ้ายังก็น่าจะเป็นโจทย์วิจัยได้อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะแพะนั้นสอดคล้องกับประเพณีชาวมุสลิม มีนิยมรับประทานเป็นทุนเดิม ถ้าผลิตผลมีมากก็ได้เปรียบเรื่องระยะทางส่งออกไปมาเลเซีย มาใต้คราวนี้ หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ ให้แม่ครัวแกงแพะให้ชิมด้วย เป็นเมนูที่ประทับใจมาก
^^ ในด้านการประมง หมอเจ๊คนสวย แซ่เฮ พาเรานั่งเรือท่องลำน้ำกระบี่ พาไปชมศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน ปีนเขา ชมถ้ำ แวะไปดูการเลี้ยงปลาสวยงาม ปลาเศรษฐกิจในกระชังที่ชายฝั่งตรงข้ามหน้าเมืองกระบี่ ได้เห็นการดักปู การเลี้ยงปลาที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เจ้าของฟาร์มปลามีเรืออยู่แล้ว เอาเรือมารับนักท่องเที่ยวทำให้มีรายได้ซื้ออาหารปลามาเลี้ยงปลาในกระชังด้วย
^^ ถ้าปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความพร้อมมีมาตรฐาน มีกระต๊อบชายน้ำให้คนมาเช่านอนพักผ่อน เอาปลาปั๊กกะเป้าตัวโตๆเท่าหม้อแกงมาเลี้นงโชว์ หาปลาสวยงามแปลกๆมาเลี้ยงเพิ่ม ตามขอบกระชังขยายทางเดินให้ก้วางหรือแข็งแรงขึ้น อาจจะทำเป็นมุมเก้าอี้นั่งชมปลาระหว่างจัดโชว์ ก็จะเป็นจุดขายเป็นหน้าตาของการท่องเที่ยวกระบี่ได้ดีอีกจุดหนึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด สภาตำบล ภาคธุระกิจท่องเที่ยว หรือสถาบัน กรมกองต่างๆ ยื่นมือมาช่วยชาวประมงชายฝั่งให้มีอาชีพมั่นคงดีไหมครับ
> > ต้นทุนทางสังคมของหมอเจ๊คนสวย แซ่เฮไม่ธรรมดา มีผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานและลูกน้องในสายงาน ที่สำคัญทีโกเหลียง สายญาติโกเหลียง เพื่อนฝูงที่มีศักยภาพเหมาะแก่การที่จะไปประสานกิจ ยกตัวอย่าง อาหารมื้อซาลาเปาที่อร่อยลือชื่อในเมืองกระบี่ เป็นร้านพี่สาวโกเหลียง นอกจากเคลียโต๊ะรอเราแล้ว อาหารที่หอมกรุ่นอร่อยๆรอเราเต็มโต๊ะ เจ้าของร้านมาร่วมคุย อธิบายกรรมวิธีทำขนมและอาหารอย่างมืออาชีพ ขนมเข่งเก็บไว้กินได้นานเป็นปี บะจ่างชนิดพิเศษต้องนึ่งถึง 10-12 ชั่วโมง มันเป็นการเรียนรู้ในระประชิดสั้นๆที่ผู้รู้จริงมาเล่าให้เราฟังอย่างยิ้มแย้ม ฟังไป คุยไป สงสัยก็ถาม ชิมไปด้วย เป็นการเรียนที่อร่อยที่สุดในโลก การเรียนอย่างนี้ละครับคือสิ่งที่ชาวเฮฯค้นพบ ช่วงที่เราไปเที่ยวเกาะ ก็ได้อาศัยบารมีโกเหลียง เรือบรรทุกเราเที่ยว 3 ลำ ร้านอาหารที่พักบนเกาะ เป็นเครือข่ายโกเหลียงบริการแบบสุดๆ มีทั้งไม่ต้องจ่ายและจ่ายในราคาเบาๆ ..
>> ถามว่ามีแค่นี้หรือ เปล่าเลย ..ยังมีการถามชื่อแซ่โยงกันไปจนทะลุเมืองจีน สงสัยประเด็นใดก็เล่าแลกเปลี่ยนสู่กันฟัง เครื่องรับ เครื่องส่ง จูนคลื้นเข้าหากัน เกิดเป็นสัมพันธภาพทางสังคมที่ลึกซึ้ง เครือข่ายจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาร่วมงาน ใครมีดีอะไรก็ติดไม้ติดมือมาฝากกัน โสธร นอกจากจะนำบิดามาร่วมงานแล้ว ในฐานะคนตรัง เอาหมูย่างที่ยังอุ่นๆมาร่วมอร่อยด้วย จะเห็นว่าถึงคณะเราไม่ได้ไปตรัง หมูย่างตรังที่ลือชื่อก็ยังวิ่งมาชนปังตอที่กระบี่ ..เรื่องของหมูตรังฟังจากการคุยกันบนโต๊ะอาหาร ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า ..ชาวตรังจะย่างหมูตัวขนาด 20-25 ก.ก. ราคาจำหน่ายหมูย่าง/ตัว 5,000-6,000 บาท นับเป็นภูมิปัญญาชาวตรั้ง ที่นอกจากจะเลี้ยงหมูแล้วยังรู้วิธีจำหน่าย ทำให้หมูย่างมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ กลายเป็นสัญลักษณ์เมืองตรัง ..ถ้าหมูย่างต้องยกโป้ให้หมูตรัง..ก่อนจะยกอวัยวะส่วนใด เราก็ควรได้ชิมจนเป็นที่ยอมรับใช่ไหมละครับ ประกายเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นกระแส..ถ้ายังไม่เคยกินหมูย่างตรังอย่าคุย..
^^ ท่านละครับเคยชิมหมูย่างเมืองตรังแล้วยัง ถ้าคนในประเทศได้ชิมหมูย่างสัก 30% ก็เท่ากับมีคนชิมหมูย่าง 19,000,000 ล้านคน ถ้าหมูตัวหนึ่งหม่ำกัน 30 คน คนตรังต้องเลี้ยงหมูย่างหมู 633,000 ตัว ถ้าสัดส่วนของผู้นิยมหมูย่างเพิ่มขึ้น การตลาดขยายตัวไปยังร้าน/ภัตตาคาร จำหน่ายเป็นของฝากฯลฯ ตัวเลขสุกรย่างตรังมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆๆ ทุกวันนี้เราเคยสำรวจแล้วยังว่า จังหวัดตรังย่างหมูวันละกี่ตัว !! เศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างนี้ ฝ่ายส่งเสริมกิจการงานอาชีพอาจจะหันมามองหมูย่างช่วยชาติก็ได้นะครับ
>> ก่อนที่รถไฟจะถึงสถานีไชยา พระอาจารย์Handyถึงตัวจะไม่ได้มาด้วย แต่ก็มอบความประทับใจให้ชาวเฮด้วยการโทรฯไปนัดหมายให้หลานชาย เอากล้วยเล็บมือนางสุกเหลืองหอมมายื่นให้รอกอดขณะที่รถไฟจอดแป๊บเดียว หนูจิ หนูเอ็มมี่ หนูเอ็มร้อย เอาไปแจกผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางในโบกี้เดียวกัน ได้รับรู้รสกล้วยเล็บมือนางที่ขึ้นชื่อของถิ่นเมืองใต้กับพวกเราไปด้วย ..ในการเลี้ยงมื้อเย็นที่โรงพยาบาลกระบี่ เพื่อนน้องเขียวที่เคยไปสวนป่า เอามะม่วง มะปรางที่สวนมาปอกให้ชิม นี่ก็เป็นบรรณาการน้ำใจชาวใต้ที่ขอเก็บไว้ตลอดไป ถือเป็นผลตกผลึกของกระบวนการเฮฮาศาสตร์ ที่เชื่อมใจภายใต้วัฒนธรรมพื้นถิ่น
>> อากาศร้อนๆอย่างนี้ มีเวลาพักร้อนลูกหลานปิดเทอม เรื่องยกโขยงกันไปทั้งครอบครัวถือเป็นบริบทเด่นของกระบวนการเฮฮาศาสตร์ เราอยากจะให้ไปกันทั้งญาติโกโหกิตา เพื่อการบูรณาการภาคสังคมที่ครบเครื่อง บางคนพาครอบครัวไป บางคนเอาแม่ยายไป บางคนเอาแม่ตัวไป บางคนเอาหลานๆไป คนที่ไม่ได้เอาไปก็ใช่ว่าจะลอยตัว มีภาระต้องช่วยกันดูแลเครือญาติอย่างดี ไปไหนไปด้วยนี่สำคัญนะครับ เปลี่ยนการเจ๊าะแจ๊ะกันในบล็อก มาเป็นการเจอหน้าเจอตัว กอดตัวเป็นๆ..มันคือชีวิตบวกชีวาครับผม
>> กิจกรรมหลักในการจัดงานเฮฮาศาสตร์ นอกจากมีการประชุมสรุปทิศทางการทำงานของกลุ่มแล้ว ยังมีกิจกรรมประกวดรูปถ่าย กิจกรรมประกวดวาดภาพ คราวนี้เพิ่มมาอีก 1 กิจกรรม คือการสะท้อนคิด/ข้อเสนอแนะภาพรวมของจังหวัดที่เราไปเยือน มีการจองกฐินเฮ 9 เฮ 10 ไว้แล้ว แสดงว่างานเฮฮาศาตร์ยังก้าวกระโดดไปเรื่อยๆ แตกลูกย่อยเป็นเฮ 9 ครึ่ง ผมอึ้งกิมกี่มาก ไม่รู้คิดกันได้ไง เฮ 9ครึ่ง คืองานระพีเสวนาวันที่ 3 พฤษภาคมครับพี่น้อง ใครว่างก็ 2 มือล้วงกระเป๋า 2 เท้าก้าวเข้ามา..ถ้าว่างตรงกันจะพาไปบุกบริษัทแตงโม และไปเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก พาไปชมบ้านที่ออกแบบวิเศษมาก มีลมทะลุผ่านตลอดเวลา เห็นแล้วอยากจะนอนกลิ้ง..
เม้งเยอรัมนช่วยเติมข้อสังเขป ดังนี้
unbelievable trip, การเดินทางที่สร้างสรรค์
unbelievable meeting, การพบกันที่เกินคาด
unbelievable friendship, มิตรภาพไร้พรมแดน
unbelievable mind, ใจที่ศรัทธาเป็นหนึ่ง
unbelievable connection, การเชื่อมโยงเอกภาพ
unbelievable network, เครือข่ายไร้ชนชั้น
unbelievable expression การแสดงออกนอกหมวกครอบ
(หนูจิรำมโนราห์)
>> จัดงานเฮฮาศาสตร์ทุกครั้ง จะมีปรากฎการณ์แปลกๆไม่ซ้ำเรื่องซ้ำรอย เป็นเรื่องที่แปลกมาก คนที่เคยมาร่วมงานจะรู้ดี มาทีไรเจอเรื่องดีๆ ที่เกินความคาดหมายทุกครั้งไป มาคราวนี้ก็เช่นกัน มีเรื่องประทับใจนับไม่ถ้วน
^^ ใครจะนึกว่า
เจ้าจิกระโดดขี่หลังอาเหลียง แบบขี่ม้าส่งเมืองกระทันหัน
^^ ใครจะนึกว่า
อาหยงร้องเพลงทำนองจีน-ไทย ได้ไพเราะขนาดนักร้องอาย
^^ ใครจะนึกว่า
ระหว่างที่เราเฮกันบนเกาะฝนจะตกมาทำให้บรรยากาศเย็นสบาย
^^ ใครจะนึกว่า
เจ้าจิจะแอบไปแต่งตัวมโนราห์ แล้วออกมาแสดงได้ในพริบตา
^^ ใครจะนึกว่า
หนุ่ยหนุ่มน้อยแสนขี้อายจะเข้ากลุ่มโก๊ะได้จนคุณแม่อัศจรรย์ใจ
^^ ใครจะนึกว่า
หนูหนิง มุ่งมั่นจองตั๋วบินก่อนเพื่อนจะฝ่ามรสุมมาทันเฮ
^^ ใครจะนึกว่า จู่
ๆก็มีกล้วยเล็บมือนางมาบรรณาการถึงโบกี้
^^ ใครจะนึกว่า
บังหีน หนุ่มร้อยเกาะ โสธร คุณอร-คุณเอก จะบึ่งรถมาร่วมเฮ
^^ ใครจะนึกว่า
น้องนีน่าคว้าไมค์ร้องเพลงไม่ยอมปล่อย
^^ ใครจะนึกว่า
หนูโยโย้โก๊ะ ต่อมน้ำตาแตก พาเพื่อนร้องระงมไม่อยากลงรถไฟ
^^ ใครจะนึกว่า
หมอเจ๊จะมีโกเหลียงคนเคียงกายรูปหล่อใจดี
^^ ใครจะนึกว่า
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกระบี่ จะมาร่วมแจม 2 ครั้ง
^^ ใครจะนึกว่า
หมอเจ๊จะจัดงานรดน้ำสงกรานต์ในห้องคาราโอเกะ
^^ ใครจะนึกว่า
ปาลียอนจะควักสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ ทั้งๆที่กดหาชื่อใครยังไม่เป็น
^^ ใครจะนึกว่า
หมอเจ๊คนสวยแซ่เฮจะขอการบ้านจากเราทุกคน
^^ ใครจะนึกว่า
ครูสุ จองตัวได้ใบสุดท้ายกลับไปทำงานสำคัญให้โรงเรียนได้สำเร็จ
^^ ใครจะนึกว่า
สาหร่ายทะเลซื้อเอามาทิ้งไว้ จะค่อยๆหดเหี่ยวยุบลงเป็นน้ำ
^^ ใครจะนึกว่า
หอยชักตีนต้องต้มในน้ำเย็น กว่าน้ำจะร้อนตีนก็ชักไม่เข้าเสียแล้ว
^^ ใครจะนึกว่า
ละมุดเมืองใต้ผลจะคล้ายกับมะม่วง
^^ ใครจะนึกว่า
เห็ดโคนที่ขึ้นในสวนยางพาราจะยาวเป็นคืบ
^^ ใครจะนึกว่า
สุภาษิตน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่ทางใต้น้ำขึ้นจะต้องรีบออกเรือ
^^ ใครจะนึกว่า
มะเขือทางใต้มัพันธุ์ที่ปลูกสำหรับเอาใบไปผัดกิน
^^ ใครจะนึกว่า
ปลาปักกะเป้าจะสูบลมนอนหงายท้องขู่ศัตรู
^^ ใครจะนึกว่า
แอร์รถไฟจะไม่เย็นเท่าที่ควร
^^ ใครจะนึกว่า
พวกเรารีบส่งการบ้านกันอย่างรวดเร็ว
>> ในการประชุมวงใน เราหารือเรื่องของทิศทางการดำเนินงาน ทุกคนเห็นตรงกันว่าควรจะปล่อยให้กระบวนการเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อื่นมาครอบงำหรือมีความสำคัญกว่าอานุภาพของหัวใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจสั่งมา..ขบวนการที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่การยกโขยงกันไปช่วยอบรมเรื่องต่างๆที่เพื่อนร้องขอ ยกตัวอย่างเช่น อุ้ยจันตา ครูอึ่ง น้าอึ่ง ยกใจยกทีมไปช่วยหมอเจ็คนสวย แซ่เฮ อบรมเรื่องกระบวนกรที่โรงพยาบาลกระบี่ ก่อนหน้าที่จะมีเฮ 8 ไม่นานนัก ถือว่าเป็นการกรุยทางที่ส่งผลถึงคณะที่ตามไปภายหลัง และในที่ 6-9 เดือนนี้ รอกอด ป้าจุ๋ม ครูปู หลวงพี่ติ๊ก ก็จะลงไปสวนป่าในวาระที่นักศึกษา/คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคามลงไปจัดเสวนานอกรอบที่มหาชีวาลัยอีสาน ในช่วงนี้ครูคิม/ผอ.จะนำคณะครูและนักเรียนที่เข้าโครงการระพีเสวนาไปร่วมพบปะพูดคุยด้วย ผมเป็นเจ้าที่เจ้าทางติดภาระอยู่กทม.และขอนแก่น การที่มีญาติผู้อารีไปรับหน้าให้นั้น ..มันบอกไม่ถูกจริงๆ
หลวงพี่ติ๊กโทรมา > > ..
อาตมามีงานวันที่ 6-7 จะรีบเคลียแล้วตามไป
หลวงพี่จะไปยังไงครับ
ก็นั่งรถ จับแท๊กซี่ต่อไปนะสิโยม..
ใจหลวงพี่นี่หนอ
เห็นไหมครับ ผมพกหลวงพ่อติ๊กองค์เดียวก็เกินพอแล้ว
เอาอย่างนี้ดีกว่านะหลวงพี่
บินไปขอนแก่นด้วยกันเช้าวันที่ 8
ผมจะเตรียมตั๋วคอย นะขอรับ..
สาธุ อิ อิ..
« « Prev : นั่งรถไฟไปเมืองหอยใหญ่ (1)
Next : กรุงเทพวันนี้ อิ อิ > > » »
4 ความคิดเห็น
เย้….ได้อ่านสมใจนึกค่ะ….แล้วก็….อยากอ่านอีกๆๆ ^_________^
ลงติดต่อเลย รอแป๊บหนึ่ง
[...] ได้ทราบถึงใจเกินร้อยของพี่สาวคนดีพร้อมทีมเจ้าภาพร่วม ที่ทำให้ยิ้มพร้อมซึ้งในน้ำใจ [...]
Unbelievable story telling, การบอกเล่าเรื่องราวที่ถึงพริกถึงกะปิและมะนาว มากๆ เลยครับ
เค็ม เผ็ด เปรี้ยว ผสมกันเป็นน้ำพริกกะปิเลยครับ ส่วนรสหวานจะเกิดต่ออ่านไปเรื่อยๆ อิ่มใจจริงๆ ครับ
กราบขอบพระคุณมากครับ