เมื่อหงสาชำระเมืองแบบหักดิบ

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 23 ตุลาคม 2009 เวลา 3:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1254

หงสาระหว่างนี้คึกคัก แต่แฝงไปด้วยความตื่นตระหนก
หงสายามนี้ปลอดอบาย แต่เจือไปด้วยความอึมครึม
หงสากำลังจะมีการปูยางมะตอยถนนเส้นแรกในเมือง
หงสากำลังจะมีกองประชุมพรรคเมืองครั้งที่ ๖
หงสากำลังร่วมคำนับรับต้อนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์
หงสาในฐานะเมืองแห่งบ้านวัฒนธรรม บ้านสามดีสี่บ่
     กลางเดือนตุลาคม หลังบุญซ่วงเฮือในเทศกาลออกพรรษาผ่านพ้นไปไม่นาน
     ลมหนาวโชยตามหลังฝูงนกเป็ดน้ำมาจากทางเหนือ
     ปะทะลมฝนที่ยึดครองพื้นที่อยู่ก่อน ทำให้เกิดสายฝนที่เหน็บหนาว
     เป็นสายฝนที่ กลั่นแกล้งชาวนาที่กำลังสาละวนเก็บเกี่ยวข้าวดอ
หงสาเริ่มชำระตัวเมืองระลอกแรกตั้งแต่ก่อนเทศกาลออกพรรษา
โดยการเปิดกิจการ “โรงเรียนดัดสร้าง” ผู้ที่ถูกเรียกตัวมาเข้าโรงเรียนรุ่นแรกๆได้แก่ สตรีทั้งหลายที่มีผู้รายงานว่า มีอาชีพพิเศษ มีกิ๊กเป็นคนต่างชาติ (คนไทย) เป็นกิ๊กกับสามีคนอื่น เป็นธุระจัดหาให้มีการซื้อขายบริการกัน
ส่วนผู้ที่มีความผิดกระทงอื่นๆ ก็ถูกตำรวจเรียกไปแจ้งข้อหา ลงนามรับทราบ เหมือนกับทำทัณฐ์บนไว้ ประดาความผิดเหล่านั้นได้แก่ เล่นไพ่ ลักขโมย ตบตีลูกเมีย ไปทำงานต่างประเทศ(ไทย) เป็นตัวแทนขายตรง(ออกไปประชุมเมืองไทยบ่อยๆ) อย่างนี้เป็นต้น
      หลังออกพรรษาไม่กี่วัน ตำรวจเมืองก็เริ่มซื้อไม้ไผ่มาสร้างเรือนนอน
      เพื่อขยายสาขาของโรงเรียนดัดสร้าง
      แล้วก็ไปเชิญนักเรียนรุ่นสอง ที่มีหลักฐานมัดตัวมาเข้าโรงเรียนประจำ
      (นักเรียนรุ่น ๑ บางคนได้รับการประกันตัวหากสอบไม่พบหลักฐาน)
      นักเรียนรุ่นสองนี้มี คนค้ายาเสพติด คนที่ตีเมีย วัยรุ่นเสพยา หญิงบริการ
      แม้แต่เป็นรัฐกร หากทำผิดก็ถูกจับเหมือนชาวบ้านทั่วไป
ตอนนี้มีนักเรียนดัดสร้าง ๗๐ คน
นักเรียนต้องนำข้าวสารมานึ่งกินเอง เดือนละ ๒๐ กิโลต่อคน
มีการเรียนทฤษฎีการเมือง เรียนจักสาน งานฝีมือ
ให้อยู่แต่ในบริเวณ กลางคืนปิดกุญแจเรือนนอนไม่ให้ออกนอกอาคาร
ผู้ชายถูกโกนผม หัวล้านหมด 
      ทำไมเขาถึงรู้ตัวคนผิด?
      เพราะเมืองลาวมีประชากร ๖ ล้านคน มีตำรวจ ๖ ล้านคนเช่นกัน
      ต่างคนต่างสอดส่องกันนั่นเอง
แอบถามว่าหากอยากทำบุญ เหมาเฝอไปเลี้ยงจะได้ไหม
ท่านบอกว่าเอาความคิดมาจากไหน เอาความคิดกลับคืนไปที่นั่น
เขาอยากให้คนรู้จักความลำบาก ยังจะเอาข้าวไปเลี้ยงเขาอีก
แอบถามว่าเมื่อไหร่จะจบหลักสูตร
ท่านว่ารอให้จบซีเกมส์
ถามว่าที่อื่นเปิดโรงเรียนอย่างนี้ไหม?
ท่านตอบว่ามีทุกที่ ที่เมืองปากลายเขายังเอาไปเก็บเมี้ยนแม้กระทั่งผู้ชายตุ้งติ้ง
      ด้วยเหตุที่หงสาเป็นเมืองเล็ก มีพลเมืองสองหมื่นกว่าคน
      แถมยังเป็นตำรวจกันทุกคนอย่างนี้
       การชำระเมืองด้วยวิธีนี้ ก็เป็นวิธีที่น่าจะได้ผล
เราผู้ผ่านทางก็ได้แต่เฝ้ามอง
และเคารพในวิถีของเมืองเขา
แค่อยากนำมาเล่าสู่แบ่งปัน
ครับผม

 


บันทึกสำนึกผิด: ๑ คำสารภาพของเด็กชายมือไว

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 11:05 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1304

เด็กชายตัวน้อยๆวัยก่อนประถม ไม่ได้อดอยากปากแห้งแต่อย่างใด ขนมข้าวต้มมีให้กินไม่ขาดปากด้วยเป็นลูกคนเดียว แม้ว่าแม่จะไม่สอนให้ฟุ่มเฟีอยแต่ก็มีขนมเตรียมไว้ให้กินไม่เว้นแต่ละวัน เวลากินข้าวก็จะมีชิ้นหมูชิ้นปลาปิ้งย่างวางในขันโตกให้เป็นอาหารเฉพาะที่ทุกคนไม่แตะต้องเพราะเป็น “อันนี้ของกิ๋นอ้าย” เงินทองก็ไม่เคยขาดมือออกจากบ้านไปเจอญาติผู้ใหญ่คนไหนท่านก็ให้มาคนละบาทสองบาทเพราะเขาเป็น “คนพิเศษ” ชนิดที่ใครๆก็ยกให้เขาเป็น “อ้าย” แต่เขาก็ไม่วายซุกซน

มีครอบครัวพ่ออุ้ยติ๊บแม่อุ้ยมอย มาปลูกกระต็อบทำไร่ใกล้ๆบ้านป่าของเด็กชาย ท่านก็เหมือนคนทั้งหมู่บ้านที่รักไอ้เจ้าเด็กน้อยนี้เหลือเกิน ตอนที่ไอ่หน้อยยังเล็กๆท่านก็ให้ “ปี้เพ็ญ”ลูกสาวมาช่วยเลี้ยงดูมัน แต่วีรกรรมของเด็กวัยซนก็ไปเบียดบังพ่ออุ้ยแม่อุ้ยให้เวียนหัวให้ชวนหัวอยู่เรื่อยๆ วันดีคืนดีเจ้าเด็กหน้อยก็ไปขโมยแตงไทยลูกโตที่ยังไม่แก่ (กินยังไม่ได้) มาจากไร่พ่ออุ้ย ๆ ท่านเห็นแล้วขำกลิ้งในความพยายามของมันที่ใช้มือน้อยๆปลิดแตงทุลักทุเลก่อนจะกลิ้งผลแตงเข้าเขตไร่ของตัวเอง แต่แม่อุ้ยไม่ขำด้วยท่านกลัวมันไปกินแตงไทยดิบแล้วปากจะพอง เลยวิ่งไปดักรอที่บ้านพร้อมกับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างไม่ถือความ แต่แม่กลับไม่ยอมความ เจ้าเด็กหน้อยโดนแม่ทำโทษโดยให้นั่งนิ่งๆฟังการอบรมซะหนึ่งบทยาวๆ  แถมโดนเอานิ้วหนีบหนังแขนบิดให้เจ็บหลายทีเล่นเอาน้ำตาไหล แต่คนที่เสียน้ำตามากกว่ากลับเป็นแม่อุ้ย ท่านนั่งสงสารเช็ดน้ำตาป้อยๆ บ่นว่ารู้อย่างนี้ไปห้ามมันตอนที่กลิ้งแตงมาก็ดี หลานจะได้ไม่โดนแม่ดุ

ด้วยวัยซน เจ้าเด็กน้อยก็ยังซนตามวัย วีรกรรมต่อไปคือการไปขโมย “บ่าแต๋งเจื้อ” (คือแตงร้านลูกแก่ที่ท่านเก็บเอาไว้ทั้งผลเพื่อจะผ่าเอาเมล็ดไว้ปลูกปีต่อไป คนเมืองเจียงใหม่สมัยก่อนนิยมเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ทั้งผลอย่างนี้ ท่านว่าหากผ่าเอาแต่เมล็ดไว้เดี๋ยวหนูคาบไปจะหาพันธุ์มาปลูกไม่ได้) ไม่ใช่ของใครอื่นก็ของแม่อุ้ยพ่ออุ้ยคู่เดิมนั่นแหละ ท่านอุตส่าห์กลัวหนูมาคาบเลยเก็บแตงไว้เป็นลูก ที่ไหนได้ยังมีไอ่หน้อยมือบอนมาหอบแตงหนีอีก ก็เห็นเปลือกนอกมันสีน้ำตาลแดงสวยๆ ก็นึกว่าแตงมันสุกน่าจะหวานกินอร่อย เลยจัดการฉวยไปทั้งสองลูกใหญ่กะจะเอาไปให้พรรคพวกช่วยกันผ่าช่วยกันชิม คราวนี้อุ้ยใช้พี่เพ็ญวิ่งไปดักที่บ้าน เพราะเห็นว่าการผ่าแตงแก่ๆเปลือกแข็งๆนี่ต้องใช้มีด ซึ่งของมีคมทั้งหลายกับไอ่หน้อยคนนี้ชาวบ้านท่านรู้ดีว่าอย่าให้มันได้อยู่ใกล้กันเป็นการดีเพราะหากมันเจ็บทีได้วุ่นวายกันทั้งดอน อุ้ยเลยให้พี่เพ็ญไปรอผ่าแตงให้(มันซะ) คราวนี้แม่ไม่ดุแม่ไม่หยิกด้วย แต่แม่ให้พี่เพ็ญผ่าแตงควักเมล็ดออกไปล้างน้ำผึ่งแดดให้แห้ง วันรุ่งขึ้นแม่เอาเมล็ดแตงใส่กล่องขนมที่เป็นเหล็กกันหนูกันมดแทะแล้วให้ไอ่หน้อยถือกล่องเมล็ดแตงร้านไปส่งแม่อุ้ย กล่องรูปการ์ตูนอาบุสสาก้าที่มันหวงที่สุดที่ได้รับกำนัลมาจากญาติในเมืองนั่นเอง อ้อ เล่าข้ามขั้นตอนไป หลังจากผ่าเอาเมล็ดแตงออกแล้ว ส่วนที่เป็นเนื้อแตงแก่ๆที่นึกเอาไว้ว่าจะหวานแต่ที่จริงแล้วจืดสุดๆเนื้อหยาบแข็งสุดๆนั้น แม่ให้เจ้าตัวที่อยากกินนักค่อยๆนั่งกินเข้าไปให้หมด (ดีที่ยังฐานกรุณาปลอกเปลือกให้)

วีรกรรมต่อไปของไอ่หน้อย มันแปลงร่างเป็นสัตว์ฟันแทะเป็นหนู มันอยากกินอ้อย ทั้งๆที่รู้ว่าหากไปขอเขาดีๆพ่ออุ้ยก็ตัดมาปลอกให้กิน แถมหากมีงานปอยก็แม่นั่นแหละที่สอนพี่เพ็ญทำ “อ้อยส้อม” ไปขาย (อ้อยควั่นเป็นแว่นๆปักบนไม้ไผ่ที่ทำเป็นช่อๆ แต่ของแม่จะทำอ้อยเป็นลูกกลมๆ) แต่นั่นแหละกินของงามๆง่ายๆคงไม่ถึงใจ ว่าแล้วก็จัดการนอนแทะลำอ้อยที่ยืนต้นอยู่คากอนั่นแหละ แทะอยู่ค่อนวันสำเร็จอ้อยลำโตขาดจากโคนได้ จากนั้นก็แปลงร่างเป็นชาวป่าใช้ฟันปลอกเปลือกแทะกินลำอ้อยอยู่ตรงนั้นได้อีกหน่อยก็เบื่อ จากดงอ้อยไปอย่างลอยนวลนึกว่าใครไม่เห็น แต่ตอนเย็นพ่ออุ้ยก็ใช้ให้พี่เพ็ญก็ถือช่ออ้อยควั่นมาส่งพร้อมกับเล่าที่มาของอ้อยช่อนี้ จำไม่ได้ว่าโดนทำโทษอะไรบ้าง แต่รู้สึกว่ามื้อเย็นนั้นแม่จะแกล้งลืมทำชิ้นปิ้งปลาปิ้งซึ่งเป็นอาหารจืดเป็น “ของกิ๋นอ้าย”  ปากที่ได้แผลจากการแปลงร่างเป็นหนูจึงยิ่งแสบถึงใจเมื่อต้องกินน้ำแกงเผ็ดๆ

นี่เป็นความมือไวด้วยความไร้เดียงสาของเด็กชายบ้านป่า
แต่ก็คิดว่าส่งผลมาถึงกิจปฏิบัติที่เขาต้องพบเจอทุกวันนี้
เขาต้องควักกระเป๋าตัวเองไปครั้งแล้วคราวเล่า (อย่างเต็มใจ) ในการซื้อเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆแจกคนเขาไปทั่ว ไม่ได้ตั้งใจว่าต้องให้ แต่มันมีเหตุที่จะต้องให้ บางทีไม่ให้ก็เหมือนกับให้เพราะซื้อมาทดลองปลูกเพื่อที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอด นี่ยังไม่นับการให้อย่างอื่นนอกเหนือจากพันธุ์พืช เช่นอุปกรณ์ทำไร่ทำสวนต่างๆ ถังพ่นสารไล่แมลง เป็นต้น เมื่อปีกลายทีมงานของเขาพลาดในเรื่องการสั่งซื้อลูกปลาดุกมาให้ชาวบ้านกลุ่มใหญ่เลี้ยง ปี๊บก็ตีไปแล้วตอนมอบทำพิธีใหญ่โต ดังนั้นปลาจะตายไม่ได้ ว่าแล้วเขาก็แอบใช้เงินส่วนตัวจำนวนมากโข ออกไปเลือกซื้อลูกปลามาใส่บ่อให้ชาวบ้านแทนที่ตายไป โดยไม่กล้าบอกใคร เกรงลูกน้องจะถูกตำหนิ ผ่านมานี่เขาก็จัดการให้มีกล้าหวายหลายหมื่นต้นเพื่อแจกจ่ายให้คนไปปลูกกันทั้งแขวง ปีก่อนก็ลงทุนให้ลูกน้องปลูกทุ่งทานตะวันผืนใหญ่ ซื้อลูกหมูมาให้ชาวบ้านพิสูจน์การเลี้ยงในหลุม ไม่มีงบประมาณ ก็ช่างประไร เขาถือว่าคงรวมอยู่ในค่าจ้างแพงๆที่เขาได้รับแล้วกระมัง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ แค่เขาคิดถึงเรื่องราวของไอ้หน้อยมือไวเมื่อสี่สิบปีก่อน กับสิ่งที่ต้องทำในวันนี้
ก็ไม่ต้องไปเสียดายอะไรอีก


พินัยกรรมฉบับวิตกจริต

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 3:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1389

วันหยุดพักเมื่อกลางเดือน ไปเมืองไทยแบบนินจา (ด้วยความเกรงใจประชาชีพี่ป้าน้าอาญาติธรรมทั้งหลายที่มาคอยให้บริการจนแทบจะอุ้มไปนั่นมานี่) แต่ก็เหมือนกับโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ตารางชีวิตที่วางไว้กลับถูกเร่งกระชั้นด้วยเหตุที่ถูกร้องขอให้กลับเข้าหงสาเร็วกว่ากำหนด แถมยังมีงานจรเข้ามาวางบนโต๊ะให้จัดการอีกชิ้นใหญ่ สรุปแล้วก็คือเป็นวันพักที่ยุ่งเหยิง ได้นอนน้อยกว่าวันทำงานปกติเสียอีก เสร็จจากงานไปหาหมอให้เจาะๆ เคาะๆ จิ้มๆ หลอกหมอได้สำเร็จด้วยสรรพคุณของมะแว้งถุงใหญ่ที่เคี้ยวทีละเม็ดตั้งแต่ออกจากหงสา หมอบอกว่า “ดีครับ ควบคุมน้ำตาลได้ดี แต่หมอขอรักษาขนาดยาไว้เหมือนเดิมครับ” อ้าวรึว่าหมอรู้ทัน รับยาแล้วก็รีบเดินทางสามทอดกลับเข้าหงสา
กลับมาถึงที่ทำงาน ประชุมนัดสำคัญ แล้วก็เริ่มมีอาการ อาการที่เป็นผลมาจากการพักผ่อนน้อย และเดินทางไกล อาการที่ว่าคือเริ่มหนาวแต่ไม่ถึงกับ chill มีไข้ ตามมาด้วยอาการหูอื้อ ตาลาย เวียนศีรษะ และอาการอื่นๆของไข้หวัด เมื่อรู้ตัวว่าทนไม่ไหวจึงวางทุกงานไว้บนโต๊ะ หนีกลับมานอน  วันรุ่งขึ้นอาการยังไม่ดีขึ้นเพื่อนร่วมบ้านเอาเครื่องมือมาพันๆข้อมือแล้วกดติ๊ดๆ นั่งรอสักพักเจ้าเครื่องที่เพิ่นพกพามาจากเบลเยี่ยมก็ร้องเสียงสูง ติ๊ดๆๆๆๆ คนมาดูตัวเลขก็ร้องจ๊ากส์ ท่านว่าอะไรสูง อะไรต่ำนี่แหละ ส่วนตัวกระผมก็สะลืมสะลือบอกท่านไปว่า “ข้อยบ่เปนหยัง วานซืนนี่กะไปให้หมอกวดมาแล้วบ่ได้ยินเพิ่นเว้าแนวได” หลังจากนั้นก็มีเพื่อนฝูงอีกสองสามคณะแวะเวียนกันมาเคาะห้องถามอาการ แต่ละคนก็พาหมอพาพยาบาลมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือ เอ้าตรวจก็ตรวจ วัดก็วัด สรุปที่วัดกันได้คือ ไข้ต่ำๆ ความดันโลหิต ๑๐๐/๘๐ ท่านว่าต่ำไป (แต่ผมว่าตัวล่างตัวไดแอสโตริกมันยังไม่น่าเกลียด…เมื่อวันโน้นหาหมอที่ขอนแก่นก็วัดได้ประมาณนี้ไม่เห็นว่าไง) แต่เจ้าชีพจรนี่น่าสนใจกว่ามันพรวดขึ้นเกินร้อยตลอด ปานว่าไปวิ่งไกลๆมา สรุปแล้วก็อาศัยความดื้อแพ่ง บวกกับเอาตำแหน่ง “จานเปลี่ยน” ค้ำประกัน ไล่ตะเพิดรถฉุกเฉินที่มารอขนย้ายออกชายแดน   ขอนอนกอดตัวเองที่หงสารอดูอาการก่อน
แม้ว่าจะคุ้นเคย และรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้งเมื่อได้อยู่ตามลำพัง แต่ท่ามกลางความเงียบยามดึก ความหนาวสั่นจากพิษไข้ (เป็นคนดื้อที่ไม่เคยกินยาแก้ปวด ยาลดไข้มาตั้งแต่เกิด) บวกกับอาการหูอื้อและวิงเวียน ก็ทำให้เกิดวิตกจริตได้ เริ่มคิดกังวลในหลายๆเรื่อง

  • เอ? รึว่าเราจะติดเจ้า ๒๐๐๙มาจากกรุงเทปกรุงไท เพราะไม่นานมานี้ก็เป็นหวัดธรรมดาไปแล้ว
  • เอ? เราเป็นมนุษย์เลือดหวานนี่ ท่านว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี่นา หายา…ฟูๆอะไรนั่นมากินดีไหมน้อ
  • เอ? อาการชีพจรเต้นเร็วเต้นรัวอย่างนี้ เป็นสัญญานบ่งชี้ว่า sepsis ติดเชื้อในกระแสเลือดรึเปล่า (ว่ะ)
  • เฮ้ย ! แล้วเรื่องราวหนหลังจากที่เราก้าวช้ามภพนี้ไป คนข้างหลังจะวุ่นวายไหม
  • เฮ้ย! เราได้ชดใช้ดอกผลของสิ่งผิดพลาดที่ได้เคยทำๆกับคน(อื่น) ทั้งโดยตั้งใจ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลกรรมเหล่านั้นได้สนองคืนเรารึยังหนอ

• ตัดสินใจได้สองเรื่องว่า หากยังมี “วันพรุ่งนี้” อยากจะทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องราวไว้ให้คนข้างหลังให้เรียบร้อย เรื่องที่สองคือ ต้องกล้าบอกเล่าความพลาดของตัวเองในบันทึกทำนอง “คำสารภาพของคนสำนึกผิด” (กล้าบันทึกแต่จะกล้าเผยแพร่รึไม่…..จะลองรวบรวมดู) หากว่าเผยแพร่แล้วจะเป็นกุศลกรรมเหมือนหนังสือ “กฎแห่งกรรมของท่าน ท. เลียงพิบูลย์” ก็น่าจะดี

ผ่านไปสองคืน วันนี้อาการดีขึ้นมาก เกือบปกติ
ที่แท้เจ้าไข้หวัด ๒๐๐๙ ที่กลัว น่าจะเป็นเพียง “ไข้หัวลม” ฮ่า ฮ่า
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ได้คิดไว้ในคืนวันที่หวาดวิตก ก็จะพยายามสานต่อ
เรื่องแรกคือ สิ่งของส่วนตนที่ทิ้งไว้เรี่ยราดหากข้าพเจ้าไม่มีตัวตนในโลก จะตกเป็นของผู้ใด (อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมีค่าอะไรมากมาย ก็มีเพียงหนังสือเก่า เสื้อผ้าเก่าสองสามกล่อง อิ อิ) ผมตัวคนเดียว ลูกคนเดียว พ่อ แม่ไปรอภพโน้นหมดแล้ว การจัดการข้าวของเครื่องใช้เลยจัดการได้ง่ายๆ คิดออกตั้งแต่นอนพะงาบๆคืนนั้นแล้วว่า

  • หนังสือเก่าทั้งหมด (นี่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดหวงแหนที่สุด)ยกให้โรงเรียน
  • ประกันชีวิตทั้งหมดไม่รู้ใจอ่อนทำไว้กี่กรมธรรม์(แต่จะแห่งไม่กี่บาท…โปรดอย่าเข้าใจผิด) ยกให้หลานสาวคนที่กำลังส่งเรียนแม่โจ้ เธอกำพร้าพ่อ พ่อเธอไปภพอื่นนานแล้วเธอจะได้มีทุนเรียนต่อจนจบ
  • เงินในสมุดธนาคารสามสี่เล่ม (เล่มละสองสามพันบาท…ยังมีหน้ามาบอกเขาอีก) จัดงานฯ แล้วเหลือเท่าไรให้เป็นทุนการศึกษายายหลานสาวกำพร้าเจ้าเดิม
  • ที่ดินบ้าน ยกให้ญาติข้างแม่ เพราะลุงข้างแม่ท่านเคยยกส่วนหนึ่งมาแปะไว้ให้ เลยยกคืนทั้งผืน
  • ที่ดินนา ยกให้ญาติข้างพ่อ เพราะตอนย่าเล็กท่านซื้อให้พ่อท่านซื้อผืนใหญ่มาแบ่งให้พ่อกับลุง
  • ที่บ้านจัดสรร(เท่าตารางวาแมว) ยกให้ญาติที่ช่วยมาขับรถให้นั่งหลายสิบปี ติดตามไปรับใช้ไปบริการในลาวในป่าก็ไม่ขาด ยามพ่อแม่ป่วยก็ได้ท่านช่วยดูแลแทนเราบ่อยๆ เอาไปเหอะยกให้ ยกรถคันนั้นให้ด้วย

• หมดแล้ว สมบัติ อ้อยังเหลืออีกอย่าง หนี้สินทั้งมวล ไม่รู้ไม่เคยจำว่าให้ใครยืมไปเท่าไหร่(เคยจำแล้วเป็นทุกข์) ใครคืนมาบ้างยังไม่คืนบ้าง ขอยกให้กับลูกหนี้ทุกคนอย่าได้กังวลใดๆ หากวันไหนอยากจะคืนให้เอาไปทำบุญที่วัดก็แล้วกัน

เห็นไหมครับเรื่องราวใดๆล้วนง่ายดายหากไม่ติดยึด
แต่คงอีกนานมั้ง กว่าจะถึงเวลาไปจากโลกนี้ ยังมีบันทึกให้เขียนอีกมากมาย
ทำพินัยกรรมฉบับวิตกจริตแก้เคล็ด(ขัดยอก)ไปแล้วนี่



Main: 0.08831787109375 sec
Sidebar: 0.014989137649536 sec